Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21891 articles
Browse latest View live

ส่องไอเดีย “True Digital Park”พื้นที่แบบไหนสร้างแรงบันดาลใจให้สตาร์ทอัพ

$
0
0

หลังจากมีแผนจะก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2016 ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า True Digital Park ในฐานะ Ecosystem สำหรับสตาร์ทอัพแห่งใหม่ในย่านปุณณวิถี พร้อมเปิดให้สตาร์ทอัพเข้าใช้งานกันแล้ว กับพื้นที่ขนาด 90,000 ตารางเมตร ที่ว่ากันว่ารองรับสตาร์ทอัพได้นับหมื่นคน ส่วนพื้นที่ดังกล่าวจะมีอะไรเตรียมไว้รองรับสตาร์ทอัพกันบ้างนั้น เราขอชวนไปติดตามกันค่ะ

โดย True Digital Park ในเฟสแรกมี 3 ชั้น ตั้งอยู่ในบริเวณชั้น 5 – 7 ของอาคาร และเชื่อมต่อถึงกันด้วยบันไดวนขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่

สำหรับโซนทำงานของ True Digital Park อยู่ในชั้น 6 – 7 ซึ่งจะมีบริการต่าง ๆ เอาไว้คอยท่า เช่น ไวไฟ, กาแฟ, แพนทรี, ห้องประชุม (จองผ่านแอปพลิเคชัน), โต๊ะตีปิงปอง, โต๊ะพูล, เครื่องถ่ายเอกสาร (สั่งการผ่านแอปพลิเคชันเช่นกัน) ฯลฯ ขณะที่ปลั๊กไฟตามจุดต่าง ๆ ก็ถือว่าค่อนข้างพร้อม หรือหากอยากนั่งสบาย ๆ ก็มีบีนแบ็กประจำอยู่ตามมุมต่าง ๆ ด้วย

ในด้านการใช้พื้นที่ True Digital Park แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ พื้นที่ออฟฟิศ, พื้นที่สำหรับจัดอีเวนท์, พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกัน และพื้นที่สำหรับนวัตกรรม โดยพื้นที่สำหรับจัดอีเวนท์ จะมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องออดิทอเรียมขนาด 600 ตารางเมตรรองรับคนฟังได้ 400 คน หรือ Town Hall ให้จัดสัมมนาย่อย ๆ ได้

นอกจากนั้นยังพบว่ามีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาจับจองพื้นที่ไปแล้วหลายรายไม่ว่าจะเป็น ETDA, NIA, Google Academy, Huawei, CP, ธนาคาร UOB, มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ฯลฯ

Google Academy Bangkok

ไม่ใช่แค่ทำงาน แต่อาหารก็ต้องเพียบ

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ด้วยเหตุนี้พื้นที่ของ True Digital Park จึงอนุญาตให้สามารถนำอาหารเข้ามารับประทานได้ ซึ่งใครที่นำอุปกรณ์การรับประทานอาหารเข้ามาใช้เอง จะมีการเตรียมแพนทรีเอาไว้ให้สำหรับล้างทำความสะอาด มีตู้เย็นสำหรับแช่อาหาร และมีแม่บ้านคอยดูแลตลอดช่วงการเปิดให้บริการ

หรือถ้าหากไม่นำมาเอง จะหาซื้ออาหารง่าย ๆ รับประทาน ก็พบว่า มีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ตั้งอยู่ที่ชั้น 7 ของ True Digital Park ด้วยเช่นกัน ส่วนจอดิจิทัลสำหรับให้สแกนใบหน้าที่ตั้งอยู่หน้าร้านนั้น ทีมงานพบว่ายังไม่รองรับการชำระเงินด้วยใบหน้าได้ในขณะนี้ แต่บริเวณข้าง ๆ จะมีบูธสำหรับจ่ายชำระค่าสินค้าด้วยตัวเองตั้งอยู่ โดยต้องนำสินค้ามาสแกน และชำระเงินผ่านทรูวอลเล็ต

ร้าน 7-11 ที่ตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าชั้น 7
ยังใช้ชำระเงินด้วยใบหน้าไม่ได้นะจ๊ะ
จ่ายเงินด้วยตัวเองได้ผ่านที่ตู้คีออสนี้

แต่ถ้าไม่อยากออกมา 7-11 พื้นที่ด้านในก็มีตู้ขายอาหารอัตโนมัติ (จ่ายเงินผ่านทรูวอลเล็ตเช่นกัน) กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ มากมาย

ขณะที่ชั้น 5 เป็นพื้นที่ของ Co-Working Space ชื่อดังอย่าง WeWork ซึ่งในวันที่เปิดพื้นที่ให้สื่อเข้าเยี่ยมชมนั้น ต้องบอกว่าเป็นพื้นที่ที่สงบและค่อนข้าง Private พอสมควร โดยภายในนอกจากพื้นที่ทำงานแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับจัดอีเวนท์ มีห้องสำหรับทำสมาธิ ให้นมบุตร รวมถึงห้องอาบน้ำสำหรับคนทำงานที่ออกกำลังกาย ฯลฯ ด้วย (แต่พื้นที่บางส่วน WeWork ขอสงวนไว้ไม่สามารถถ่ายภาพมาฝากกันได้ค่ะ)

พื้นที่ของ WeWork
วิวของ WeWork
อีกมุมหนึ่งของ WeWork

ปัจจุบัน True Digital Park มีผู้ใช้บริการ (Permanent Members) แล้วกว่า 3,000 ราย ในจำนวนนี้ 61% เป็นคนสายเทคโนโลยี เช่น โปรแกรมเมอร์ ส่วนอายุเฉลี่ยของสตาร์ทอัพที่เข้ามาในพื้นที่คือ 33 ปี ขณะที่ตัวเลขเป้าหมายคือ 5,000 ราย

ส่วน True Digital Park เฟส 2 นั้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสองปีหลังจากนี้ โดย คุณฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ทรู ดิจิทัล พาร์ค เผยว่า จะเน้นพื้นที่ทำงานมากขึ้นเป็น 50,000 ตารางเมตร และเน้นสร้างพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติม


Facebook Watch ประกาศ 5 พันธมิตร “เวิร์กพอยต์-BEC-One31-Zense-วู้ดดี้”ผลิตคอนเทนต์ชิงเม็ดเงินโฆษณา

$
0
0
(ซ้ายไปขวา) คุณแมทธิว เฮนนิค หัวหน้าฝ่ายการวางแผนกลยุทธ์คอนเทนต์, คุณพาเรซ ราชวัต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์วิดีโอ และคุณแจ็ค คุณธรรมสถิตย์ หัวหน้าฝ่าย Entertainment Partnerships ของ Facebook ประเทศไทย

ศึกชิงเวลาผู้ชม และเม็ดเงินโฆษณาช่วงปลายปีเริ่มแล้ว ล่าสุดเป็น Facebook Watch ที่ออกมาเผยกลยุทธ์ด้วยการจับมือ 5 ผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย “เวิร์คพอยต์-BEC-One31-Sense-วู้ดดี้” ผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม พร้อมกระตุ้นครีเอเตอร์ไทยผลิตคอนเทนต์ขนาดยาวเพิ่ม เพื่อเข้าถึงโอกาสทำรายได้จากโฆษณาบนแพลตฟอร์มของ Watch

โดยหลังจากเปิดให้บริการ Facebook Watch ในไทยอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2018 รวมถึงมีการทดลองผลิต Original Content อย่าง The Real World Bangkok ไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุดดูเหมือนว่า Facebook Watch จะถึงเวลาก้าวไปอีกขั้นแล้ว จากการเปิดเผยของ คุณแจ็ค คุณธรรมสถิตย์ หัวหน้าฝ่าย Entertainment Partnerships ของ Facebook ประเทศไทยกล่าวว่า บริษัทมีแผนจับมือกับ 5 ผู้ผลิตคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่ของไทย ได้แก่ เวิร์คพอยต์, BEC, One31, Zense Entertainment และวู้ดดี้เวิลด์ นำเสนอรายการของทางค่ายบนแพลตฟอร์ม และทาง Facebook จะมีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้บางส่วนด้วย

คุณแจ็ค คุณธรรมสถิตย์

สำหรับรูปแบบของการพาร์ทเนอร์กันนั้น มีทั้งการนำคอนเทนต์เดิมที่เคยได้รับความนิยมมาฉายใหม่ เช่น รายการ The Mask Singer, I Can See Your Voice ประเทศไทย ของเวิร์คพอยท์ รวมถึงจะมีการผลิตคอนเทนต์วิดีโอแบบ Exclusive เพิ่มเติมเข้ามาด้วย

หรือในส่วนของบีอีซี (BEC) พบว่ากลยุทธ์ที่ใช้บน Facebook Watch จะแตกต่างออกไป นั่นคือใช้เพื่อนำเสนอคลิปวิดีโอ, เบื้องหลังการถ่ายทำ และเนื้อหาฉบับเต็มก่อนการตัดต่อของละครที่ออกอากาศทางช่อง 3 เป็นหลัก ขณะที่ค่าย Zense Entertainment จะเน้นไปที่รายการตลก และเกมโชว์

แต่ทั้งหมดนี้หากสังเกตจะพบว่า เป็นการสนับสนุนให้เกิดคอนเทนต์ขนาดยาวขึ้นบนแพลตฟอร์มของ Facebook Watch ซึ่งจะส่งผลต่อจำนวนผู้รับชม และนำไปสู่เม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในที่สุด

ส่วนหนึ่งเห็นได้จากเกณฑ์ในการสร้างรายได้บนแพลตฟอร์ม Facebook Watch จากโฆษณา หรือที่เรียกกันว่า Ad-Break ที่เริ่มให้บริการในประเทศไทยมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2018 ซึ่งกำหนดให้คลิปที่จะใส่โฆษณาได้นั้น ต้องมาจากเพจที่มีผู้ติดตามตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป และคอนเทนต์ต้องมีความยาวมากกว่า 3 นาที

มากไปกว่านั้น จะมีการวัดผลประสิทธิภาพของคลิปในอดีตที่อัปโหลดขึ้นบนแพลตฟอร์มด้วยว่า สามารถดึงดูดผู้ชมเอาไว้ได้ถึง 1 นาทีขึ้นไปหรือไม่ หากทำได้ในเกณฑ์ดังกล่าวถึง 30,000 ครั้งในช่วง 60 วันที่ผ่านมา เจ้าของเพจจึงจะสามารถใช้ฟีเจอร์ Ad-Break คั่นได้

โดยคุณพาเรช ราชวัต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์วิดีโอของ Facebook เผยว่า ใน 1 นาทีแรกจะเป็นช่วงสำคัญ หากสามารถทำให้ผู้ชมติดตามได้โดยไม่กดเลื่อนไปดูคอนเทนต์อื่น ก็จะถือว่าคอนเทนต์นั้นเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบัน มีเพจที่ใส่ Ad-Break เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีก่อนถึง 3 เท่าตัว

คุณพาเรช ราชวัต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์วิดีโอของ Facebook

ส่วนเมื่อถามว่าตลาดนี้ใหญ่มากแค่ไหน ตัวเลขจาก Facebook เผยว่า ปัจจุบันมีผู้รับชมรายการผ่านทาง Watch อย่างน้อย 26 นาทีต่อวันมากถึง 140 ล้านคนทั่วโลก และมีผู้ที่รัมชม Facebook Watch อย่างน้อย 1 นาทีต่อวันมากถึง 720 ล้านคนทั่วโลก (ไม่มีตัวเลขในไทยมาเปิดเผย)

หนึ่งในฟีเจอร์ที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของ Facebook Watch ก็คือ Watch Party (สามารถเชิญเพื่อน ๆ มารับชมคลิปร่วมกันได้) ที่ Facebook เผยว่า สามารถสร้างตัวเลข Engagement ให้กับคอนเทนต์ได้มากกว่าการรับชมวิดีโอตามลำพังถึง 8 เท่า ขณะที่ หรือหากไม่ถนัดก็สามารถใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น โพลล์, รีแอคชั่น, คอมเม้นท์ ฯลฯ ได้เช่นกัน

หรือในกรณีของช่อง One31 ที่มีการใช้ฟีเจอร์ Groups ได้อย่างน่าสนใจ กับการทำโพลล์สอบถามความคิดเห็นของกลุ่มคนรักละครว่าต้องการให้ตอนจบออกมาเป็นแบบใด และสามารถสร้างการติดตามให้กับคอนเทนต์ของทางค่ายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้งานชาวไทยเข้าใช้งานมากถึง 39 ล้านคนต่อวัน และ 55 ล้านคนต่อเดือน
อย่างไรก็ดี ในส่วนของอุปกรณ์อย่าง Facebook Portal ซึ่งเพิ่งมีการอัปเดตอุปกรณ์เจเนอเรชันใหม่ไปเมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ทางฝ่ายสื่อสารองค์กรของ Facebook ประเทศไทยเผยว่า ยังไม่มีแผนจะเปิดตัวอุปกรณ์ดังกล่าวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยแต่อย่างใด

ไม่ว้าว ไม่ใช่ SC Asset รีเมคเพลงดังที่ฟังแล้ว worry-free ตอกย้ำ “บ้านอยู่แล้วสบายไร้กังวล”

$
0
0

เมื่SC Asset ร้างบ้านที่คำนึงถึงความต้องการและรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก การถ่ายทอด Key Message ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญ และทุกครั้งแคมเปญต้องใหม่และแหวกแนว ดังนั้น ”Homes for All Birds” แคมเปญล่าสุด จึงเลือกใช้สื่อกลางเป็น “เพลง” ซึ่งเป็นภาษาสากล นำเสนอผ่าน Music Marketing ในรูปแบบของละครเพลง 5 เรื่อง ที่สนุกสนาน มีชีวิตชีวา และอบอุ่นไปด้วยไอรัก  ซึ่งสร้างสรรค์จากบทเพลงยอดนิยมตลอดกาล ที่ครองใจคนทุกเพศ ทุกวัย มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพื่อเป็นสื่อกลางในการบอกเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตแบบไร้กังวลในบ้าน SC Asset รวมถึงตอกย้ำถึง Brand Identity ของ SC Asset ที่เข้าถึงได้ง่าย และเข้าใจคนไทยเป็นอย่างดี
“Homes for All Birds”  บ้าน ‘สบาย สบาย’ เพื่อทุกคน..ทุกครอบครัว

 คุณโฉมชฎา กุลดิลก Head of Corporate Brand บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บอกถึงที่มาของการใช้กลยุทธ์ Music Marketing เพื่อปั้นแคมเปญ Homes for All Birds” ว่า เกิดจากความมุ่งมั่นของ SC Asset ที่สร้าง Human Centric Home มาโดยตลอด จึงต้องการสื่อสารกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มแมส ด้วยเรื่องเล่าผ่านเสียงเพลง ดังที่ฟังเมื่อไหร่ก็ให้ความรู้สึกสบายไร้กังวลในวันเก่าๆช่วงเวลา Good Old Days เพื่อตอกย้ำจุดแข็งที่สำคัญของ SC Asset ที่นำเสนอ “Worry Free Home” หรือ “บ้านอยู่สบายไร้กังวล”

“แม้กลุ่มเป้าหมายหลักของซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของไทยจะเป็นกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป แต่เพลงที่เราคัดสรรมาก็เปรียบเสมือนเพลงสามัญประจำบ้าน เป็นเพลงที่ฟังได้สบายทุกเพศทุกวัย แม้กระทั่งวัยรุ่นก็รู้จักและคุ้นเคย เพราะได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากพ่อเปิด แม่ชอบ ทำให้เราหวนกลับไปคิดถึงวันชื่นคืนสุขในอดีต สมัยที่ไม่มีเรื่องราวอะไรให้กังวล เป็นความทรงจำของชีวิตในวันวาน ช่วงชีวิตในวัยเด็ก วัยเรียน เปรียบเสมือนความรู้สึกเมื่อได้อยู่อาศัยในบ้านของ SC Asset เราอยากให้ความรู้สึก Good Old Days แบบนั้นหวนกลับคืนมาอีกครั้ง  เพราะเพลงต่างๆ ที่เราเลือกมาใช้ในแคมเปญนี้เป็น Timeless ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เราอยากให้เกิดขึ้นกับทุกชีวิตที่อยู่ภายใต้ชายคาของ SC Asset”

Homes for All Birds เปรียบนกเป็นตัวแทนของผู้คนที่เป็นสุขทุกครั้งเมื่อคืนกลับรัง หรือกลับบ้านของตัวเอง บ้านที่รังสรรค์โดย SC Asset ด้วยความเข้าใจผู้อยู่อาศัยทุกคนนอกจากจะเป็นรังที่อบอุ่นแล้วยังอบอวลไปด้วยความสุข ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยไร้กังวลอีกด้วย

“จริงอยู่บ้านคือที่อยู่อาศัย แต่คนเราก็จำเป็นที่จะต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ซึ่งเราก็อยากจะสนับสนุนและกระตุ้นให้คนออกไปทำเรื่องดีๆ ให้กับโลก โดยที่ไม่ต้องห่วงบ้าน เพราะบ้านของ SC Asset ดูแลตัวเองได้ เราจึงนำเสนอฟังก์ชั่นและบริการต่างๆ ผ่านเรื่องเล่าทั้งหมด 5 เรื่อง รวมถึงบทสรุป ด้วยการสื่อสารแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลัง และทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องผ่านการตีความอะไรที่ซับซ้อน”

ถึงเวลาเจาะเซ็กเมนท์แมสอย่างจริงจัง สื่อสารเลยต้องปังด้วยเพลงดัง ฟังแล้วใช่เลย

คุณโฉมชฎา อธิบายถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในภาพรวม โดยเฉพาะ High rise มีการชะลอตัว เนื่องจากซัพพลายมีจำนวนมาก ส่วน Low rise โดยเฉพาะบ้าน ยังคงตัว ไม่ขาดทั้งซัพพลายและดีมานด์ หมายความว่ายังเติบโตได้ตามปกติ แต่เซ็กเม้นท์ที่เติบโตดีที่สุดคือ “ลักชัวรี่” (Luxury) หรือบ้านหรูราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นเซ็กเม้นท์ที่ SC Asset มีความเชี่ยวชาญและถนัดมากที่สุด ในขณะที่บ้านราคา 2-3 ล้านบาท มีตัวเลือกเยอะ และมีการแข่งขันสูง และ SC Asset เพิ่งลงมาเล่นในเซ็กเม้นท์นี้ได้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

โดยปี 2562 มีโครงการที่จับกลุ่มเป้าหมายนี้ คือ

Verve พระราม5 กลิ่นอายของความเป็น New York Loft Style มีแบบให้เลือกชม 2แบบ ราคา 3.59 – 6 ล้านบาท  โดยขอแนะนำทาวน์โฮมรุ่น New Lush ดีไซน์ล่าสุด ออกแบบมาเพื่อครอบครัวรุ่นใหม่ เหมาะสำหรับสมาชิกในครอบครัว 4-5 คน ดีไซน์หน้ากว้าง 7.9 เมตร ฉีกกฎของทาวน์โฮมรูปแบบเดิมๆ มอบความกว้างและ Private Garden พื้นที่สีเขียวสำหรับสูดอากาศบริสุทธิ์ภายในรั้วบ้าน มาพร้อมฟังก์ชันขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ดีไซน์โดดเด่นด้วยเพดานห้อง Master Bedroom  สูง 3.2 เมตร (ทั่วไปสูง 2.6 เมตร) ให้ความรู้สึกโล่ง โปร่ง และช่วยลดอุณหภูมิความร้อนจากภายนอก เนรมิตทุกค่ำคืนของคุณให้ยาวนานกว่าใคร พร้อมมุมระเบียงเชื่อมสู่พื้นที่ภายนอกที่จะทำให้คุณใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และเพิ่มพื้นที่ความเป็นส่วนตัวระหว่างบ้านแต่ละหลัง พิเศษกว่านั้น พื้นที่ห้อง Prayer สำหรับกิจกรรมทางศาสนา บริเวณชั้น 2 และห้องนอนล่างสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์สำหรับกิจกรรมต่างๆ ในครอบครัว นอกจากนี้ พื้นที่ห้องครัว และห้อง Laundry สามารถดีไซน์ฟังก์ชันการใช้งานตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวมากไปกว่านั้น พื้นที่ภายในโครงการมีความร่มรื่น ผ่อนคลายกับสวนส่วนกลางสไตล์ Loft&Lush  รองรับทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ด้วยฟิตเนส สระว่ายน้ำระบบเกลือ Co-Working Space และ Kid’s Room

Venue Flow รังสิต บ้านเดี่ยวโครงการใหม่สไตล์ Modern Japanese จาก SC Asset ตั้งอยู่บนถนนรังสิตคลอง3 โครงการนี้มีจำนวนยูนิตน้อยเพียง 124 หลัง เน้นความเป็นส่วนตัว พื้นที่ส่วนกลางมีให้ใช้ครบทั้ง คลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส และ Kids room ในราคาเริ่มต้น 4.99 – 8 ล้านบาท

ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสื่อสารแบบแมสๆ และเข้าใจง่าย ขณะเดียวกันก็มีบริบทของความสนุกสนานและขำขันในแบบฉบับของคนไทย ซึ่งเพลงดังเหล่านี้ตอบโจทย์ที่  SC Asset ต้องการได้อย่างลงตัว

5 เพลงชื่อดัง สะท้อนจุดแข็ง SC Asset

ด้วยความเป็น Music Marketing จึงหยิบยกเพลงเด่นในตำนานที่ทุกคนรู้จักและชื่นชอบเป็นอย่างดี
มาถ่ายทอดผ่านละครเพลงสนุกๆ ที่ให้ทั้งความบันเทิงและ  Key Message ที่ต้องการสื่อสารในคราวเดียวกันแบบครบถ้วน ผ่าน 5 เรื่องเล่าที่สะท้อนถึง Pain Point ของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มที่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวัย พฤติกรรม และรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างชัดเจน ดังนี้

1. “คนไม่มีแปลน (เพลงคนไม่มีแฟน) เป็นเรื่องของการออกแบบเลย์เอาท์ และฟังก์ชั่นของบ้าน บอกถึงฟังก์ชั่นที่ดีของบ้าน SC Asset  เช่น ครัวป้องกันกลิ่น, การดูแลผู้อยู่อายุด้วย  Universal Design และตู้เก็บรองเท้า 100 คู่ เป็นต้น เป็นเรื่องราวของ “Daddy Bird” ตัวแทนของกลุ่มคนที่กำลังก่อร่างสร้างตัว

2. “ซ่อมได้  (เพลงซ่อมได้) เป็นเรื่องราวของ “Madame Bird” ตัวแทนของผู้หญิงที่ซ่อมบำรุงบ้านไม่เป็น แต่ก็หมดห่วง นอกจากจะไม่ต้องทำเองแล้ว ยังไม่ต้องปวดหัวว่าจะเลือกช่างจากที่ไหน เพราะมี SC Able โดย SC Asset  ที่คัดสรรช่างผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ และไว้ใจได้เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว

3. “เล่าสู่ยามฟัง(เพลงเล่าสู่กันฟัง) เป็นเรื่องราวของ “Teen Bird”  ที่ใช้ชีวิตโลดแล่นภายนอก กลับบ้านดึก ทั้งยังอกหักรักคุด แต่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะบ้าน SC Asset มีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง

4. “หมั่นคอยดูแลและรักษาโคมไฟ  (เพลงหมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ)  เป็นเรื่องราวของ “Grandpa Bird” และ “Little Bird”  คนสองเจเนอเรชั่นที่อยู่อาศัยในบ้านเดียวกัน เป็นผู้สูงอายุกับเด็กเล็กที่อาจต้องอยู่บ้านด้วยกันในช่วงกลางวันที่สมาชิกคนอื่นๆ ไปทำงานหรือไปเรียนหนังสือ ซึ่งในช่วงกลางวันมักจะเป็นช่วงที่มีงานต่างๆ ซึ่งปู่กับหลานไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะเกินกำลัง เช่น ยกถังแก๊ส หรือเปลี่ยนหลอดไฟ แต่ก็หายห่วงเพราะ  SC Asset มี Ruejai Subscription บริการบน “บ้านรู้ใจ” Application ที่จะช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต ให้กับครอบครัว SC Family ได้สะดวก สบายกับบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บริการแม่บ้าน, ทำสวน, ล้างแอร์ ,ทำความสะอาดที่นอน และบริการอีกมากมาย เพราะ SC Asset นำเสนอ Living Solutions  ซึ่งสำคัญนอกเหนือไปกว่าการออกแบบ เพราะรวมถึงการสรรหาพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาให้บริการอย่างครบครัน

ส่วน  5 . “สบาย สบาย”(เพลงสบาย สบาย) ถ่ายทอดภาพรวมของทั้งหมด เป็นบทสรุปของแคมเปญ Homes for All Birds” ที่ตอกย้ำให้เห็นว่า SC Asset เข้าใจผู้บริโภคทุกกลุ่มอย่างถ่องแท้

ในด้านโปรดักชั่นเลือกใช้ทีมผู้กำกับจากกลุ่ม Rap Is Now เพื่อช่วยในการถ่ายทอดเพลงของศิลบินระดับตำนาน ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ทันสมัยและโดนใจกลุ่มวัยรุ่น

สำหรับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ จะใช้สื่อที่ครอบคลุมทั้งวิดีโอ วิทยุ สื่อนอกบ้าน บีทีเอส ออนไลน์ พอดคาสต์ และแอดเวอร์ทอเรียล เป็นต้น

บ้านที่หลากหลาย สอดรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า

เมื่อผู้บริโภคมีรูปแบบการการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากคนโสดที่ใช้ชีวิตคนเดียวในคอนโดมิเนียมแล้ว ยังมีคู่รัก LGBT, คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และยังมีครอบครัวที่ปู่ย่าหรือตายายอยู่กับหลานๆ เพราะพ่อแม่ของเด็กต้องอยู่อาศัยที่อื่น เนื่องด้วยความจำเป็นด้านหน้าที่การงาน ทำให้ SC Asset มุ่งตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเติมเต็ม Pain Point ต่างๆ  ด้วยความหลากหลายของรูปแบบบ้าน เช่น บ้านคนโสด ที่ไม่จำเป็นต้องมี 4 ห้องนอน แต่ต้องการห้องน้ำขนาดใหญ่, ช่องดูวิวของสุนัข, สกายไลท์ และห้องใต้บันได เป็นต้น

นอกจากนี้คุณโฉมชฎาเชื่อว่า สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ Subscription Economy เพราะผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นที่จะต้องครอบครองหรือเป็นเจ้าของอะไร แต่ต้องการใช้บริการสินค้าและบริการที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งบ้าน เพียงแค่บอกรับสมาชิกที่ผู้ประกอบการนำข้อมูลต่างๆ ทั้งพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค และฟีดแบ็กต่างๆ มาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทำให้เกิดการต่ออายุของสมาชิกเก่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดึงดูดสมาชิกใหม่ให้มาใช้สมัครใช้บริการ

 

ศึกษาจากจีน ดูแลอย่างไรในวันที่มีผู้สูงอายุทะลุ 250 ล้านคน และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

$
0
0

หากกล่าวถึงเรื่องของ Aging Society ภาพของประเทศญี่ปุ่นอาจปรากฏขึ้นมาในจินตนาการของใครหลายคน กับการที่ประชากรในประเทศถึง 1 ใน 3 เป็นผู้สูงอายุอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นประเทศเดียวที่เผชิญกับความท้าทายดังกล่าว จีนแผ่นดินใหญ่ ประเทศที่เตรียมก้าวขึ้นแท่นผู้นำโลกก็หนีความท้าทายนี้ไม่พ้น โดยตัวเลขในปี 2018 พบว่า จีนมีประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 250 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 1.4 พันล้านคน

สถาบัน Academy of Social Sciences ของจีนชี้ว่า คนวัยทำงาน 2 คน จะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนบำเหน็จบำนาญเพื่อสนับสนุนคนเกษียณที่ไม่ได้ทำงานแล้ว 1 คน แต่ในปี 2050 อัตราส่วนการพึ่งพานี้มีแนวโน้มว่าจะลดลงจนกลายเป็น 1 ต่อ 1 นั่นคือเหตุผลให้นักวิทยาศาสตร์ และบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากหาทางพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงการนำ AI มาใช้เพื่อให้การดูแลสุขภาพประชาชนของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หนึ่งในสถานที่ที่จะได้เห็นนวัตกรรมเหล่านี้ก็คือ Lujiazui Elderly Community Centre ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งในเขตผู่ตง ของเซี่ยงไฮ้

ที่แห่งนี้มีการนำฟูกนอนอัจฉริยะมาปรับใช้เป็นแห่งแรก โดยฟูกดังกล่าวมาพร้อมเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจสอบสุขภาพของผู้ป่วย และแชร์ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวได้อัตโนมัติ หรือหากหลงทาง ก็สามารถติดตามตัวผู้สูงอายุได้จากตำแหน่งของ GPS

การออกกำลังกายของผู้สูงอายุในศูนย์ก็น่าสนใจ เพราะมีนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยในการออกกำลังกาย โดยให้อยู่ในรูปของการเล่นเกม เช่น เกมเก็บผลไม้เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ฝึกขยับมือเพื่อความคล่องตัว และได้สนุกกับเกมไปพร้อม ๆ กัน

“ที่ผ่านมา นักบำบัดจะต้องนำมือของผู้ป่วยไปวางไว้บนเครื่องเพื่อให้พวกเขาได้เคลื่อนไหวซ้ำ ๆ กันประมาณ 500 ครั้งใน 20 นาที ซึ่งแน่นอนว่ามันกินเวลาของนักบำบัดอย่างมาก และสำหรับผู้ป่วยก็คงไม่สนุกอย่างแน่นอน ขณะที่เจ้าเครื่องใหม่นี้ นอกจากเล่นเกมแล้ว ยังสามารถตรวจสมรรถภาพผู้ป่วยได้พร้อมกันถึง 3 ราย จึงประหยัดเวลาไปได้อย่างมาก” Gu Jie ซีอีโอของ Fourier Intelligence บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กล่าว

ทางศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเผยว่า ก่อนหน้าที่จะนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาใช้งาน ทางศูนย์จะต้องจ้างนักบำบัดให้มาเข้าเยี่ยมทุกวันเพื่อช่วยผู้ป่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งหลังจากมีการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว นักบำบัดยังคงจำเป็น แต่พบว่าเครื่องมือต่าง ๆ สามารถช่วยให้นักบำบัดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการทำงานซ้ำ ๆ ลงได้

เตรียมส่งไม้ต่อให้ AI รับหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ

หรือในส่วนของการใช้ AI เพื่อการดูแลสุขภาพก็พบว่ามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคืองานวิจัยของศาสตราจารย์ Chen Xiaoping จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (University of Science and Technology of China หรือ USTC) ที่ได้พัฒนาหุ่นยนต์ AI สำหรับเตือนให้ผู้สูงอายุกินยามาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ เขาก็พบว่ายังมีความท้าทายต่าง ๆ มากมาย

“เราเริ่มทำงานกับหุ่นยนต์บริการในปี 2008 แต่สำหรับผู้สูงอายุ การเตือนให้กินยา ก็มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เราพบว่าหลังจากได้รับการเตือน บางครั้งผู้สูงอายุก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปรอบ ๆ แทนที่จะกินยา ดังนั้นหุ่นยนต์ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และต้องสามารถเตือนพวกเขาให้กินยาอีกครั้งได้ เช่นเดียวกัน บางครั้งพวกเขาก็กินยาแล้ว หุ่นยนต์ก็ต้องวิเคราะห์ได้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเตือนซ้ำ” ศาสตราจารย์ Chen กล่าว

โดยศาสตราจารย์ Chen หวังว่าหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า และอาจมีราคาต่ำกว่า 10,000 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) เพื่อให้คนหาซื้อมาใช้งานได้ง่ายมากขึ้น

นอกจากนั้นก็ยังมี Yitu Technology ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI ชั้นนำของจีนที่ได้เปิดตัวเครื่องมือตรวจคัดกรองมะเร็งโดยใช้ AI แบบใหม่เมื่อปีที่แล้ว เพื่อลดภาระงานและเพิ่มความสามารถในการวินิจฉัยสำหรับนักรังสีวิทยาทั่วโลกเช่นกัน

ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Markets and Markets เผยว่า การใช้ AI ในตลาดการดูแลสุขภาพทั่วโลกจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 เป็น 36,100 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดดังกล่าวเติบโตมาจากการขาดแคลนบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุ แม้ว่าจะเป็นประเทศจีนที่มีประชากรกว่าพันล้านคน แถมยังเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างดีก็ตาม (รายได้ของผู้ดูแลต่อเดือนเฉลี่ย 15,000 หยวน หรือประมาณ 75,000 บาท ขณะที่รายได้ของศูนย์บริการต่อการดูแลผู้สูงอายุหนึ่งคนอาจมีตั้งแต่ระดับ 5,000 – 20,000 หยวนต่อเดือนเลยทีเดียว)

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดดังกล่าวขาดแคลนบุคลากรคือเรื่องของความสุขของคนทำงานที่ค่อนข้างต่ำ เหตุจากต้องทำงานซ้ำเดิมตลอดเวลา ขณะที่ตัวกฎหมายก็มีข้อบังคับที่ละเอียดยิบย่อย ทำให้หลายคนอาจไม่ได้รับการประเมินให้อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ต่อ

ทั้งหมดนี้จึงทำให้ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งเริ่มเปิดใจยอมรับการดูแลตัวเองควบคู่กับการให้ AI เข้ามาช่วยเหลือมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้การสำรวจโดยสถาบันวิจัยของ Tencent ที่พบว่า มากกว่า 50% ของผู้มีอายุระหว่าง 50 – 64 ปี สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อชดเชยการขาดแคลนผู้ดูแลผู้สูงอายุแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุในเมืองสำคัญๆ อย่าง กรุงปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, กวางโจว และเซินเจิ้น ซึ่งเราเชื่อว่าภาพที่เกิดในเมืองจีนกับจำนวนผู้สูงอายุหลักร้อยล้านคนและรูปแบบการดูแลดังกล่าว อาจทำให้หลายคนมองเห็นโอกาสของการใช้ AI มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

Source

เมื่อยอมครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป บทเรียนที่ IKEA ต้องทำใจหลังเปิดให้เล่นซ่อนหาในห้าง

$
0
0

หลายครั้งที่เราพบว่าในวงการธุรกิจมีคำขอร้องประหลาด ๆ เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือกรณีของ IKEA ที่ออกมาขอความร่วมมือผู้บริโภค “ไม่ให้เล่นซ่อนหากันในห้าง” ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งในอดีต IKEA เองเคยอนุญาตให้จัดอีเวนท์ดังกล่าวขึ้นด้วยความเต็มใจ

โดยการเล่นซ่อนหาใน IKEA ครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Elise De Rijck บล็อกเกอร์ชาวเบลเยียมต้องการฉลองวันเกิดครบรอบ 30 ปีของตัวเองด้วยการละเล่นดังกล่าว และได้สร้างกลุ่มขึ้นมาบน Facebook เพื่อชวนเพื่อน ๆ เข้ามาพูดคุยนัดหมายกัน ทว่า แทนที่จะเป็นเพื่อนแค่หลักสิบ กลุ่มดังกล่าวมีคนเข้ามาร่วมจอยหลายพันคน แถมทาง IKEA Belgium เองไม่ได้ติดขัดอะไร และยอมจ่ายเงินจ้างเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดงานให้อีกต่างหาก

Annelies Nauwelaerts ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ IKEA Belgium ยอมรับว่า บริษัทตัดสินใจอนุญาตให้เกิดการเล่นซ่อนหาขึ้นได้ เพราะต้องการทำให้ความฝันของ Elise De Rijck เป็นจริง (Elise De Rijck เขียนถึงไอเดียการเล่นซ่อนหาใน IKEA เอาไว้ใน Bucket List ที่ต้องทำให้ได้เมื่ออายุ 30) และการเล่นซ่อนหาครั้งนั้นจบลงด้วยดี

แต่เมื่อภาพของความสนุกสนานของการเล่นซ่อนหาครั้งประวัติศาตร์นี้เผยแพร่ออกไปบนโลกออนไลน์ ความยุ่งยากก็เริ่มตามมา เพราะผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ เริ่มสนใจและอยากจัดกิจกรรมเล่นซ่อนหาแบบนี้กับห้าง IKEA ในประเทศตัวเองบ้างเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่ง IKEA Netherland ไม่ได้สนุกไปด้วย

เหตุผลที่ IKEA Netherland ยิ้มไม่ออกก็คือ การเล่นซ่อนหาที่จะจัดขึ้นในประเทศของตัวเองนั้น มีคนอยากเข้าร่วมมากถึง 63,000 คน (แบ่งเป็นห้าง IKEA ใน Eindhoven 32,000 คน เมือง Amsterdam 19,000 คน และ Utrecht อีก 12,000 คน) จน Martina Smedberg ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ IKEA Netherland ต้องออกมาบอกว่า บริษัทกังวลเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพมากกว่าประเด็นอื่นใด

“เราต้องทราบว่ามีคนจำนวนเท่าไรอยู่ในห้างของเรา ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินจะได้อพยพทันท่วงที”

แม้จะเตือนโดยอ้างความปลอดภัย ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งผู้บริโภคได้ ผลจากความฮิตนี้ ทำให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ IKEA ในระดับโกลบอลต้องออกมาประกาศแบนการเล่นซ่อนหาอย่างเป็นทางการในปี 2015

อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นบทเรียนก็คือ การมองกันคนละมุมของเจ้าหน้าที่ IKEA ในประเทศต่าง ๆ ทำให้การจัดการกับกลุ่มนักเล่นซ่อนหาแตกต่างกันไปด้วย โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา IKEA ในสก็อตแลนด์ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความปลอดภัยให้กับทางห้าง หลังพบว่ามีการตั้งกลุ่มกันใน Facebook เพื่อวางแผนจะมาเล่นซ่อนหากันในห้าง IKEA อีก

โดยทางตำรวจได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ 5 นายที่ประตูทางเข้าห้างตลอดวันเสาร์ และอีกส่วนหนึ่งก็กระจายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่่คาดว่าจะใช้หลบซ่อนได้ แถมทีมประชาสัมพันธ์กลางของ IKEA ก็ต้องออกมาขอความร่วมมืออย่างจริงจังให้ผู้บริโภคคิดถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

ธีม Hide-and-Seek ที่ครั้งหนึ่ง IKEA เคยนำไปใช้เป็นไอเดียออกแบบตกแต่งห้องนอนเด็กของทางค่าย วันนี้จึงอาจเป็นธีมที่ทำให้คน IKEA หวาดผวามากกว่าจะสนุกแล้วก็เป็นได้

Source

Source

Source

CPAC จับมือ 29 พันธมิตร เสริมแกร่ง Construction Solution พัฒนากว่า 10 โซลูชั่น ช่วยลูกค้างานก่อสร้าง แก้ปัญหาครบวงจร [PR]

$
0
0

เอสซีจี โดย CPAC ในฐานะ Construction Solution Provider ผสานความร่วมมือกับ 29 บริษัทชั้นนำ ใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีล้ำสมัยเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน พัฒนาโซลูชั่นที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและแก้ปัญหาการก่อสร้างครบทุกขั้นตอน ด้วยแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียนที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ Structural for BuildingSolution บริการก่อสร้างโรงงาน Lifetime Solution บริการปรับปรุงยืดอายุโครงสร้างอาคาร โรงงานและสะพาน Earthwork Solution บริการออกแบบระบบงานดิน และ ALLRENT แพลตฟอร์มที่ให้บริการเช่าเครื่องจักร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร

นายชนะ ภูมี Vice President-Cement and Construction Solution Business เอสซีจี กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างของประเทศไทย ด้วยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้จะเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมได้นั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญคือ ความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างที่สร้างคุณค่าให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะนำไปสู่สังคมมั่งคั่ง (Wealth Community) ที่สมบูรณ์

“ความร่วมมือในครั้งนี้ CPAC ได้รับเกียรติจากตัวแทนพันธมิตร 29 ราย ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยีและประสบการณ์ เสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ร่วมพัฒนา Solution ให้ครอบคลุมครบทุกขั้นตอนงานก่อสร้าง เพื่อร่วมส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้กับลูกค้า อีกทั้งเป็นการสร้างมาตรฐานและยกระดับการก่อสร้างของประเทศไทยให้มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับพันธมิตรทางธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับเอสซีจี

ปัจจุบัน CPAC ได้พัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์การทำงานของลูกค้ามากกว่า 10 โซลูชั่น อาทิ Structural for Building Solution, Lifetime Solution, Earthwork Solution และ ALLRENT  ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตรทั่วประเทศที่มีมากกว่า 300 ราย โดย CPAC ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านข้อมูล เชื่อมโยงนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น BIM (Building Information Modeling) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่อช่วยบริหารจัดการทรัพยากรวัตถุดิบ คน และเวลา ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมสีเขียวอย่างยั่งยืน”

สำหรับผู้ที่สนใจ CPAC Construction Solution สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CPAC Contact Center โทร 02-555-5555 หรือเว็บไซต์ https://web.cpac.co.th/th/home

สนใจสามารถติดตามข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel

 

ช่อง 3 เปิดศึกการแข่งขันทำอาหารในครัวที่มีอุปกรณ์แตกต่างกันกว่า 100 ปี กับรายการ “เชฟสุดขั้ว ครัว 2 โลก” เริ่ม 21 ก.ย. นี้ [PR]

$
0
0

ถือว่าเป็นการฉีกแนวรายการแข่งขันทำอาหารที่ตื่นเต้นและท้าทายความสามารถของผู้เข้าแข่งขันสุดๆ สำหรับรายการ “เชฟสุดขั้ว ครัว 2 โลก” ของ บริษัท มีมิติ จำกัด ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เพราะผู้เข้าแข่งขันต้องมาแข่งทำอาหารกันในครัวที่มีอุปกรณ์แตกต่างกันกว่า 100 ปี ระหว่าง “ครัวโลกใหม่” และ “ครัวโลกเก่า” ที่วัดกันให้เห็นแบบจะๆ ว่า  “ฝีมือ” กับ “เครื่องมือ” อะไรจะแน่กว่ากัน

งานนี้เข้มข้นทุกรอบการแข่งขันเพราะเป็นการประชันฝีมือกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ของเชฟระดับมืออาชีพที่จะมาสร้างสรรค์อาหารชั้นสุดยอด ด้วยกติกาสุดเร้าใจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เรียกว่าต่างฝ่ายต่างงัดไอเดียเด็ดรังสรรค์เมนูตามโจทย์โชว์กึ๋นขั้นเทพ  โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารชื่อดังอย่าง เชฟหงส์-งามพร้อม ไทยมี หนึ่งในเชฟอาหารไทยที่โด่งดังที่สุดในอเมริกา, เชฟชาลี กาเดอร์ อดีตหนึ่งในเชฟสถานฑุตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และเป็นเจ้าของ 100 Mahaseth ร้านอาหารอีสานเหนือสไตล์โมเดิร์น และ เชฟโอลิวิเย่ร์ คาสเทล่า (OLIVIER CASTELLA) เป็นหนึ่งในเชฟผู้ฝึกฝนและพัฒนาเชฟทีมชาติไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะในการปรุงอาหาร ตามแบบฉบับอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ เป็นผู้ตัดสินผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวของทั้ง 2 โลก และดำเนินรายการโดยพิธีกรมากความสามารถที่คร่ำหวอดในวงการพิธีกรอย่าง “ดู๋-สัญญา คุณากร” กับการมาเป็นทำหน้าที่พิธีกรรายการอาหารครั้งแรก เริ่มแข่งขันประชันฝีมือกันวันแรกเสาร์ที่ 21 ก.ย. นี้ เวลา 18.20 น. ทางช่อง 3  และช่อง 33

สำหรับกติกาการแข่งขันของ “เชฟสุดขั้ว ครัว 2 โลก” คือจะมีเชฟมืออาชีพ12 คน แบ่งออกเป็น 2 ทีม ทุกสัปดาห์ทั้ง 2 ทีม จะดวลกัน โดยใช้ครัวที่แตกต่างกันสุดขั้ว ซึ่งทีมที่แพ้ในสัปดาห์นั้นๆ จะต้องมีสมาชิกในทีมถูกคัดออกจากรายการ 1 คน ดวลกันผ่าน 2 รอบการแข่งขันสุดเข้มข้น ได้แก่ รอบที่ 1 ชิงครัว โดยแข่งขันทำอาหารแบบทีมเพื่อเฟ้นหาเชฟที่ดีที่สุด ที่จะได้สิทธิ์พิเศษในการแข่งรอบครัว 2 โลก  และรอบที่ 2 ครัวสองโลก (คัดคนออก) ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 ทีม ดวลกันตามโจทย์อาหารของทางรายการ โดยทีมที่แพ้จะต้องมีเชฟ 1 คนออกจากการแข่งขัน โดยแข่งขันจนเหลือเชฟ 2 คนสุดท้ายที่จะมาช่วงชิงกันเพื่อเป็นผู้ชนะกลายเป็นสุดยอดเชฟที่ดีที่สุดของทั้ง 2 โลก

ร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับการแข่งขันสุดเข้มข้นบนสมรภูมิที่ฟาดฟันกันด้วยรสชาติ และการต่อสู้กันด้วยทักษะปะทะอุปกรณ์ เพื่อช่วงชิงการเป็นสุดยอดเชฟที่ดีที่สุดของ 2 โลก อย่าง “ครัวโลกใหม่” และ “ครัวโลกเก่า” ใครจะกลายเป็นผู้ชนะห้ามพลาดวันแรกเสาร์ที่ 21 ก.ย. นี้ เวลา 18.20 น. ทางช่อง 3  และช่อง 33 

ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยิ่งใหญ่สมการรอคอย [PR]

$
0
0

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศมัลดีฟส์มียอดตัวเลขนักท่องเที่ยวภายในครึ่งปีแรกแตะหนึ่งล้านคนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2553[1] ตัวเลขนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของประเทศที่เต็มไปด้วยเกาะสวรรค์แห่งนี้ ซึ่งการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ ‘ครอสโร้ดส์’ (CROSSROADS) โครงการสำหรับการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกในมัลดีฟส์ จะเป็นตัวช่วยสร้างจุดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักเดินทางกลุ่มใหม่ๆ ทั้งในและนอกประเทศ

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) คือผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเมกะโปรเจ็กท์ ‘ครอสโร้ดส์’ โครงการฯ นี้นับเป็นการลงทุนในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ใช้งบลงทุนรวมในเฟสแรก(2 รีสอร์ต และ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์) มากกว่า 300 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โครงการฯ ตั้งอยู่ ณ บริเวณเอ็มบูดู ลากูน ห่างจากสนามบินนานาชาติมาเลและเมืองหลวงเพียง 15 นาทีเมื่อเดินทางด้วยสปีดโบ้ท ในวันนี้ ‘ครอสโร้ดส์’ พร้อมเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกและมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ในมัลดีฟส์

โครงการครอสโร้ดส์

เกาะแรกจะเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางโครงการฯ พื้นที่สำหรับความบันเทิงและร้านค้าปลีกขนาด 11,000 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อ “เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์” (The Marina @ CROSSROADS) ด้วยระยะทางที่ใกล้กับเมืองหลวง แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้จะกลายเป็นจุดแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชนชาวเกาะและผู้มาเยือน ดั่งที่มัลดีฟส์เคยเป็นในอดีต โดยจะมีทั้งโซนช้อปปิ้งหลากหลายแบรนด์ ร้านอาหารสุดหรู ศูนย์ประชุมอันทันสมัย และกีฬาทางน้ำและศูนย์ดำน้ำภายใต้หลักสูตรของ PADI ในส่วนของ โรงแรมซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน (SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton) จะเน้นให้ความสะดวกสบายแก่นักเดินทางระยะสั้นที่รอเปลี่ยนเครื่อง ให้ได้มาใช้บริการพื้นที่ส่วนกลางของโครงการฯ ก่อนออกเดินทางต่อ นอกจากนี้ เกาะแรกของ ‘ครอสโร้ดส์’ ยังเป็นที่ตั้งของ Maldives Discovery Centre ศูนย์เรียนรู้เชิงวัฒนธรรม ที่จะมีพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ งานฝีมือ และวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมโซนเล่นเกมแบบอินเตอร์แอคทีฟสำหรับเด็ก และ Marine Discovery Centre ศูนย์อนุรักษ์ปะการัง เพื่อสนับสนุนงานวิจัยของนักชีววิทยาทางทะเลเกี่ยวกับการปลูกปะการัง และการทำแปลงอนุบาลปะการังในพื้นที่ทางทะเลที่ครอบคลุมบริเวณกว่า 64,000 ตารางเมตร

เกาะที่สองเป็นที่ตั้งของ โรงแรมฮาร์ด ร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ (Hard Rock Hotel Maldives) พัฒนาและดูแลโดย เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (S Hotels & Resorts) พร้อมมอบประสบการณ์ซิกเนเจอร์ของ ฮาร์ด ร็อค ด้วยบรรยากาศการพักผ่อนเคล้าดนตรีที่สามารถจดจำสไตล์ของแขกที่มาพัก และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับทุกวัย โรงแรมฮาร์ด ร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ ยังถือเป็นสาขาแรกที่มัลดีฟส์ของแบรนด์ ฮาร์ด ร็อค อีกด้วย

ด้วยสโลแกน “CROSSROADS: Where Cultures Meet” ‘ครอสโร้ดส์’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเป็นจุดบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกบนเส้นทางสายไหมทางทะเลในอดีต ผ่านการผสานกันระหว่างดีไซน์สไตล์ฝรั่งเศสยุคโบราณ และคอนเซ็ปต์การออกแบบจากโปรตุเกส จีน และอังกฤษ

ภายในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการของ ‘ครอสโร้ดส์’ ยังได้รับเกียรติจาก ฟายซาล นาซีม รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “คนไทยกำลังสร้างประวัติศาสตร์ไปกับ ‘ครอสโร้ดส์’ ตัวโครงการฯ ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกคน ทุกอย่างสำเร็จได้จากความร่วมมือระดับนานาชาติ ทั้งทีมงานคนไทย มัลดีฟส์ และชาติอื่นๆ ในวันนี้เราได้บรรลุเป้าหมายสำคัญ ซึ่งคือการเปิดตัวจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนและสันทนาการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกในมัลดีฟส์ ที่จะเป็นตัวดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการเติบโตสูงอย่าง จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง รวมทั้งนักเดินทางกลุ่มครอบครัวและคนท้องถิ่นให้มาเปิดประสบการณ์รูปแบบใหม่ เป็นการสร้างนิยามใหม่ของการพักผ่อนในประเทศมัลดีฟส์และภูมิภาคในแถบมหาสมุทรอินเดีย โดยที่เราไม่ละทิ้งความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์ซึ่งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ของประเทศมัลดีฟส์”

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่านอกเหนือจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศมัลดีฟส์แล้ว ‘ครอสโร้ดส์’ ยังยึดมั่นในปรัชญาการดำเนินงานที่เน้นการ ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจ ชุมชนและสิ่งแวดล้อม

“ตลอดการก่อสร้างโครงการ เราดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ความสมดุลทางธรรมชาติคือหัวใจสำคัญและการคงไว้ซึ่งความสมดุลคือเป้าหมายหลักของ สิงห์ เอสเตท โครงการฯ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหมดถูกทำขึ้นที่ประเทศไทยและใส่ตู้คอนเทนเนอร์ยักษ์โดยเรือมายังมัลดีฟส์ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับปะการังและสัตว์น้ำ นอกจากนี้ ‘ครอสโร้ดส์’ ยังมี 8 สิ่งมหัศจรรย์ใต้น้ำของมัลดีฟส์ ให้ผู้มาเยือนได้ชม อาทิ หมู่บ้านปะการัง รูปปั้นแกะสลักปลาทูน่า จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก และหุบเขาเอ็มบูดู เป็นต้น” นายนริศ กล่าว

[1] Maldives Tourism Ministry, August 2019


SAMYAN MITRTOWN แลนด์มาร์กใหม่แห่ง “สามย่าน” ทุ่มทุนสร้างเปิดตัว 3 วัน 3 คืน พร้อมลายแทงร้านดัง

$
0
0

หลังจากรอคอยมากว่า 3 ปี วันที่ 20 กันยายน 2562 นี้ Destination แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์”​ โครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกที่สมบูรณ์ที่สุดบนถนนพระราม 4 ​ซึ่งเริ่มต้นลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2559  ก็ได้ฤกษ์เปิดเผยโฉมเพื่อให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว

แหล่งรวม “มหามิตร” ​

การเปิดโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์”​ ไม่ต่างกับการเริ่มต้นจุดพลุ เพื่อปลุกให้ย่านพระราม 4 กลายเป็นถนนเส้นเศรษฐกิจสำคัญอย่างสมบูรณ์​ และเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวามากขึ้น จากการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ เพื่อดึงกำลังซื้อและกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เพราะตั้งอยู่บนทำเล หัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 เนื้อที่กว่า 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร ​ภายใต้งบลงทุนกว่า 9,000 ล้านบาท

ฉลองเปิดตัวยิ่งใหญ่​ 3 วัน 3 คืน

ในโอกาสเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการวันที่ 20 กันยายนนี้ ทางสามย่านมิตรทาวน์ ได้เตรียมงบไว้กว่า 200 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ รวมทั้งสร้างสรรค์อีเวนต์เปิดตัวให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างประทับใจ ด้วยการจัดงานต่อเนื่องตั้งแต่เช้าไปจนถึงค่ำ ตลอดทั้ง 3 วัน ตั้งแต่ 20 -22 กันยายน 2562 เพื่อร่วมปลุกตำนานบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจของศิลปิน ดารา และเซเลบริตี้ชื่อดัง ที่มีต่อตลาดสามย่าน มาร่วมแชร์ประสบการณ์และความผูกพันในวันวาน รวมทั้งความประทับหลากหลายต่างๆ ในวัยเรียน ที่เกิดขึ้นบนพื้นที่แห่งนี้ อาทิ โอม ค็อกเทล, ฟรัง กุลนรี , ต่อ​ ธนภพ,​ ญาญ่า อุรัสยา, ป๋าเต็ด ยุทธนา, สู่ขวัญ บูลกุล, เต๋อ ฉันทวิชช์, ก็อตจิ และกอล์ฟ แห่งเทยเที่ยวไทย

พร้อมด้วยโชว์จากศิลปิน นักร้อง ชื่อดัง ที่ตบเท้ามามอบความสนุกสนานและร่วมงาน Meet & Greet กับบรรดาแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็น วันเดอร์เฟรม, แสตมป์ อภิวัชร์, BNK 48, เจ้านาย, ทอม อิศรา, เจมส์+ปอร์เช่+แจ๊กกี้+เติร์ด จาก Trinity, กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ และ เจเจ+ กัปตัน

นอกจาก โชว์ต่างๆ ในวันเปิดตัวแล้ว ร้านค้าภายในศูนย์ยังร่วมมอบโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดให้บริการ เพื่อมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าทุกคน ผ่านทั้งส่วนลด โปรโมชั่น หรือสิทธพิเศษต่างๆ ทั้งจากศูนย์การค้า ร้านค้าแต่ละแห่ง รวมทั้งธนาคารและบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

นอกจากนี้ สามย่านมิตรทาวน์ ยังนับเป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่เป็นแหล่งรวมมหามิตรที่ล้วนมีศักยภาพ โดยแต่ละโซนในโครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้ ก็จะเปิดให้บริการพร้อมกันทั้งหมด ประกอบไปด้วย

โซนอาคารสำนักงาน มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์​ อาคารสำนักงานเกรด A สูง 31 ชั้น พื้นที่เช่ารวม 48,000 ตารางเมตร คิดเป็น 30% ของโครงการ ซึ่งได้พัฒนาระบบอัจฉริยะเข้ามาเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ในอาคารเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น คาดว่าจะมีพนักงานบริษัทและผู้มาติดต่อมากกว่า 5,000 คนต่อวัน โดยขณะนี้มียอดเช่าพื้นที่แล้วกว่า 60%

โซนที่พักอาศัย ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์  (TRIPLE Y RESIDENCE) จำนวน 516 ห้อง ความสูง 33 ชั้น คิดเป็น 15% ของโครงการ ขณะนี้ปิดการขายไปได้ 60% พร้อมให้เข้าพักอาศัยในเดือนกันยายนนี้ และ โรงแรมทริปเปิ้ล วาย โฮเทล (TRIPLE Y HOTEL) จำนวน 102 ห้อง ซึ่งโรงแรมและคอนโดมิเนียมยังได้มีการแยกส่วนกลางออกจากกัน เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย

โซนรีเทล ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ พื้นที่ให้เช่ากว่า 36,000 ตารางเมตร คิดเป็น 30% ของโครงการ ความสูง 6 ชั้น โดยชั้น B1 – ชั้น 4 จะเป็นพื้นที่ร้านค้า ชั้น 5 เป็นฮอลล์อเนกประสงค์ 5,000 ตารางเมตร รวมทั้งสวนดาดฟ้าขนาดใหญ่ และอีกหนึ่งจุดเด่นของโซนรีเทล คือ มีโซนที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้มีร้านค้าชั้นนำจองพื้นที่และพร้อมเปิดให้บริการแล้วกว่า 85%

ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ยังเป็นแม็กเน็ตสำคัญที่เข้ามาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตภายในโครงการให้สมบูรณ์มากขึ้น ผ่านคอนเซ็ปต์ Urban Life Library หรือ คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้​ ความผสมผสานที่ลงตัวทั้งไลฟ์สไตล์ตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่ และร่วมซึมซับกับบรรยากาศ และความอร่อยระดับตำนานที่ขึ้นชื่อของย่านพระราม 4 ซึ่งถูกปลุกขึ้นมาและนำมารวมกันไว้ภายในศูนย์การค้าแห่งนี้ เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มคนที่อยู่อาศัย​​ พนักงานออฟฟิศ โรงแรม ที่อยู่ภายในโครงการ รวมทั้งกลุ่มนิสิต นักศึกษา ผู้คนในละแวกโดยรอบ และลูกค้าทั่วไปโดยคาดว่าจะมี​คนเข้ามาใช้บริการในแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 25,000-30,000 คน เลยทีเดียว

คลังแห่ง New Prototype และการเรียนรู้

และเพื่อให้สอดคล้องกับตัวตนของศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ในฐานะ คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้ ทำให้ร้านค้าแต่ละแห่งที่มาเปิดให้บริการในศูนย์การค้า เลือกที่จะทดลองและพัฒนาโปรโตไทป์ใหม่ๆ ของธุรกิจในศูนย์แห่งนี้ บางแบรนด์เลือกที่เปิดด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ ขณะที่บางแบรนด์เข้ามาให้บริการในประเทศไทยที่สามย่านมิตรทาวน์เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงความมั่นใจ​และเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพของศูนย์แห่งนี้ ทำให้เราจะได้เห็นหลากหลายแบรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่มีที่ไหนในประเทศไทยมาก่อน​ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่ช่วยดึงดูด​ผู้คนเข้ามาในศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น Mei wei wan noodle ร้านก๋วยเตี๋ยวจากไต้หวัน, To Kio Jo ไก่ทอดเกาหลี,  Byeokje (เปี๊ยกเจ) อีกหนึ่งแบรนด์ปิ้งย่างชื่อดังจากเกาหลี Muji Lifestyle and Café ที่สาขานี้จะเป็นสาขาแรกที่มีขายของหวานและเครื่องดื่ม รวมถึงจัดเต็มด้วยสินค้าไลฟ์สไตล์เหมือนสาขาออริจินอลโดยมีความพิเศษด้วยขนาดร้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นต้น หรือจะเป็นร้านที่ไม่เคยเปิดให้บริการ 24 ชม. ก็ได้โอกาสทดลองเปิดบริการที่นี่เป็นที่แรก เช่น Swensen’s ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร Shabushi Miniso นับเป็นความน่าสนใจของโมเดลเปิดให้บริการ 24 ชม. นี้

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายพันธมิตรแบรนด์ดัง ที่เลือกสามย่านมิตรทาวน์ ในการพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่เป็นครั้งแรก รวมไปถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ ของทางสามย่านเอง  อาทิ

1. Celebrity Fitness สตูดิโอออกกำลังกายชื่อดังจากฟิตเนส เฟิร์ส ที่เลือกเปิดในสามย่านมิตรทาวน์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 21 – 35 ปี ประกอบไปด้วย จักรยาน คลาส อุปกรณ์คาร์ดิโอ ฟรีเวท และอุปกรณ์การสร้างกล้ามเนื้อ รวมไปถึงห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายพร้อมล๊อคเกอร์นิรภัย ภายใต้การดูแลและคุณภาพครูฝึกในระดับมาตรฐานสากล

2. Fast Rehab สหคลินิกกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ให้บริการการรักษาทางกายภาพบำบัดแก่กลุ่มผู้มีอาการปวดทุกเพศทุกวัย กลุ่มผู้บาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา และการฟื้นฟูผู้สูงอายุหรือผู้มีข้อจำกัดทางกายต่างๆ

3. Angkriz โรงเรียนกวดวิชาแองกริซ โดดเด่นในเรื่องการสอนภาษาอังกฤษ โดยในสาขาสามย่านมิตรทาวน์จะเพิ่มคอร์สอินเตอร์เข้าไป เพื่อเจาะกลุ่มนักเรียนที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ และปี 2563 จะเพิ่มหลักสูตร​ PRIVATE CHAMBER (PC) คอร์สเรียนส่วนตัวโรงเรียนกวดวิชาอาจารย์ปิง (ดาว้องก์) ที่ถูกพัฒนาและคิดค้นขึ้นจากการมองนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน

4. Pailin​ ​สถาบันสอนออกแบบแฟชั่นและตัดเย็บไพลิน ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี หลักสูตรมาตรฐานยุโรป และได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นสถาบันสอนออกแบบแฟชั่นและตัดเย็บมาตรฐานสากล ซึ่งในสาขานี้จะมีความแตกต่างทั้งการตกแต่งร้าน และหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อให้เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากเรียนตัดเสื้อผ้า และอยากทำธุรกิจร้านเสื้อผ้า

5. SAMYAN FOOD Legends by MBK ศูนย์อาหารสตรีทฟู้ดระดับตำนานชั้นนำแห่งแรกของเมืองไทย บนพื้นที่ 1,275 ตารางเมตรคัดสรรร้านอาหารเด็ดสุดอร่อยเลื่องชื่อระดับตำนาน และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งจากสามย่าน สะพานเหลือง และเยาวราช​ มาให้บริการกว่า 17 ร้านอาหาร อาทิ เพ้งคั่วไก่ ทูเดย์สเต็ก ไฮเช็งลูกชิ้นปลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้นายเล้า ต้มเลือดหมูนายยิ๊ง เช็งซิมอี๊ ราคาเริ่มต้นเพียง 35 บาท พร้อมการตกแต่งแบบร่วมสมัย​ สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Food Legends ผสานเทคโนโลยีรองรับ Cashless Payment​ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมากขึ้น

6. Big C Food Place ครั้งแรกของบิ๊กซีในการให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ต 24 ชั่วโมง​ เน้นจำหน่ายอาหารเป็นหลัก โดย​แบ่งสัดส่วนกลุ่มสินค้าอาหารสดประมาณ 50% ​และอีก 50% เป็นกลุ่มสินค้าประเภทอาหารแห้ง

7. SAMYAN CO-OP โค เลิร์นนิ่ง สเปซ รูปแบบใหม่ ที่สามารถเข้าใช้บริการฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ห้องประชุม ห้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ มีจำนวนที่นั่งรวมกันมากถึง 500 ที่นั่ง ปลั๊กไฟ และสัญญาณ Wi-Fi รวมไปถึงระบบรักษาความปลอดภัย เป็นอีกหนึ่ง Destination ของทั้งคนทำงาน นักเรียน นักศึกษาที่ต้องการพื้นที่ที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัล

8. Apron Walk  ศูนย์รวมอุปกรณ์เครื่องครัวทันสมัยและครบครันที่สุดในสามย่าน  โดยลูกค้าจะมีสินค้าเครื่องครัวให้เลือกหลากหลายแบรนด์ นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งในส่วนของวัตถุดินในประเทศและต่างประเทศ  รวมไปถึงการมี COOKING CLASS เพื่อเอาใจคนรักการทำอาหาร

9. Medium & More ศูนย์รวม Art and Craft Supply ความโดดเด่นของร้านนี้ คือ ความครบเครื่องในด้านของอุปกรณ์ศิลปะ งานประดิษฐ์ รวมถึงสินค้าแปลกใหม่จากทุกมุมโลก  นอกจากนี้ ยังมีบริการในส่วนขอการสลักชื่อ และปั้มตัวอักษรหรือลวดลายเงิน ทองลงบนวัสดุหนัง โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็น “เจ้าของ” และ “จับจอง” ได้

10. KFC ความพิเศษของร้านเคเอฟซีที่สามย่านมิตรทาวน์ นอกจากจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงแล้ว ยังมาพร้อมคอนเซ็ปต์ ​1 OF A KIND ครั้งแรกในการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า ภายในร้านจะมีการสั่งออเดอร์อาหารด้วยระบบ Self-ordering kiosk ,Open kitchen และบริการ Click & Collect รวมทั้งยังมีระบบ AR ให้ลูกค้าเข้าไปร่วมค้นหาข้อมูล รวมไปถึงการจ่ายเงินในรูปแบบ Cashless ด้วย

11. Muji Café สาขาแรกในประเทศไทย โดยยังคงความเป็น MUJI นั่นคือ ความเรียบง่าย หรือ Minimal Style แต่เพิ่มความพิเศษด้วยสินค้าของว่าง ขนมหวาน และเครื่องดื่ม มาจำหน่าย​​ มีจุดขายคือ เมนูอาหารที่ทำจากผักหลากหลายชนิด และวัตถุดิบธรรมชาติ พร้อมจำหน่ายเครื่องเขียน เสื้อผ้า อาหาร และอุปกรณ์เครื่องครัว ครบครันเช่นทุกสาขาของ Muji

12. Swensens เป็นสาขาแรกที่จะเปิดให้บริการภายในโซน 24 ชั่วโมง ของศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์เป็นสาขาแรก และมีการตกแต่งร้านภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์

13. Shabushi buffet ซึ่งจะเป็นสาขาแรกของชาบูชิเช่นกันที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ​

14. ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร สาขาสามย่านมิตรทาวน์จะเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดังย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีจุดเด่นอยู่ที่เมนูก๋วยเตี๋ยวเรือราคาประหยัดและรสชาติน้ำซุปที่เข้มถึงใจ ก๋วยเตี๋ยวเรือที่นี่ก็มีทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำตกเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหมู ซึ่งจะสั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำหรือแห้งก็เลือกเอาได้ตามใจชอบ

15. White story (Dairy) จะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงที่สามย่านมิตรทาวน์เป็นสาขาแรก เป็นร้านเบเกอรี่อาหาร เครื่องดื่ม และของทานเล่น ในรูปแบบเทคอะเวย์ ที่มีให้เลือกมากมายหลายอย่าง และสดใหม่วันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้ทานขนม อาหารที่ดีมีคุณภาพในราคาเป็นกันเอง

ไม่ใช่เพียงแค่ร้านค้าต่างๆ ภายในศูนย์เท่านั้น เพราะ แม้แต่อุโมงค์ทางเชื่อมข้ามถนน ระยะทาง 120 เมตร เพื่อเข้ามาภายในศูนย์ ยังถูกออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิด​คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้  จึงเลือกที่จะเปิดให้เห็นถึงพื้นผิวเดิม ผ่านกระจกใสให้ได้เรียนรู้ขั้นตอนงานก่อสร้างจริง เพื่อให้สามารถให้ความรู้เรื่องงานก่อสร้างกับผู้มาใช้บริการได้ แตกต่างจากอุโมงค์ส่วนใหญ่ที่จะปิด Finishing และใช้วิธีเจาะด้วยระบบหัวเจาะ และไม่มีการปิดถนนระหว่างการทำ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้าง​และมีผลกระทบการจราจรน้อยกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ช่วยป้องกันปัญหาเรื่องอากาศร้อนและฝนตกได้ ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับในต่างระเทศ เช่น ญี่ปุ่น และถือเป็นครั้งแรกที่มีอุโมงค์ทางเดินเชื่อมข้ามถนนที่ตื้นที่สุดในประเทศอีกด้วย

และเพื่อให้สมกับการเป็นจุดหมายปลายทางแห่ง Urban Life Library อย่างแท้จริง สามย่านมิตรทาวน์ยังร่วมมือกับ AIS ​เพื่อพัฒนาให้สามย่านมิตรทาวน์เป็นพื้นที่แห่งนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G เพื่อเชื่อมต่อความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด บนพื้นที่แห่งการเรียนรู้แห่งนี้ โดยเฉพาะในมิติการครีเอทคอนเทนต์จากศูนย์การค้าแห่งนี้ เพราะภายในโครงการ มีการนำผลงานศิลปะระดับ Master Piece ของศิลปินจาก Samyan Mitrtown Artist Collaboration 1 มาตกแต่งกระจายไปในจุดต่างๆ  ทั่วโครงการ ทั้งในโซนพลาซ่า โรงแรม หรือในคอนโดมิเนียม พร้อมทั้งตกแต่งบรรยากาศภายในศูนย์ให้เหมาะกับการถ่ายรูป เพื่อการแชร์ประสบการณ์ไปในโลกโซเชียล

และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า รวมทั้งสอดคล้องกับ Digital Lifestyle ในปัจจุบัน ทางศูนย์ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น MITR App. ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ​ภายในศูนย์ไว้ภายในจุดเดียว เพื่อให้ลูกค้ารับทราบข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นตารางกิจกรรม แผนผังร้านค้าภายในศูนย์ รายละเอียดโปรโมชั่น หรือกิจกรรรมการตลาดของทางศูนย์ รวมไปถึงการร่วมสนุกในแคมเปญต่างๆ ที่จัดขึ้น โดยในอนาคตจะพัฒนาให้สามารถรองรับระบบการใช้จ่าย หรือการจัดเก็บฐานข้อมูลลูกค้าสมาชิกด้วย

สำหรับใครที่มองหาพื้นที่ใจกลางเมือง เพื่ออยากผ่อนคลาย หลีกหนีชีวิตที่แสนเร่งรีบและวุ่นวายในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการมาช้อปปิ้ง ทำงาน หรือการมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ “สามย่านมิตรทาวน์”​ น่าจะเป็นหนึ่งคำตอบที่ใช่ และอยู่ไม่ไกล​ สามารถเดินทางมาที่โครงการได้ย่างสะดวก และเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยรูปแบบการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัย ทั้งการเดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานีสามย่าน ก็จะมีอุโมงค์ทางเชื่อมมาถึงหน้าโครงการ รวมทั้งมีรถชัทเทิลบัส บริการรับส่ง​จากสถานีสยาม มายัง MRT สามย่าน เพื่อเข้าถึงโครงการได้อย่างสะดวกอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/SAMYANMITRTOWN/

ผ่ากลยุทธ์ เซ็นทรัล รีเทล กับงาน “VIETNAMESE WEEK IN THAILAND 2019” สู่เป้าหมาย รีเทลแห่งอาเซียน

$
0
0

“เซ็นทรัล รีเทล” (Central Retail) ถือเป็นตำนานและผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีก (Retail) ของประเทศไทยมากว่า 7 ทศวรรษ และก้าวสู่การเป็น “ผู้นำ” ที่แข็งแกร่งอย่างยาวนาน นอกจากการขยายอาณาจักรค้าปลีกในประเทศ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของเซ็นทรัล รีเทล คือบุกตลาดต่างประเทศ ที่เป็น Strategic International Market พร้อมทยอยสร้างฐานทัพธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ การเข้าซื้อห้าง รีนาเชนเต ในอิตาลี และบิ๊กซี ที่กำลังเปลี่ยนเป็น “Go!” รวมถึง เหงียนคิม และลานชี มาร์ท ในเวียดนาม

จะเห็นว่า ยุทธศาสตร์ขยายอาณาจักร Go inter ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่าน Strategic International Market ถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบัน ที่การค้าไร้พรมแดน และเปิดเสรีมากขึ้น

แม้เซ็นทรัล รีเทล จะขยายความยิ่งใหญ่ในแถบโลกตะวันตก แต่ตลาดใกล้บ้านอย่าง “ภูมิภาคอาเซียน” ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ไม่เคยทิ้ง โดยเฉพาะ “เวียดนาม” ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญ โดยจากการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ จะเห็นว่าอยู่ที่ 6.3% ในช่วง 5 ปี (2561-2566) ความมั่งคั่งประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9.6% ต่อปี  รวมถึงอุตสาหกรรมค้าปลีกที่จะเติบโตขึ้นถึง 5.4% ต่อปี ซึ่งบอกถึงโอกาสในการขยายตลาดด้วยการเพิ่มร้านค้าเฉพาะทางตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในอนาคตมากขึ้น ได้ทำให้เวียดนามกลายเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวใหม่” แห่งเอเชียอย่างไม่ต้องสงสัย

ปัจจุบัน เซ็นทรัล รีเทล เป็นบริษัทค้าปลีกข้ามชาติและไฮเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม ได้เข้ามาสร้างฐานธุรกิจมากว่า 5 ปี ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีด้วยยอดขายที่เติบโตเฉลี่ยกว่า 36% ต่อปี และมีร้านค้าและห้างสรรพสินค้ารวมกันมากถึง 125 แห่ง ใน 37 เมือง

จุดสตาร์ทในการรุกตลาดค้าปลีกคือจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชั่น จากนั้นร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเหงียนคิม และลานชี มาร์ท ในปี 2558 ก่อนเกิด Big Move เข้าซื้อกิจการ “บิ๊กซี เวียดนาม” ในปี 2559  ซึ่งเซ็นทรัล รีเทลใช้เวลา 2 ปี หลังจากการเข้าซื้อกิจการบิ๊กซี เวียดนาม ในการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าในคุณภาพของสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานของบิ๊กซี เวียดนาม จนทำให้ยอดขายเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 36.0%(คำนวณจากสกุลเงินด่งเวียดนาม) ตั้งแต่เซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อกิจการจนถึงปี 2561

นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล มีเป้าหมายจะเปิดร้านค้าปลีกแบรนด์ต่างๆของเครือทั้งหมดกว่า 800 ร้านค้า ให้ครอบคลุมทั้ง 63 จังหวัด ในประเทศเวียดนาม เพื่อเจาะตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีผู้แข่งขันน้อยราย รองรับโอกาสที่มีมหาศาล

เมื่อ เซ็นทรัล รีเทล สวมบทเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่น ผ่าน Sector ค้าปลีก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) บริษัทจึงทำหน้าที่เดินหน้าเป็นตัวกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ด้วยกิจกรรมและโครงการต่างๆ มากมาย ที่ เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามมุ่งยกระดับสังคมเวียดนามอย่างแท้จริง อาทิ โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME เวียดนาม เพื่อขยายช่องทางจัดจำหน่ายสู่ตลาดโมเดิร์นรีเทล และเพิ่มศักยภาพในการสร้างแบรนด์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ โครงการชุมชนเป็นสุข (Livelihood Community) มุ่งพัฒนาด้านการผลิต และความหลากหลายทางอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวที่ยากจน การสนับสนุน Local Sourcing อุดหนุนสินค้าเกษตรในชุมชนละแวกที่เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรม “VIETNAMESE WEEK IN THAILAND 2019”(เวียดนามีส วีค อิน ไทยแลนด์ 2019) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้ว ในระหว่างวันที่ 18-22 กันยายน โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “Taste of Vietnam” (เทสต์ ออฟ เวียดนาม) ขนสินค้าเวียดนาม และอาหารอร่อยตอบโจทย์คนไทยมาจำหน่าย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) บริเวณลานเซ็นทรัลคอร์ต และ อิเดน 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยงาน “VIETNAMESE WEEK IN THAILAND 2019” ได้รับเกียรติจากคุณโด๋ ทัง ฮ่าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคุณเหงียน ไฮ่ บัง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน สะท้อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและหน่วยงานเอกชน ที่มุ่งมั่นจะสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงสานความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศด้วย

คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐมีนโยบายในการดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ เวียดนามในฐานะคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทยในเวทีอาเซียน ที่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจและการค้าของทั้งสองประเทศยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างไม่สิ้นสุด

โดยตัวอย่างการผนึกกำลังกันอย่างจริงจังของภาครัฐ และเอกชน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม คือ งาน Vietnamese Week in Thailand 2019 ที่ทางเซ็นทรัล รีเทล ภายใต้การดำเนินงานของเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ถือว่ามีส่วนช่วยผลักดัน และขยายศักยภาพธุรกิจทั้งรายใหญ่ และรายย่อยให้เติบโตในตลาดต่างประเทศ รวมถึงบรรลุเจตนารมณ์ในการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสร้างสัมพันธ์อันดีร่วมกัน

คุณโด๋ ทัง ฮ่าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม กล่าวว่า เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจของไทยที่ให้ความร่วมมืออันดีกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการทำวิจัยตลาดเวียดนาม เพื่อคัดสรรสินค้าคุณภาพที่เหมาะกับตลาดไทย การส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเวียดนาม และการสนับสนุนช่องทางจัดจำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกในเครือ หนึ่งในการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม คือการจัดงาน Vietnamese Week in Thailand 2019

“งานดังกล่าวถือเป็นงานสำคัญที่ช่วยเหลือเศรษฐกิจและการค้าของประเทศเวียดนาม สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเวียดนามริเริ่มที่จะส่งออกสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย”

คุณจริยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเซ็นทรัล รีเทล และเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม คือการเดินหน้าสร้างความยั่งยืนให้กับทุกพื้นที่ที่บริษัทเข้าไปดำเนินงาน ที่นำไปสู่การเชื่อมต่อความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เป็น Strategic Market ทั้งไทยและเวียดนาม ผ่านการผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐทั้ง กระทรวงพาณิชย์ ประเทศไทย และ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม จนเกิดเป็นงาน “Vietnamese Week in Thailand 2019” งานโชว์เคสสินค้าเวียดนาม และ Business Matching ที่มีผู้ประกอบการเวียดนามกว่า 80 รายที่ตอบรับเข้าร่วมงานประชุม เพื่อพบปะกับทีมจัดซื้อแผนกต่างๆ ของเซ็นทรัล รีเทล และเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกัน ในครั้งนี้

ซึ่งงาน “Vietnamese Week in Thailand 2019” ถือเป็นหนึ่งความภาคภูมิใจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงกลุ่มเซ็นทรัล ที่แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังกันอย่างจริงจังกับภาครัฐในระดับนานาชาติ ร่วมกันผลักดัน และขยายศักยภาพธุรกิจทั้งรายใหญ่ และรายย่อยให้เติบโตในตลาดต่างประเทศ การสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสร้างสัมพันธ์อันดีร่วมกัน

“ถือเป็นงานที่ช่วยส่งเสริมการค้า และเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการเวียดนามได้เข้ามาศึกษาตลาด ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในเมืองไทย รวมถึงได้พบปะกับผู้ประกอบการ และลูกค้าไทยโดยตรง ทำให้เห็นโอกาสในการค้าขาย และทำธุรกิจร่วมกัน รวมถึงเป็นการเพิ่มตัวเลือกสินค้าคุณภาพ อาหาร และวัฒนธรรมจากประเทศเวียดนามให้กับคนไทยได้รู้จักอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างสองประเทศในระยะยาว ที่จะช่วยสร้างความเจริญ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเวียดนามอย่างยั่งยืน”

Blackberry อาจกลับมาฮิตในหมู่เด็กจีนด้วยเหตุผลสุดจี๊ด “ลงแอปอะไรไม่ได้เลย”

$
0
0

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โทรศัพท์ในยุค 2000 จะกลับมาได้รับความนิยมใหม่ได้อีกครั้งท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของตลาดสมาร์ทโฟนทุกวันนี้ แต่อาจเกิดขึ้นแล้วกับ Blackberry ในตลาด “จีนแผ่นดินใหญ่”

โดยมีรายงานจาก South China Morning Post เผยว่า โทรศัพท์ยี่ห้อดังกล่าวกำลังได้รับความสนใจจากเด็กบางกลุ่มในจีน เนื่องจากระบบปฏิบัติการของตัวเครื่องที่เป็น Blackberry OS ทำให้มันไม่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ได้มากนัก ซึ่งพวกเด็ก ๆ บอกว่าทำให้พวกเขามีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น

นอกจากนั้น ตัวเครื่องของ Blackberry ยังน่ารัก ทำให้บรรดาพ่อค้าหัวใสบนเถาเป่านำ Blackberry ที่มีในสต็อกมาแปลงโฉมใหม่ด้วยการใส่ลวดลายอนิเมะยี่ห้อดัง หวังให้เด็ก ๆ ควักเงินซื้อง่ายมากขึ้น

โดยพ่อค้ารายหนึ่งเผยว่า โทรศัพท์ Blackberry ที่กลับมาได้รับความนิยมก็คือรุ่น Q10 (เปิดตัวในปี 2013) เนื่องจากโทรศัพท์รุ่นดังกล่าวสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันระบบแอนดรอยด์ได้บางตัว รวมถึง WeChat แอปสารพัดประโยชน์ของ Tencent ซึ่งเด็ก ๆ กลุ่มนี้มองว่าเพียงพอแล้วต่อการใช้ชีวิต

อย่างไรก็ดี การกลับมาได้รับการพูดถึงในหมู่เด็ก ๆ ของ Blackberry ครั้งนี้อาจไม่ใช่ข่าวดีว่าจะทำให้ Blackberry กลับมาสู่ยุครุ่งเรืองได้อีก เพราะความจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ จากโทรศัพท์ที่เคยมีทำยอดขายได้มากถึง 14.6 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 4 ของปี 2010 รวมถึงเคยเป็นสมาร์ทโฟนในดวงใจของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และบรรดานักธุรกิจในวอลล์สตรีท ถึงวันนี้ อาจกล่าวได้ว่า Blackberry ไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับนั้นอีกต่อไปแล้ว

โดยข้อมูลจาก Gartner ระบุว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2016 ระบบปฏิบัติการ Blackberry มีการใช้งานอยู่บนโลกเพียง 207 เครื่องเท่านั้น หรือเท่ากับมีส่วนแบ่งตลาด 0% และปัจจุบัน Blackberry หันไปเอาดีในตลาดเอนเทอร์ไพรส์ และตลาด IoT แทนแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยโทรศัพท์รุ่นล่าสุดของ Blackberry คือรุ่น KEY2 LE ซึ่งสามารถทำยอดขายในตลาดดังกล่าวได้ถึง 850,000 เครื่องในปี 2017 เลยทีเดียว

Source

Source

Far East Fame Line DDB x LION วิเคราะห์ Big Data พฤติกรรมผู้บริโภค 3 ปี ต่อยอดสู่ช้อปปิง Non-stop ตลอด 24 ชม.ผ่าน LINE

$
0
0

เอเยนซี่โฆษณา Far East Fame Line DDB ร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด (LION) ร่วมพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ต่อยอด LINE Official Account สร้างประสบการณ์ช้อปปิงสินค้าคุณภาพจากเครือ LION ได้ทันทีใน LINE แบบครบจบในที่เดียว ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวก ง่าย และช้อปได้ตลอดเวลา

จากจำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียกว่า 3,484 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้พบว่ากว่า 3,256 ล้านคน ใช้งานโซเชียลมีเดียผ่านโทรศัพท์มือถือ จากผลสำรวจ “Global Digital 2019” โดย We Are Social และ Hootsuite ดังกล่าว ยังพบข้อมูลสำหรับประเทศไทยที่น่าสนใจอีกว่า คนไทยทั้งหมด 69.24 ล้านคน มีกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือกว่า 55 ล้านคน

จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันแนวโน้มพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น ถูกใช้งานรอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ค้นหาข้อมูล ท่องเที่ยว ข่าวสารต่าง ๆ รวมถึงการช้อปปิง และการช้อปปิงผ่านช่องทางออนไลน์ ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยในการสั่งซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะการสั่งซื้อผ่านทางโทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นความสะดวกสบายๆ เป็นหลัก

ส่งผลให้ปี 2018 ที่ผ่านมา จากการสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของไทย โดย Picodi.com วิเคราะห์ข้อมูลของทั้ง 35 ประเทศทั่วโลก พบว่า นักช้อปไทยมีการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือกว่า 56% เฉลี่ย 1,500 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยทะยานไปติดอันดับ 3 ของโลก รองจาก เปรู และไนจีเรีย

ขณะเดียวกัน LINE ถือเป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการมากถึง 44 ล้านคน  ทำให้แบรนด์สินค้าต่างๆ เล็งเห็นประโยชน์ในการใช้ช่องทาง LINE เพื่อสร้างตัวตนของแบรนด์และเข้าหาผู้บริโภคผ่านระบบ LINE Official Account ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางในการสื่อสารเข้าหากลุ่มผู้บริโภคที่ทรงพลัง สามารถตอบโจทย์และสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่ต้องการรอคอย และไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก แต่ที่ผ่านมาแบรนด์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ช่องทางดังกล่าวเน้นแค่การสื่อสารทางการสร้างแบรนด์และการรับรู้สินค้าเท่านั้น

Far East Fame Line DDB x LION ช้อปง่ายไร้รอยต่อ

Far East Fame Line DDB เอเยนซี่ไทยชั้นนำ ได้ร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด (LION) พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ต่อยอดจาก LINE Official Account “LION FAMILY” เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าจากเครือ LION กว่า 400 รายการ ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือได้ในเวลาไม่ถึงสองนาที ผ่านทาง LINE แบบครบจบในที่เดียว

โดยระบบช้อปปิงดังกล่าวได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์แรกที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคในอดีต โดยนำข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศึกษาวิเคราะห์ เข้าใจรูปแบบและความต้องการของผู้บริโภค แล้วได้มาซึ่งกลยุทธ์ “ช้อปสนุก สะดวก ง่าย” ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบติดตามสถานะสินค้า การซื้อซ้ำ สินค้าขายดี เป็นต้น

สำหรับใครที่ต้องการซื้อสินค้าคุณภาพของเครือไลอ้อน ข้าวของเครื่องใช้แบบสะดวกสบายแค่ปลายนิ้ว สามารถแอด LINE Official Account โดยพิมพ์ @LION FAMILY ในช่องค้นหา ก็จะเจอพี่สิงโตทักทาย พร้อมอัพเดทเรื่องราวน่ารู้ โปรโมชั่นน่าใช้ สิทธิพิเศษ รวมถึงเมนูที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง ซึ่งมีในส่วนของข้อมูลส่วนตัว สินค้าขายดี ตระกร้าสินค้า และสินค้าทั้งหมด โดยมีการแนะนำสินค้าขายดีพร้อมราคา ให้ได้ช้อปกันแบบง่ายๆ สะดวกสุด ๆ

ทั้งนี้ ในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว LION Family Line Shopping ได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กล่าวว่า ระบบใช้งานง่าย สะดวก ตอบโจทย์ที่ต้องการ และสามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการซื้อสินค้าได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ฟีเจอร์ช้อปปิงดังกล่าว ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Big Data ซึ่งทาง Far East Fame Line DDB ได้เริ่มพัฒนาตั้งแต่ ปลายปี 2017 มุ่งเน้นการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เจาะ Insight เพื่อมุ่งสู่การสื่อสารแบบ Personalization ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักการตลาดในปัจจุบันให้ความสำคัญ ถือเป็น All in One Solutions ที่ได้รวบรวมเรื่อง Big Data + CRM + E-Commerce เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเจ้าของแบรนด์ เพื่อเสนอสินค้าและบริการตอบสนองผู้บริโภคได้อย่างตรงใจ

ซึ่งหลังจากศึกษาพัฒนาด้าน Big Data มาเป็นเวลา 3 ปี ในปีนี้ทาง Far East Fame Line DDB จึงเปิดตัวแผนกน้องใหม่ Data & Innovation โดยมีพันธกิจสำคัญในการนำเทคโนโลยีของ Big Data และ AI มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนางานความคิดสร้างสรรค์ ให้ได้ไอเดียที่โดนใจผู้บริโภคมากขึ้น

อีกทั้งยังใช้ Data ในการวิเคราะห์ช่วงเวลา ความสนใจ ความต้องการ ก่อนส่งโฆษณาไปหาผู้บริโภค เพื่อให้โฆษณาแสดงผล ถูกที่ ถูกเวลา และตรงความต้องการ ซึ่งจะทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ถือเป็นการผนวกทั้งเทคโนโลยี โซเชียลมีเดีย รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่าน Data เพื่อกลั่นกรองบริการ และสินค้าให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด เพราะการอยู่รอดในตลาดทุกวันนี้ หากไม่ปรับตัว ก็อาจถูก Disrupt แบบไม่ทันตั้งตัว

 

เซ็นทาราบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 3 แห่งในภูเก็ต [PR]

$
0
0

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ลงนามสัญญาบริหารโรงแรม 3 แห่งในจังหวัดภูเก็ตร่วมกับบริษัท ไม้ขาว ดรีม จำกัด ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการแล้ว 2 โรงแรมในวันที่ 11 กันยายน 2562 และอีก 1 โรงแรมซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยการลงนามบริหารในครั้งนี้จะทำให้จำนวนโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นรวมเป็นทั้งสิ้น 9 แห่ง โดยเปิดให้บริการแล้ว 8 แห่ง

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารโรงแรม 3 แห่งในภูเก็ต ปัจจุบันแบรนด์เซ็นทาราเดินหน้าขยายจำนวนโรงแรมและรีสอร์ทในเครืออย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าโรงแรมทั้ง 3 แห่งนี้จะเพิ่มทางเลือกด้านที่พักให้กับแขกผู้ชื่นชอบในโรงแรมของเรา ทั้งยังเพิ่มความหลากหลาย เจาะกลุ่มตลาดได้กว้างขึ้น ด้วยบรรยากาศที่โดดเด่นและทำเลที่ตั้งบนหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดของเกาะภูเก็ต เราเชื่อว่าเซ็นทาราจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางในภูเก็ตได้อย่างดีเยี่ยม” ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว

มิคาเอล ทูริน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไม้ขาว ดรีม จำกัด ให้ความเห็นว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับเซ็นทาราในโปรเจคโรงแรมทั้ง 3 แห่งนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญทางธุรกิจของบริษัทฯ และเราเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพและความชำนาญในตลาดภูเก็ตของเซ็นทารา เราจึงมั่นใจว่าการทำงานร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมากขึ้นแน่นอน”

สัญญาบริหารโรงแรมที่ได้ลงนามร่วมกันไปแล้วนั้นประกอบด้วยโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่

– ไม้ขาว ดรีม วิลลา รีสอร์ทและสปา รีสอร์ทหรูขนาด 22 ห้องพัก ภายใต้แบรนด์เซ็นทารา บูติก คอลเลกชั่น เปิดให้บริการในวันที่ 11 กันยายน 2562 เป็นรีสอร์ทแบบวิลล่าติดหาดแห่งเดียวของหาดไม้ขาวอันสวยงาม รีสอร์ทแห่งนี้ประกอบไปด้วยวิลล่าหรูขนาดกว้างขวางในบรรยากาศสุดส่วนตัว โดยมีห้องพักแบบวิลล่าขนาดใหญ่เพื่อให้บริการลูกค้า 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 460 ตารางเมตร สำหรับ 2 ห้องนอน เพื่อรองรับผู้ใหญ่ 4 คน และเด็ก 2 คน และ ขนาด 650 ตารางเมตร สำหรับ 3 ห้องนอน เพื่อรองรับผู้ใหญ่ 6 คน และเด็ก 2 คนได้อย่างสบาย

ห้องพักแบบวิลล่าทั้ง 22 ห้อง มีสระว่ายน้ำและอ่างจากุซซี่ส่วนตัว ระเบียงชมวิว และอุปกรณ์ทำครัวอย่างครบครัน อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สปา คิดส์คลับ ร้านขายของ ห้องสมุด และบิสซิเนส เลานจ์ รวมถึงห้องอาหารนานาชาติที่เปิดบริการตลอดวัน และไวน์ เซลล่าร์ โดยรีสอร์ทอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 20 นาทีโดยรถยนต์

เซ็นทารา บูติก คอลเลกชั่น เป็นแบรนด์ในเครือเซ็นทารา สำหรับที่พักที่หรูหรา ตั้งอยู่ในทำเลสำคัญ เน้นดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักอย่างประทับใจและแตกต่างไม่ซ้ำใคร ซึ่งโรงแรมภายใต้แบรนด์เซ็นทารา บูติก คอลเลกชั่น จะเป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีจำนวนห้องพักไม่มาก เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประสบการณ์การพักผ่อนเฉพาะตัว เน้นความเป็นส่วนตัวสูง ชื่นชอบโรงแรมขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยสไตล์และดีไซน์แตกต่าง ซึ่ง ไม้ขาว ดรีม วิลลา รีสอร์ทและสปา ให้บรรยากาศส่วนตัวและมีดีไซน์ที่ผสมผสานเอกลักษณ์ความเป็นไทยเข้ากับความโมเดิร์นอย่างลงตัว สอดรับกับวัฒนธรรมและการบริการแบบไทยของเซ็นทารา เพื่อมอบความประทับใจแก่แขกผู้เข้าพัก

– โรงแรมไม้ขาว โรงแรมขนาด 142 ห้องพัก เปิดให้บริการเมื่อต้นปี 2562 และเริ่มบริหารงานโดย   เซ็นทาราเมื่อ 11 กันยายน 2562 โรงแรมไม้ขาวเป็นโรงแรมขนาดกลาง ดีไซน์ทันสมัย เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีห้องพักทั้งหมด 4 แบบไว้ให้บริการ ได้แก่ ห้องพักแบบสแตนดาร์ดและซูพีเรีย ห้องสตูดิโอ และห้องสวีททั้งแบบ 1 ห้องนอนและ 2 ห้องนอน รวมถึงสระว่ายน้ำสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ห้องออกกำลังกาย ห้องสำหรับประชุมและจัดเลี้ยง เบียร์การ์เด้น ห้องคาราโอเกะ และห้องอาหาร

– เซ็นทรา บาย เซ็นทารา ไม้ขาว รีสอร์ท ภูเก็ต รีสอร์ทขนาด 280 ห้องพักอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จอย่างสมบูรณ์ รีสอร์ทแห่งนี้จะเพียบพร้อมไปด้วย สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย พื้นที่สำหรับประชุมสัมมนา คิดส์คลับ และห้องอาหาร โดยมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2567

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ จีพี มอเตอร์ จัดกิจกรรมขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด [PR]

$
0
0

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ จีพี มอเตอร์ จัดกิจกรรมขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด ดูหนังลุ้นรับ มอเตอร์ไซต์ GPX 30 คัน และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่า 1.8 ล้านบาท

นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) และ จิราภรณ์ ไพบูลย์นภาพงศ์ ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์การตลาด บริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดกิจกรรมขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด ทั้ง 6 ภาค ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง, ภาคตะวันออก,ภาคตะวันตกและภาคใต้ ง่ายๆ เพียง ดูหนังทุก 2 ที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน-30 พฤศจิกายน 2562 ลุ้นรับรถจักรยานยนต์ GPX รุ่น Demon X125 จำนวน 30 คัน และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท ยิ่งดูมากยิ่งมีสิทธิ์มาก ที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, บลูพอร์ต ซีนีเพล็กซ์, โคราช ซีนีเพล็กซ์, อยุธยา ซิตี้พาร์ค ซีนีเพล็กซ์, ไดอาน่า ซีนีเพล็กซ์ และ หาดใหญ่ ซีนีเพล็กซ์ (ยกเว้นสาขากรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี, ปทุมธานี, นครปฐม, สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร) รับคูปองชิงโชค 2 ชั้น

– ลุ้นโชคชั้นที่ 1 เปิดคูปองรับรางวัลทันที อาทิ รถจักรยานยนต์ GPX รุ่น Demon X125 มูลค่า 55,800 บาท จำนวน 6 รางวัล, บัตรชมภาพยนตร์ 1 ที่นั่ง มูลค่า 220 บาท จำนวน 1,000 รางวัล, ส่วนลดบัตรชมภาพยนตร์ไทยเรื่อง มิสเตอร์ดื้อ, ขุนแผนฟ้าฟื้น และ ไบค์แมน 2 มูลค่า 50 บาท และ 30 บาท จำนวน 96,000 รางวัล

– ลุ้นโชคชั้นที่ 2 เขียนชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ส่งชิงโชครถจักรยายนยนต์ GPX รุ่น Demon X125 มูลค่า 55,800 บาท จำนวน 24 รางวัล จับรางวัลในวันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 ที่ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขารัชโยธิน และประกาศรายชื่อผู้โชคดีในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 ทางเว็บไซต์ www.majorcineplex.com

ไดเร็ค เอเชีย ประกาศแต่งตั้งทีมบริหารชุดใหม่ เดินหน้ายึดพื้นที่ Digital Insurance เบอร์หนึ่งในไทย [PR]

$
0
0

บริษัท ไดเร็ค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ เจ้าแรกของไทย ประกาศแต่งตั้ง นางสาวศิรินทิพย์ โชติธรรมาภรณ์ เป็น กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทไดเร็ค เอเชีย (Group Managing Director) ดูแลกลุ่มธุรกิจไดเร็ค เอเชีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีนายวรวุฒิ วาริการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ของไดเร็ค เอเชีย ประเทศไทย 

นางสาวศิรินทิพย์ โชติธรรมาภรณ์ ในตำแหน่ง Group Managing Director  รับหน้าที่ดูแลธุรกิจในด้านการวางกลยุทธ์และทิศทางบริษัทไดเร็ค เอเชียในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด ภายใต้นโยบายบริหารจากบริษัท HISCOX บริษัทประกันภัยระดับโลก ที่มีสาขาในหลายทวีป ทั่วโลก เช่น USA, UK, Asia และ EU ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างสูงในธุรกิจประกัน โดยนางสาวศิรินทิพย์มีเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์ไดเร็ค เอเชีย ในฐานะประกันภัยออนไลน์เจ้าแรกในไทยที่พลิกโฉมหน้าตลาดธุรกิจประกันภัยรถยนต์สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างแท้จริงให้ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งอยู่ และยังมีการพัฒนาบริการในด้าน online selling เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมด้านประกันภัยรถยนต์ได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์แบบ100% ด้วยผลประโยชน์ที่คุ้มค่า ซึ่งนางสาวศิรินทิพย์ได้เข้ามาร่วมงานกับไดเร็ค เอเชีย ตั้งแต่พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ด้วยประสบการณ์การบริหารธุรกิจประกันภัยมากว่า 20 ปี อย่างกลุ่มอลิอันซ์ (Allianz) และซิกน่า (Cigna) และมีความเชี่ยวชาญในตลาดอาเซียนเป็นอย่างดี โดยล่าสุดเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ก่อนย้ายมาร่วมงานกับไดเร็ค เอเชีย ในปี 2562

นายวรวุฒิ วาริการ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ไดเร็ค เอเชีย ประเทศไทย จำกัด โดยได้เข้ามาร่วมงานกับไดเร็ค เอเชีย ประเทศไทย เมื่อกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาในฐานะซีอีโอคนใหม่ โดยมีพันธกิจหลักที่จะขับเคลื่อนไดเร็ค เอเชีย ประเทศไทย ไปสู่แบรนด์ประกันภัยออนไลน์ (Online Insurance) อันดับหนึ่งของไทย ภายใต้แนวคิด “เมื่อนึกถึงประกันรถยนต์ออนไลน์ จะมีไดเร็คเอเชียเป็นชื่อแรก” ซึ่งลูกค้าสามารถทำธุรกรรมด้านประกันภัยกับไดเร็ค เอเชีย ง่าย ครบจบในที่เดียวบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ตั้งแต่การเช็คราคา ซื้อ และบริการด้านการเคลม โดยก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับไดเร็ค เอเชีย ประเทศไทย นายวรวุฒิ ได้เคยทำงานด้านการเงินธนาคารมากว่า 8 ปี และอีก 8 ปี กับการบริหารงานด้าน e-commerce และ Technology โดยล่าสุดได้เคยดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการประจำประเทศไทย (Country manager) บริษัท จัดหางาน จ็อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด

ด้วยความสามารถและประสบการณ์ในธุรกิจอีคอมเมิร์ช และดิจิทัล ประกอบกับความเป็นนักคิดนักวางแผนที่คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจดิจิทัลมาอย่างยาวนาน ไดเร็ค เอเชีย เชื่อมั่นว่าภายใต้การบริหารงานของนายวรวุฒิและนางสาวศิรินทิพย์ จะนำพา ไดเร็ค เอเชีย (ประเทศไทย) ขึ้นแท่นผู้นำด้านดิจิทัล อินชัวร์รัน ประกันภัยออนไลน์เบอร์หนึ่งของไทยและอาเซียนได้อย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างมั่นคง


อยู่ในจีนก็ต้องจับมือจีน Starbucks เปิดให้สั่งอาหารด้วยเสียงผ่านลำโพงอัจฉริยะของ Alibaba

$
0
0

 

เรียกว่าเป็นความร่วมมือที่แนบแน่นขึ้นอีกขั้นสำหรับ Starbucks กับ Alibaba โดยล่าสุด คนรัก Starbucks สามารถสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มของทางร้านได้ด้วยเสียงแล้ว หลังมีการจับมือกับลำโพงอัจฉริยะ Tmall Genie ของ Alibaba พร้อมการันตีว่าของที่สั่งจะมาถึงภายใน 30 นาทีด้วย

โดยผู้ที่จะรับหน้าที่จัดส่งสินค้าก็คือ Ele.me บริษัทลูกของ Alibaba ที่ก่อนหน้านี้เคยรับหน้าที่ Delivery กาแฟของ Starbucks มาก่อนนั่นเอง ซึ่งในภาพรวม อาจมองได้ว่า Starbucks กำลังทรานสฟอร์มธุรกิจของตนเองในตลาดจีนให้ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้นก็ว่าได้

ส่วน Alibaba นี่คือการขยายอาณาจักรลงมาสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างลึกซึ้ง โดยที่ผ่านมา เทคโนโลยีของ Alibaba ได้เข้าไปสนับสนุน Starbucks มาแล้วหลายด้าน รวมถึง Starbucks Roastery ในมหานครเซี่ยงไฮ้ที่ได้ระบบ Augmented Reality ของ Alibaba ไปใช้ในร้านด้วย

สำหรับ Tmall Genie ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสามแบรนด์ลำโพงอัจฉริยะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในจีน โดยมาพร้อม AliGenie ผู้ช่วยอัจฉริยะของแพลตฟอร์มที่อาจเทียบได้กับ Alexa ของ Amazon

Tmall Genie

ที่ผ่านมา AliGenie สามารถควบคุมหลอดไฟภายในบ้านได้, เล่นเพลงที่เจ้าของบ้านต้องการฟังได้, เปิดเว็บค้นหาข้อมูลได้ รวมถึงควบคุมอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ เช่น เครื่องดูดฝุ่น, แอร์, ทีวี ฯลฯ ได้ น่าเสียดายที่ลำโพงดังกล่าวจะวางขายเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น

การจับมือกับ Tmall Genie ยังมีประโยชน์ต่อ Starbucks ในด้านช่องทางการจำหน่าย เพราะข้อมูลจาก Canalys พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว Tmall Genie ติดอันดับ 1 ของลำโพงอัจฉริยะที่ขายดีที่สุดในจีน โดยขายไปได้ถึง 2.2 ล้านเครื่อง ตามมาด้วยลำโพงอัจฉริยะจาก Xiaomi (1.9 ล้านเครื่อง) และ Baidu (หนึ่งล้านเครื่อง) ตามลำดับ ซึ่งเท่ากับว่า Starbucks จะมีช่องทางให้คนสั่งอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นมาอีกนับล้านจุดเลยทีเดียว

Source

Source

 

คอนโดเซ็นทริค รัชโยธิน จัดพิธีเทปูนปิดยอดอาคาร และพร้อมโอนปลายปี 2562 นี้ [PR]

$
0
0

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ผู้บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมกับบริษัทคู่ค้าและผู้รับเหมาหลักคอนโดเซ็นทริค รัชโยธิน ได้แก่ นายรังสรรค์ เกียรติยศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบิวด์ แมเนจเมนท์ จำกัด , นายสมชาย ศิริเลิศพานิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) , นายสุรัติ วันทนาวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเทค จำกัด , นายณัตินัยน์ ยุทธพัฒน์ศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเทปูนปิดยอดอาคารโครงการเซ็นทริค รัชโยธิน ซึ่งพร้อมโอนปลายปี 2562 นี้

โครงการเซ็นทริค รัชโยธิน คอนโดแต่งครบ ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร ทำเลศักยภาพที่เติบโตมากสุดทำเลหนึ่งของกรุงเทพมหานคร รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ดิ อเวนิว รัชโยธิน เมเจอร์รัชโยธิน และ SCB Park มีขนาดพื้นที่กว่า 2 ไร่ มูลค่า 1,500 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 21 ชั้น พร้อมสังคมส่วนตัวเพียง 261 ครอบครัว

พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Place for Your Hybrid Lifestyle” ที่มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตและการพักผ่อนที่หลากหลาย ตอบสนองทุกรูปแบบ Lifestyle คนเมือง ได้แก่

Hybrid Facilities ด้วยพื้นที่ส่วนกลาง Triple Facilities อาทิ Co-Working Space, Sensational Garden, Infinity-Edge Pool, Panoramic Sky Fitness Room
Hybrid Living Experience กับห้อง One Bedroom Plus เริ่ม 5.69* ล้านบาท ห้องเอกลักษณ์เฉพาะของโครงการฯ ที่ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ห้องเอนกประสงค์ที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม Lifestyle ของตัวเอง มาพร้อมกับเพดานสูงโปร่งถึง 3* เมตร และเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาให้อย่างลงตัว

โครงการเซ็นทริค รัชโยธิน พร้อมเปิดให้ลูกค้าเยี่ยมชมห้อง บรรยากาศพื้นที่ส่วนกลาง และวิวจริง ปลายปี 2562 นี้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษและข่าวสารก่อนใครที่ http://bit.ly/2KWTZ4I หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.scasset.com รายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1749

อาหารเกาหลีต้องแมส ! “Red Sun” ขอรีแบรนด์ใหม่จับเทรนด์คนรุ่นใหม่ขยายพื้นที่ Take Away และ Delivery

$
0
0

แม้ว่ากระแสการทาน “อาหารเกาหลี” จะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ “อาหารญี่ปุ่น” แต่ตลาดอาหารเกาหลีน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก “ไม่มีใครเป็นเจ้าตลาด” อย่างชัดเจน แม้จะมีทั้งแบรนด์เล็ก-ใหญ่ทยอยเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าตลาดอาหารเกาหลี 2,000 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตขึ้นในอัตรา 4-5% เป็นไปตามการเติบโตของตลาดธุรกิจอาหาร ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว 4 แสนล้านบาท

ขอรีแบรนด์ใหม่ เอาใจ New Gen

“Red Sun” เป็นหนึ่งแบรนด์ร้านอาหารเกาหลีที่ บริษัท อาร์ทีเอช อินเตอร์ ฟู้ด จำกัด ซื้อสิทธิ์แฟรนไชน์จากประเทศเกาหลี เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2557 ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ “สยามสแควร์” ก่อนจะขยายเพิ่มจนมาถึง 12 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 11 สาขา และ ในต่างจังหวัดอีก 2 สาขา คือ พัทยา และนครราชสีมา

คุณนพวินท์ รอดริน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ฟู้ดซัน จำกัด

กระทั่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ได้เข้าซื้อกิจการ “Red Sun” ด้วยสัดส่วนหุ้น 74% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ได้สิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจร้าน Red Sun ในประเทศไทยทั้งหมด และยังได้สิทธิ์ในการเปิดและบริหารแฟรนไชส์ Red Sun ในต่างประเทศทั่วโลก ยกเว้นเพียง 3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี จีน และกัมพูชา ขณะที่ผู้บริหารชุดเดิมถือสัดส่วนหุ้น 26% โดยมี “คุณนพวินท์ รอดริน” นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ฟู้ดซัน จำกัด

หลังจากประกาศดีลสำคัญไปได้เพียง 7 เดือน “Red Sun” รีแบรนด์ตัวเอง ด้วยเป้าหมายสำคัญ คือ การขึ้นสู่ผู้นำตลาดร้านอาหารเกาหลีในประเทศไทย และดันกระแสอาหารเกาหลีให้อยู่ในระดับแมส โดยมุ่งเจาะกลุ่ม “New Gen” ที่มีอายุ 18-25 ปี จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าหลักมีอายุ 25-35 ปี

เพราะกลุ่ม New Gen เป็นวัยรุ่นที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ หากร้าน Red Sun ยังคงรูปแบบเดิมๆอย่างที่เป็นมา อาจจะทำให้ลูกค้าเบื่อได้ ดังนั้นการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงต้องทำให้แบรนด์มี Dynamic อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันแบรนด์ปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย

อาหารเกาหลีต้องไม่น่าเบื่อและเข้าถึงง่าย

ด้วยเหตุผลดังกล่าว “Red Sun” จึงรีแบรนด์ใหม่แบบ 360 องศา ด้วยแนวคิด “Korean with a Twist” ที่ผสมผสานความเป็นออริจินัลด้านคุณภาพและรสชาติแบบเกาหลีแท้ เข้ากับการสร้างประสบการณ์การทานอาหารเกาหลีแนวใหม่ เพื่อสร้างความสนุกให้กับลูกค้า และทำให้แบรนด์เข้าถึงง่ายขึ้น

Logo เดิมของ Red Sun ที่ใช้รูปกระทะแบบดั้งเดิม

เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนโลโก้ใหม่” โดยนำรูปกระทะแบบดั้งเดิมมาออกแบบใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งปรับโทนสีใหม่ เพิ่มคู่สีนำเงินและขาวเข้ามาเสริมกับสีแดงเข้ม 

การปรับโทนสีทำให้ “ร้าน Red Sun โฉมใหม่” สว่างสดใสมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในโทนสีแดงทึมๆตามสไตล์เกาหลีดั้งเดิม นอกจากนี้ในการตกแต่งภายใน ยังเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และงานดีไซน์ที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ โดยนำกราฟฟิกที่ดัดแปลงจากลวดลายโลโก้ และวัตถุดิบภายในร้านมาใช้ด้วย

ร้าน Red Sun โฉมใหม่ที่สยามเซ็นเตอร์

นอกจากนี้ยังเพิ่มประสบการณ์ในการทานอาหารผ่าน “เมนูใหม่” ไม่ว่าจะเป็นการจับเซ็ตคอมโบ้หลากหลายเซ็ต การเพิ่มเมนูใหม่ๆที่ทำให้ลูกค้ามีกิจกรรมในการทานอาหารมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลดขนาดเมนูเดิมเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเมนูได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้อาหารมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น  

เทรนด์เดลิเวอรี่มา ก็ต้องคว้าไว้ 

สำหรับสาขาที่ 13 สยามเซ็นเตอร์ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นอกจากเป็นสาขาแรกที่มีการปรับลุคใหม่แล้ว ยังเพิ่มโซน “Grab&Go” บริเวณหน้าร้าน ให้ลูกค้าสั่งซื้ออาหารแบบ Take Away ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองและให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงอาหารเกาหลีได้ในเวลาเร่งรีบ

ขณะที่ภาพรวมบริการรับส่งอาหาร (Derivery)ในไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ Red Sun วางแผนเพิ่มเมนูที่เสิร์ฟเฉพาะเดลิเวอรี่เท่านั้นจำนวน 15 เมนู เนื่องจากในปีที่ผ่านมายอดขายในส่วนของบริการเดลิเวอรี่เติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 1% เพิ่มขึ้นเป็น 10% และคาดว่าภายในปี 2563 สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 20%

“ในปีนี้เรามีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และเซ็นทรัล ลาดพร้าว โดยใช้งบลงทุนทั้งหมด 40 ล้านบาท สำหรับการรีแบรนด์ เปิดสาขาใหม่ และรีโนเวทร้านเดิม สำหรับสาขาเดิมจะรีโนเวทตั้งแต่ปรับโลโก้ อุปกรณ์ในร้าน รวมท้ังเมนูที่จะเป็นแบบใหม่ทั้งหมด ย่างไรก็ตามคาดว่าจะปรับโฉมทุกสาขาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้ทุกสาขาพร้อมสำหรับการเป็น Hub ส่งอาหาร”

อย่างไรก็ตาม คุณนพวินท์ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 40% โดยมีสัดส่วนยอดขายมาจาก การนั่งรับประทานอาหารในร้าน 75% บริการเดลิเวอรี่ 10-20% และ Take Away 5% และส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 10%

นำประสบการณ์ “ฟู้ดแพชชั่น” ช่วยรันธุรกิจ

เพื่อให้ร้านอาหารเกาหลีได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น Red Sun มีแผนที่จะขยายสาขาใหม่ปีละ 4-6 สาขา ในทำเล “ห้างสรรพสินค้า” โดยใช้ศักยภาพของ “ฟู้ดแพชชั่น” ในการเลือกทำเลและขยายสาขา รวมทั้งนำ Know-How ไม่ว่าจะเป็น การจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ เพื่อทำให้ได้ต้นทุนต่ำ มาใช้ในการบริหารจัดการภายในร้านอีกด้วย

ส่วนการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะได้เห็นต่อไป คือ การพาแบรนด์ Red Sun ไปบุกตลาดอาเซียน ซึ่งทางคุณนพวินท์ขออุบรายละเอียดสำคัญไว้ก่อน แต่ยืนยันว่า ร้าน Red Sun โฉมใหม่ ได้รับอนุญาตจาก “Mr. Ha jin Ha” เจ้าของแบรนด์และผู้ก่อตั้ง ให้สามารถนำแบรนด์โฉมใหม่นี้ ไปใช้ในการขยายสาขาในระดับภูมิภาคได้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจอาหารเกาหลีประสบความสำเร็จ คุณนพวินท์ ระบุว่า นอกจากกลยุทธ์การแข่งขันของแต่ละร้านแล้ว การรักษาคุณภาพอาหารยังเป็นสิ่งสำคัญ แต่ขณะเดียวกันแบรนด์ต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ทันรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย

“ถ้าให้เปรียบเทียบตลาดร้านอาหารเกาหลีตอนนี้เหมือนกับร้านอาหารญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีก่อน บางคนไม่ชอบ แต่คนที่ชอบก็มี ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น ดังนั้นหากจะทำให้ร้านอาหารเกาหลีอยู่ในระดับแมส เรามองว่าจะต้องสื่อสารการตลาดมากขึ้น โดยเริ่มดึงดูดจากคนใกล้ตัว คนที่ชอบอาหารเกาหลีก่อน แล้วค่อยเจาะกลุ่มคนที่รู้จักเกาหลีแต่ไม่ได้ชื่นชอบอาหารเกาหลี เพื่อขยายฐานลูกค้าไปเรื่อยๆ” คุณนพวินท์ กล่าว

 

ไอเดียเก๋! ICHITAN X Qualy จับขวดพลาสติกมาแปลงร่างให้เป็นของแต่งบ้านที่เป็นมิตรกับโลก

$
0
0

ท่ามกลางสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ข่าวพะยูนน้อยมาเรียมตาย เพราะกินพลาสติก และความกังวลเรื่องผลกระทบจากไมโครพลาสติกที่คุกคามชีวิตสัตว์ทะเล ได้กระตุกให้คนในสังคมไทย หันมาตระหนักถึงความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจากการจัดการขยะพลาสติกที่ไม่เหมาะสมมากขึ้น แต่ทราบหรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นผู้สร้างขยะพลาสติกมากเป็น “อันดับ 6″ ของโลก หากเราไม่จัดการปัญหานี้อย่างเป็นระบบจะก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจนยากจะเยียวยา

องค์กรยุคใหม่ต้องรักษ์โลก ให้เหมือนที่ผู้บริโภครัก

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่กระตุกจิตสำนึกคนในสังคม ให้หันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและคิดถึงผลกระทบที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตร่วมโลกมากขึ้นเท่านั้น องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งเอง ต้องหันมาทำธุรกิจแบบใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้เป็นหลักการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น

สำหรับ “อิชิตัน กรุ๊ป” ได้กำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนเป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร ทุกส่วนของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานใหญ่ โรงงานผลิต อิชิตัน กรีน แฟคทอรี” ที่ทุกผลิตภัณฑ์ คำนึงถึงโลกและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ด้วยกระบวนการลด ทดแทน บำบัด แล้วนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ จนได้รับการรับรอง Green Industrial ระดับที่ 4 ให้เป็นโรงงานสีเขียวครบวงจร ที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

แปลงขวดพลาสติก ให้เป็นของแต่งบ้านดีไซน์น่ารัก

ล่าสุด “อิชิตัน กรุ๊ป” มีเป้าหมายต้องการลดขยะจากกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ และเพิ่มคุณค่าขยะพลาสติกให้เป็นประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ จึงจับมือกับ Qualy” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตกแต่งบ้านที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ โดยฝีมือคนไทย และ Qualy ยังเป็นแบรนด์สินค้าดีไซน์เจ้าแรกๆ ที่ออกแบบผลิตภัณฑ์โดยเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งความพิเศษของผลิตภัณฑ์จาก Qualy คือ สามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่มองเห็น เพราะถูกออกแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

เปิดตัวโครงการ “Ichitan Green Factory Zero Waste” นำขวดพลาสติกที่ชำรุดและไม่ผ่านมาตรฐานจากกระบวนการผลิตในโรงงานมากกว่า 10 ตัน เข้าสู่กระบวนการ Upcycle เพื่อเปลี่ยนขยะพสาสติก ให้เป็นของตกแต่งบ้านดีไซน์สุดเก๋ ช่วยลดการฝังกลบ และลดภาระการย่อยสลายของธรรมชาติ

“เพราะแต่เดิมขวดพลาสติกที่ชำรุดในกระบวนการผลิต จะถูกส่งต่อไปรีไซเคิล แต่กระบวนการ Upcycle จะเป็นการสร้างมูลค่าและคุณค่าใหม่ให้ขยะเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการใส่ดีไซน์ให้เกิดความสวยงาม น่าจับต้องมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคเองเปิดใจยอมรับชีวิตใหม่ของขยะพลาสติก”

แล้วขยะพลาสติก 10 ตันมันเยอะขนาดไหนกัน อาจเปรียบได้กับการปลูกป่าถึง 30 ไร่ หรือปลูกต้นสักได้ถึง 3,000 ต้น หรือเทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 52,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เลยทีเดียว

ทั้งนี้ขวดพลาสติกที่ถูก Upcycle ถูกพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ของตกแต่งบ้าน ภายใต้คอลเลคชั่น “สัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาขยะในทะเล” ที่ได้รับแรงบันดาลจากการออกแบบมาจากข่าวสิ่งแวดล้อมที่สร้างความสะเทือนใจต่อผู้พบเห็น อาทิ ปลาวาฬ ม้าน้ำ สัตว์ขั้วโลก ก้อนเมฆ และป่าไม้

ตัวอย่างเช่น “ที่เก็บถุงพลาสติกสำหรับใช้ซ้ำรูปปลาวาฬ Moby” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากข่าวปลาวาฬที่ตายเพราะกินขยะพลาสติก สะท้อนถึงปัญหาขยะพลาสติกที่คุกคามชีวิตสัตว์ทะเล โดยเจ้าปลาวาฬ Moby ตัวสีน้ำเงินสวยนี้ ผลิตจากขวด PET ที่ไม่ผ่านมาตรฐานการผลิตจำนวน 28 ขวด จนได้ออกมาเป็นของใช้ในบ้าน ที่ช่วยสื่อสารให้เราตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเป็นขยะพลาสติกที่ไปสร้างผลกระทบให้กับสัตว์ทะเลอีก

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ Upcycle ที่มีดีไซน์น่าสนใจอีกหลากหลายชิ้น โดยดูได้จากวิดีโอด้านล่างนี้

แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าว อยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงยังไม่สามารถประเมินผลตอบรับจากผู้บริโภคได้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ที่ทั้งอิชิตัน และ Qualy ต่างเห็นตรงกันว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประตูบานแรกที่เปิดไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคม

เพราะวิกฤติสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยื่นมือมาช่วยกันแก้ไข หากโครงการนี้สามารถจุดประกายความคิดให้ผู้คนหันมาตระหนักถึงการนำขยะมาเปลี่ยนให้เป็นสินค้าที่มีคุณค่าได้ เชื่อว่าอนาคตจะมีอีกหลายองค์กรที่จะมาร่วมพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อมาช่วยกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับโลกของเรา

ไปเที่ยวบ้านเพื่อนกันไหม? “ททท.” ดึงศิลปินอาเซียน ปลุกกระแสป๊อปคัลเจอร์ เที่ยว “เมืองรอง” ในอาเซียน

$
0
0

 

ย่านเมืองเก่า อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

หากเจาะลึกลงไปยังกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมชื่นชอบออกไปหาแรงบันดาลใจจากการทำสิ่งแปลกใหม่ ชื่นชอบความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมทั้งแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่น และตามล่าจุดเช็คอินในสถานที่เต็มไปด้วยสีสันของแต่ละเมือง เราจะพบพฤติกรรมทั้งหมดที่ว่ามานี้ได้ในคน “กลุ่มมิลเลนเนียล”

“ป๊อปคัลเจอร์” เทรนด์ท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง

ปัจจุบัน ชาวมิลเลนเนียล ซึ่งมีอายุ 18-35 ปี มีจำนวนกว่า 45% ของประชากรทั้งหมดในเอเชียแปซิฟิก และกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในปี 2563 เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังกลายเป็นผู้บริโภคหลักในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวมิลเลนเนียลให้ความสนใจมาก 

ในการท่องเที่ยวแต่ละทริป ชาวมิลเลนเนียลมักค้นหาข้อมูลในโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ท่องเที่ยว ขณะเดียวกันยังคงติดตาม อินฟลูเอนเซอร์เพื่ออัพเดตเทรนด์ หาไอเดีย และแรงบันดาลใจใหม่ๆ รวมถึงการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี โดยหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังเป็นที่นิยม คือ “การเลือกเดินทางตามกระแสป๊อปคัลเจอร์” 

ศาลเจ้าพ่อพญาแก้ว อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

เว็บไซต์จองโรงแรม Booking.com เผยข้อมูลน่าสนใจไว้ว่า การเลือกเดินทางตามกระแสป๊อปคัลเจอร์ เป็นหนึ่งในเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงที่ผ่านมา โดย 39% ของผู้เดินทาง ได้ไอเดียการท่องเที่ยวจากการอ่านบล็อก หรือดูคลิปแนะนำของเหล่ายูทูปเบอร์ ส่วนอีก 36% ระบุว่า สถานที่ซึ่งเคยปรากฏในทีวี ภาพยนตร์ หรือเอ็มวีเพลง ถือเป็นแรงจูงใจให้ลองไปเยือนสักครั้งในปีที่จะมาถึง

หากถามว่า อะไรคือกระแสป๊อปคัลเจอร์” (Pop Culture) ต้องบอกว่า ปีอปคัลเจอร์เป็นได้ทั้งวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เกิดขึ้นในสังคม หรืออาจเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่คนจำนวนหนึ่งสร้างขึ้นมา ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย อาหาร รายการโทรทัศน์ ดนตรี ภาพยนตร์ กีฬา ตลอดจนการเดินทางท่องเที่ยว

ในฐานะที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 34 ทุกภาคส่วนต่างขานรับและเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อบรรลุข้อตกลงอาเซียน เช่นเดียวกับภาคธุรกิจท่องเที่ยว 

ให้เพื่อนมาเที่ยวบ้านเรา แล้วเราก็ไปเที่ยวบ้านเพื่อน

อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. มีเป้าหมายสำคัญที่จะเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในทุกๆด้าน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้ง 9 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ให้เดินทางมาสู่พื้นที่ต่างในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวอาเซียนให้เป็นจุดหมายปลายทางเดียวกัน (Single Destination) ในอนาคต

ในปี 2018 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศอาเซียนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย 10.5 ล้านคน โดยมีนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และพม่า เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุดตามลำดับ สร้างรายได้ให้กับประเทศราวๆ 3.2 แสนล้านบาท 

พฤติกรรมที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวจากอาเซียน พบว่า ส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาอยู่ในประเทศไทยเฉลี่ย 5 วัน และมีอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ย 37,000 บาทต่อคนต่อทริป โดยกิจกรรมส่วนใหญ่ จะเป็นการช้อปปิ้ง 

คุณกฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาททท. ได้จัดทำแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่ม เมืองรอง55 จังหวัด ก่อนจะขยายมาสู่ 12 เมืองต้องห้ามพลาด เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ไปสู่ชุมชน พร้อมทั้งเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวแต่ละครั้ง ทั้งนี้จากการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองในช่วงที่ผ่านมา สามารถเพิ่มการเติบโตของรายได้ในพื้นที่ 7-10%

 

จากการที่ไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนเข้าด้วยกัน ล่าสุดททท. เดินหน้าขยายการท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวยุคใหม่ ผ่านโครงการ “Experiencing ASEAN POP Culture” ที่เฟ้นหาเมืองรองที่มีสถานที่สวยงามและทรงคุณค่าด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยทั้งในไทยและแถบอาเซียน โดยนำเสนอวัฒนธรรมแต่ละถิ่นฐาน เชื่อมโยงกับด้านอาหาร ศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี และกีฬา ในจังหวัดเมืองรอง ได้แก่ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และเมืองรองในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา และเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์

“โครงการนี้เราโฟกัสไปที่นักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียลเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรูปแบบการเป็นตัวของตัวเอง ให้ความสนใจกับเรื่องศิลปวัฒนธรรม และชอบท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass ดังนั้นททท. จึงนำจุดแข็งด้านวัฒนธรรมของจังหวัดเมืองรองมาเป็นจุดขายผ่านการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียง เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่างไทยและอาเซียน โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางกระตุ้นการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน” คุณกฤษฎา กล่าว 

ชูอาเซียนไลฟ์สไตล์ ผ่านอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับจุดเด่นของโครงการนี้ คือ การดึงอินฟลูเอ็นเซอร์สายศิลปิน (Artist) ที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ ทั้งจากไทยและอาเซียน มาร่วมเป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสื่อสารถึง “เสน่ห์ของประเทศอาเซียน” ผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และอาหาร โดยนำจุดเด่นแต่ละเมืองมาสร้างอัตลักษณ์ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอาเซียนไลฟ์สไตล์ในรูปแบบที่เป็นที่นิยมของคนปัจจุบัน เพื่อจุดกระแสให้เกิดการท่องเที่ยวในเชิงคุณค่าทางวัฒนธรรม 

ศิลปินที่ได้รับเชิญให้มาร่วมโครงการ “Experiencing ASEAN POP Culture” ได้แก่ Ceno2 ศิลปินวาดภาพชาวสิงคโปร์, Toma และ William ชาวเวียดนาม, Peap Tarr และ Lisa Mam ศิลปินวาดภาพชาวกัมพูชา, Alisson Shore นักร้อง-นักดนตรีจากฟิลิปปินส์, Jirayu Koo นักวาดภาพประกอบชาวไทย และ Vinn และ Patararin สถาปนิกชาวไทย, Jackkritt Anantakul ศิลปินชาวไทย, Kanji Chai ศิลปินชาวมาเลเซีย, Andrew Suryono ช่างภาพระดับแถวหน้าของอินโดนีเซีย, Dj. Muninn ศิลปินชาวไทย

Lisa Mam ศิลปินวาดภาพชาวกัมพูชา

นอกจากนี้ยังมี William Luong และ Toma Nguyen สองนักวาดภาพประกอบชาวเวียดนาม, Lemthy และ Sompong Inthavong ศิลปินชาวลาวจากคณะละครหุ่นเชิดที่มีชื่อเสียงในระดับสากล, Nadzri Harif นักมายากลชาวบรูไน, 2Choey นักวาดภาพประกอบชาวไทย, Vutha Tor ศิลปินชาวกัมพูชาผู้ก่อตั้งสถาบัน Phare Ponleu Selpak, Chef Black เชฟชาวไทยเจ้าของร้านอาหาร Blackitch Artisan Kithen ในจังหวัดเชียงใหม่ และ The Rebel Riot ft.Kyaw Kyew วงดนตรีพังก์ร็อกจากเมียนมาร์

Jirayu Koo นักวาดภาพประกอบชาวไทย

ทั้งนี้ศิลปินทั้งหมดได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมกัน รวมทั้งท่องเที่ยวดูงานกับชุมชน เพื่อนำแรงบันดาลมาสร้างผลงานร่วมกันเป็นสมบัติไว้ที่ เมืองรองในสถานที่ต่างๆ ได้แก่ ย่านเมืองเก่า อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย กับกิจกรรมต่อยอดจากการสร้างสรรค์ Mural Arts & Street Arts ,ที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด กับการสร้างงานศิลปะและจัดกิจกรรมเวิร์คชอป, ที่ศาลเจ้าพ่อพญาแก้ว อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กับการจัดกิจกรรมร่วมกับศิลปินออกมาเป็น POP Culture ในหลากหลายแนว, ที่ตลาด Phsar Nut พระตะบอง ประเทศกัมพูชา กับ Art Festival ที่มีจัดงานสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและเดินขบวนพาเหรด และสุดท้ายที่โรงแรม Mercure Mandalay Hill Resort มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ที่ Chef Black เดินทางไปคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อรังสรรค์เมนู Chef’s Table อีกด้วย

POP Culture ผ่านอาหาร โดย Chef Black

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการนี้ยังได้รับแรงผลักดันและการสนับสนุนจากภาคเอกชน อาทิ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์, สายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส, บริษัทสีเบเยอร์, โรงแรม Mercure Madalay Hill Resort, และ บริษัท BMW ประเทศไทย จำกัด ตลอดทั้งโครงการอีกด้วย

 

Viewing all 21891 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>