Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21907 articles
Browse latest View live

เบื้องหลังสร้างแบรนด์​ “แม่มณี” ​มีไว้แล้วค้าขายดีจริงหรือ? พร้อมเปิดตัว “มณีเกิร์ล 2019”มาครั้งนี้ขอเป็นทุกอย่างให้ SME

$
0
0

หลังเปิดเกมฟรีค่าธรรมเนียมสำหรับทุกธุรกรรมในฟากลูกค้า Retail ทำให้ภาพของความเป็น Lifestyle Banking ของ SCB มีความชัดเจน และสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น จนปัจจุบันฐานผู้ใช้งาน SCB Easy ก้าวกระโดดแตะ 10 ล้านราย ในเวลาเพียงแค่ 3 ปี ​และสามารถขยับขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำ Digital Banking ได้ตามความตั้งใจ

การทลายกำแพงระหว่างลูกค้าและธนาคาร เป็นหนึ่งใน Key Success สำคัญ ที่ไทยพาณิชย์ต้องการลบภาพการเป็นธนาคารแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้มี Engagement ใดๆ กับลูกค้า นอกเหนือไปจากการเข้ามาเพื่อทำธุรกรรมเท่านั้น ขณะที่การมาในแต่ละครั้งก็ไม่ใคร่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้มากนัก​ ทั้งเรื่องของบริการ เวลาในการรอ หรือการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ จนภาพจำ​ของธนาคารในความคิดลูกค้าคือ “งก ช้า ห่วย” กลายเป็น Pain Point ตั้งต้นในการทำการบ้านครั้งใหญ่ของ SCB ในฟากลูกค้ารีเทล

ซึ่งก็ต้องถือว่า​ SCB ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนภาพเดิมๆ ของธนาคาร จนกลายมาเป็น “กระเป๋าสตางค์” ของคนไทย และสามารถเข้าไปอยู่ในทุกๆ โมเมนต์ของผู้บริโภค​ในยุคดิจิทัล ผ่านสโลแกนติดหูที่ใช้ในการสื่อสารแบรนด์ “เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว” เพราะฟีเจอร์ภายในแอปที่หลากหลายและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

ย้อนรอยแบรนดิ้ง “แม่มณี”

ขณะที่ระหว่างการ Educated เพื่อขยายฐาน Digital Banking ผ่านแพลตฟอร์ม SCB EASY ยังเป็นช่วงเดียวกับการเกิดขึ้นของอีกหนึ่ง Symbolic ที่แข็งแรงในปัจจุบัน และสามารถ Represent ความเป็น SCB ได้อย่างชัดเจน เพราะถือเป็นช่วงแรกๆ ที่ “แม่มณี” ออกมาเผยโฉมให้ทุกคนได้เห็นหน้าค่าตา เพื่อสื่อสารถึงฟีเจอร์ QR Payment ที่อยู่ภายในแอพ SCB Easy นั่นเอง

ดังนั้น SCB จึงครีเอท “แม่มณี” เพื่อสื่อสารและใช้เป็นตัวแทนของฝั่ง “ผู้ขาย” เป็นหลัก เพราะในแง่ของการกระตุ้นให้มีการใช้งาน SCB Easyในวงกว้างนั้น จำเป็นต้องขยายไปพร้อมกันทั้งสองขา คือ การเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานหรือ ฝั่งผู้ซื้อ และจุดที่สามารถจ่ายผ่าน QR ได้ ซึ่งก็คือในฟากของฝั่งผู้ขาย หรือร้านค้าต่างๆ นั่นเอง ​ซึ่งในการเข้าไปคุยกับพ่อค้าแม่ขายเพื่อเพิ่ม Use Case ให้ลูกค้าคุ้นเคยกับการใช้ QR Payment จึงเป็นจุดที่ SCB ใช้ “แม่มณี”​ เป็นตัวเชื่อมระหว่างธนาคารและคนค้าขาย ด้วยความเข้าใจอินไซต์ของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทย ที่ต้องการกำลังใจในการทำมาค้าขาย โดยเฉพาะ “นางกวัก” ที่แทบจะเห็นวางตั้งไว้หน้าร้านแทบจะทุกร้าน

กลายเป็นที่มาของ “แม่มณี” นางกวัก​ยุคดิจิทัล ที่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งคุ้นตา และคุ้นเคยสำหรับคนไทย รวมทั้งกลายเป็นอีกหนึ่งแบรนดิ้งที่แข็งแกร่งของ SCB ไปแล้ว เพราะสร้างการรับรู้ไปได้ในวงกว้าง คนไทยแทบจะทุกคนเคยเห็นและรู้จักแม่มณี ​บางรายใช้คำว่า​ แม่มณี ไม่ต่างกับการเป็น Generic Name สำหรับการเรียกวิธีใช้จ่ายผ่าน QR เป็น การจ่ายด้วย​แม่มณี ก็มีให้ได้ยินกันบ่อยครั้ง

โดยเฉพาะความสำเร็จเกินความคาดหมาย เมื่อหลายๆ ร้านค้า ​มองแม่มณีไม่ต่างกับของมงคลชิ้นหนึ่ง การมีแม่มณีตั้งอยู่หน้าร้าน ​นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล ทำให้มีโอกาสได้เห็นบางร้านนำดอกไม้ หรือน้ำแดงมาวางไว้ให้แม่มณี ไม่ต่างกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว

ที่สำคัญความนิยมของแม่มณี​​ ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่ง Rare Item ของคนค้าขาย โดยเฉพาะการสืบเสาะหารุ่นที่มีการนำไปปลุกเสก หลังมี Story แม่มณีในเวอร์ชั่นแรก​ ที่ทางผู้บริหารเอาฤกษ์เอาชัยในช่วงเปิดตัวด้วยการนำไปปลุกเสกจริงๆ ที่วัดดังอย่าง “วัดท่าไม้” ​จนมีการประกาศซื้อรุ่นดังกล่าวผ่านโลกโซเชียล ด้วยราคาสูงถึง 3 พันบาท

ทำไมมี “แม่มณี”​ แล้วขายดี? 

หนึ่งในผู้คลอดโปรเจ็กต์ “แม่มณี” ให้เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของคนไทยอย่าง คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ข้อมูลว่า “ความสำเร็จของแม่มณี คือ ความลงตัวทั้งในแง่ Functional และ Emotional เคยมีพ่อค้าแม่ค้าบอกว่า ตั้งแม่มณีไว้หน้าร้านแล้วขายดี ซึ่งข้อเท็จจริงคือ พ่อค้าแม่ค้าไม่ได้มองว่าแม่มณีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มองเหมือนของมงคล บางคนก็ชอบเพราะความน่ารักสวยงาม บางร้านนำไปวางแทนนางกวักเลยก็มี แต่ส่วนตัวมองว่า การมีแม่มณีช่วยให้ขายดีขึ้น เพราะทำให้เกิด Conversation ระหว่างคนซื้อและคนขาย เมื่อมีของน่ารัก สวยงาม ตั้งวางไว้ คนเห็นชื่นชอบก็เกิดการพูดคุย ยิ้มแย้ม อารมณ์ดี บรรยากาศในการค้าขายก็เป็นไปด้วยดี เห็นได้ว่าแม้บางร้านอาจจะมี Transaction ผ่าน QR จำนวนไม่มาก แต่ก็ยังต้องการตั้งแม่มณีไว้หน้าร้าน เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจในการค้าขาย”

ขณะที่ในการทำหน้าที่เชิงแบรนดิ้ง​แม่มณีก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่แข็งแรงในการทำให้คนรับรู้ได้ถึงแบรนด์ SCB ทั้งการมี Uniqueness ในเรื่องของความเป็นไทย แต่มีความร่วมสมัย ไม่โบราณ และจุดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยี เนื่องจากในอีกหนึ่งมิติ แม่มณียัง Represent ถึง QR Payment กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ที่สะท้อนถึงแบรนด์ได้อย่างเด่นชัด นอกเหนือไปจากแค่การมองเห็นโลโก้ตามสื่อต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งมิติที่ดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วย Story ที่น่าสนใจและทำให้คนพูดถึงได้ดีมากกว่า

“ความสำเร็จของแม่มณีมาจากความสำเร็จในการทำ Creativity แบบนอกรอบ เพราะเป็นการผสมผสานวิธีคิดระหว่างคนจากฝั่ง Bank และ Non Bank ได้อย่างลงตัว ซึ่งไม่เพียงแค่ได้ใจคนภายนอกหรือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเท่านั้น เพราะแม้แต่คนในองค์กรก็ให้ความสนใจและต้องการ Engage กับแม่มณี และนำมาซึ่งความเป็น Unity ในองค์กรอีกด้วย”

มณีเกิร์ล 2019 ขยายฐานลูกค้า SME

ความสำเร็จในมิติของการสร้างแบรนดิ้งให้แม่มณี เริ่มชัดเจนมมากขึ้น เมื่อ SCB หันมาสร้างแบรนด์เพื่อแจ้งเกิดให้กับแม่มณีโดยตรงผ่าน “แม่มณี Money Solutions เวอร์ชั่นเก็บเงินเก็บทอง ช่วยให้ค้าขายร่ำรวย จับกลุ่มผู้ประกอบการยุคดิจิทัล เพื่อลดปัญหาจุกๆ จิกๆ ในการทำธุรกิจโดยเฉพาะการบริหารจัดการเงินสด มาเป็นการจ่ายผ่าน QR ลดความยุ่งยากในการเตรียมเงินทอน ทอนขาด ทอนเกิน รวมไปถึงการทุจริตภายในร้าน

พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ในฐานะ “มณีเกิร์ล” คนแรก คือ “ใหม่ -ดาวิกา โฮร์เน่” เพื่อเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล และภาพลักษณ์ของความเป็น​สาวรุ่นใหม่​ ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งออนไลน์ มาเป็นผู้ช่วยในการสื่อสารแบรนด์และสะท้อนคาแร็คเตอร์ของแม่มณีเวอร์ชั่นปี 2017

ขณะที่เวอร์ชั่นล่าสุดของ แม่มณี 2019 นี้ เป็นแม่มณีในเวอร์ชั่นของนักสู้ชื่อว่า “มณีชยา” หมายถึง ชัยชนะ เปิดตัวมาพร้อมกับแคมเปญ “SME Fighto” (เอสเอ็มอี ไฟท์โตะ) เพื่อจับกลุ่มผู้ประกอบการนักสู้เอสเอ็มอีไทย และเลือก Timing ในการเปิดตัว เพื่อต้องการให้กำลังใจกลุ่มผู้ประกอบการในภาวะที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบรอบด้านเช่นในปัจจุบัน ทำให้แม่มณีเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ แตกต่างไปจากยุคก่อนหน้า เพราะจะสะท้อนถึงความเป็นนักสู้​ และยังคงความเป็น Thainess ด้วยการผสมผสานกับกีฬานักสู้อย่าง “มวยไชยา” เข้ามาด้วย

พร้อมทั้งเปิดตัวมณีเกิร์ลคนใหม่ คือ คริส หอวัง​ ซึ่งมีบุคลิกที่ตอบโจทย์ทั้งการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ต้องดูแลธุรกิจ รวมทั้งมีภาพของความเป็นนักสู้ ไม่ยอมแพ้ เพื่อเป็นผู้ช่วยสื่อสารแคมเปญที่ทาง SCB ต้องการขยายมิติในการสร้าง Engage ไปยังลูกค้าในกลุ่ม SME ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าสำคัญของธนาคาร โดยเริ่มต้นนำร่องในกลุ่ม Small SME พร้อมอาวุธช่วยเหลือผ่าน​บริการที่ตอบโจทย์อย่าง มณี Free Solutions ที่จัดเต็มความช่วยเหลือแบบครบวงจรสำหรับ SME ไทย​

สำหรับรายละเอียดของ​ “มณี Free Solution” คุณอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ข้อมูลว่า เป็นบริการของทางธนาคารเพื่อช่วยให้กลุ่มลูกค้า SME​ สามารถทำธุรกิจได้สะดวก เอื้อต่อการขยายธุรกิจให้เติบโตฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ที่ต้องเผชิญอยู่รอบด้านในขณะนี้​​ ผ่าน 3 จุดเด่นที่ให้แบบฟรีๆ สำหรับเอสเอ็มอีที่มียอดขายไม่เกิน 75 ล้านบาท ประกอบด้วย

1. ฟรี! ค่าธรรมเนียมทุกประเภทเมื่อทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลแพลตฟอร์ม และมีบัญชีมณีมั่งคั่ง รวมถึงฟรีบริการรับฝากเช็คข้ามเขต

2. ฟรี! อัพเกรดดอกเบี้ย บัญชีมณีมั่งคั่ง บัญชีเดินสะพัดดอกเบี้ยสูงสุด 1% รับดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน เมื่อฝากตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด

3. ฟรี! บริการ Co-working Space และสัมมนาต่อยอดธุรกิจ เพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจของผู้ประกอบการก้าวไปได้ไกลยิ่งขึ้น

“เอสเอ็มอีในปัจจุบันต้องเผชิญปัจจัยลบหลากหลาย ทั้งกลุ่มส่งออกที่ต้องเผชิญกับปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐ การชุมนุมประท้วงในฮ่องกง เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งเทียบจากปี 2559 แข็งขึ้นมากว่า17% แล้ว ขณะที่ในประเทศก็มีทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากขาลง หรือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กระทบกำลังซื้อผู้บริโภค ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME ที่มีกว่า 3 ล้านรายในปัจจุบันต้องเหนื่อยกับปัญหารอบด้าน ขณะที่กลุ่ม SME ถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในฐานะผู้ผลิต ผู้จ้างงาน ดังนั้น การช่วยเหลือให้ SME เติบโตก็เป็นอีกหนึ่งการทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเติบโต แต่ในทางกลับกันหาก SME ส่วนใหญ่ไม่สามารถรอดได้ ก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังหลายๆ ภาคส่วนเป็นวงกว้างด้วย”

ยกเลิก Transaction Fee ขยาย Ecosystem 

ทั้ง 3 โซลูชั่นส์ที่ SCB มอบให้ลูกค้า SME มาจากการเข้าใจ 3 Painpoint​ ที่กลุ่ม SME ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการทำธุรกรรม, ไม่ได้รับดอกเบี้ยจากยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งขาดความคล่องตัวในการทำธุรกรรมและขาดที่ปรึกษาทางการเงิน ดังนั้น ฟรีโซลูชั่นส์จาก SME Fighto เป็นสิ่งที่ SCB นำเสนอเพื่อแก้ปัญหาหลักๆ ที่กลุ่ม SME กำลังเผชิญ

เห็นได้ว่า เกมที่ SCB กำลังเดิน ไม่ต่างจากโมเดลที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในฟากของลูกค้า Retail ผ่านการเข้าใจ Pain Point และพยายามสร้างออฟเฟอร์ที่เหนือกว่าธนาคารอื่นๆ โดยเฉพาะการยกเลิกค่าธรรมเนียม ซึ่งถือเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยรายแรกที่ไม่คิด Transaction Fee สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะในยามที่เกิดวิกฤตรอบด้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ มีผลต่อธุรกิจของ SME ดังนั้น ธนาคารมองว่ามีความคุ้มค่า กับการยอมเสียรายได้ที่เคยได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ ของลูกค้ากลุ่มนี้ต่อปีที่ราวๆ หลักร้อยล้านบาท เพื่อแลกกับการได้ใจลูกค้า ได้ฐานลูกค้าในกลุ่มนี้เพิ่มเติมเข้ามา

“การเป็นธนาคารรายแรกที่ยกเลิกการคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้​ฐานลูกค้า SME ของธนาคารที่ปัจจุบันมีกว่า 2 แสนบัญชี ขยายฐานเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนบัญชี จากจำนวนลูกค้า SME โดยเฉพาะในตลาด Small Business ที่มีรวมกันกว่า 8 แสนราย นอกจากนี้ ทาง SCB ได้พัฒนาโมบายแพลตฟอร์มสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจภายใต้ชื่อ Business Anywhere ซึ่งปัจจุบันมีฐานผู้ใช้งานแล้วกว่า 3 หมื่นราย หลังจากพัฒนามาได้เพียงปีกว่าๆ เท่านั้น” 

คุณธนา อธิบายว่า การขยายฐานไปสู่กลุ่ม SME เป็นอีกหนึ่งวิธีในการขยาย Ecosystem ของ SCB ให้สมบูรณ์และมีสเกลใหญ่มากขึ้น เพราะในแง่ของการเป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพ จำนวน Users ที่มีอยู่ราวๆ 10 ล้านรายในปัจจุบันอาจจะยังไม่มากพอเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ ดังนั้น การขยายเซ็กเม้นต์เพื่อมา Engage ในกลุ่มใหม่ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะเพิ่มความแข็งแรงและเติม Users ใหม่ๆ เข้ามาได้มากขึ้น และการทำให้คนอยากมา Engage มากขึ้น จำเป็นต้องดึงดูดด้วย Adavntage หรือ Benefit ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพราะถ้าไม่แตกต่างหรือเหนือกว่า Users ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องย้ายมาอยู่บนแพลตฟอร์มใหม่

“ลูกค้ากลุ่ม Small SME ถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพแต่ค่อนข้างอ่อนไหว หากธนาคารสามารถสร้างความผูกพันธ์กับลูกค้าได้แน่นแฟ้น ด้วยออฟเฟอร์ที่ไม่เคยมีใครให้มาก่อน ก็จะได้เปรียบในฐานะ First Mover Advantage ทำให้ได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เติมเข้ามา และมีโอกาสต่อยอดมาสู่การเป็นลูกค้าในโปรดักต์อื่นๆ ของธนาคาร เช่น การขอสินเชื่อเพื่อนำไปใช้ประกอบธุรกิจ​ และเชื่อว่ายากที่ธนาคารอื่นๆ จะทำตามเพราะต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ความแข็งแรงที่มากขึ้นของแพลตฟอร์มไทย​ เป็นหนึ่งใน Barrier ที่ช่วยชะลอหรือป้องกันการไหลออกของเงินหรือการเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้กับแพลตฟอร์ม E-wallet ของต่างประเทศ ​โดยเเฉพาะการมีกลุ่มธุรกิจธนาคารของไทยเป็นผู้​ Oparated ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”


‘เถาเป่า’มากกว่า ‘มาร์เก็ตเพลส’แต่คือ ‘เมคเกอร์เพลส’เพื่อฝันใหญ่แปลงภาพลักษณ์จีนให้กลายเป็น “นักสร้างสรรค์”

$
0
0

จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว สำหรับงาน Taobao Maker Festival 2019 โดยเถาเป่า (Taobao) แพลตฟอร์ม C2C สำหรับชาวจีน ภายใต้อาลีบาบา อีโคซิสเต็ม ที่ต่อยอดจาก Online Platform มาสู่การสร้างประสบการณ์บนโลกออฟไลน์ ด้วยการจัดเฟสติวัลสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและนักสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในจีน เพื่อแสดงออกถึงพลังแห่ง Creativity​ จากบรรดาเหล่าเมคเกอร์​จีน โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลเนียล หรือผู้ประกอบการยุคใหม่ ซึ่งถือเป็น Users กลุ่มหลักที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ด้วยสัดส่วนกว่า 70%

สำหรับงานเถาเป่า เมคเกอร์ เฟสติวัล ในปีนี้ จัดขึ้นยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ด้วยระยะเวลายาวนานถึง 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-25 กันยายน 2562 และจัดขึ้นใน 2 จุด โดยสถานที่หลัก คือ Hangzhou Boiler Factory และ ริมทะเลสาบซีหู หรือ West Lake แบ่งพื้นที่ภายในงานออกเป็น 6 โซน ได้แก่ New Technology, New Manufacturing, New Design, New Flavor, New Trend และ New Experiences/Service

โดยได้รวบรวมไอเท็มจากเหล่าเมกเกอร์ทั้งจากฟากออฟไลน์และออนไลน์มาจัดแสดงภายในงานกว่า 400 ร้าน โดยมีไอเท็มที่เตรียมมาเปิดตัวภายในงาน หรือสร้าง Limited Edition มาสำหรับงานในครั้งนี้ถึงกว่า 1,000 รายการ​

มร.คริส ตง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า Taobao Maker Festival 2019 เป็นพื้นที่สำคัญในการแสดงออกถึงศักยภาพของคนจีนรุ่นใหม่ ในฐานะเจ้าของไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ โดยเป้าหมายสำคัญของบรรดาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ได้โฟกัสอยู่เพียงแค่การซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ต้องการพื้นที่ในการ Engage หรือแชร์ประสบการณ์ ไอเดียต่างๆ หรือแรงบันดาลใจระหว่างกัน รวมไปถึงการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อต่อยอดหรือขยายสเกลธุรกิจให้เติบโตได้มากเพิ่มขึ้น

“เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างให้เถาเป่า เมคเกอร์ เฟสติวัล เป็น Top of Mind ของผู้คนทั่วโลก ในฐานะแลนด์มาร์กแห่งวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เพราะรวบรวมครีเอเตอร์และเมคเกอร์รุ่นใหม่ของจีน เพื่อสร้างการรับรู้ไปสู่ผู้คนทั่วโลก และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในการจดจำประเทศจีน จากประเทศที่เคยเป็นฐานการผลิตเพียงอย่างเดียว มาเป็นประเทศที่โดดเด่นในมิติของการดีไซน์ หรือความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ หรือการขยับจากคำว่า Made in China มาเป็น Created in China

ทั้งนี้ ไฮไลท์ต่างๆ ภายในงานปีนี้ มีทั้งไอเท็ม​ Signature รวมทั้งความน่าสนใจจากนวัตกรรม ดีไซน์ และความสร้างสรรค์ต่างๆ อยู่ในแต่ละโซนภายในงาน ​อาทิ

Long March Rocket โมเดลจรวดที่จัดแสดงไว้บริเวณด้านนอก Innovation Plaza  โดยมีเครื่องลางจากชิ้นส่วนสะเก็ดจรวดอยู่ที่ตัวเถาเป่าด้วย
Robosea โดรนฉลาม ที่ได้รับการขนามนามว่า DJI ของโลกใต้น้ำ ที่จะมาสาธิตถึงวิธีการว่ายน้ำและนำทาง
Robotic Dogs เทคโนโลยีสร้างความอัจฉริยะ เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่มีความสามารถสูง
C-Exoskeleton ​ชุดสูทเพิ่มพลัง เมื่อสวมใส่แล้วจะสามารถยกของที่มีน้ำหนักมากได้อย่างง่ายดาย
ผู้ประกาศข่าว AI
อาหารแห่งอนาคต ​ในกลุ่มเนื้อสัตว์มังสวิรัติที่ทำมาจากพืช
ไอศกรีมเหมาไถ และเหล้ารสชาติต่างๆ ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก
หุ่นยนต์ชงชา
รองเท้าที่ผลิตจากเครื่อง 3D Printing
Trendy Sneaker รองเท้าผ้าใบแฟชั่นหลากหลายที่กำลังเป็นเทรนด์ในกลุ่ม Gen Z
ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นย้อนยุคราชวงศ์ต่างๆ
หลังแห่งความสร้างสรรค์ที่กระจายไปในทุกจุดของงาน แม้กระทั่งถังขยะ

ภายในงานยังมีการจัดแฟชั่นโชว์ที่สะพานขาด​(Broken Bridge)​ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผู้คนรอชมเป็นจำนวนมาก โดยปีนี้ได้จัดแสดงแฟชั่นโชว์ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเจเนอเรชั่น Z เพื่อนำเสนอผลงานของแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ระดับโลก รวมไปถึงดีไซเนอร์อิสระที่มีชื่อเสียง​​ เพื่อตั้งใจสนับสนุนให้ดีไซเนอร์รุ่นเยาว์ทำตามความฝัน ​รวมทั้งแบรนด์ต่างๆ ที่เตรียมมาเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษเป็นครั้งแรก​​​​​ โดยให้ความสำคัญกับการผสมผสานวัฒนธรรมที่แตกต่างกันเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านแนวคิด “China Cool” 

แพลตฟอร์มบ่มเพาะ ‘เมกเกอร์’​

สำหรับเว็บไซต์เถาเป่า หรือ taobao.com แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซในเครืออาลีบาบา ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2546 เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าหลากหลายตั้งแต่สินค้ายอดนิยม ของหายาก ผลิตภัณฑ์เสมือนจริง ไปจนถึงบริการระดับท้องถิ่น ผ่าน www.taobao.com และแอพโมบายเถาเป่า

เถาเป่า แปลตรงตัวว่า “ล่าสมบัติ” และปัจจุบันได้กลายเป็นแพลตฟอร์มโมบายคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ในเชิงมูลค่ารวมของสินค้า หรือ GMV (Gross Merchandise Value) ในปีงบประมาณ 2562 จากการจัดอันดับของ Analysys บริษัทวิเคราะห์บิ๊กดาต้า ขณะที่จำนวนผู้ใช้ Mobile App เถาเป่าในแต่ละเดือน (MAU : Monthly Active Users) มีกว่า 755 ล้านราย ​ขณะที่จำนวนผู้บริโภคต่อปีมีถึง 674 ล้านคน (ข้อมูล ณ สิ้นมิถุนายน 2562)

​ความชัดเจนสำหรับบทบาทของเถาเป่าในวันนี้ คือ ฐานะของมาร์เก็ตเพลส ที่สามารถพัฒนาการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และตรงใจให้กับผู้บริโภคชาวจีน รวมไปถึงการให้บริการต่อเนื่องต่างๆ ที่น่าพึงพอใจไปตลอด Path of Purchasing จากการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลที่อยู่บนแพลตฟอร์ม เพื่อนำไปยกระดับ Shopping Experience บนแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากการเป็นมาร์เก็ตเพลสแล้ว ปัจจุบันเถาเป่ายังกลายเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมผู้ประกอบการและนักสร้างนวัตกรรมที่ใหญที่สุดของจีนอีกด้วย เพราะว่าร้านค้าบนเถาเป่าส่วนใหญ่ผู้ขายจะเป็นบุคคลหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของเถาเป่า ส่วนใหญ่จะมีแนวคิดในการสร้างความฝันของตัวเอง

อีกหนึ่งบทบาทของเถาเป่าจึงเป็น Incubators เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือบ่มเพาะผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์ม ทั้งการเป็นช่องทางขาย การมีแพลตฟอร์มและฟีเจอร์ที่ช่วยในการทำธุรกิจ​ รวมถึงการมี B2B Infrastructure เพื่อรองรับการทำธุรกิจตลอดทั้ง Ecosystem รวมทั้งการจัดงานเถาเป่า เมคเกอร์ เฟสติวัล ที่เป็นเหมือนเวทีให้ผู้ค้าที่มีความสามารถบนแพลตฟอร์มสามารถนำเสนอไอเดียสู่สาธารณะ และมีโอกาสได้เจอพาร์ทเนอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจได้ในอนาคตอีกด้วย

“ปัจจุบันเถาเป่ากลายเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ใช้สร้างสรรค์แนวคิด การออกแบบ และสินค้าแปลกใหม่ ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจเนอเรชัน Z ซึ่งมองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครเข้ามา Engage กับแพลตฟอร์มเถาเป่าได้มากขึ้น ​ขณะเดียวกันเถาเป่าก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคนิยม เต็มไปด้วยแบรนด์และสินค้าใหม่ โดยในอีก 3 ปี เถาเป่าวางแผนที่จะสร้างรายได้กว่า 5 ล้านหยวน (ประมาณ 21 ล้านบาท) ให้กับผู้ค้าแต่ละราย ที่มีจำนวนกว่า 200,000 คน ในรอบปี”

ทั้งนี้ จากรายงานสถิติของเถาเป่า เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าผู้ค้าที่เข้าร่วมกับเถาเป่าในระยะเวลา 3 ปี มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม (turnover) กว่า 5 แสนล้านหยวน (ประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2562 ขณะที่ในปี 2561 มีดีไซเนอร์อิสระกว่า 50,000 ราย ที่ทำธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มเถาเป่า​ และส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-30 ปี โดยที่ความคิดสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์เหล่านี้สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่เป็นอย่างดี

ฟัง Sompo เล่าเรื่องประกันภัยญี่ปุ่น ธุรกิจที่เริ่มต้นจากไฟ และไปจบที่ “Data”

$
0
0

หากจะกล่าวว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียแปซิฟิกที่เริ่มต้นธุรกิจประกันภัยก็คงไม่ผิดนัก โดยมีหลักฐานว่า ญี่ปุ่นเริ่มต้นธุรกิจประกันภัยของตนเองในสมัยเมจิ (ปี ค.ศ. 1879) หลังจากการเข้ามาของธุรกิจประกันภัยต่างชาติได้ราว 16 ปี (ธุรกิจประกันภัยจากต่างชาติเริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี ค.ศ.1863) โดยในยุคนั้นญี่ปุ่นเริ่มมีการค้าขายกับชาติตะวันตก และมีการลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตามหัวเมืองใหญ่เพื่อขยายแสนยานุภาพของตัวเองจนเป็นเรื่องปกติ

อย่างไรก็ดี การตั้งโรงงานในยุคนั้นก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาอัคคีภัย เนื่องจากสมัยเมจิยังเป็นยุคที่บ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่สร้างจากไม้และฟาง และมักจะสร้างติด ๆ กัน ทำให้มีโอกาสเกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายหากไม่ระวังมากพอ

เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย ญี่ปุ่นในยุคนั้นมีการสร้างหอคอยสูง รวมถึงมีกลุ่มคนที่เรียกว่า “นักผจญเพลิง” คอยเฝ้าระวังบ้านเรือน และสถานที่สำคัญต่าง ๆ รวมถึงเริ่มมองว่าการทำประกันภัยเป็นสิ่งจำเป็น

แต่จากหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ พบว่าแม้คนญี่ปุ่นจะให้ความสนใจทำประกันภัย แต่บริษัทต่างชาติในยุคนั้นก็ไม่ได้สนใจจะรับทำประกันให้กับธุรกิจของญี่ปุ่นมากนัก โดยส่วนใหญ่มุ่งไปที่การดูแลธุรกิจจากยุโรป หรือสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่นเสียมากกว่า ผลก็คือคนญี่ปุ่นในยุคนั้นต้องส่งบุตรหลานของตนเองเดินทางไปยังประเทศตะวันตก เพื่อศึกษาวิธีการทำธุรกิจประกันภัย และนำมาปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเสียเอง และนั่นทำให้ธุรกิจประกันภัยของญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ต่างชาติยากจะแทรกแซงเข้าไปได้จนถึงทุกวันนี้

ตัดภาพกลับมาที่โลกปัจจุบัน ดูเหมือนว่าการขยายตลาดของธุรกิจประกันภัยสัญชาติญี่ปุ่นในยุคนี้ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากนักผจญเพลิงอีกแล้ว เพราะมีอีกหลายช่องทางให้แบรนด์สามารถเติบโตได้ในต่างแดน เช่น การจับมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจญี่ปุ่นด้วยกันเอง รวมถึงการขยายตลาดโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่างที่ธุรกิจสามารถตอบโจทย์ได้ และหนึ่งในแบรนด์ประกันภัยสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Sompo ก็เลือกที่จะบุกตลาดประกันภัยของไทยผ่านข้อมูลอินไซท์ด้าน “การท่องเที่ยว-ผลผลิตทางการเกษตร-การเดินทาง” ด้วยเช่นกัน

โดย Data ตัวแรกอย่างข้อมูลด้านการเดินทางนั้น สิ่งที่ ผศ.ชญณา ศิริภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sompo Thailand พบก็คือ การที่ญี่ปุ่นเปิดฟรีวีซ่า ทำให้ตัวเลขนักเดินทางจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“เราพบว่านักท่องเที่ยวไทยมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศญี่ปุ่น และมองว่าเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัย สถานที่ต่าง ๆ มีความสะอาดสะอ้าน สะดวก ปลอดภัย แต่การเที่ยวญี่ปุ่นก็มีความเสี่ยงเช่นกัน หลายคนอาจไม่คุ้นกับสภาพอากาศ หรืออาหารที่แตกต่าง จนทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาได้ และการเข้าโรงพยาบาลของญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้โดยง่าย เนื่องจากมีความแตกต่างจากประเทศไทยอยู่พอสมควร ทั้งในเรื่องการนัดหมาย เวลาการให้บริการ รวมถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร”

จากช่องว่างดังกล่าว ผศ.ชญณา มองว่าหากธุรกิจสามารถจัดหาล่ามสำหรับช่วยสื่อสารกับแพทย์ในโรงพยาบาลของญี่ปุ่นแทนได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ทำประกันการเดินทางมากขึ้น ซึ่งกรณีเหล่านี้ไม่จำกัดแค่การเจ็บป่วย แต่ยังรวมถึงการขึ้นโรงพัก ฯลฯ ที่ต้องการล่ามสำหรับสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

Data ตัวต่อไปที่ Sompo ใช้ในการรุกตลาดเมืองไทยก็คือ Data ด้านภูมิอากาศ และนำมาใช้แล้วกับผลผลิตลำไย หนึ่งในผลไม้ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ

โดยสิ่งที่ Sompo พบก็คือ การปลูกลำไยของเกษตรกรไทยนั้นเผชิญกับความเสี่ยงหลายช่วง หนึ่งในนั้นคือช่วงเดือน 3 – 4 ที่ลำไยต้องติดผล และเป็นช่วงที่ต้องการน้ำมาก ทว่าเดือน 3 – 4 ของไทยมักเกิดภาวะฝนแล้งได้เช่นกัน และหากเกษตรกรได้รับผลกระทบจากภาวะฝนแล้ง บริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ความท้าทายของบริษัทประกันก็คือเรื่องของการเดินทาง เพราะสวนลำไยส่วนมากนั้นจะปลูกอยู่ในพื้นที่ห่างไกลตัวเมือง และไม่ได้ปลูกติด ๆ กัน หากเกิดปัญหาภัยแล้ง ค่าใช้จ่ายของบริษัทในการเดินทางสำรวจพื้นที่ปลูกลำไยที่ได้รับความเสียหายอาจสูงกว่าค่าเบี้ยประกันที่ได้รับก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้ข้อมูลสภาพอากาศจากดาวเทียม และข้อมูลปริมาณน้ำฝนย้อนหลัง 20 ปีมาสร้างเป็นสมการได้ว่า หากพื้นที่เหล่านี้ฝนไม่ตกติดต่อกันนานเกินดัชนีแล้งที่กำหนดไว้ ความเสียหายของลำไยจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นให้บริษัทอนุมัติการจ่ายค่าชดเชยได้เลย เป็นต้น

Data ตัวสุดท้ายที่ Sompo ทดลองนำมาปรับใช้กับประเทศไทยคือเรื่องของข้อมูลการขับรถ โดยพบว่าสิ่งที่ผู้ใช้รถใช้ถนนยังไม่ทราบมากนักก็คือพฤติกรรมการขับรถของตนเองว่าปลอดภัยหรือไม่ ความเร็วสม่ำเสมอไหม เหยียบเบรกโดยไม่จำเป็นมากไปหรือเปล่า ประกอบกับคนไทยชอบความสนุก จึงมีการออกแบบระบบเทเลเมติกส์มาติดในรถ พร้อมกับอินเทอร์เฟสเป็นเกม ใครขับได้ดีจะมีรางวัลให้ รวมถึงมีการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยว่า ระบบเทเลเมติกส์นี้จะช่วยให้คนขับรถมีการพัฒนาขึ้นได้บ้างไหม

“เราทดสอบมาแล้วสองปีกว่า โดยใช้กับพนักงานขับรถของเราเอง ซึ่งตอนนี้มีบริษัทผลิตรถใหญ่ติดต่อมา อยากได้ระบบของเราไปติดตั้งเพิ่มเติม คือเขามีเทคโนโลยีเทเลเมติกส์อยู่แล้ว แต่ไม่เคยทำให้มันสนุก ไม่เคยทำเป็นเกม แจกคะแนน แจกรางวัลแบบนี้มาก่อน ซึ่งเราก็มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจเช่นกัน”

จากจุดเด่นด้านการใช้ Data เหล่านี้ บริษัทคาดว่าจะช่วยในการขยายพอร์ตของ Sompo จากเดิมที่มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่นถึง 70% และลูกค้ารายย่อย 30% ให้กลายเป็น 50 – 50 ได้ภายใน 5 ปี รวมถึงคาดหมายว่าจะสามารถสร้างการเติบโต 2 Digits ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ทั้งหมดนี้จึงอาจสะท้อนว่า คำกล่าวอย่าง Data is the new oil ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงอีกต่อไป และหากเราสามารถ Data คอยป้อนเข้ามาในระบบมากเพียงพอ การลุกไหม้ของเชื้อเพลิงตัวใหม่นี้ก็คาดว่าจะรุนแรงทีเดียว

Source

Source

Source

Source

Source

Samsung โชว์ล้ำ! โลกอนาคต 50 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร

$
0
0
Samsung KX ณ Coal Drops Yard

โลกอนาคตอีก 30 – 50 ปีจะเป็นเช่นไร เป็นคำถามที่มีงานวิจัยจำนวนมากคอยบอกเราอยู่เต็มไปหมด แต่ที่ผ่านมาเราอาจไม่สามารถสัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นโดยตรง ซึ่ง Samsung บอกว่าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เลยเปิดตัวพื้นที่อย่าง Samsung KX ขนาด 20,000 ตารางฟุตขึ้นใน Coal Drops Yard ย่านคิงครอส กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สำหรับจัดแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ Samsung คาดว่ามันจะกลายเป็นวัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภคในยุคถัดไป

โดยพื้นที่ดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยเอเจนซีอย่าง Taylor Herring ที่มาช่วยสร้างภาพจากงานวิจัย Samsung KX50 ให้ชัดเจนขึ้น ทั้งวิธีการเดินทาง การกินอยู่ และการเชื่อมต่อกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่ว่ากันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เช่น การเดินทางผ่านอวกาศ ที่จะลดเวลาการเดินทางได้มหาศาล หรือการเล่นกีฬาในท้องฟ้าที่มีลักษณะคล้ายควิดดิชจาก Harry Potter รวมถึงการสร้างตึกสูงที่อยู่ใต้ดินที่มีความสามารถป้องกันแผ่นดินไหวได้ เป็นต้น

กีฬาทางอากาศคล้ายควิดดิชใน Harry Potter
ตึกสูงใต้ดินป้องกันแผ่นดินไหว

เปิด 5 ฐานดิจิทัล ฝึกคนให้คุ้นเคยกับโลกอนาคต

Digital Cockpit หนึ่งในนวัตกรรมที่นำมาแสดงใน Samsung KX

นอกจากนำเสนอภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ Samsung นำมาจัดแสดงคือวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ เช่น จากภาพด้านบนคือ Digital Cockpit ที่จำลองบรรยากาศในห้องโดยสารยุคอนาคตมาฝากกัน และมีการนำผู้ช่วยดิจิทัลอย่าง Bixby ของ Samsung มาคอยให้บริการ โดยผู้นั่งสามารถสั่งการด้วยเสียง รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับสิ่งต่าง ๆ ได้ผ่านจอดิจิทัลในรถยนต์ เช่น การเช็คว่าของสดในตู้เย็นที่บ้านยังมีอยู่หรือเปล่า ฯลฯ

นอกจาก Digital Cockpit แล้ว ก็ยังมีฐานต่าง ๆ ให้สำรวจได้อีก 4 ฐาน ได้แก่ Galaxy Graffiti การวาดภาพกราฟิติรูปแบบใหม่, DJ Galaxy, AR Message Tree และ 3D ME & Collage Me รวมถึงร้านกาแฟเล็ก ๆ ตั้งอยู่ใน Samsung KX ด้วย

Jacqueline de Rojas ผู้อำนวยการของ TechUK และเป็นหนึ่งในผู้เขียนรายงานดังกล่าวชี้ว่า “ในอีก 50 ปีข้างหน้า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมครั้งใหญ่มากกว่าที่พวกเราพบเห็นในปัจจุบัน และความท้าทายของเราก็คือ เราจะเป็นผู้นำในโลกดังกล่าวได้อย่างไร”

ซูเปอร์ไฮเวย์ใต้น้ำ อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Samsung คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้น

จากการสำรวจชาวอังกฤษจำนวน 2,000 คน เพื่อถามความเห็นว่าอยากเห็นอะไรมากที่สุดจากสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทำนายไว้ ผลสำรวจบอกว่า สามอันดับแรกที่คนอยากได้ก็คือ บ้านที่ทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง, การปลูกถ่ายอวัยวะ และ การเดินทางทางอากาศที่รวดเร็ว

“ในฐานะแบรนด์แล้ว นอกจากการผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์อนาคตแล้ว เรายังต้องช่วยผู้บริโภคเตรียมความพร้อมไปสู่อนาคตเหล่านั้นด้วย” Tanya Weller ผู้อำนวยการของ Samsung KX กล่าวปิดท้าย

Source

Source

Skip ไม่ลงแน่ ๆ เฟซบุ๊คเปิดตัว 3 ฟีเจอร์โฆษณาใหม่ “โพลล์-เกม-AR”มัดใจผู้ใช้งาน

$
0
0
ฟีเจอร์ใหม่จาก Facebook สำหรับนักโฆษณา โพลล์, เกม และ AR สำหรับทดสอบผลิตภัณฑ์ 

ในยุคที่นักการตลาดต้องการให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์โฆษณาของตัวเองมากขึ้น Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเจ้าพ่อของการสร้าง Engagement ก็เลยเปิดตัวเครื่องมือใหม่สำหรับช่วยนักการตลาดออกมา 3 ตัวพร้อมกัน ได้แก่ Poll Ads, Playable Ads และ Augmented Reality ads นัยว่าเป็นของเล่นสนุก ๆ ให้ผู้บริโภคได้เล่น แทนที่จะเป็นโฆษณาแบบเดิม ๆ ที่หลายคนจ้องจะกดผ่าน

โดยเครื่องมือใหม่ทั้งสามตัวนี้มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Advertising You Can Play With” ที่อาจสะท้อนได้ว่า Facebook ต้องการโฟกัสไปที่โฆษณาแบบตอบโต้กันได้มากขึ้น

ตัวอย่างของ Poll Ads

ยกตัวอย่างเช่น Poll ads ที่พัฒนามาเพื่อให้แบรนด์สามารถตั้งคำถามกับลูกค้าได้สะดวกขึ้น โดย Poll Ads นี้ ในระยะแรกจะแสดงผลในสองแพลตฟอร์ม นั่นคือ Facebook บนโทรศัพท์มือถือ กับ Instagram Stories ส่วนคอนเทนต์ที่จะนำมาทำโพลล์ได้นั้น ไม่จำกัดแค่ภาพนิ่งอย่างเดียว ภาพเคลื่อนไหวก็สามารถนำมาทำโพลล์ได้เช่นกัน

ตัวอย่างของแบรนด์ที่ทดลองใช้ Poll Ads แล้วได้รับผลตอบรับที่น่าสนใจก็คือห้าง Tesco ที่ขอให้ผู้บริโภคโหวตว่ามันฝรั่งทอดยี่ห้อไหนทำให้คิดถึงวันวานมากที่สุด ระหว่าง Frazzles กับ Skips โดย Tesco จะทำการลดราคายี่ห้อที่ชนะการโหวตให้เป็นการตอบแทน และถือเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของบริษัทด้วย  

Uber กับการใช้ Playable Ads ในอินเดีย

ส่วน Playable Ads หรือโฆษณาที่มีลักษณะคล้ายกับเกม และเล่นได้ ก็ถูก Uber India เอาไปใช้สร้างเกมที่น่ารักทีเดียว กับการสร้างเกมโดยใส่รถประเภทต่าง ๆ ของ Uber ลงมาในเกมแล้วให้ผู้เล่นเลือกใช้ในการเดินทาง (จริง ๆ เกมนี้ต้องการสร้าง Awareness ให้ผู้บริโภครับรู้ว่าจะมีการแข่งขัน Cricket World Cup 2019 เกิดขึ้นที่อังกฤษ ซึ่งสำหรับผู้บริโภคในอินเดีย หากนั่ง Uber ครบตามที่แอปกำหนดก็อาจได้สิทธิลุ้นชิงแพกเกจเดินทางไปร่วมชมมหกรรมดังกล่าวที่อังกฤษ ฯลฯ)

สุดท้ายเป็นโฆษณาที่ใช้เทคโนโลยี AR มาช่วยเพื่อให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านกล้องสมาร์ทโฟนได้ ตัวอย่างเช่น Dior และ Bobbi Brown ที่ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อให้ลูกค้าได้ลองลิปสติกผ่านกล้องหน้าโทรศัพท์มือถือ แถมหากได้รุ่นที่สนใจแล้วยังสามารถพาเข้าไปที่หน้าร้านได้ทันทีด้วย (และจะแชร์ประสบการณ์นี้ให้กับเพื่อน ๆ บน Facebook ด้วยก็ไม่ว่ากัน)

Mark D’Arcy รองประธานฝ่ายการตลาดของ Facebook กล่าวว่า การอัปเดตสำหรับผู้โฆษณาของ Facebook แสดงถึงการยอมรับว่า ผู้ชมก็ถือเป็นผู้สร้างเช่นกัน ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้แบรนด์พูดฝ่ายเดียว โฆษณายุคใหม่ต้องทำให้แบรนด์มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น และต้องตระหนักว่าผู้บริโภคสามารถเลือกที่จะมีส่วนร่วม หรือไม่สนับสนุนเราก็ได้ 

ครีเอทีฟพยายามทำสิ่งเหล่านี้มาหลายปี แต่ Facebook นำสิ่งนี้มาทำให้มันเบาขึ้น และใช้งานง่ายขึ้น” 

โดยตอนนี้ นักโฆษณาสามารถลองเล่นฟีเจอร์ใหม่นี้ได้แล้ว ส่วนโฆษณา AR คาดว่าจะเปิดตัวระดับเบต้าได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ไม่แน่ว่า เจอโฆษณาใหม่ทั้งสามตัวนี้เข้าไป อาจทำให้คนจากที่เคยเบื่อโฆษณา อาจหันกลับมาหลงรักกันได้เลยทีเดียว

Source 

Source

Source

 

Gen Z ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตและท่องเที่ยว มากกว่าการศึกษา การมีบ้าน หรือความมั่นคงหลังเกษียณ

$
0
0

Booking.com​ เผยผลสำรวจ “Gen Z Unpacked : ความตั้งใจของผู้เดินทาง Gen Z ที่พร้อมออกไปสัมผัสโลกกว้างในแบบของตัวเอง“​ เพื่อทราบถึงความต้องการและสิ่งจำเป็นของผู้เดินทางในกลุ่ม Gen Z

โดยการสำรวจชิ้นนี้ Booking.com ทำการสอบถามออนไลน์ไปยังกลุ่มตัวอย่าง 21,807 คน อายุตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป โดย 25% หรือกว่า 5,452 คน ที่เป็น Gen Z มีอายุ 16-24 ปี​​ จาก 29 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี จีน บราซิล อินเดีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย อินโดนีเซีย โคลอมเบีย ​เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ไทย อาร์เจนตินา เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฮ่องกง โครเอเชีย ไต้หวัน เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สิงคโปร์ และอิสราเอล ระหว่าง 1 – 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

 ทำความรู้จักนักเดินทาง Gen Z 

จากข้อมูลจะพบว่า Gen Z มักจะวางแผนชีวิตด้านการท่องเที่ยวไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ต้องการพิชิตให้ได้ภายใน​ 10 ปีนี้ แม้ส่วนใหญ่อาจจะเพิ่งก้าวพ้นจากวัยเด็กมาได้ไม่นาน ซึ่งผลลัพธ์ที่พบจากการสำรวจในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแนวคิดด้านการเดินทางเท่านั้น แต่ยังโยงไปถึงเป้าหมาย และค่านิยมด้านอื่นๆ ที่คนกลุ่มนี้วางเป้าหมายไว้ในชีวิตด้วย

และจากการสำรวจ จะ​พบ 6 ลักษณะเด่น ของคน Gen Z ประกอบด้วย รู้ถึงส่ิงที่ตัวเองต้องการอย่างชัดเจน, ต้องการเดินทางด้วยตัวคนเดียว, ​ให้ความสำคัญกับการเดินทางมากกว่าสิ่งอื่น, มีการแพลนทริปท่องเที่ยวแบบ “ครั้งหนึ่งในชีวิต”, เป็นรุ่นแห่งการตอบแทน และ ขยันอัพเดทโซเชียลมีเดีย โดยแต่ละลักษณะดังกล่าวของ Gen Z มีรายละเอียดดังนี้

1. รู้ถึงส่ิงที่ตัวเองต้องการอย่างชัดเจน

แม้คน Gen Z อาจจะเพิ่งก้าวผ่านจากวัยเด็ก แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้แน่นอนแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร และมักจะมีการวางแผนต่างๆ เพื่อให้สามารถพิชิตเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจไว้เรียบร้อยแล้ว โดยการสำรวจพบว่า 67% จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่รู้ว่าในอนาคตกำลังจะได้เดินทาง และมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องการประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและท้าทายในระหว่างการเดินทาง เช่น เล่นพาราไกลดิ้ง โดดบันจี้จัมพ์ หรือการเดินป่าที่สุดแสนท้าทาย

ขณะที่ 39% วางแผนไว้แล้วว่า อยากจะเดินทางท่องเที่ยวให้ได้อย่างน้อย 3 ทวีป ใน 10 ปี นับจากนี้ โดยมีถึง 30% ที่คาดหวังว่า จะมีโอกาสได้ไปเรียน หรือไปใช้ชีวิตในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ในช่วงทศวรรษนี้
2. พร้อมสำหรับการเดินทางด้วยตัวคนเดียว
นักเดินทาง Gen Z ถึง 34% ที่วางแผนไว้ว่าอยากจะลองเดินทางด้วยตัวเองคนเดียวสักครั้ง ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า และ 18% ที่ตั้งใจจะแบ็กแพ็กไปเที่ยวคนเดียว หลังจากเรียนจบ หรือหากไม่ได้เดินทางไปคนเดียว แต่ก็มีสัดส่วนถึง 33% ที่ชอบหลบไปอยู่คนเดียวในระหว่างทริปการเดินทาง เพราะมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 46% ที่รู้สึกว่า การเดินทางกับครอบครัว หรือมีคนอื่นไปด้วย จะต้องคอยระวังความประพฤติมากกว่าการไปท่องเที่ยวคนเดียว
3. ให้ความสำคัญกับการเดินทางมากกว่าสิ่งอื่น
สำหรับ Gen Z ประสบการณ์จากการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก โดยสัดส่วนสูงถึง 70% ที่ยอมมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะเห็นความสำคัญของการจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางท่องเที่ยว ขณะที่ 60% มองว่า การได้เดินทางเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากพอที่จะลงทุนด้วยเสมอ และมีถึง 47% ที่เห็นความสำคัญของการเดินทางท่องเที่ยวมากกว่า แล้วเลือกที่จะไปประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ทดแทนเพื่อแลกกับการได้ประสบการณ์จากการเดินทางท่องเที่ยว
โดยในมุมมองในการให้ความสำคัญกับมิติต่างๆ ในชีวิตนั้น มีนักท่องเที่ยว Gen Z ถึง 65% ที่ยกให้ “การมีโอกาสได้เดินทางไปสัมผัสโลกกว้าง”​ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากจะต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ ขณะที่ รองลงมาคือ การลงทุนเพื่อการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพต่างๆ ซึ่งมีสัดส่วน 60% เท่ากับการเก็บเงินไว้สำหรับการผ่อนบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ และตามมาด้วยการเก็บเงินไว้เพื่อความมั่นคง สำหรับใช้หลังวัยเกษีนณ ด้วยสัดส่วน 51%
4. มีแพลนเป้าหมายทริปท่องเที่ยวแบบ “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ไว้แล้ว
แม้คน Gen Z จะอายุน้อยแต่ก็มีการวางแผนระยะยาวไว้แล้ว โดยมีถึง 32% วางแผนถึงสุดยอดทริปที่ต้องไปสักครั้งในชีวิตไว้ถึง 5 ทริป ตลอด 10 ปี นับจากนี้
โดยในจำนวนนี้ มีถึง 69% ที่เลือกจะลิสต์ถึงสิ่งที่ต้องห้ามพลาดในการเดินทาง เพื่อมีโอกาสได้ไปทำหรือไปดูสักครั้งในชีวิต ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิง Gen Z สูงถึง 74% และเป็นกลุ่มผู้ชาย Gen Z ที่ราว 64% ขณะที่ 23% รู้สึกพึงพอใจหากได้ไปเยือนสถานที่ตามที่ลิสต์ไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เพิ่มเติมจุดหมายใหม่ๆ เข้าไปอีก รวมทั้งในสัดส่วนที่เท่ากันมองว่า การมีลิสต์เพื่อเตือนให้ทำในสิ่งที่ห้ามพลาด ทำให้ได้รู้จักในแง่มุมต่างๆ ของแต่ละ Destination ได้ดีมากยิ่งขึ้น
5. เป็นนักเดินทางรุ่นแห่งการตอบแทน
นักเดินทาง Gen Z 60% ก็ไม่แตกต่างจากคนในรุ่นอื่นๆ ที่ให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวเลือกด้านการเดินทางที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น เมื่อไปถึงจุดหมาย โดย 56% ต้องการที่พักที่รักษ์โลกหรือมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, 54% ระบุว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเดินทางในจุดหมายต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเดินทาง, 52% เลือกไปเยือนในจุดหมายปลายทางที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากกว่าจุดหมายยอดฮิต หากสามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้น้อยกว่า และ 37% ต้องการสัมผัสประสบการณ์ของการเป็นอาสาสมัคร ในระหว่างที่ไปเที่ยว​
6. โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการเดินทาง 

คน Gen Z เป็นรุ่นแรกที่ได้โตมาเป็นชาวดิจิตอลโดยกำเนิด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะใช้ชีวิตแบบขาดอินเทอร์เน็ตไม่ได้ โดย 53% ให้ความสำคัญกับ Wi-Fi มากที่สุดในช่วงไปเที่ยว ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าคนรุ่นอื่นๆ และคน Gen Z ยังเลือกให้ Wi-Fi เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอันดับต้นๆ ที่อยากได้จากที่พักอีกด้วย

โดยโซเชียลมีเดีย คือสื่อออนไลน์ที่มีผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวของ Gen Z ในแต่ละทริปอย่างสูง เพราะพบว่า Gen Z 45% เลือกที่จะเชื่อถือคำแนะนำของคนที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว อย่างอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้บนโลกออนไลน์  และ 42% จะมีการอัพโหลดภาพถ่ายลงบนโซเชียลมีเดียเสมอตลอดการเดินทาง

และเพราะความโดดเด่นของอินสตาแกรม หรือ IG ในฐานะ Photo Sharing Platform ที่มักจะมีไว้เพื่อโชว์ภาพสวยๆ ​ขณะที่ภาพหนึ่งภาพก็สามารถช่วยบรรยายหรือให้ข้อมูลต่างๆ ได้นับพัน ทำให้คน Gen Z ถึง 40% เลือกที่จะใช้ IG เป็นแหล่งในการสร้างแรงบันดาลใจว่าจะไปท่องเที่ยวท่ีไหนดี และ 1 ใน 4 หรือ 25% ของคน Gen Z ถ่ายรูปมากกว่า 50 รูปต่อวันในทริปวันหยุด แม้ครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของ Gen Z จะรู้ตัวดีว่า มีการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปในระหว่างเดินทางก็ตาม

 ​Gen Z ไทยหาข้อมูลเรื่องเที่ยวผ่าน Hashtag 
สำหรับกลุ่ม Gen Z ชาวไทยแล้ว IG ก็ถือเป็นโซเชียลมีเดียยอดฮิตอันดับต้นๆ สำหรับการหาแรงบันดาลใจเพื่อใช้ตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีเช่นเดียวกัน ​โดยชอบที่จะหาข้อมูลท่องเที่ยวผ่านแฮชแท็ก โดยเฉพาะ #travel และ #inspo’ 
ทั้งนี้ ยังพบว่าผู้หญิงไทยในกลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มจินตนาการภาพทริปพักผ่อนครั้งถัดไประหว่างเลื่อนดูโซเชียลมีเดียถึง 39%​ ทิ้งห่างจากค่าเฉลี่ยของคนใช้อินสตาแกรมทั่วประเทศ ที่อยู่ในระดับ 31% และบรรดากลุ่มคนในยุคมิลเลนเนียล ที่อยู่ในระดับ 36%
นอกจากนี้ยังพบว่า มากกว่าครึ่ง หรือ 51% ของชาวไทยในกลุ่ม Gen Z เชื่อถือคำแนะนำอินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ โดย Gen Z ไทยมากกว่าครึ่ง หรือ 64% ชอบดูโพสต์และภาพถ่ายเกี่ยวกับการเดินทางบนโซเชียลมีเดีย และเมื่อต้องตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ก็เลือกที่จะตรงไปดูฟีดของตัวเอง โดยที่ 30% ของคนวัยนี้เลือกให้ฟีดบนโซเชียลมีเดียเป็นแหล่งในการสร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดด้านการเดินทาง ​
และหากต้องเลือกในการไปเยือนยังจุดหมายใหม่ๆ ​Gen Z ชาวไทย​ 60% กล่าวว่า ได้รับอิทธิพลมาจากอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย และ 51% เชื่อถือคำแนะนำด้านการเดินทางของอินฟลูเอนเซอร์

ขณะที่แรงบันดาลใจสำหรับคน Gen Z ไม่ได้มาจากแค่หน้าจอสมาร์ทโฟนเท่านั้น เพราะผู้ทำแบบสอบถาม 28% ระบุว่าได้แรงบันดาลใจเรื่องจุดหมายในการเดินทาง จากการดูภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ ซึ่งทำให้อยากไปเห็นสถานที่ดังกล่าวด้วยตาตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำด้านการเดินทางมาจากสังคมออฟไลน์ด้วยเช่นกัน โดย 25% หาข้อมูลวงในจากกลุ่มเพื่อน

ขยันถ่ายภาพลงโซเชียล

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าฟีดของอินฟลูเอนเซอร์หรือของตัวเอง Gen Z ชาวไทยกว่า 60% ต่างสนใจในการเดินทางไปจุดหมายที่ถ่ายภาพออกมาดูดี และมีถึง 56%​ ที่นิยมอัพโหลดภาพจากทริปลงโซเชียลมีเดียเสมอ แต่ก็ยังน้อยกว่าผู้ใช้ยุคมิลเลนเนียล ที่อัปโหลดรูปลงโซเชียลมีเดียถึง 67% เลยทีเดียว

ตามข้อมูลยังเห็นว่า Gen Z จำนวน 1 ใน 4 หรือ 26% รู้สึก​ “สนุกกับการถ่ายรูป” และในแต่ละทริปจะถ่ายภาพมากกว่า 50 ภาพต่อวันในช่วงที่ไปเที่ยว รวมทั้ง 56% ชอบแชร์ภาพแบบสาธารณะบนโซเชียลมีเดีย

แต่อย่างไรก็ตามยังมี Gen Z ชาวไทย จำนวนมากกว่าครึ่งเช่นเดียวกัน ​ที่คิดว่ามีการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปในตอนที่อยู่ระหว่างการเดินทาง ​โดยพบว่า 29% ถ่ายภาพโดยฉเลี่ยแต่ละวันอยู่ที่ 10-30 ภาพ โดยหนึ่งในสี่ หรือ 26%​ สนุกกับการถ่ายภาพ และถ่ายภาพมากกว่า 50 ภาพต่อวัน

อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นของคน Gen Z ไม่ได้มีเพียง IG เท่านั้น เพราะคนกลุ่มนี้ก็ตระหนักถึงความสำคัญของประสบการณ์ที่ได้จากไปเที่ยว โดย 69%​ กล่าวว่า อยากโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและดื่มด่ำกับช่วงเวลาต่างๆ แทนที่จะเอาแต่ถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดีย เรียกได้ว่าภาพถ่ายสำหรับลงโซเชียลนั้นเป็นเพียงของแถมจากการเดินทาง ​ขณะที่อีกหลายคนต่างก็อยากใช้ชีวิตแบบออฟไลน์ เพราะกว่าครึ่งหรือ 53% มองว่ามีการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปในช่วงเดินทาง ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพฤติกรรมการชอบใช้ หรือ “ถูกใจ” โซเชียลมีเดียของคน Gen Z แต่การก้มหน้าดูจอ คงไม่สามารถขัดขวางประสบการณ์การเดินทางของจริง ในชีวิตจริงของพวกเขาได้ในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

TCP ชวนคนรุ่นใหม่เข้าใจปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมที่ต้นเหตุ กับโครงการ “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ”

$
0
0

คนเมืองอย่างพวกเรา เวลาได้ยินข่าวปัญหาภัยแล้ง เกษตรกรเดือดร้อน พืชสวนไร่นายืนต้นตาย คงได้แต่รับฟังผ่านๆ เพราะคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไกลตัวเกินไป แต่ถ้าปีไหนฝนตกหนักกระหน่ำซ้ำเติมด้วยน้ำเหนือไหลบ่าอีก กรุงเทพฯจะกลายเป็นทะเลทันที นั่นจึงถือเป็นความทุกข์แสนสาหัสของคนเมือง

แต่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรหรือคนเมือง  ล้วนสืบเนื่องมาจาก “น้ำ”ทั้งสิ้น

นี่คือสัญญาณเตือนให้เราทุกคนต้องหันมาสนใจปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างจริงจังเสียที เพราะมีหลายมิติและกระทบกับทุกคนไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน เพราะยังมีอีกหลายคนไม่ทราบว่าที่จริงแล้ว ปริมาณฝนที่ตกลงมาในประเทศไทยนั้นมีจำนวนมาก แต่สามารถกักเก็บไว้ได้เพียง 5.7% ของฝนที่ตกลงมาเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลายประการที่ทำให้เราบริหารจัดการน้ำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ

ประเด็นสำคัญของปัญหาเรื่องน้ำคือ “ลุ่มน้ำ” หรือพื้นที่รับน้ำฝนกำลัง “ป่วย” แต่พื้นที่ลุ่มน้ำกลับไม่ได้รับการพยาบาลดูแล น้ำจำนวนมากจึงไหลลงมาท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่เศรษฐกิจ สร้างความเสียหายจำนวนมาก

นี่คือแรงบันดาลใจให้กลุ่มธุรกิจ TCP จัดงานอาสาสมัคร “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ” ขึ้น โดยกิจกรรม “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ #1” ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “TCP โอบอุ้มลุ่มน้ำไทย” อันเป็นโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการบริหารจัดการแหล่งน้ำที่หลากหลายของลุ่มน้ำไทย เพื่อเดินหน้าสร้างสมดุลน้ำ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน

กิจกรรม “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ #1” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 2 กันยายน ที่ผ่านมา โดยนำผู้เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน ไปเรียนรู้เรื่องความสำคัญของการดูแลลุ่มน้ำ เริ่มจากทำความเข้าใจและศึกษาต้นน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตามกิจกรรมของ TCP Spirit ไม่ได้พาคนไปปลูกป่าหรือเปลี่ยนแปลงสภาพป่า แต่เป็นการเดินป่าอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบระบบนิเวศน์ โดยเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นหน่วยจัดการต้นน้ำสบสายและชุมชนต้นน้ำน่าน อ.วังผา จ.น่าน

นอกจากนี้ เทคนิคการบริหารจัดการน้ำต่างๆ ที่ได้แบ่งปันให้กับอาสาสมัคร TCP Spirit “พยาบาลลุ่มน้ำ” กว่า 100 ชีวิตนั้น เป็นการแนะนำให้ทำในพื้นที่ส่วนตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเพาะปลูก หรือคนเมืองที่มองเห็นโอกาสในการเก็บน้ำเพื่อใช่ในชีวิตประจำวัน โดยกิจกรรมที่ผ่านไปนั้น ก็เกิดขึ้นในพื้นที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่เอกชน

เมื่อลุ่มน้ำป่วย ต้องการพยาบาลมาดูแลด่วน

พื้นที่ป่าต้นน้ำจังหวัดน่านมีความสำคัญมาก เพราะเป็นพื้นที่รับน้ำฝนขนาดใหญ่ที่ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาถึง 40 % ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาป่าต้นน้ำจังหวัดน่านถูกบุกรุกอย่างรวดเร็วเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรและปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่น ยางพารา ข้าวโพด เป็นต้นจนเกิดปัญหาเขาหัวโล้น  เมื่อถึงฤดูฝนทำให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้าดินและดินโคลนถล่มป่าน่านจึงถูกยกให้เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องรีบเร่งแก้ไข

โดยทริปนี้จุดหมายปลายทางเพื่อร่วมด้วยช่วยกันดูแลป่าต้นน้ำ คือหน่วยจัดการต้นน้ำสบสาย และชุมชนต้นน้ำน่าน อ.ทาวังผา จ.น่าน ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีปัญหาอย่างหนัก ส่วนวิธีการ “ดูแล” หรือ “พยาบาลลุ่มน้ำ” นั้น ปรีชา รอดเพชร

หัวหน้าหน่วยฯ เป็นผู้ให้ความรู้ถึงความเป็นมาของหน่วยจัดการต้นน้ำสบสาย รวมถึงปัญหาของป่าต้นน้ำและเรียนรู้แนวทางแก้ไขปัญหาในระดับภาครัฐและชุมชน

จากนั้นได้พาไป “เดินป่าศึกษาธรรมชาติ” ระยะทางไปกลับ 4 กิโลเมตร ซึ่งในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นสวนลำไย และยางพารา

แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นภูเขาหัวโล้นที่มีแต่ความแห้งแล้ง มีสารเคมีตกค้างในดินและน้ำ ทางศูนย์จึงได้ริเริ่มการปลูกต้นไม้ หลากหลายชนิดเพื่อฟื้นฟูป่าตามแนวคิดปลูก 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง รวมถึงการปลูกป่า 5 ระดับเพื่อกินเพื่อใช้สร้างที่อยู่อาศัย และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมมีการปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมกับการเก็บน้ำด้วยการขุดหนองคลองและปรับนาให้เป็นคันกว้างและลึกมีคลองไส้ไก่ขนาดเล็กเพื่อกระจายความชุ่มชื้นในดิน

ถ่ายทอดองค์ความรู้จาก”ชุมชน” สู่ ”คนเมือง”

โครงการ “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ” มุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้จากภูมิปัญญาและประสบการณ์จริงของคนในท้องถิ่น จึงพาอาสาสมัครไปลงมือทำงานที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่าน โดยมีคุณกุล ปัญญาวงศ์ ผู้ก่อตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่าน มาเป็นวิทยากรแบ่งปันความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำที่คนเมืองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น

แท็งค์น้ำไม้ไผ่  คนเมืองคุ้นชินกับแท็งก์สแตนเลสขนาดใหญ่เก็บน้ำ แต่วิถีของชุมชนต้นน้ำน่านสร้างแท็งก์น้ำไม้ไผ่ให้เป็นเครื่องมือเก็บน้ำฝนให้ได้ปริมาณมาก โครงด้านในทำจากไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นภาคเหนือ นำมาสานกันเหมือนตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 6- 7 เมตรโบกปูนทับอีกชั้น เพื่อความแข็งแรงทนทานสามารถเก็บน้ำได้ประมาณ 1.7 แสนลูกบาศก์เมตร วิธีการทำไม่ซับซ้อนและถือเป็นแท็งค์น้ำตามธรรมชาติที่ใช้ต้นทุนต่ำมาก

นอกจากนี้ยังมีการใช้โซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำขึ้นไปเก็บไว้ และทำระบบท่อน้ำใต้ดินแรงดันสูงเพื่อนำไปใช้ในครัวเรือน เมื่อมีน้ำล้นออกมาก็จะไหลล้นลงบนดินไปตาม ‘คลองไส้ไก่’ ที่ขุดไว้โดยรอบช่วยกระจายความชื้นให้พื้นดินได้

‘คลองไส้ไก่’ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทําคลองน้ำเล็กๆ ในที่ดินของตนเองเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับพื้นดินและกักเก็บน้ำฝนที่ตกลงมา ซึ่งขนาดของคลองขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้สอย หากมีมากก็ขุดคลองไส้ไก่ให้กว้างขึ้นและขุดให้คลองเล็กๆ เหล่านี้  เชื่อมต่อกันทั้งหมดเพื่อให้น้ำไหลไปรวมกันในหนองที่ขุดไว้ นอกจากจะช่วยกักเก็บน้ำแล้ว ยังกระจายความชุ่มชื่นไปพื้นที่รอบๆ ประโยชน์ของคลองไส้ไก่ช่วยให้พืชผักและต้นไม้บริเวณนั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดปีและเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย

บ่อน้ำรูปทรงเลียนแบบธรรมชาติ บ่อนี้ขุดเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี จะมีความคดโค้ง มีระดับชัน ความตื้นลึกที่แตกต่างกันไปเพื่อให้แสงแดดส่องถึงและเป็นที่อยู่ให้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น สาหร่าย ปลา ซึ่งการกักเก็บน้ำในหนองต้องคํานึงถึงปริมาณน้ำที่จะระเหยออกไปด้วย ดังนั้นก่อนขุดหนองจะต้องมีการคำนวณขนาดของหนองให้สามารถเก็บกักน้ำได้พอกับปริมาณที่ต้องการใช้งาน

หัวคันนากินได้” ทำนาด้วยการยกหัวคันนาให้สูงและกว้าง นาที่ทำจึงเป็นนาน้ำลึก ใช้น้ำควบคุมหญ้า ทําให้ข้าวในนาได้ผลผลิตดี แถมยังเลี้ยงปลา กุ้ง สัตว์น้ำต่างๆ ในนาได้ ส่วนบนหัวคันนาก็ยังสามารถปลูกพืชอย่างอื่นได้อีกส่วนมากเน้นปลูกของกิน ผักผลไม้ ถ้าปลูกได้ผลผลิตมากพอเหลือกินจึงนำขายไปแบ่งปันคนอื่นได้ เรียกได้ว่าเป็นหัวคันนาทองคําที่ให้ประโยชน์มากมาย

กิจกรรมครั้งนี้ ดีต่อใจในแง่ที่ว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติ แหล่งน้ำที่งดงามและสงบสวย อีกทั้งเมื่อได้ลงมือทำงานก็ทำให้เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งถึงแก่น สร้างความเปลี่ยนแปลงในมุมมองและพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างยั่งยืน

ติดตามกิจกรรม “TCP Spirit พยาบาลลุ่มน้ำ” จากกลุ่มธุรกิจ TCPผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของเมืองไทยและของโลก เช่นกระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ สปอนเวอร์ แมนซั่ม และเพียวริคุ รวมทั้งแบรนด์ขนมขบเคี้ยวซันสแนค ครั้งต่อไปได้เร็วๆ นี้ที่เฟซบุ๊ค TCPGroupThailand และ www.tcp.com

 

King Power สานต่อเจตนารมณ์ คุณวิชัยฯ แจกไม่หยุด “ฟุตบอลล้านลูก” สานฝันเด็กไทย

$
0
0

สิ้นสุดลงไปแล้ว สำหรับโครงการ “ล้านลูกล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ปี 2562” กิจกรรมมอบลูกฟุตบอลให้กับเยาวชนที่มีหัวใจรักกีฬา กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ (King Power) ที่มุ่งมั่นจัดกิจกรรมดีๆ ตอบแทนสังคม มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังจากประเดิมโรงเรียนหนองน้ำส้มวิทยาคม จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ได้ทยอยส่งมอบลูกฟุตบอลสู่มือเยาวชนไปแล้วกว่า 514 โรงเรียน 8 ชุมชน ใน 77 จังหวัดของประเทศไทย

ก่อนจะปิดท้ายโครงการในปีนี้ โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย จ.สมุทรคราม โดยมีเยาวชนกว่า 1,000 คนที่มารอรับลูกฟุตบอลอย่างคึกคัก ซึ่งในครั้งนี้ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ชวนนักร้องหนุ่ม “กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ” ผู้มีหัวใจนักเตะมาร่วมมอบลูกฟุตบอลให้กับน้องๆด้วย โดยหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า นอกจากหนุ่มกันจะเป็นนักร้องเสียงดีแล้ว ยังเป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก โดยอดีตเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี และยังได้รับคัดเลือกเข้าแคมป์ฝึกซ้อมกับนักฟุตบอลทีมชาติมาแล้วอีกด้วย

“วันนี้รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้เป็นตัวแทนมอบลูกฟุตบอลให้กับน้องๆ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสานต่อความฝันของน้องๆที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลด้วย ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่เรียนอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีโอกาสเป็นนักกีฬาของโรงเรียน และมีความฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย โดยทุกวันจะฝึกซ้อมกีฬาร่วมกับคุณพ่อ เพื่อไปคัดเลือกตามโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับฟุตบอล ตอนนั้นถ้าเรารู้ว่าอนาคตกีฬาฟุตบอลจะเป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้ คงเป็นนักฟุตบอลไปแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ เดินตามความฝันต่อไป”

นอกจากกิจกรรมมอบลูกฟุตบอลแล้ว หนึ่งในไฮไลท์ของงานที่สร้างความสุขและความสนุกให้กับเด็กๆ คือเกมการแข่งขันเตะฟุตบอลระดับมินิสุดมันส์ ระหว่างทีมของกัน ณภัทร และน้องๆ สิงห์นักเตะประจำสมุทรสงคราม ที่เรียกเสียงเชียร์จากเด็กๆ จนดังทั่วทั้งสนาม เมื่อจบการแข่งขัน ปรากฏว่าทีมของกัน ณภัทรสามารถเอาชนะไปได้

โครงการ “ล้านลูกล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย” ถือเป็นโครงการเริ่มต้นจุดประกายและส่งต่อความฝันให้กับเยาวชนที่มีใจรักกีฬาฟุตบอล ด้วยความริเริ่มของ “คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา” อดีตประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และอดีตประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) ที่มีความตั้งใจและมุ่งหวังให้เยาวชนไทยได้มีลูกฟุตบอลดีๆเป็นของตนเอง เพื่อไว้สำหรับการพัฒนาทักษะด้านกีฬาฟุตบอล และต่อยอดให้เกิดความสำเร็จในชีวิต

นอกจากโครงการมอบลูกฟุตบอลแล้ว กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังจัดทำอีกหลายโครงการ เพื่อสนับสนุนเยาวชนด้านกีฬาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โครงการ “100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย” โดยการมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมาตรฐานระดับสากล ขนาด 7 คน ให้กับโรงเรียนและชุมชนที่ได้รับการคัดเลือก โดยโครงการนี้จะเปิดรับสมัครช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคมของทุกปี โดยปัจจุบันได้ส่งมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมไปแล้วว่า 60 สนามทั่วประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และวางเป้าหมายที่จะส่งมอบให้ครบ 100 สนามในปีต่อๆไป

ไม่หยุดอยู่แค่นั้น กลุ่มคิง เพาเวอร์ อยากเห็นเยาวชนไทยก้าวขึ้นไปสู่การเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศในเวทีระดับโลก เกิดเป็นโครงการ “Fox Hunt ตามล่าจิ้งจอก สายพันธุ์สยาม” ค้นหาเยาวชนไทยที่มีความสามารถและทักษะทางด้านฟุตบอลที่โดดเด่น ให้ได้ไปเรียนรู้และพัฒนาการเล่นฟุตบอลอย่างมืออาชีพกับครูฝึก และนักเตะอาชีพระดับโลกภายใต้หลักสูตรของ “เลสเตอร์ ซิตี้ อคาเดมี” (Leicester City Academy) ที่ประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่ง โดยล่าสุด ได้ส่ง Fox Hunt รุ่นที่ 4 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยความหวังว่าเมื่อเยาวชนเหล่านี้กลับมาจะกลายเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าให้กับทีมสโมสรในประเทศไทย และในระดับทีมชาติทุกรุ่น ตลอดจนก้าวไปสู่สโมสร OHL Leuven ที่ประเทศเบลเยียม และสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม โครงการ ล้านลูกล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย มีเป้าหมายที่เดินหน้ามอบลูกฟุตบอลให้กับเยาวชนทั่วประเทศปีละ 2 แสนลูกจนครบ 1 ล้านลูกในระยะเวลา 5 ปี น้องๆในจังหวัดต่างๆ สามารถติดตามโครงการและกิจกรรมเพื่อสังคมของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ได้ที่เฟสบุ๊ค King Power Thai Power  หรือ

#KingPowerThaiPowerพลังคนไทย

#WeBelieveInThaiPower

#เชื่อในพลังคนไทย

#บริษัทคนไทยที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย

 


กระทรวงวัฒนธรรม จัดโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ปี 62 นำ 61 อำเภอ จาก 4 จังหวัด มาถอดรหัสอัตลักษณ์ท้องถิ่น ชูแนวคิด 4DNA สร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต [PR]

$
0
0

เมื่อเร็วๆนี้ ที่บริเวณไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบ ภายใต้ “โครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม” ปี 2562

โดยกล่าวว่า “สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำโครงการฯ ขึ้น เพื่อเป็นการนำกระบวนสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยมาพัฒนาศิลปวัฒนธรรมที่มีในชุมชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการอนุรักษ์รักษาศิลปะวัฒนธรรม ไปพร้อมกับพัฒนาและต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่อย่างมากมายให้เกิดมูลค่าเพิ่ม สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยใช้การค้นหาและถอดรหัสอัตลักษณ์ของแนวคิดศาสตร์ 4 DNA ซึ่งเป็นการคิดรอบด้านมีหลักสำคัญคือค้นหาตัวตนของแต่ละชุมชนจากมิติต่างๆ นำมาศึกษา วิเคราะห์ ออกแบบ พัฒนาสินค้า และบริการทางวัฒนธรรมในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ตราสินค้า โลโก้ โทนสี ลวดลายผ้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบตกแต่งภายใน ฯลฯ ซึ่งผลงานที่เกิดขึ้นจะมีความทันสมัยและเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งเสริมเศรษฐกิจของผู้ประกอบการในชุมชนในให้เติบโต โดยโครงการฯ ดังกล่าว จัดทำขึ้นภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันของภาครัฐ เอกชน และประชาชนในแต่ละจังหวัด เสริมสร้างความสัมพันธ์ของประชาชนในทุกภาคส่วน

โดยในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินโครงการฯ ใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัด พิษณุโลก ระยอง สมุทรสงคราม และนครศรีธรรมราช รวมทั้งสิ้น 43 อำเภอ ทำให้ได้ผลงานการออกแบบที่โดดเด่น มีการเผยแพร่องค์ความรู้ และการพัฒนาต่อยอดไต้อย่างเป็นรูปธรรม นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่จังหวัด อาทิ การออกแบบผลิตภัณฑ์และสินค้า การตกแต่งภายใน โล่รางวัล และอื่น ๆ สร้างรายได้แก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปี 2562 มี 4 จังหวัดที่เข้าร่วม ได้แก่ สมุทรสาคร นครราชสีมา เชียงราย และเพชรบุรี รวม 61 อำเภอ ซึ่งเป็นผลงานต้นแบบที่ได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ และเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ทางสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) ยังได้ร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในการให้ความรู้แก่ชุมชนเพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการทำข้อตกลงโอนลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการให้กับจังหวัดพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับมอบ ซึ่งผลงานที่ได้รับนั้นจะได้นำไปใช้สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป”

ด้าน นส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กล่าวว่า “สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจโดยตรง ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร และจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการให้ความรู้กับประชาชนหรือชุมชน ที่จะพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมด้วยงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผ่านกระบวนการวิเคราะห์และถอดรหัส ด้วยศาสตร์ 4DNA ซึ่งโครงการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยเพื่อต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม นับเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศโดยใช้มิติทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นต้นน้ำ นำมาต่อยอดสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ ไปสู่การออกแบบในหลากหลายมิติ  เป็นการตอบโจทย์ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานด้านศิลปวัฒนธรรม ที่มุ่งหวังให้เป็นแนวทางในการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรม เป็นการประยุกต์ใช้อัตลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้แล้ว  ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของคนในสังคมในทุกภาคส่วน ได้เกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเองด้วย”

ผศ.เอกพงษ์ ตรีตรง  อดีตคณบดีคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร  ผู้คิดค้นแนวคิดศาสตร์ 4 DNA  กล่าวว่า  “โลกกำลังเข้าสู่ยุค City Branding หากเราไม่เริ่มสำรวจอัตลักษณ์ประจำเมือง ก็จะถูกเมืองที่มีศักยภาพสูงหรือมีการลงทุนมากกว่า กลืนกินในไม่ช้า ซึ่งแนวคิดศาสตร์ 4 DNA เป็นการสำรวจและวิจัยตั้งแต่พฤติกรรมของคนจนถึงระดับวัฒนธรรม และได้แปลงข้อมูลทั้งหมดให้กลายเป็นคอนเซ็ปท์ของแต่ละชุมชน จนทำให้เกิดอัตลักษณ์ประจำถิ่น ที่สามารถประยุกต์ใช้สร้างแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจในหลากหลายมิติ มีเรื่องราวให้คนในท้องถิ่นเกิดความภาคภูมิใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า 4 DNAคือการระดมความคิดจากทุกภาคส่วนในการกำหนดอัตลักษณ์ อาทิ ภูมิประเทศ สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ สังคม เศรษฐกิจ จากนั้นนำไปสู่การออกแบบรอบทิศ ได้แนวทางศาสตร์ 4 DNA เฉพาะแต่ละชุมชนในการไปใช้ประโยชน์รอบด้าน”

ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าว ทางกระทรวงวัฒนธรรม ได้มีการผลักดันให้เกิดประโยชน์ในระดับมหภาคมากยิ่งขึ้น โดยกำลังร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงพาณิชย์, การท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทย ในการนำผลงานการออกแบบนำไปต่อยอดด้านเศรษฐกิจให้กับชุมชน ซึ่งในปี 2563 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้มีแนวทางในการต่อยอดในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจ, เมืองรอง และเมืองการท่องเที่ยวที่สำคัญ เพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาไปสู่ Creative City  และการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) ในพื้นที่จังหวัด ชลบุรี ภูเก็ต สุโขทัย และราชบุรี ต่อไป

N Health เปิดศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์รองรับกลุ่มเป้าหมายตลาด EEC พร้อมดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนจังหวัดระยอง [PR]

$
0
0

นายณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด (N Health) เปิดเผยว่า N Health ผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนทางการแพทย์และธุรกิจโรงพยาบาล ให้กับโรงพยาบาลชั้นนำ ครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 50 สาขา ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ เปิดศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ สาขาจังหวัดระยอง เพื่อรองรับกับการขยายตัวของโรงพยาบาลต่างๆตามโครงการสำคัญอย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ที่ภาครัฐมุ่งหวังให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งลงทุนหลักของประเทศ ซึ่งมีความพร้อมด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และ นิคมอุตสาหกรรม

สำหรับ N Health สาขาระยอง พร้อมให้บริการสนับสนุนทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง จะให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ อย่างเช่น การตรวจด้านเวชะศาสตร์ชะลอวัย การตรวจสารพิษและโลหะหนักสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารเคมีชนิดต่างๆ บริการตรวจสุขภาพพื้นฐาน รวมถึงการตรวจพันธุกรรมที่ตอบสนองตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองเทรนด์ดูแลสุขภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะแนวคิดการตรวจสุขภาพเริ่มเปลี่ยนจากเดิมที่ต้องการค้นหาโรค มาเป็นการตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันโรคและเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง

N Health ได้เข้ามาตั้งศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ที่จังหวัดระยอง จะช่วยสนับสนุนการด้านการสาธารณสุขรวมไปถึงการบริการทางการแพทย์แบบครบวงจร โดย N Health พร้อมจะให้บริการแก่ชาวระยองและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเต็มรูปแบบ โดยมองว่า จังหวัดระยองมีการพัฒนาอย่างยิ่งในด้านต่างๆ รวมถึงวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่นี้ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจังหวัด

“ปัจจุบันธุรกิจประเภทเฮลท์แคร์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากผู้คนให้ความใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้นและประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  ขณะที่นโยบายภาครัฐก็มีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (เมดิคัล ฮับ) การสานต่อนโยบาย EEC จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพในเชิงการแข่งขัน ผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยได้เติบโตอย่างยั่งยืนและยาวนาน”  ประธานคณะผู้บริหาร N Health กล่าว

 

Ever Lash Studio ยกระดับดวงตาคู่สวยด้วยการต่อขนตา สวยมีเสน่ห์ตอบโจทย์ความเป็นคุณกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม 999.- [PR]

$
0
0

Ever Lash Studio สตูดิโอเฉพาะทางด้านขนตาและคิ้ว นำโดย กัญญารัตน์ วรรณอาภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาลอน แมเนจเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด พร้อมให้บริการแล้ววันนี้กับบริการที่หลากหลายตอบโจทย์สาวๆทุกท่าน ได้สวยครบจบในทีเดียวในเรื่องความงามของขนตาและคิ้ว

โดยล่าสุด Ever Lash Studio มอบสิทธิพิเศษแก่กลุ่มลูกค้า จัดโปรโมชั่นเอาใจเหล่าบิวตี้เลิฟเวอร์ที่รักสวยรักงาม กับโปรโมชั่น ราคาเพียง 999 บาท โดยการต่อขนตาเทคนิคเส้นต่อเส้นด้วยขนตารุ่น Premium Mink หรือ ลิฟขนตาพร้อมบำรุงด้วย Elleebana Lerating Lash Lift และนอกจากนี้ยังมีราคาพิเศษสำหรับผู้ที่มาใช้บริการแบบโปรโมชั่นแพ็คคู่ โดยจ่ายเพียงท่านละ 750 บาท  เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  กับบริการจากทาง Ever Lash Studio กับ  4 สาขา อาทิ สยามสแควร์ (ตึกลิโด้ คอนเนค ชั้น 2), ทองหล่อ (ตึกอเนกวณิช ชั้น 3 ข้าง Market Place), อโศก (ตึก GMM Grammy ชั้น B2), พระรามเก้า (เซ็นทรัลพระรามเก้า ชั้น B2)  สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/everlashstudio/หรือ https://line.me/R/ti/p/%40everlashstudio

LEGO Rebuild the World เมื่อของเล่นขอมีส่วนร่วมสร้างโลกใหม่

$
0
0
รูปปั้นวัวอันโด่งดังในเบอร์มิงแฮม

ใครจะคิดว่าของเล่นจะชวนเรามาสร้างโลกใหม่ด้วยกัน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วกับของเล่นตัวต่อยอดฮิตอย่าง Lego ที่ได้เอเจนซีฝีมือดีอย่าง BETC มาร่วมผลักดันให้มันเป็นจริงในชื่อแคมเปญ Rebuild the world โดยว่ากันว่านี่คือแคมเปญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Lego ในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว

เหตุที่ BETC เกิดไอเดียดังกล่าวและนำไปเสนอกับ Lego จนได้ทำแคมเปญนี้ มาจากการเห็นเด็ก ๆ ในปัจจุบันหยิบไอแพดมาเล่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะเป็นของเล่นที่เหมาะกับวัย เพื่อเรียกโลกใบเดิมที่เหมาะกับเด็ก ๆ กลับมา Rémi Marcelli ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง BETC เลยมองว่า ของเล่นอย่างตัวต่อ Lego น่าจะมีพลังมากที่สุดในการหยุดยั้งเทรนด์นี้ เพราะ Lego เป็นแบรนด์ของเล่นแบรนด์เดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 แบรนด์ที่ชาวอังกฤษชื่นชอบมากที่สุดประจำปี 2019 แถมยังอยู่ในอันดับ 1 ของตารางเสียด้วย

(การสำรวจ Superbrand ประจำปีนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามเป็นนักช้อปชาวอังกฤษและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม 2,500 คน โดยร่วมตัดสินแบรนด์จากความน่าเชื่อถือ, คุณภาพของสินค้า และความโดดเด่น ซึ่งหากเรียงลำดับ 10 แบรนด์ในตารางได้แก่ Lego, Apple, Gillette, Rolex, British Airways, Coca-Cola, Andrex, Mastercard, Visa และ Dyson)

สิ่งที่แคมเปญนี้ทำ นอกจากจะมีคลิปวิดีโอแล้ว ทาง Lego ยังได้ไปเช่าพื้นที่สำคัญ ๆ ในอังกฤษถึง 7 แห่งเพื่อนำเสนอ “โลกใหม่” ในมุมของ Lego ด้วย ดังภาพที่เรานำมาฝากกัน

รูปปั้นเด็กผู้หญิงกับปลาโลมา
รูปปั้นโรบินฮู้ดก็ถูก Rebuild ด้วย
ตู้โทรศัพท์สีแดง อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของอังกฤษก็ไม่พ้น

โดยหลังจากแคมเปญนี้จบลง สิ่งที่ Marcelli มองว่า Lego จะได้รับกลับมาก็คือมุมมองที่เปลี่ยนไป และเชื่อว่าภายใน 4 ปี Lego จะทรานสฟอร์มตัวเองจากของเล่นเด็กสู่การเป็นเครื่องมือเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ซึ่ง World Economic Forum มองว่า ทักษะดังกล่าวจะเป็นหนึ่งใน 3 ทักษะที่จำเป็นต้องมีหลังจากปี 2020 เป็นต้นไป

Source

Source

Source

Source

 

ศึกแห่งแรงบัลดาลใจรอบใหม่ ฟีเจอร์ Clips ใน Instagram ช่างคล้าย “TikTok”

$
0
0

หากย้อนหลังไปเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน ดราม่าวงการโซเชียลมีเดียที่เราได้ยินบ่อย ๆ มักหนีไม่พ้นเรื่องของการได้รับแรงบันดาลใจจากฟีเจอร์ใดฟีเจอร์หนึ่งของคู่แข่ง แล้วนำมาปรับใช้กับแพลตฟอร์มของตัวเอง เช่นกรณีของ Facebook กับ Snapchat อันลือลั่น ล่าสุดใน พ.ศ.นี้ ดูเหมือนว่า Snapchat จะไม่ได้เป็นฝ่ายสร้างแรงบันดาลใจให้ Facebook อีกแล้ว หากแต่เป็นแพลตฟอร์มน้องใหม่มาแรงอย่าง TikTok แทน

โดยผู้ที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ Reverse Engineer คนดังอย่าง Jane Manchun Wong ที่เคยพบความพิรุธมาแล้วในหลาย ๆ เคส และครั้งนี้เธอออกมาบอกว่า Instagram กำลังได้แรงบันดาลใจจากฟีเจอร์ของ TikTok มาพัฒนาเป็นเครื่องมือใหม่เพื่อใช้กับแพลตฟอร์มตัวเองเช่นกันในชื่อ Clips

โดยฟีเจอร์ Clips ของ Instagram นั้น เมื่อได้คลิปมาแล้ว ก็สามารถใส่เพลง ปรับความเร็ว ฯลฯ ให้กับคลิปได้ไม่ต่างจากที่ TikTok ทำได้

สิ่งที่มีการวิเคราะห์กันต่อมาก็คือ เหตุใด ปรากฏการณ์ “ได้รับแรงบันดาลใจ” จึงเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น ซึ่งคำตอบของคำถามนี้อาจเป็นเรื่องของจำนวนผู้ใช้งานที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ จำเป็นต้องสะสมเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากแบรนด์ต่าง ๆ

เพื่อรักษาจำนวนผู้ใช้ให้มากเข้าไว้ การมีฟีเจอร์แบบเดียวกับที่คู่แข่งมี ก็อาจช่วยให้ผู้บริโภคยังอยู่กับแพลตฟอร์ม ไม่หนีหายไปใช้แอปคนอื่น ซึ่งบรรดาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ที่ยังเหลือรอดอยู่ทุกวันนี้น่าจะคุ้นเคยกับการได้รับแรงบันดาลใจเป็นอย่างดี

ส่วนผู้สร้างแรงบันดาลใจ หลาย ๆ รายก็ไม่สามารถเติบโตต่อได้อีก เช่น Snapchat ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอยู่ที่ 203 ล้านคนต่อวัน ซึ่งถือว่าไม่ได้เติบโตจนจะสามารถเป็นหอกข้างแคร่ของ Facebook ได้อีกต่อไป หรือ Houseparty ที่เหมือนจะรุ่ง สุดท้ายก็ขายกิจการให้กับ Epic ไปแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

ส่วน TikTok จะเอาตัวรอดจากเกมแห่งแรงบันดาลใจนี้อย่างไร อีกไม่นานเราคงได้รู้กัน

Source

Source

Source

 

ถอด FINLAND MODEL ต้นแบบ Green Country ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อโลกอนาคต

$
0
0

วิกฤติความยั่งยืนและปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งคนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ รวมถึงภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการบริหารจัดการที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน

สาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจพร้อมไปกับการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ จนได้ชื่อว่าเป็น Green Country ของโลก

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย จัดงานสัมมนา Global Business Dialogue 2019 ภายใต้หัวข้อ Designing New Growth model Towards Sustainability  เพื่อศึกษาโมเดลการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จจากองค์กรชั้นนำระดับโลก ซึ่งนอกจากจะทำให้ธุรกิจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติแล้ว ยังเอื้อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฟินแลนด์ ถือเป็นประเทศต้นแบบที่ดำเนินการจัดการกับวิกฤตโลกร้อนอย่างจริงจังและก้าวหน้าอย่างมาก เห็นได้จากโครงการ Climate Reality Project เพื่อแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโดยตรง โดยวางเป้าหมายอย่างท้าทายว่าภายในปี 2035 ฟินแลนด์จะเป็นประเทศที่ปล่อยค่าคาร์บอนที่เป็นกลาง (Carbon Neutrality) หรือปลอดคาร์บอน และเป็นสังคมสวัสดิการที่ไม่มีฟอสซิล

แค่นั้นไม่พอ เพราะฟินแลนด์ได้ให้ความสำคัญกับการลดการทำลายป่าไม้ สร้างแรงจูงใจด้านการดูดซับคาร์บอนจากป่าไม้ ลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและภาคครัวเรือน รวมถึงเพิ่มบทบาทการเป็นประเทศผู้นำเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเชิญพันธมิตรในหลายภาคส่วนมาร่วมจัดทำมาตรการผ่านภาคประชาสังคม กระตุ้นให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนสร้างนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยรัฐบาลสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจผ่านมาตรการทางภาษี ทั้งหมดนี้ฟินแลนด์ต้องการผลักดันให้วิกฤตความยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อไต่ระดับให้เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับวิกฤตความยั่งยืนอันดับหนึ่งของโลก

Sitra และ St1 Nirdic Oy จากฟินแลนด์เป็นองค์กรเอกชนชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในการนำโมเดลการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) มาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

Mr. Ernesto Hartikainen, Leading Specialist แห่ง Sitra กองทุนอิสระที่เน้นการลงทุนในโครงการและธุรกิจสตาร์ทอัพ กล่าวว่า แนวทางหนึ่งของเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ การยืดวงจรอายุของสินค้าให้ยาวนานขึ้น เช่น จากเดิมที่เคยผลิตสินค้าแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ก็หันมาใช้วัตถุดิบรีไซเคิล หรือขยะชีวภาพ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีในการจำหน่ายสินค้า การใช้โมเดล Sharing Economy ให้ลูกค้าจ่ายเงินตามปริมาณการใช้งาน เช่น ธุรกิจเช่ารถยนต์

Mr.Patrick Pitkänen, Director of Biorefining Business Development and Production แห่ง St1 Nordic Oy บริษัทพลังงานแห่งฟินแลนด์ กล่าวว่า จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นย่อมต้องใช้พลังงานฟอสซิลมากขึ้น ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น โมเดลต่อจากนี้ของบริษัทจะเน้นพัฒนาพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน หรือลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนให้มากที่สุด อาทิ พลังงานชีวภาพ พลังงานลม พลังงานจากขยะ และพลังงานความร้อนจากพื้นพิภพ  เพื่อลดปริมาณการกลั่นน้ำมันจากพลังงานฟอสซิล

“การเปลี่ยนแปลงขององค์กรเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องสร้างนโยบายผลักดันในระยะยาวผสานเข้าไปในกระบวนการทำงาน (Process) ไม่ใช่ทำระยะสั้นเป็นโครงการเฉพาะกิจ (Project) รวมถึงภาครัฐต้องมีบทบาทสนับสนุนเอกชนในการสร้างนวัตกรรมในแง่ของการให้แรงจูงใจ และบทลงโทษแก่ภาคเอกชน เพื่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เช่น เมื่อรัฐบาลฟินแลนด์ออกมาตรการลดภาษีให้กับบริษัทที่ใช้พลังงานลม ทำให้ St1 ตัดสินใจลงทุนสร้างฟาร์มกังหันลม (Wind Park) ทางตอนเหนือของนอร์เวย์เมื่อ 2 ปีก่อน นอกจากนี้ St1 ยังดึงชุมชนในท้องถิ่นมาเป็นพันธมิตรสำคัญผ่านกลยุทธ์ Think Global,  Act Local โดยนำขยะจากชุมชนใกล้โรงงานมาใช้เป็นพลังงาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว”

จะเห็นได้ว่าฟินแลนด์โมเดลทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นแนวทางที่ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจบนโลกอนาคต ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสภาพสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

 

ไปมุงๆๆ แฟมิลี่มาร์ท ประกาศปิดสาขาสุวรรณภูมิหมดทั้ง 4 สาขา พร้อมกัน ใน 4 วันข้างหน้า

$
0
0

กลายเป็นหนึ่งประเด็นให้หลายคนสงสัย หลังเพจออฟฟิเชียล FamilyMart Thailand ของบริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ FamilyMart ในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ระบุว่าแฟมิลี่มาร์ทสาขาสุวรรณภูมิจะเปิดให้บริการถึงแค่เที่ยงคืนของวันที่ 27 กันยายนนี้เท่านั้น ​

โดยข้อความดังกล่าวปรากฏขึ้นในเพจ FamilyMart Thailand ในโพสต์ที่เป็นการโปรโมทสินค้าในกลุ่มโอเด้ง ในชื่อ “ฮานะ โอเด้ง” โดยได้มีการระบุข้อความไว้ดังนี้

ประกาศเรียกจากเคาท์เตอร์แฟมิลี่มาร์ทสาขาสุวรรณภูมิ 📢

ทางเราขอแจ้งให้ผู้โดยสารทุกท่านที่เคยฝากท้องกับแฟมิลี่มาร์ท รับทราบว่าสาขาสุวรรณภูมิจะเปิดให้บริการถึงเที่ยงคืนของวันที่ 27 กันยายนนี้เท่านั้น

แฟนคลับโอเด้งสาขาสุวรรณภูมิไม่ต้องเสียใจไปนะคะ ❤
เพราะแฟมิลี่มาร์ทยังมีสาขาโอเด้งอื่นๆ อีกมากมายพร้อมให้บริการ ส่วนใครที่ผ่านแฟมิลี่มาร์ทสาขาสุวรรณภูมิ อย่าลืมแวะใช้บริการ หรือแวะทานโอเด้งกันเยอะๆ นะคะ 😊

ใครมีภาพความทรงจำโอเด้งแสนอร่อย มาโพสต์กันใต้โพสต์นี้ได้เลยค่ะ หรือบอกความรู้สึกผ่าน GIF คนละหนึ่งอันเร๊ววววว

#FamilyMartThailand #ฮานะจังชอบกินโอเด้ง

ประกาศเรียกจากเคาท์เตอร์แฟมิลี่มาร์ทสาขาสุวรรณภูมิ 📢ทางเราขอแจ้งให้ผู้โดยสารทุกท่านที่เคยฝากท้องกับแฟมิลี่มาร์ท…

โพสต์โดย FamilyMart Thailand เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2019

ปิดด่วน พร้อมกันทั้ง 4 สาขาในอีก 4 วัน  

ทั้งนี้ ข้อมูลข้างตันระบุไว้เมื่อราวช่วงเที่ยงของวันที่ 23 กันยายน 2562 เท่ากับจะต้องปิดสาขาที่สุวรรณภูมิในอีกเพียง 4 วันข้างหน้านี้แล้ว ​ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ของทางแฟมิลี่มาร์ท ได้ข้อมูลว่า แฟมิลี่มาร์ท มีสาขาในสุวรรณภูมิทั้งสิ้น 4 สาขา โดยมีครบทุกชั้น ชั้นละ 1 สาขา ซึ่งจะทำการปิดสาขาทั้งหมดพร้อมกันในวันที่ 27 กันยายน 2562 นี้ เวลาเที่ยงคืน 

ส่วนสาเหตุของการปิดสาขาในครั้งนี้นั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด และต้องรอผู้บริหารชี้แจงข้อมูลที่เป็นทางการต่อไป โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆ จากฝ่ายบริหารแจ้งมายังส่วนงานประชาสัมพันธ์ และเนื่องจากเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหว จึงไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ออกไปได้ ส่วนกระแสข่าวที่มีออกมาถึงสาเหตุการปิดว่า ไม่ได้รับการต่อสัญญาจากคิงเพาเวอร์นั้น ยังไม่สามารถยืนยันถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เช่นกัน

ขณะที่การสังเกตุรายละเอียดและคำวิจารณ์คอมเม้นต์ตามโซเชียล พบว่า ชาวเน็ตบางส่วนตั้งข้อสังเกตุว่า การปิดสาขาที่ค่อนข้าง “ด่วน” ครั้งนี้ อาจจะเกี่ยวโยงมาจากกรณี ข้อพิพาทระหว่าง AOT ผู้ได้รับสิทธิ์บริหารพื้นที่ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับทาง CPN ในกรณีข้อพิพาท “เซ็นทรัล วิลเลจ” หรือไม่อย่างไร ขณะที่แฟมิลี่มาร์ท ก็เป็นหนึ่งในร้านคอนวีเนียนสโตร์ของเครือเซ็นทรัลด้วยเช่นกัน ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอความชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ อย่างเป็นทางการเท่านั้น ​

อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟมิลี่มาร์ท เริ่มให้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิมาตั้งแต่ปี 2548 พร้อมกับการเปิดให้บริการท่าอากาศยานในช่วงแรก จนปัจจุบันมีสาขาให้บริการในท่าอากาศยานแห่งนี้รวมทั้งหมด 4 สาขา

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่งานนี้คนได้ซีนเต็มๆ คงไม่พ้น “ฮานะ​ โอเด้ง” ถึงจะเสียโอกาสจากยอดขายที่เคยได้ในสนามบิน​ แต่ก็ได้ Earn Media ล้นหลาม

 


มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย มอบเงินกว่า 14 ล้านบาท สนับสนุน 9 องค์กรสาธารณกุศล สร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนไทย [PR]

$
0
0

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยนายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยานในพิธีมอบทุนสนับสนุนประจำปี 2562 แก่สถาบันการศึกษาและองค์กรสาธารณกุศล 9 แห่ง รวมมูลค่า 14.72 ล้านบาท เมื่อเร็วๆนี้

มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรสาธารณกุศล ทั้งภาครัฐและเอกชนให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการมอบทุนสนับสนุน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสังคมอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่

– ส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ห่างไกล รวมถึงสนับสนุนการศึกษาทุกระดับชั้น ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน

– พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน และคนพิการ รวมถึงส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

– ส่งเสริมการดำเนินการขององค์กรสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อสาธารณประโยชน์

ในปี พ.ศ. 2562 มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ได้สนับสนุนงบประมาณ ด้านการศึกษา และด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ 10 โครงการ จาก 9 องค์กรสาธารณกุศล รวมมูลค่า 14.72 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้

 

ชื่อองค์กร ชื่อโครงการ
1. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
(2.5 ล้านบาท)
1. โครงการเยาวชนไทยวันพรุ่งนี้ และโครงการทุนการศึกษาเยาวชนภาคเหนือ
2. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
(3.34 ล้านบาท)
   2. ทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาขาดแคลนใน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ3. ทุนการศึกษานักเรียนพยาบาล คณะพยาบาล
ศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยบูรพา (0.88 ล้านบาท)    4. ทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาขาดแคลนในภาค
ตะวันออก
4. มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต
(1 ล้านบาท)
5. ทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาขาดแคลนในภาคใต้
5. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(1 ล้านบาท)
6. โครงการจัดพิมพ์หนังสือผลงานทางวิชาการ TTF Award
6. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (1.5 ล้านบาท)

 

    7. โครงการจัดพิมพ์หนังสือทางวิชาประวัติศาสตร์      ศิลปวัฒนธรรม
7. สภาการพยาบาล (2 ล้านบาท)     8. สนับสนุนทุนการศึกษาพยาบาล สาขาการดูแลผู้
สูงวัย
8. มูลนิธิพล.ต.อ.เภา สารสิน
(1.5 ล้านบาท)
9. ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา เจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสนับสนุนโครงการบ้านตะวันใหม่
9. มูลนิธิหมอเสม พริ้งพวงแก้ว
(1 ล้านบาท)
    10. สนับสนุนทุนการศึกษาโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์

 

มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย มุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่องตลอด 27 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมที่จะเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรทุกภาคส่วนเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศอย่างยั่งยืน

“ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีในด้านต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมอยู่ตลอดเวลา จะเป็นตัวช่วยการเพิ่มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา การเรียนด้วยตำราอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพของนักเรียน ผมจึงขอฝากเรื่องนี้ไว้กับทุกคน รวมถึงนักเรียนทุนในวันนี้ การรับมือการเปลี่ยนแปลง กฎกติกาทางสังคมที่เปลี่ยนไป แต่หน้าที่ของนักเรียนทุกคนต้องไม่เปลี่ยน ต้องรู้จักตัวเอง รู้หน้าที่ที่พึงปฏิบัติในวัยเรียน เพื่ออนาคตที่สมบูรณ์ในวันข้างหน้า

สุดท้ายนี้ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย จะยังคงมุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมที่ตอบรับกับปัญหาสังคมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ที่เป็นกำลังสำคัญ และพร้อมที่จะช่วยกันสร้างสังคมของเราให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนสืบไป” นายประมนต์ กล่าวในที่สุด

“โตโยต้า ขับเคลื่อนความสุข”

ปัจจัยบวกเป็นศูนย์ สื่อโฆษณาซึมยาว ไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว ปีหน้าเจอของจริงตลาดร่วงต่อเกือบ 3%  

$
0
0

เมื่อช่วงต้นปี MI หรือ มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ คาดการณ์ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาตลอดปี 2019 ไว้ค่อนข้างสดใส ด้วยมีปัจจัยบวกจากการจัดเลือกตั้งที่คาดว่าจะช่วยเพิ่ม Mood & Tone ให้ตลาดคึกคักและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ดี แต่เมื่อภาพของสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่ภาพเดียวกัน ทำให้ช่วงกลางปี MI ได้คาดการณ์ใหม่ พร้อมปรับลดตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาลงค่อนข้างวูบวาบ จากที่เคยมองบวกเมื่อต้นปีไว้ถึง 5% เหลืออยู่เพียง 1.49% ส่วนจำนวนเม็ดเงินก็ปรับลจาก 91,429 ล้านบาท ​เหลืออยู่เพียง 90,422 ล้านบาท

ล่าสุดทาง MI ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาใหม่อีกครั้ง​ หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ รวมทั้งได้เห็นหน้าตาคณะรัฐมนตรี​​ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ และนโยบายต่างๆ ที่ทางรัฐบาลประกาศออกมาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น จนเป็นผลบวกต่อความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ หรือสร้างความมั่นใจให้เพิ่มมากขึ้นได้ในขณะนี้ สุดท้ายแล้วจึงต้องรอดูว่า​รัฐบาลจะสามารถขับเคลื่อนการทำงานให้เกิดผลได้จริงตามที่ประกาศนโยบายต่างๆ ไว้ได้หรือไม่

ไม่เห็นสัญญาณปัจจัยบวก แต่ปัจจัยลบอื้อ

ขณะที่ คุณภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI เปิดเผยตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาที่ทาง MI ได้ปรับลดการคาดการณ์ลงเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยประเมินตัวเลขเม็ดเงินสื่อโฆษณาในสิ้นปีนี้ จะเติบโตได้เพียง 0.93% ด้วยเม็ดเงินรวมอยู่ที่ 89,922 ล้านบาท เนื่องจากการไม่เห็นสัญญาณบวกใดๆ ในตลาดจากนี้ไป ที่จะสามารถเป็นปัจจัยในการช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงิน Media Spending เติบโตได้เพิ่มมากขึ้น  

นอกจาก​อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ในตลาดไม่มีปัจจัยบวกมาช่วยกระตุ้นแลัว ยังแวดล้อมไปด้วยปัจจัยลบรอบด้านที่ต้องเผชิญอยู่ทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ เศรษฐกิจทั่วโลกและยุโรปที่ตกต่ำลง การชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ข้อพิพาททางการค้าของเกาหลีและญี่ปุ่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศหดตัวลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ภัยแล้ง การส่งออกติดลบ เศรษฐกิจในประเทศตกต่ำ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นลดลง ทำให้กระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ซึ่งยังไม่รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามา Disrupted หรือกระทบต่อธุรกิจสื่อโดยตรงที่มีอยู่อีกไม่น้อยเช่นกัน

ปัจจัยเหล่านี้จึงนำมาซึ่งการปรับลดตัวเลขคาดการณ์เม็ดเงินในธุรกิจสื่อโฆษณาครั้งล่าสุดนี้ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการมองในทิศทางที่ตลาดยังเป็นบวกจากนี้ เพราะตัวเลขช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณายังติดลบอยู่ถึง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่​สื่อที่ยังคงประคองไม่ให้ภาพรวมตกไปมากกว่าที่เป็นอยู่คือ สื่อดิจิทัล และสื่อนอกบ้าน​ ​

“​​ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาเมื่อสิ้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา​ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ากว่า 1 พันล้านบาท หรือลดลงราว 2% ตัวเลขเม็ดเงินการซื้อสื่อเหลืออยู่ 51,530 ล้านบาท จาก 52,579 ล้านบาท ของปีก่อน แต่การที่ตัวเลขสิ้นปีสามารถขยับการเติบโตจนกลับไปเป็นบวกได้เล็กน้อย มาจากการเติบโตของสื่อดิจิทัลที่ยังคงร้อนแรงและเติบโตได้ดีกว่า 20% ​​รวมทั้งทิศทางตลอด 5 ปี ที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสื่อ Out of Home ที่ยังคงเติบโตได้อยู่​ โดยเฉพาะการเปิดให้บริการสถานีรถไฟฟ้าแห่งใหม่เพิ่มเติม และเริ่มเห็นการที่แบรนด์ต่างๆ เข้าไปใช้พื้นที่โฆษณาต่างๆ ที่อยู่ภายในสถานีกันบ้างแล้ว”  

สื่อโฆษณา ปีหน้าเจอ “ของจริง” 

ขณะที่สถานการณ์ของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในปีหน้า คาดว่าตลาดต้องเผชิญกับ “ของจริง” คือ การที่ตลาดกลับไปอยู่ในสภาพเดิมๆ การเติบโตของธุรกิจเป็นการเติบโตตามธรรมชาติ โดยที่ไม่มีปัจจัยบวกใดๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นหรืิอขับเคลื่อนให้เติบโตได้ในลักษณะที่พิเศษขึ้นกว่าเดิมได้ ส่วนเม็ดเงินที่จะสะพัดอยู่ในตลาด จะเป็นการใช้จ่ายงบประมาณของแต่ละแบรนด์ทีใช้ในการทำตลาดตามปกติที่วางไว้ในแต่ละปีอยู่แล้ว ​​

ดังนั้น เมื่อมองไม่เห็นสัญญาณบวกใดๆ ที่เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้สื่อให้เพิ่มขึ้นจากปกติได้ ​ประกอบกับปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้และเชื่อว่าจะยังคงมีอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่างๆ ของผู้บริโภคลดลง มีการระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ​ทำให้ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาในปีต่อไปน่าจะอยู่ในภาวะที่ติดลบไปสู่ระดับ​ -2.83% ​ขณะที่เม็ดเงินในตลาดจะเหลืออยู่ที่ราว 87,375 ล้านบาท  

“การที่ตลาดในปีหน้าติดลบมากขึ้นมาจากหลายปัจจัย​ ทั้งการหดตัวของสื่อทีวีที่ยังครองเม็ดเงินส่วนใหญ่ไว้เกือบ 50%​ และการปิด 7 ช่องทีวีดิจิทัล ที่แม้จะชะลอมา แต่ภายในสิ้นเดือนนี้ก็จะดำเนินการแล้วเสร็จ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจ​ที่ยังคงชะลอตัว ทำให้นักการตลาดและแบรนด์ต้องใช้งบที่มีอย่างมีประสิทธิภาพ จึงนิยมเลือกใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะสามารถทำได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ทั้งสร้าง Awareness เพิ่ม Engagement ไปจนถึงช่วยสร้างยอดขายได้ ทำให้เป็นสื่อเดียวที่ยังคงเติบโตได้ดี แต่ก็ไม่มากพอที่จะพยุงทั้งอุตสาหกรรมให้เติบโตได้ ประกอบกับแพลตฟอร์มดิจิทัลส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มแพลตฟอร์ม Top List ทั้งหลายล้วนแต่เป็นแพลตฟอร์มของต่างชาติ ทำให้เม็ดเงินไม่ได้สะพัดอยู่ในประเทศ มีเพียงกลุ่ม Influencers รายเล็กๆ บางส่วนเท่านั้นที่เป็นของคนไทย แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับภาพรวมของสื่อดิจิทัลทั้งหมด” 

หมดยุค​ Mass เลือกสื่อต้องดู Customer Journey

หนึ่งความชัดเจนที่เปลี่ยนแปลงไปใน Media Landscape คือ ในปัจจุบันไม่มีสื่อประเภทใดเป็นสื่อ Mass อีกแล้ว คือ ไม่สามารถใช้สื่อประเภทเดียวที่เข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ทั้งประเทศแบบในยุคที่ทีวีอะนาล็อกเคยทำได้ เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น Segment หรือ Community ของแต่ละกลุ่มตามพฤติกรรมหรือสิ่งที่ตัวเองสนใจ

ดังนั้น การเลือกสื่อต้องสามารถ Target กลุ่มที่ต้องการเข้าถึงเป็นตัวตั้ง เพื่อเลือกสื่อที่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มนั้นๆ ทำให้สื่อที่ยังคงเติบโตได้ในปัจจุบันคือ สื่อที่มีความสามารถในเรื่องดังกล่าว และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สื่อออนไลน์เติบโต โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนเม็ดเงินที่ลงมาในสื่อดิจิทัลราว 22% หรือเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เพราะความสามารถที่ชัดเจนในการเลือกทาร์เก็ตที่ต้องการเข้าถึงและสามารถวัดผลต่างๆ ได้​ รวมทั้งสื่อ Out of Home ที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ใกล้เคียงกับแมสมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ​

อย่างไรก็ตาม แม้สื่อออนไลน์จะเป็นสื่อกลุ่มเดียวที่ยังคงเติบโตอย่างสดใส ตามที่สมาคมโฆษณาดิจิทัล(ประเทศไทย) (DAAT) คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของสื่อดิจิทัลในปีนี้ไว้กว่า 20% และโตต่อเนื่องราว 30% ในปีหน้า ขณะที่จำนวนเม็ดเงินที่เทลงมาในสื่อนี้ตามการประเมินของ MI คาดไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท และจะขยับไปเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาทในปีหน้า แต่เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนวิธีการใช้เงินของแบรนด์ต่างๆ กลับมาที่ Traditional Media เพิ่มขึ้น เพื่อสอดคล้องกับกลยุทธ์ Omni Channel เพื่อประสิทธิภาพที่สูงกว่าการเทเม็ดเงินท้ัง 100% ไปกับสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มสะกิดให้แบรนด์หรือเอเยนซี่ หันกลับมาให้ความสำคัญกับสื่อ Traditional แม้ไม่มีสื่อใดที่เป็น Mass อย่างแท้จริงแบบที่เคยมี แต่การใช้สื่อยังจำเป็นต้องผสมผสานทั้ง Online และ Offline เพราะแม้ว่าสื่อออนไลน์จะมีส่วนในการสร้างกระแสได้ แต่การสร้างกระแสในวงกว้างก็ยังจำเป็นต้องใช้สื่ออื่นมาช่วยเสริม เช่น Out of Home หรือสื่อตามรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ที่ยังสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้

“ช่วง 1-2 ปีนี้ เริ่มเห็นการจัดสรรเม็ดเงินกลับมาในสื่อ Traditional บ้าง จากก่อนหน้าที่บางแคมเปญเลือกเทเม็ดเงินไปใช้ในสื่อออนไลน์ทั้งหมด แต่ผลตอบรับกลับไม่ดีอย่างที่ตั้งใจ เพราะแม้ออนไลน์จะเป็นทั้งสื่อและ Marketing Tool ที่ทำได้ทั้งสร้าง Awareness Engagement รวมไปถึงการสร้างยอดขาย แต่สุดท้ายแล้วสื่อออนไลน์ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะรักษาได้ทุกโรค หรือตอบทุกโจทย์ของแบรนด์ได้ แม้ว่าสินค้านั้นๆ จะเป็นกลุ่มเทคโนโลยี หรือ Hi Involvement เช่น มืิอถือ แอปพลิเคชั่น รถยนต์ และสินค้า FMCG ​การผสมผสารแคมเปญด้วยสื่อหลากหลายประเภทและสอดคล้องกับพฤติกรรมและ Customer Journey ของกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นส่ิงที่สำคัญที่สุด” 

OISHI EATO เปิดตัว “เฟรนช์โทสต์ แซนวิช” เบคอนชีส ตอบโจทย์มื้อเช้าอันแสนเร่งรีบ [PR]

$
0
0

ตอกย้ำความเป็นผู้นำและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง พร้อมทาน สไตล์ญี่ปุ่น “โออิชิ อีทโตะ” เดินหน้าพัฒนาและสร้างสรรค์สินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์คุณภาพ ใหม่ล่าสุด! “โออิชิ อีทโตะ เฟรนช์โทสต์ แซนวิช” ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย สำหรับมื้อเช้าอันแสนเร่งรีบ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรุ่นใหม่

คุณเมขลา เนติโพธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิถีการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมเมือง ข้อจำกัดทางด้านเวลาที่เร่งรีบ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาให้ความนิยมและบริโภคอาหารพร้อมรับประทานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และเบเกอรี่ก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคเลือกรับประทานเป็นอาหารว่าง รวมไปถึงการบริโภคทดแทนอาหารมื้อหลัก ส่งผลทำให้บริษัท ฯ ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการรอบด้านและครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารสำเร็จรูปเพื่อตอบสนองต่อความต้องการหรือความพอใจของผู้บริโภคที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

“โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้มีการเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การตลาด ในแก่นแกนของการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้า และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product) ที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์คุณภาพใหม่ล่าสุด ซึ่งได้แก่ โออิชิ อีทโตะ เฟรนช์โทสต์ แซนวิช (OISHI EATO French Toast Sandwich) โดยวางจุดขายให้เป็นผลิตภัณฑ์ขนมปังเฟรนช์โทสต์พร้อมทาน นำเสนอในรูปแบบเฟรนช์โทสต์ แซนวิช เป็นรายแรกในตลาด เหมาะสำหรับมื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน หรือมื้อรองระหว่างวัน ตอบโจทย์วิถีชีวิตสำเร็จรูปของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความอร่อยไปพร้อม ๆ กัน ได้เป็นอย่างดี”

สำหรับผลิตภัณฑ์ โออิชิ อีทโตะ เฟรนช์โทสต์ แซนวิช นั้นประเดิมตลาดด้วย ไส้เบคอนชีส เป็นลำดับแรกก่อน โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์อยู่ที่การคัดสรรและเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ เท่านั้น (1) เริ่มตั้งแต่การนำขนมปังเนื้อนุ่มพิเศษ สูตรเฉพาะของ โออิชิ มาชุบไข่ ที่ตีผสมกับนมและเนย ทั่วทั้งแผ่นจนชุ่ม ก่อนอบจนสุกหอมได้ที่ (2) ไปจนถึงไส้สูตรเฉพาะอย่าง เบคอนชีส ที่จัดหนักสโมคเบคอน เนื้อแน่น ๆ ผสานชีสชั้นดีถึง 2 ชนิด ทั้งเชดดาร์ชีสและมอสซาเรลล่าชีส เข้าไว้อย่างลงตัว ยิ่งรับประทานคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรด ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ ก็ยิ่งอร่อยไปอีก พร้อมวางจำหน่ายในราคาชิ้นละ 35 บาท ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ 12 กันยายน 2562 เป็นต้นไป

อนึ่ง บริษัทฯ ได้กำหนดแผนกลยุทธ์การตลาด สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหารสำเร็จรูป โออิชิ มีจำนวน 4 ด้านหลัก โดยมุ่งเน้นไปที่ (1) Brand Building : การสร้างตราสินค้าให้แข็งแกร่ง และมีความสอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ตราสินค้าเดียวกัน คือ โออิชิ อีทโตะ (OISHI EATO) (2) New Product : การพัฒนาและสร้างสรรค์สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างและโดดเด่น ทั้งรูปแบบ รสชาติ และหีบห่อ/บรรจุภัณฑ์ (3) Distribution : การขยายช่องทางขาย/จัดจำหน่าย ให้หลากหลายเพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งอาเซียนและสหภาพยุโรป ผ่านการซินเนอร์ยี่ระหว่างพันธมิตรกลุ่มธุรกิจในเครือไทยเบฟ (4) Efficiency and Productivity : การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ผลผลิตมีปริมาณ/มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เป็นสำคัญ

“การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการมาโดยตลอด อันเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำและสร้างสรรค์ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง พร้อมทาน สไตล์ญี่ปุ่น ภายใต้ตราสินค้าคุณภาพ “โออิชิ อีทโตะ” ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี” คุณเมขลากล่าวปิดท้าย

ดราม่า Yahoo เปลี่ยนโลโก้ใหม่ในรอบ 6 ปี แต่ไม่วายถูกเหน็บทำข้อมูลผู้ใช้งานรั่ว 3 พันล้านคน

$
0
0
โลโก้ใหม่ Yahoo

น่าสนใจทีเดียวสำหรับอดีตเจ้าพ่อวงการอินเทอร์เน็ตอย่าง Yahoo ที่ออกมาประกาศเปลี่ยนโลโก้ใหม่ โดยเลือกใช้บริการจากบริษัท Pentagram เป็นผู้ดีไซน์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนโลโก้ครั้งนี้ของ Yahoo ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในรอบ 6 ปีหลังจากที่เคยเปลี่ยนไปครั้งหนึ่งเมื่อปี 2013 ภายใต้การบริหารของซีอีโอสุดเนี้ยบอย่าง Marissa Mayer 

โดยทาง Pentagram บริษัทผู้ออกแบบอธิบายโลโก้ใหม่ว่ามีการเอียงตัว Y กับเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) 22.5 องศา เพราะอยากให้มันดูน่าตื่นเต้นมากขึ้น แต่การดีไซน์ดังกล่าวก็ไม่วายถูกถูกวิจารณ์ว่าไม่เหลือเอกลักษณ์ของความเป็น Yahoo เมื่อปี 2013 เอาไว้เลย

นอกจากเปลี่ยนโลโก้แล้ว Yahoo ยังมีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลของ Yahoo Mail ใหม่หมดด้วย โดยรูปแบบการแสดงผลใหม่นั้นสามารถปรับแต่งได้ตามการเสิร์ช ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการค้นหาภาพถ่าย หรือไฟล์เอกสาร ก็สามารถเลือกให้ Yahoo Mail แสดงผลเฉพาะเมลที่มีไฟล์แนบมาด้วยได้

หรือหากอยากมองหาส่วนลด ก็มีตัวเลือกในการแสดงผลส่วนลดให้ถึง 3 แบบ ได้แก่ Deals View, Location View (รองรับเฉพาะบน iOS โดยจะแสดงผลส่วนลดของร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่เราอยู่) และ Grocery View (แสดงผลส่วนลด หรือโปรโมชันจากร้านค้าที่เราต้องการ)

การแสดงผล Deals ใน Yahoo Mail ใหม่

ทั้งหมดนี้ Yahoo บอกว่าไม่ได้มีการดีลกับผู้ประกอบการใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการดึงข้อมูลใน Inbox ของเจ้าของอีเมลมาแสดงผลเองทั้งหมด โดย Shiv Shankar ผู้อำนวยการฝ่าย Product Management ของ Yahoo กล่าวว่า การออกแบบ Yahoo Mail ใหม่นี้คาดว่าจะช่วยผู้ใช้งานเสิร์ชหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้น

อดีตที่ถูกขุดเพราะการปรับดีไซน์

อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Yahoo Mail ครั้งนี้ ได้ทำให้อดีตของ Yahoo Mail ฟื้นกลับคืนมาด้วยเช่นกัน เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีต (ปี 2013) Yahoo Mail เคยตกเป็นข่าวใหญ่กับการปล่อยให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลของ “ผู้ใช้งานทั้งหมด” บนแพลตฟอร์มที่มีอยู่ราว 3 พันล้านคน โดยข้อมูลที่รั่วไหลในครั้งนั้นมีตั้งแต่ชื่อ อีเมลแอดเดรส พาสเวิร์ด วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ ขณะที่ข้อมูลทางการเงินนั้น Yahoo ยืนยันว่า แฮกเกอร์ไม่สามารถล้วงความลับไปได้แต่อย่างใด

เพื่อเป็นการชดเชยให้กับผู้ใช้งานที่ถูกล้วงข้อมูลไปได้ ศาลสหรัฐได้มีคำสั่งให้ Yahoo จ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ใช้ Yahoo Mail (เฉพาะคนที่มีหลักฐานว่าใช้งาน Yahoo Mail ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2012 – 31 ธันวาคม 2016) และต้องอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหรืออิสราเอลเท่านั้น ประเทศอื่นไม่รองรับ ราว 100 เหรียญสหรัฐต่อคน

หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวดังกล่าว บริษัท Verizon ที่เคยเจรจาขอซื้อ Yahoo (ช่วงปี 2017) ก็ได้ขอต่อรองราคาลง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือแค่ 4.48 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อม ๆ กับข่าวการปลดพนักงาน Yahoo ออกราว 2,100 คน

ส่วนอดีตซีอีโอผู้ไม่ได้ไปต่ออย่าง Marissa Mayer ข่าวล่าสุดบอกว่าเธอกลับมาเช่าพื้นที่ที่เคยเป็นสำนักงานในอดีตของ Google ซึ่งเธอบอกว่าเป็นสถานที่ในความทรงจำที่เธอเริ่มต้นการทำงานของตัวเองเมื่อปี 1999 รวมถึงมีแล็ปเล็ก ๆ ชื่อ Lumi Labs (Lumi ในภาษาฟินแลนด์แปลว่าหิมะ) สำหรับพัฒนาอะไรบางอย่างด้วยเพื่อบุกตลาดคอนซูเมอร์ด้วยเช่นกัน

Source

Source

Source

Source

Source

 

“โออิชิ” จัดงานครบรอบ 20 ปี เนื่องในโอกาสครบรอบวันก่อตั้งของบริษัทฯ ซึ่งดำเนินธุรกิจมาด้วยความมั่นคง แข็งแกร่ง [PR]

$
0
0

วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2019 ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้ง บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โอกาสนี้จึงจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี โดยได้รับเกียรติจาก ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล ประธานกรรมการและกรรมการอิสระ มาเป็นประธาน พร้อมด้วย อวยชัย ตันทโอภาส, สิทธิชัย ชัยเกรียงไกร, มหินทร์ กรัยวิเชียร, นงนุช บูรณะเศรษฐกุล และเหล่าคณะผู้บริหาร มาร่วมงานกันอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ณ อาคารซีดับเบิ้ลยู ทาวเวอร์ ถนน รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา

ในงาน ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล ได้กล่าวอวยพรและให้โอวาทแก่คณะผู้บริหารและพนักงานว่า “ตลอดระยะเวลา20 ปี บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โออิชิเป็นองค์กรที่มี Core Value ซึ่งพวกเราพร้อมใจกันยึดถือ ปฏิบัติ ทำให้เราอยู่กันแบบพี่น้อง ครอบครัว เท่าเทียมกัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอด และจะดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง คือ ทรัพยากรบุคคล ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ พากเพียร อดทน ซื่อสัตย์ มีสติและปัญญา และขอให้ยึดมั่นในการทำความดี เพราะความดีเป็นสิ่งที่มั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ความดีจะแปลงเป็นพลังงานและศักยภาพมหาศาลที่จะส่งผลให้องค์กรดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

หลังจากนั้น แม่ทัพใหญ่โออิชิ นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคณะผู้บริหาร และทีมงานของโออิชิทุกคน ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ฝ่าฟันกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ อย่างไม่ย่อท้อ สร้างสรรค์ผลงานอันน่าภาคภูมิใจ ส่งผลให้ทำให้ธุรกิจเราเติบโตและแข็งแรง ครองแชมป์ผู้นำทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และเดินทางมาจนมีอายุครบถึง 20 ปี ในวันนี้หัวใจสำคัญที่ทำให้พวกเราเดินทางมาถึงวันนี้ได้ คือ การมีความร่วมแรงร่วมใจ สามัคคี เป็นครอบครัวเดียวกันซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีของเรา และอยากให้ชาวโออิชิทุกคนทำต่อไปคือ การให้ ทั้งการตั้งใจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี “ให้” กับลูกค้า และการ “ให้” ที่ตอบแทนคืนกลับสู่สังคม”

“นอกจากนั้น โออิชิอายุครบ 20 ปีทั้งที คณะผู้บริหารเราใจป้ำมอบรางวัลตอบแทนพนักงานซึ่งถือเป็นครอบครัวสำคัญที่ช่วยผลักดันองค์กรให้ยืนหยัดมาจนทุกวันนี้ ประเดิมด้วยรางวัลสำหรับพนักงาน 10 ท่านที่ทำงานกับโออิชิมาตั้งแต่วันก่อตั้งจนครบ 20 ปีในวันนี้ได้แก่ บัตรรางวัลรับประทานอาหารที่ร้านอาหารในเครือโออิชิเป็นเวลา 1 ปีเต็ม อีกทั้งมอบรางวัลพิเศษให้กับพนักงานโออิชิทุกคน จำนวนกว่าหนึ่งหมื่นคนทั่วประเทศ ทั้งสำนักงานใหญ่, โรงงาน และร้านอาหาร คือ การได้รับประทานอาหารฟรีที่ร้านในเครือโออิชิในเดือนกันยายนนี้” นงนุช กล่าวปิดท้าย

ปิดท้ายงานวันเกิดอย่างสนุกสนาน ไม่เสียชื่อเจ้าพ่อวงการอาหารญี่ปุ่น ด้วยการยกทัพเชฟมือฉมังมาโชว์แล่ปลาทูน่ายักษ์บลูฟินในแบบฉบับญี่ปุ่น ให้พนักงานได้สัมผัสประสบการณ์ต้นตำรับรสชาติอาหารญี่ปุ่นกับปลาดิบรสชาติหวาน นุ่ม ละมุนลิ้น งานนี้เรียกว่าโออิชิจัดเต็ม!! อิ่มและฟินกันถ้วนหน้า

Viewing all 21907 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>