Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21934 articles
Browse latest View live

4NOLOGUE (โฟร์โนล็อค) ปั้นบอยแบรนด์ “TRINITY” (ทรินิตี้) ตั้งเป้าเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เมืองไทย [PR]

$
0
0

4NOLOGUE (โฟร์โนล็อค) บริษัทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ครบวงจร ภายใต้การนำของ “คุณวุธ-อนุวัติ วิเชียรณรัตน์” ก่อตั้งเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2550 โดยผลงานที่พลิกประวัติศาสตร์คือการนำศิลปินชื่อดัง TVXQ! หรือ ดงบังชินกิน เข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าในประเทศไทย พร้อมทั้งมาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และยังเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตศิลปินระดับโกลบอล อาทิ BIGBANG,GOT7 ฯลฯ

ในปี พ.ศ 2559 4NOLOGUE Headquarter มีการลงทุนกว่า 80 ล้านบาท ทางด้านอุปกรณ์ Production สำหรับการจัดงานคอนเสิร์ตและอีเวนท์ครบวงจร จนปัจจุปันโฟร์โนล็อคคือบริษัทน้องใหม่ที่ก้าวขึ้นมาผู้นำด้านธุรกิจบันเทิงที่น่าจับตามองมากที่สุด

ปี พ.ศ 2561 โฟร์โนล็อคก้าวเข้าสู่การเป็น Content Provider อย่างเต็มตัว ประเดิมด้วยโปรเจ็คท์ 9×9 (ไนน์ บาย นาย) ซึ่งเป็นการรวมตัว 9 ไอดอลแห่งยุค นำโดย “ต่อ-ธนภพ, เจเจ-กฤษภูมิ, เจมส์-ธีรดนย์, กัปตัน-ชลธร, เติร์ด-ลภัส, ปอร์เช่-ศิวกร, ไอซ์-พาริส, แจ๊คกี้-จักริน, ริว-วชิรวิชญ์ ” กับการลงทุนกว่า 150 ล้าน ในการผลิตคอนเทนต์ต่างๆ แบบครบถ้วนทุก Platform ทั้งรายการเพลง ละคร คอนเสิร์ต ฯลฯ จนประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายใน 9×9 THE FINAL CONCERT : EN[D] ROUTE ที่จัดขึ้น ณ อิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานี บัตรคอนเสิร์ต SOLD OUT ทั้ง 2 รอบ!

คุณวุธ-อนุวัติ วิเชียรณรัตน์

ในปี 2562 โฟร์โนล็อคตั้งเป้าเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เมืองไทย ภายใต้นโยบาย Passion Made Inspiration เพื่อก่อให้เกิด The creator of Millennium Culture โฟร์โนล็อคจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ของวงการบันเทิงไทย ด้วยการผลิตงานที่ได้มาตรฐานสากล โดยเริ่มจากการเดบิวต์ศิลปินเบอร์แรก ในนาม TRINITY (ทรินิตี้) ประกอบด้วย “เจมส์-ธีรดนย์, เติร์ด-ลภัส, ปอร์เช่-ศิวกร” และ “แจ๊คกี้-จักริน” สี่หนุ่มที่มีความสามารถรอบด้าน โดยวางกลยุทธ์เพื่อโปรโมท TRINITY ไว้แบบ 360 องศา เพื่อครอบคลุมการสื่อสารทุก Platform ด้วยการลงทุนสำหรับโปรเจ็คท์นี้กว่า 100 ล้านบาท  ซึ่งมั่นใจได้ว่า TRINITY จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน การันตีได้จากก้าวแรก MV เพลง Haters Got Nothing ทะลุ 1 ล้านวิว! ภายในเวลาเพียง 18 ชั่วโมง และครองอันดับ 1 บนเทรนด์ทวิตเตอร์ในทุกๆ ครั้งที่ปล่อยชิ้นงาน

โดยนับจากนี้สู่ปี 2563 โฟร์โนล็อคจะเป็นมากกว่าค่ายเพลง เพราะจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ (new standard of entertainment culture) ของวงการบันเทิงไทยด้วยมาตรฐานสากล ผ่านทุกชิ้นงานไม่ว่าจะเป็น เพลง รายการ ,ซีรีส์ , คอนเทนต์ , โฆษณา, พรีเซนเตอร์ , อีเวนท์ , คอนเสิร์ต , เฟสติวัล , โปรโมเตอร์ และ academy แบบครบทุกมิติของธุรกิจบันเทิง เพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่วางไว้คือการขึ้นสู่ No.1 ของธุรกิจเอนเทอร์เทนเม้นท์ของเอเชีย ด้วยการสร้าง culture ที่ครบรูปแบบของความเป็น new teen entertainment สร้างสิ่งที่ตอบโจทย์ทุกมิติ ระหว่างศิลปิน-แฟนเพลง (B2C) และระหว่างกลุ่มธุรกิจด้วยกันเอง (B2B)

สำหรับปี 2563 จะเป็น Year of Highlight Project ของโฟร์โนล็อค เริ่มด้วยงานยักษ์ที่พร้อมตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ The biggest countdown @CentralWorld งานเคาท์ดาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย , The biggest concert of GOT7, TV PROGRAM รวมไปถึงโปรเจ็คท์ไฮไลท์ ” TRINITY ASIA TOUR “

 


“ลัคกี้ บิลดิ้ง ซิสเท็ม” มอบห้องน้ำสำเร็จรูป 88 ยูนิต บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุบลราชธานี [PR]

$
0
0

นายกิติชัย คุณานันทกุล (แถวหน้า – ทึ่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ และ นายกิติศักดิ์ คุณานันทกุล (แถวหน้า – ทึ่ 3 จากขวา) กรรมการ หน่วยงานลัคกี้ บิลดิ้ง ซิสเท็ม บริษัท สยามสตีล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายอาคารสำเร็จรูปและห้องน้ำสำเร็จรูป มอบห้องน้ำสำเร็จรูปของบริษัทฯ ซึ่งมีความทันสมัย มีคุณภาพมาตรฐานสากล ติดตั้งประกอบง่าย เคลื่อนย้ายได้สะดวก จำนวน 88 ยูนิต มูลค่ากว่า 3.5 ล้านบาท ให้กับแม่ทัพภาพ 6 จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อนำไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมา

เคล็ดลับ “แบรนด์ไทย” Survive ในตลาดโลก เพรา​ะแค่คำว่า “Thailand”ไม่ได้เหมาะกับการขายทุกอย่าง

$
0
0

เป็นที่น่ายินดีว่าปัจจุบันสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยหลายๆ แบรนด์เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายๆ แบรนด์ไทยที่มีศักยภาพ แต่เมื่อส่งออกไปขายในต่างประเทศจริงๆ กลับไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆ ที่บางรายได้พาร์ทเนอร์ที่ดี ได้ตลาดที่ดี รวมทั้งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ดีไซน์ ที่ได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งที่ในตลาดประเทศนั้นๆ แต่เมื่อเข้าไปทำตลาดจริง กลับอยู่ได้เพียงไม่นานก็ต้องถอยทัพกลับมาตั้งหลักในประเทศไทยเหมือนเดิม ซึ่งในแต่ละปีมีเคสในลักษณะเช่นนี้จำนวนไม่น้อยเลยที่เดียว

เหตุผลแบรนด์ไทยไม่แจ้งเกิดระดับอินเตอร์

ข้อมูลที่น่าสนใจจาก คุณอดุลย์ โชตินิสากรณ์​ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ​ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในฐานะ Regulator​ ที่ดูแลกฏระเบียบและมาตราการต่างๆ ในการทำตลาดและการสร้างแบรนด์ในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย ทั้งในแถบเยอรมันตอนเหนือ สแกนดิเนเวีย และเอเชีย โดยเคยดูแลตลาดในหลายประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซิร์มเบิร์ก รวมท้ังมาเลเซีย และอินเดีย

คุณอดุลย์ ให้ข้อมูลว่า ปัญหาสำคัญที่พบอยู่เสมอสำหรับแบรนด์ไทย ที่มีโอกาสได้นำสินค้าไปขายในตลาดต่างประเทศแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ มาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ประกอบด้วย

1. ปัญหาจาก Country of Origin Effect (COO Effect ) หรือผลกระทบจากถิ่นกำเนิดสินค้า เพราะเป็นเครื่องสะท้อนถึงภาพลักษณ์ และ Positoning ของสินค้า เพราะแต่ละประเทศจะมีความโดดเด่น และแข็งแกร่งในสินค้าหรือบริการที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ​สินค้าของไทยจึงอาจจะเหมาะกับบางตลาด และบางประเภทของสินค้า โดยประเทศไทยมีความโดดเด่นในเรื่องอาหาร แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่อง Taste ที่แตกต่างกันไปของแต่ละประเทศ ที่ยังต้องคำนึงถึงอยู่ด้วยเช่นกัน ขณะที่ชนิดของสินค้าบางอย่างที่คนอาจจะลังเลว่าประเทศไทยทำได้ดีจริงหรือไม่ หรืออาจจะทำได้ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ในประเทศเหล่านั้นมีอยู่แล้วมากนัก ทำให้ตลาดอาจจะไม่ให้การตอบรับสินค้าไทยได้ดีเท่าที่ควร ดังน้ัน ผู้ประกอบการควรเข้าใจเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อให้ประเมินว่าได้ถูกต้องมากขึ้น ว่าจะส่งไปทำตลาดที่ไหน จะขายอะไร หรือการใช้คำว่า “ไทยแลนด์” มาเสริมความแข็งแกร่งได้อย่างเหมาะสม

“สิ่งที่คนทำแบรนด์หรือผู้ที่ต้องการขยายตลาดไปในต่างประเทศต้อคำนึงถึงให้มากคือ คำว่า ไทยแลนด์ ไม่สามารถที่จะทำให้ขายของได้ทุกที่ในโลกนี้ แต่เราสามารถขายได้ดีในบางประเทศ และในบางกลุ่มสินค้าเท่านั้น ผู้ประกอบการที่เข้าใจ จะเลือกชูความเป็นสินค้าไทยได้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้มากขึ้น ขณะที่บางตลาดไม่จำเป็นต้องพูดในมิติของความเป็นไทย โดยกลุ่มสินค้าที่ประเทศไทยมีความแข็งแรงจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ซอสปรุงรส ผงปรุงรส ผักผลไม้ ผลไม้แปรรูป อาหารในกลุ่ม Ready to Eat ถ้าในกลุ่มประเภทนี้ มีแบรนด์ไทยแลนด์มาเสริมจะทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ส่วนตลาดที่แบรนด์ไทยแข็งแรงจะอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะในแถบประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าไทย มองว่ามีความพรีเมี่ยม คุณภาพดี เนื่องจาก คนในประเทศแถบนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่เดินทางเข้ามาในไทยค่อนข้างมาก ซึ่งนอกจากค่าจ้าง ค่าแรง ที่นำกลับประเทศไปแล้ว ยังติดพฤติกรรมหรือรสนิยมบางอย่างของไทยไปด้วย ทำให้สินค้าจากประเทศไทยจะได้รับความนิยมและมีความแข็งแรงในประเทศเหล่านี้”

2. ไม่ให้ความสำคัญกับการทำ Marketing เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ จะมองเป้าหมายอยู่แค่ความสามารถในการส่งออกหรือขยายตลาดใหม่ๆ พอดีลตกลงซื้อขายแล้วเสร็จก็ไม่ได้ติดตาม สนใจ หรือดูแลต่อ​ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตัวแทนจำหน่ายในประเทศนั้นๆ เพียงฝ่ายเดียว และเป็นสิ่งที่ภ่ครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามกระตุ้นและส่งเสริมผู้ประกอบการเพื่อให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศต่างๆ ที่ได้ส่งออกไปด้วย มากกว่าแค่ส่งออกไปขายเแต่เพียงอย่างเดียว

“เจ้าของแบรนด์หรือสินค้าที่สามารถขยายตลาดไปในต่างประเทศได้แล้ว ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลแบรนด์ การบริหารจัดการแบรนด์อย่างเหมาะสม ต้องระลึกไว้เสมอว่า แบรนด์มีคุณค่า อย่าปล่อยให้แบรนด์กลายเป็นลูกกำพร้า ที่ส่งออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพัง เหมือนลูกที่ไม่มีคนเลี้ยง หรือคอยใส่ใจดูแล มีแต่ชื่อแบรด์ที่ปล่อยตามมีตามเกิด เพราะบางแบรนด์เป็นแบรนด์ที่ดี เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพ แต่พอส่งออกไปขาย กลับเอาไปกองๆ รวมไว้หน้าร้าน ทำให้ผู้บริโภคไม่เคยเห็นแบรนด์ หรือไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีแบรนด์สินค้าเหล่านี้ จากประเทศไทยเข้ามาทำตลาด เพราะ​แบรนด์ที่ขาดเรื่องของ Marketing และ Management ที่ดี อนาคตของแบรนด์เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะตายลงไปอย่างแน่นอน​ ​​ดังนั้น ผู้ประกอบการที่มีโอกาสส่งแบรนด์หรือสินค้าของตัวเองไปขายในต่างประเทศ ต้องพยายามทำมากกว่าแค่การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปขายเพียงอย่างเดียว เพราะโอกาสที่แบรนด์จะเกิดหรือติดตลาดเป็นไปได้ยาก ดังนั้น จึงควรเข้าไปมีส่วนร่วมใน Distribution ในแต่ละประเทศที่ส่งออกไปด้วย เพื่อที่จะได้รู้ข้อมูลของตลาด และสามารถบริหารจัดการแบรนด์หรืออาจจะมีการกระตุ้นตลาด เพื่อช่วยสร้างแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม”

ความเป็นไทย”​ ไม่ใช่ปัจจัยช่วยขาย

ขณะที่ข้อมูลจากงาน​วิจัย “ถอดรหัสสูตรลับฉบับแบรนด์ไทย” เข้าใจมุมมองผู้บริโภค ชี้ช่องทางทำแบรนด์ไทยให้ปังพร้อมแข่งขันในตลาดโลก โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุไว้ในแนวทางที่สอดคล้องกัน หลังศึกษา​ Customer Journey ของกลุ่มเป้าหมายด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและพบว่า การที่ผู้บริโภคเลือกใช้สินค้าไทยนั้น ไม่ได้ต้องการเลือกซื้อสินค้าไทยเพราะสะท้อนถึงความเป็นไทย แต่มุ่งเน้นที่คุณภาพของสินค้าเป็นหลัก ​เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุดในการตัดสินใจซื้อแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยต่างๆ

“แม้​ Journey ของผู้บริโภคในการเลือกแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยจะมีความแตกต่างกัน โดยพบว่า ในแบรนด์ท้องถิ่น หรือที่คุ้นเคยกันดีในกลุ่มสินค้า OTOP ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุดคือ ความชอบในเอกลักษณ์ของสินค้า การบอกต่อของคนใกล้ชิด ทำให้รู้สึกอยากทดลองซื้อ สินค้าต้องมีคุณภาพ หากเป็นสินค้าประเภทอาหารต้องอร่อยและสะอาด รวมทั้งเรื่องของบรรจุภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ ต้องมีความโดดเด่นและแตกต่างเหนือแบรนด์คู่แข่ง ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของแบรนด์ไทยคือ คุณภาพ ถือเป็นหัวใจหลัก ต้องดีจริงตามโฆษณา ราคาเหมาะสม นอกจากนี้ แบรนด์ต้องมีการสื่อสารไปยังผู้บริโภค มีการรีวิวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งสินค้าจะเอกลักษณ์ในเรื่องบรรจุภัณฑ์และการทำแบรนด์จะต้องแตกต่างไม่เหมือนใคร รวมทั้งมีความทันสมัยและน่าเชื่อถือ แต่จะเห็นได้ว่าปัจจัยในเรื่องของความเป็นไทยของสินค้า​ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้าแต่อย่าางใด” 

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ให้คำจำกัดความที่แตกต่างของสินค้าแบรนด์ไทย และสินค้าท้องถิ่นไว้ดังนี้

– สินค้าไทย คือ สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ใช้วัตถุดิบที่มีในประเทศไทย ผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับคนไทย และชาวต่างชาติ และเป็นสินค้าที่มีคนรู้จักในวงกว้างผ่านการทำตลาดและประชาสัมพันธ์​

– สินค้าท้องถิ่น คือ สินค้าที่มีลักษณะเฉพาะที่ผลิตและจำหน่ายในแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ โดยเริ่มต้นจากภูมิปัญญา วิถีชีวิต ประเพณีและได้รับการพัฒนาต่อยอดผ่านความคิดสร้างสรรค์ แต่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ​หรือในกลุ่มสินค้า OTOP ทั้งหลาย​ก็จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พบว่า มีสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยหลายราย ที่สร้างแบรนด์จนได้รับการยอมรับในตลาดโลก และสร้างยอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน พบว่า สินค้าในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ในปี 2561 มียอดจำหน่ายสูงถึง 1.9 แสนล้านบาท ​แต่เมื่อดูข้อมูลเชิงลึกจะพบว่า สินค้าโอทอปที่มีกว่า 20,000 กว่าราย กลับมีสินค้ามากกว่า 40% ​ที่ยังไม่สามารถก้าวสู่ความเป็นมาตรฐานสากลหรือแข่งขันในตลาดโลกได้

และหากเปรียบเทียบยอดจำหน่ายสินค้าโอทอปต่อจีดีพีประเทศ ในปี 2561 จะคิดเป็นเพียง 1.2% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมาก หากผลักดันสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยให้ถูกช่องทาง ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยได้อีกหลายเท่าตัว

ทั้งนี้ ยังพบว่า จุดอ่อนสำคัญของสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยอยู่ที่เรื่องของการตลาด โดยเฉพาะสินค้าไม่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ สินค้ามีลักษณะใกล้เคียงกัน ไม่มีความแตกต่าง​ เรื่องของบรรณจุภัณฑ์ หีบห่อไม่สวยงามและทันสมัย รวมไปถึงการรตั้งราคาไม่สอดคล้องกับต้นทุนของสินค้า

“หลายครั้งที่พบว่า ผู้บริโภคชื่นชอบในสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แต่ไม่สามารถจำแบรนด์ได้ หรือไม่รู้ว่าต้องไปหาซื้อเพิ่มได้ที่ไหน ในกรณีที่อยากซื้อซ้ำ เนื่องจากขาดช่องทางการจำหน่ายและการประชาสัมพันธ์ ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่รู้จักแบรนด์สินค้า และไม่สามารถเข้าถึงสินค้าได้ ส่งผลให้ไม่สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง​ และกระทบมาสู่ปัญหาด้านการเงินจนเกิดภาวะขาดทุนในที่สุด”

ถอดรหัส 5 วิธีดันแบรนด์ไทยให้ปัง

คณะผู้วิจัย ยังได้นำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ไทยกำลังเผชิญอยู่ รวมทั้งยังเป็นการช่วยยกระดับแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ​ประกอบไปด้วย 5 แนวทาง ดังต่อไปนี้

1. มองหาภูมิปัญญาในการต่อยอด (Roots of wisdom) มองหาโอกาสและภูมิปัญญาต่อยอด พัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่น สะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมถึงความเป็นอยู่ของสังคมไทย เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้สินค้ามีความแตกต่างจากสินค้าทั่วไปที่มีขายตามท้องตลาด

2. คุณภาพไทยมาตรฐานโลก (Product Quality) ในปัจจุบันมีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เรื่องของคุณภาพจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ทำให้ผู้ผลิตต้องใส่ใจในกระบวนการและวางมาตราฐานของสินค้าของตนให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน

3.โดดเด่นด้วยความแตกต่าง (Product Differentiation) การสร้างสรรค์สินค้าให้มีความแตกต่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการใส่นวัตกรรม การใส่แนวคิดและความคิดสร้างสรรคต่างๆเข้าไปในสินค้า ตลอดจนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความแตกต่างจากท้องตลอด

4.สร้างเรื่องให้จดจำ (Brand Storytelling) การที่แบรนด์สร้างเรื่องเล่าถือเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคผ่านสินค้าหรือบริการ ตลอดจนการตกแต่งร้าน บรรจุภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวเบื้องหลังเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิต ล้วนส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น การจดจำ และการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค

5.พลังแห่งการบอกต่อ (Advocacy) ถือเป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ต้องการและต้องทำให้ได้ คือ เมื่อแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้ผ่านการสื่อสารครบทั้ง 4 เรื่องที่ผ่านมา แบรนด์ที่มีเรื่องราวโดนใจผู้บริโภค ผู้บริโภคจะทำหน้าที่บอกต่อเรื่องราวดี ๆ ของแบรนด์ให้ผู้บริโภครายอื่น ๆ ต่อกันไปในวงกว้าง ซึ่งบางทีสามารถช่วยให้จากแบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก สามารถเป็นที่รู้จักจนขยายเป็นวงการในระดับประเทศได้

Wisesight เปิดรายงานเชิงลึกเจาะตลาด Influencer ไทย พบ 32% ทำผลงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

$
0
0

ต้องบอกว่าในยุคที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟู และพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนมาอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนมากขึ้นอย่างทุกวันนี้ การทำตลาดผ่าน Influencers ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจสำหรับนักการตลาดดิจิทัล เห็นได้จากเม็ดเงินของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกรณีของ Estee Lauder ที่เทงบการตลาด 75% ให้กับ Influencer ไปแล้ว

ทั้งนี้มีการประเมินจาก Influencer Marketing Hub & Media Mix ว่า ในเงิน 1 เหรียญสหรัฐที่แบรนด์จ่ายให้กับ Influencers นั้น สามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจในรูปของ Earned Media กลับมาได้ถึง 5.20 เหรียญสหรัฐ ทำให้ 63% ของแบรนด์มีแผนจะเทงบการตลาดไปในกลุ่ม Influencers มากขึ้นในปีนี้ และปีต่อ ๆ ไป โดยมีการคาดการณ์ว่า เม็ดเงินที่แบรนด์ใส่ลงมาในอุตสาหกรรม Influencers จะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2020 เลยทีเดียว

สำหรับประเทศไทย ก็มีรายงานด้าน Influencers ออกมาแล้วเช่นกัน โดยมาในชื่อ Thailand’s Influencers Landscape ของ Wisesight ในฐานะบริษัทด้าน Data ที่มีการวิเคราะห์และมอนิเตอร์สื่อโซเชียลมีเดีย โดยสิ่งที่รายงานดังกล่าวพบก็คือ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 นั้น อุตสาหกรรมที่ Influencers สามารถสร้าง Engagement ได้มากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ Lifestyle, Food & Dinning, Beauty & Fashion, Social News และ Pets

(หมายเหตุ – จากทั้งหมด 13 อุตสาหกรรมประกอบด้วย กลุ่ม Beauty & Fashion, Financial, Food & Dinning, Gaming, Health & Fitness, IT & Digital, Kids, Lifestyle, Online Program, Pets, Promotion, Social News และ Travel)

โดยรายงานชิ้นนี้ได้เก็บข้อมูลจาก Influencers ระดับท็อปของประเทศไทยจำนวน 1,515 คนระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน 2019 พบว่ามีการโพสต์คอนเทนต์บนสื่อโซเชียลมีเดียจำนวน 685,000 ครั้ง โดยหลัก ๆ อยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook 568,000 ครั้ง เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับตัวเลขในไตรมาสที่ 1 รองลงมาคือ YouTube 18,000 ครั้ง เพิ่มขึ้น 6% ส่วน Twitter มีการโพสต์ 30,000 ครั้ง ลดลง 32% และ Instagram โพสต์ 71,000 ครั้งลดลง 7%

 

สำหรับผลจากการโพสต์ของ Influencers ดังที่กล่าวมา พบว่าสามารถสร้าง Engagement ได้ถึง 1.5 พันล้านครั้ง โดยเกิดกับแพลตฟอร์มของ Facebook มากที่สุด 1,099 ล้านครั้ง (โตขึ้น 17%) ตามมาด้วย YouTube 119,000 ครั้ง (โตขึ้น 19% เหตุที่มีการเติบโตไม่มากนั้น ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์บน YouTube ที่ผู้บริโภคเน้นการชมเป็นหลัก แต่อาจไม่ค่อยมี Engagement กับแพลตฟอร์มเท่าไร) ส่วน Instagram และ Twitter นั้นเติบโตลดลง โดย Instagram อยู่ที่ 302,000 ครั้ง ลดลง 8% และ Twitter อยู่ที่ 23,000 ครั้ง ลดลง 13%

วิเคราะห์ความท้าทาย Influencers Marketing

แต่การเติบโตที่กล่าวมาก็ใช่ว่าจะไร้อุปสรรค โดยจากการเปิดเผยของคุณกล้า ตั้งสุวรรณ ซีอีโอบริษัท Wisesight ยอมรับว่า ความท้าทายของตลาด Influencer นั้นมีหลายด้าน ทั้งในฝั่งของแบรนด์เอง และฝั่งของอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้แบรนด์ส่วนหนึ่งจะพิจารณา Influencers จากยอดผู้ติดตาม (Followers) เป็นสำคัญ และเลือกที่จะมองข้าม Influencer ที่มียอดผู้ติดตามน้อย แถม Influencers ที่มียอดผู้ติดตามจำนวนมากยังสามารถเรียกค่าตัวได้สูงกว่าด้วย

อย่างไรก็ดี การมีผู้ติดตามมาก ไม่ได้เป็นตัววัดว่า Influencers รายนั้น ๆ มีประสิทธิภาพมากเสมอไป เพราะจากข้อมูลที่ Wisesight พบก็คือ ในจำนวน Influencers 1,500 กว่าคนในรายงานฉบับนี้ มีมากถึง 32% ที่สร้าง Engagement ในการโพสต์คอนเทนต์ได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน

ในฟากของ Influencers ก็มีความท้าทายเช่นกัน เพราะ Influencer ที่มียอดผู้ติดตามน้อย หากต้องการทำตัวให้โดดเด่นมากขึ้นเพื่อให้เตะตาแบรนด์  หลาย ๆ คนก็เลือกใช้วิธีปั่นยอดผู้ติดตาม ซึ่งในท้ายที่สุด วิธีการเหล่านี้ก็ไม่เกิดผลดีต่อตัวเอง หรืออุตสาหกรรมโดยรวมแต่อย่างใด และบ่อยครั้งที่ยอดผู้ติดตามที่ปั่นขึ้นมานั้นก็อาจเป็นผู้ติดตามที่ไม่มีความสนใจในคอนเทนต์ของ Influencers รายนั้นอย่างแท้จริง ทำให้ Influencers ไม่อาจเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมถึงไม่สามารถทำงานให้กับแบรนด์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย

คุณกล้า ตั้งสุวรรณ

“ที่ผ่านมา แบรนด์อาจมีข้อมูลไม่พอ ทำให้เลือก Influencers ผิด แถมเมื่อเลือกมาผิดกลุ่มแล้ว การมีข้อมูลน้อยเกินไป ยังทำให้แบรนด์กับ Influencers ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้เงินที่จ่ายไปไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร นอกจากนั้น จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ Wisesight พบว่า มี Influencers มากถึง 13% ที่แม้จะมีผู้ติดตามหลักหมื่น แต่สามารถสร้าง Engagement กับผู้ติดตามได้สูงเทียบเท่ากับ Influencers ระดับท็อป ซึ่งการเทเงินลงมาใน Influencers กลุ่มนี้อาจได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าก็เป็นได้” คุณกล้ากล่าวปิดท้าย

 

มีอะไรในดีล Grab x Heineken เมื่อแบรนด์เบียร์ขอมีตัวตนบนแพลตฟอร์ม Ride-Hailing

$
0
0
(ซ้าย) คุณ Kenneth choo กรรมการผู้จัดการ Heineken APAC และ คุณ Hidayat Liu หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์จาก Grab

เรียกว่าเป็นดีลที่เหนือความคาดหมายพอสมควร สำหรับการประกาศตัวเป็น Strategic Partnership กันระหว่าง Grab และ Heineken โดย Heineken จะมาใช้เทคโนโลยี ช่องทางการจัดส่ง และช่องทางการชำระเงินของ Grab เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจของตนเอง รวมถึงจะเข้าไปมีตัวตนในรูปของ “หน้าร้าน” บนแพลตฟอร์มของ Grab ด้วย

จากความร่วมมือดังกล่าว ทำให้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ Heineken จะสามารถใช้ช่องทางของ GrabFood เจาะตลาดผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อจำหน่ายเบียร์ และไซเดอร์ได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นกับประเทศอย่างสิงคโปร์และเวียดนามก่อนใคร ส่วนฟิลิปปินส์ ไทย เมียนมาร์ และกัมพูชานั้น บริษัทเผยว่ามีแผนจะเปิดตัวตามมาในอนาคตอันใกล้

ที่น่าสังเกตก็คือ การจับมือกันครั้งนี้จะมีการเปิดตัวร้านค้าออนไลน์ของ Heineken ขึ้นบนแพลตฟอร์มของ Grab ด้วย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณการแข่งขันรอบใหม่ไปถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada หรือ shopee ได้ดีเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าสนใจจากการจับมือกันครั้งนี้ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายประเทศมีการจำกัดอายุผู้ซื้อว่าต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี ซึ่ง Grab มองว่า แอปพลิเคชันของตนเองนั้นสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกรองอายุผู้ซื้อได้ระดับหนึ่ง ว่าถึงเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

มากไปกว่านั้น การที่ตัวแอปพลิเคชันรู้จักผู้บริโภคและพฤติกรรมของพวกเขาอย่างดีก็ทำให้ Heineken สามารถทำแคมเปญ และใช้ช่องทางของ Grab ในการส่งสินค้าตัวอย่างให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ชิมกันได้อย่างตรงจุดด้วย

ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นความแตกต่างที่ “เหนือกว่า” สิ่งที่แบรนด์ได้รับจากการเข้าไปมีตัวตนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้แบบทันใจระดับ Grab ยิ่งถ้าหาก Grab สามารถสร้างความประทับใจให้กับการจัดส่งสินค้าได้ด้วยแล้ว ก็จะกลายเป็นการสร้างแต้มต่อให้กับแพลตฟอร์ม Ride-Hailing ของตนเองในการดึงดูดแบรนด์รายใหม่ ๆ เข้ามาเปิดหน้าร้านได้อีกมาก และกลับมาเป็นยอดรายได้ที่คนขับ Grab จะได้รับเพิ่มอีกต่อด้วย

งานนี้คนที่หนาว ๆ ร้อน ๆ จึงอาจไม่ใช่คู่แข่งในวงการแอลกอฮอล์ แต่อาจเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเสียมากกว่าก็เป็นได้

Source

Source

Toyota ให้ใช้รถ 5 วัน C-HR Test Use แคมเปญสะเทือนวงการฯ …เมื่อกล้าให้ ก็ได้ใจลูกค้าไปเต็มๆ

$
0
0

ปีนี้ถือเป็นช่วงขาขึ้นของวงการตลาดรถยนต์ในบ้านเรา มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าถามว่าค่ายไหนถูกจับตามองมากที่สุด เวลานี้ต้องยกให้พี่ใหญ่อย่าง “โตโยต้า” (Toyota) เพราะทีเด็ดไม่ใช่แค่ มีรถรุ่นโฉมใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรม แต่การที่แบรนด์เดินเกมการตลาดอย่างแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยผ่านการตกผลึกแนวคิดที่ยึดหลักความเชื่อที่ว่า “ประสบการณ์” ของลูกค้าสำคัญและมีค่าที่สุด พร้อมพยายามค้นหาความต้องการของลูกค้า และคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์เหล่านี้ให้ครอบคลุมทุกมิติ จนกลายมาเป็นที่มาของการกล้าคิด กล้าทำแคมเปญการตลาดที่แยบยลและแตกต่าง อย่างแคมเปญใหญ่ C-HR Test Use ที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่ววงการยานยนต์

ไฮไลท์ใหญ่ของ C-HR Test Use แคมเปญตลาดแนวใหม่ คือการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจรถยนต์ C-HR ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ของโตโยต้า ในกลุ่ม Sub Compact SUV ได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงในการใช้งาน และขับขี่อย่างใกล้ชิดแบบที่สุดถึงที่สุด นานถึง 5 วันเต็ม ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความกล้าของแบรนด์ Toyota

“ฉะนั้นถ้าจะบอกว่า C-HR Test Use  ถือเป็นแคมเปญที่เข้ามาปฏิวัติวงการ Test Drive ไปตลอดกาลก็คงไม่มีใครกังขา และกลายเป็นต้นแบบของการทำ Marketing Communication ที่ทรงพลัง เพราะสามารถสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ไปพร้อมกับสร้างแบรนด์ให้ยิ่งแข็งแกร่ง และกลายเป็นแคมเปญที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้บริษัทได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน”

หากย้อนรอยไปดูเหตุผลที่ทำให้แคมเปญ C-HR Test Use ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ต้นปี จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังคงได้รับความสนใจอย่างคับคั่ง ส่งผลให้ แบรนด์โตโยต้าถูกพูดถึงในเชิงบวกมากขึ้น เพราะเป็นครั้งแรกในธุรกิจรถยนต์ ที่แบรนด์ใหญ่กล้าทำการตลาดอย่างเหนือชั้น การให้ลูกค้าได้ทดลองนำรถ C-HR ไปใช้ได้นานถึง 5 วันเต็ม ซึ่งต่างไปจากโปรแกรมการให้ทดลองขับรถแบบเดิมๆ ที่ให้เวลาในการทดลองขับเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมง หรือกำหนดเส้นทางไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้ขับขาดโอกาสในการสัมผัสประสิทธิภาพของรถได้อย่างเต็มที่

ภาพจาก : Facebook คุณ Supphalerk Kornkingmala
ภาพจาก : Instagram คุณ mr.thiti

“ทำไมต้องให้ใช้นานถึง 5 วัน เพราะงานนี้ โตโยต้าต้องการให้ลูกค้าได้รับรู้ ได้ใช้รถในแบบไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจริงๆ ให้ทุกคนได้สัมผัสสมรรถนะ และเทคโนโลยี ของ C-HR  ซึ่งลึกๆ แน่นอนว่า โตโยต้า เชื่อว่าเมื่อผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ในการขับครั้งนี้ จะทำให้ทัศนคติที่เคยมีในใจผู้บริโภค ความเชื่อต่างๆ ที่มาจากการรับฟังจากคนอื่น มาเป็นความเชื่อมั่นเพราะได้สัมผัสจริงด้วยตัวเอง”

ฉะนั้นแล้วแม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีแคมเปญเกี่ยวกับรถมากมาย แต่ C-HR Test Use ยังคงครองแชมป์แคมเปญที่มีคนติดตามมากที่สุด โดยทุกครั้งที่มีการเปิดรับสมัครเข้าร่วมทดลองใช้ฟรี ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.toyotaactivity.com/CHR_testuse/ จะมีผู้คนจากทั่วประเทศสมัครเข้ามาอย่างล้นหลาม เต็มโควตาภายในชั่วพริบตา ซึ่งผู้สมัครที่พลาด ร้อยทั้งร้อย ส่วนใหญ่ก็ยังคงตามติดข่าวสารเพื่อเข้าร่วมสมัครใหม่ในครั้งต่อไปอย่างไม่ลดละ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่คนพลาดจะยังคงอดทนรอ เพราะแคมเปญให้ทดลองใช้แบบให้รถไปใช้เลยฟรี นานถึง 5 วันแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในไทย

ภาพจาก : Instagram คุณ mr.thiti

“ดีไซน์ที่ว่าสวย ช่วงล่างที่ว่าแน่น เครื่องยนต์ที่ว่าแรงแต่ว่าประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัยที่มีอยู่ครอบคลุมทุกจุด” เสียงชื่นชอบเหล่านี้ในรถยนต์ C-HR อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าคุณไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าอยากทำความรู้จัก สมรรถนะการขับขี่และฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ของ C-HR ให้มากขึ้น อย่าพลาดแคมเปญ C-HR Test Use รูปแบบการ Test Drive ใหม่ที่สร้างความเชื่อใหม่ จากประสบการณ์การใช้จริง  และคุณจะได้ มากกว่าทุกอย่างที่เคยเชื่อ

ภาพจาก : Instagram คุณ honeysocute

ปลายทางของการทำแคมเปญแบบให้ใจลูกค้าไปก่อนแบบที่โตโยต้าทำนี้ ผลลัพธ์ที่กลับมาต้องบอกว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะ การมองไกลข้ามช็อต โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ลูกค้ามาก่อน และกล้าที่จะให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ผ่านโลกโซเชียลทำให้เกิดเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม เป็นการช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์โตโยต้าทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกเสียง หรือความคิดเห็นที่ถูกถ่ายทอดลงมาล้วนเกิดขึ้นจากผู้ที่ได้ทดลองใช้งาน C-HR จริงๆ ไม่ใช่คำกล่าวอ้างโฆษณาแบบที่เห็นอยู่ดาษดื่น และทุกเสียง ทุกรีวิวของการได้ทดลองขับ C-HR เหล่านั้นก็ถูกแชร์ไปทั่ว ไปใน social platform จากผู้คนมากกว่า 1,700 คนแล้ว และยังถูกส่งต่อไปอีกไม่รู้จบ…

“โตโยต้า จับถูกจุดการตลาด รู้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ถ้าได้เชื่อ และมั่นใจแล้วผู้บริโภคเหล่านั้นจะทำหน้าที่เหมือนกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ เป็น Brand Ambassador ตัวจริงเสียงจริงให้เองโดยอัตโนมัติ  และเสียงจากคนธรรมดาเหล่านี้ คือ เสียงโปรโมทชี้นยอด ที่สร้างความเชื่อได้มากกว่าการทำการตลาดแบบเดิมๆ หรือผ่านพรีเซ็นเตอร์ดาราคนดัง จึงไม่น่าแปลกใจที่การทำแคมเปญ C-HR Test Use  ในครั้งนี้แบรนด์โตโยต้าจะได้รับเสียงชื่นชม และอานิสงส์ไปถึงการได้ลูกค้าใหม่ๆที่เปลี่ยนมาเป็นเจ้าของ C-HR ให้ขึ้นแท่นรถยนต์ที่สร้างความประทับใจได้ดีที่สุดในกลุ่มรถยนต์ Sub Compact SUV เป็นที่เรียบร้อย”

 

“แว่นท็อปเจริญ” ปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุด “ชัดเจนต้องท็อปเจริญ” ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้ให้บริการด้านสายตาแบบครบวงจร [PR]

$
0
0

แว่นท็อปเจริญ นำโดย คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการห้างแว่นท็อปเจริญ เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุด “ชัดเจนต้องท็อปเจริญผ่านพรีเซ็นเตอร์ “ติ๊ก ชิโร่” นักร้องซูเปอร์สตาร์ขวัญใจมหาชน ที่ได้สร้างสรรค์เพลงฮิตติดหู ทั้งเนื้อร้องทำนองที่สนุกสนาน สื่อสารเนื้อหาของความเชี่ยวชาญด้านสายตา และการมีแว่นตาให้เลือกหลากหลาย ทั้งยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำบริการด้านสายตาแบบครบวงจร (One Stop Services)

ภาพยนตร์โฆษณาชุด “ชัดเจนต้องท็อปเจริญนำเสนอเรื่องราวของชายหนุ่มที่เข้ามาใช้บริการตัดแว่นด้านสายตาที่ร้านแว่นท็อปเจริญ มีความยาว 15 วินาที โดยสื่อสารไปยังทุกกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ครอบคลุมทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และเน้นโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ปัจจุบันผู้ชมกลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญและความสนใจกันอย่างมาก โดยสามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่นี้ได้ทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2562 เป็นต้นไป หรือคลิกดูได้ที่ www.topcharoen.co.th และ Facebook.com/TopCharoenOpticalOfficial หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ Line: @top_charoen

คอนโดเซ็นทริค รัชโยธิน จัดพิธีเทปูนปิดยอดอาคาร และพร้อมโอนปลายปี 2562 นี้ [PR]

$
0
0

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ผู้บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมกับบริษัทคู่ค้าและผู้รับเหมาหลักคอนโดเซ็นทริค รัชโยธิน  ได้แก่ นายรังสรรค์ เกียรติยศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบิวด์ แมเนจเมนท์ จำกัด , นายสมชาย ศิริเลิศพานิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) , นายสุรัติ วันทนาวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท  บิวเทค จำกัด , นายณัตินัยน์ ยุทธพัฒน์ศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเทปูนปิดยอดอาคารโครงการเซ็นทริค รัชโยธิน  ซึ่งพร้อมโอนปลายปี 2562 นี้

โครงการเซ็นทริค รัชโยธิน คอนโดแต่งครบ ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร ทำเลศักยภาพที่เติบโตมากสุดทำเลหนึ่งของกรุงเทพมหานคร รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ดิ อเวนิว รัชโยธิน เมเจอร์รัชโยธิน และ SCB Park  มีขนาดพื้นที่กว่า 2 ไร่ มูลค่า  1,500  ล้านบาท  เป็นอาคารสูง 21 ชั้น พร้อมสังคมส่วนตัวเพียง 261 ครอบครัว

พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Place for Your Hybrid Lifestyle” ที่มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตและการพักผ่อนที่หลากหลาย ตอบสนองทุกรูปแบบ Lifestyle คนเมือง ได้แก่

  • Hybrid Facilities ด้วยพื้นที่ส่วนกลาง Triple Facilities อาทิ Co-Working Space, Sensational Garden, Infinity-Edge Pool, Panoramic Sky Fitness Room
  • Hybrid Living Experience กับห้อง One Bedroom Plus เริ่ม 5.69* ล้านบาท ห้องเอกลักษณ์เฉพาะของโครงการฯ ที่ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ห้องเอนกประสงค์ที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม Lifestyle ของตัวเอง มาพร้อมกับเพดานสูงโปร่งถึง 3* เมตร และเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาให้อย่างลงตัว

 โครงการเซ็นทริค รัชโยธิน พร้อมเปิดให้ลูกค้าเยี่ยมชมห้อง บรรยากาศพื้นที่ส่วนกลาง และวิวจริง ปลายปี 2562 นี้

ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษและข่าวสารก่อนใครที่ http://bit.ly/2KWTZ4I

หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.scasset.com รายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1749

#CentricRatchayothin #DiscoverYourLifeFindYourCenter #SCcondo #SCAsset

 


ฟิตบิท เปิดตัว Fitbit Premium บริการแบบสมัครสมาชิก เพื่อเข้าถึงคำแนะนำด้านสุขภาพและการออกกำลังกายตัวใหม่ล่าสุด [PR]

$
0
0

Fitbit (NYSE: FIT) ประกาศเปิดตัว Fitbit Premium บริการแบบสมัครสมาชิกบนแอปพลิเคชัน Fitbit® ที่ดึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ส่งมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดจากฟิตบิท ผ่านคำแนะนำเพื่อให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพได้จริง บริการ Premium ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกที่ฟิตบิทรวบรวมมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี รวมถึงความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาการและการแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้ขยับร่างกายให้มากขึ้น นอนหลับสนิทขึ้น และมีโภชนาการที่ดี ผ่านโปรแกรมที่เป็นส่วนตัว ฟีเจอร์ด้านการนอนขั้นสูง ข้อมูลเชิงลึกส่วนบุคคล แนวทางการออกกำลังกายกว่าพันรายการ ด่านใหม่ๆ รายงานสุขภาพ และอีกมากมาย ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมอยู่ในที่เดียว[i] ผู้ใช้อุปกรณ์ฟิตบิททุกคนและลูกค้า Fitbit Health Solutions สามารถใช้บริการ Premium ได้ผ่านโปรแกรม Fitbit Care

ตลาดสุขภาพแบบดิจิทัลในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง จากสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา ประชากรวัยทำงานกว่า 14 ล้านคนเป็นสมาชิกบริการด้านสุขภาพบนแอปพลิเคชันต่างๆ โดยใช้จ่ายเงินราว 5,330 บาทต่อปี[ii] ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ในตลาดที่ยังต้องการแอปพลิเคชันที่จะสามารถให้ตัวช่วยด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่มีคุณภาพ คำแนะนำที่เป็นส่วนตัว และโปรแกรมการฝึกทั้งหมดในที่เดียว บริการ Premium ของฟิจบิทตอบโจทย์ความต้องการในจุดนี้และให้มุมมองสุขภาพแบบองค์รวมที่บริการอื่นๆ ในปัจจุบันยังขาดอยู่ ด้วยราคาที่จับต้องได้ บริการนี้เหมาะกับผู้ที่มองหาตัวช่วยสร้างแรงกระตุ้นและกำลังใจในการออกกำลังกายที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหน บริการ Premium จะนำเสนอตัวช่วยที่เป็นส่วนตัว เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืนและนำไปสู่สุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้น

“ที่ Fitbit เรามุ่งเน้นให้เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องที่เข้าได้ถึงง่ายและเป็นไปได้ ด้วยบริการ Fitbit Premium เราพร้อมส่งมอบประสบการณ์เฉพาะตัวที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดจากฟิตบิท ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมๆ กับพฤติกรรมของผู้ใช้และชาญฉลาดขึ้นตามเวลา พร้อมให้คำแนะนำและแรงกระตุ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ” เจมส์ ปาร์ค ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟิตบิท กล่าว “การเปิดตัวบริการ Premium ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่เราได้ขยายธุรกิจมากกว่าแค่อุปกรณ์แวร์เอเบิล บริการนี้เป็นการส่งมอบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ใช้กว่า 27 ล้านรายของเรา ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้ใช้รายใหม่สู่แฟลตฟอร์มของฟิตบิท[iii]

ด้วยอุปกรณ์ที่ล้ำสมัย ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์ และสังคมสุขภาพระดับโลก บริการ Premium จะกลายเป็นตัวสร้างคุณค่าให้กับแฟลตฟอร์มของฟิตบิท ผ่านการมอบประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้สุขภาพของผู้คนดีขึ้น

ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากที่สุดจากฟิตบิท

นอกเหนือจากการใช้ข้อมูลที่รวบรวมมากว่า 10 ปีแล้ว ฟิตบิทยังร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการและการแพทย์จาก Fitbit’s Advisory Panel ซึ่งประกอบไปด้วยนักจิตวิทยา นักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ และอีกมากมาย เพื่อช่วยให้การดูแลสุขภาพของผู้ใช้เป็นไปอย่างครบวงจร

สำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบเจาะจง เช่น โรคเบาหวานหรือลดน้ำหนัก ฟิตบิทจะเปิดตัวบริการโปรแกรมการดูแลแบบตัวต่อตัวในปี 2563 ผ่านโปรแกรมนำร่องแบบเจาะกลุ่มที่จะนำมาใช้ในปลายปีนี้[iv] โดยใช้ทีมผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพของฟิตบิทที่ผ่านการรับรองมาให้คำแนะนำและกำลังใจแบบตัวต่อตัวบนแอปพลิเคชันของฟิตบิท

การนอนที่ดีขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ฟิตบิทให้ความสำคัญกับการพัฒนาฟีเจอร์นวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ใช้นอนหลับได้ดีขึ้น บริการ Premium มีโปรแกรมแนะแนวทางการนอนและตัวช่วยการนอนตัวใหม่ รวมถึงเพลงบรรเลงตอนนอน[v]และการปลุกอัจฉริยะ[vi] สมาชิก Premium จะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการนอนหลับ พร้อมตัวช่วยและคำแนะนำเฉพาะบุคคลเพื่อการนอนหลับที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

“คนส่วนมากไม่ทราบว่าการนอนหลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสามารถนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคหัวใจและโรคเบาหวาน ข้อมูลเชิงลึกด้านการนอนหลับของฟิตบิทที่รวบรวมมากว่า 10 ปี จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการนอนของตัวเองและความเกี่ยวพันธ์กับการเคลื่อนไหวร่างกาย น้ำหนัก และสุขภาพหัวใจได้” ดร. คอเนอร์ เฮเนเกน นักวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยด้านการนอนของฟิตบิท[vii] กล่าว “เรามีฐานข้อมูลที่รวบรวมสถิติการนอนหลับกว่าหนึ่งหมื่นล้านคืน เพื่อนำมาพัฒนาและแนะแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับของผู้ใช้บริการ Premium อย่างเฉพาะตัวที่สุด”

ตัวอย่างข้อมูลเชิงลึกที่ประเมินจากฐานข้อมูลการนอนหลับของผู้ใช้ ได้แก่:

  • การเข้านอนตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญ! การนอนของผู้ใช้แตกต่างกันถึง 40 นาทีในแต่ละวัน พยายามปรับพฤติกรรมการเข้านอนให้ตรงเวลามากขึ้นเพื่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ
  • ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา นับก้าวได้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 8,376 ก้าว อัตราการเต้นหัวใจเวลาพักของผู้ใช้ลดลง 2 bpm จากค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 67 bpm ขอให้คงพฤติกรรมแบบนี้ไว้!

 แรงผลักดันให้ขยับร่างกายมากขึ้น

สมาชิก Premium ยังสามารถออกกำลังกายผ่าน ไฟล์ภาพเคลื่อนไหวและเสียงกว่าพันรายการ จากผู้ฝึกสอนบนแอปพลิเคชัน Fitbit Coach ได้ทุกที่ทุกเวลา แนวทางการออกกำลังกายเหล่านี้ถูกคัดสรรจากข้อมูลเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์เป้าหมายสุขภาพและปรับตามฟีดแบ็คที่ผู้ใช้ใส่ข้อมูลเข้าไป ในอนาคต สมาชิก Premium ยังจะได้รับ โจทย์จากด่านและเกมส์ต่างๆ เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายสุขภาพได้เร็วขึ้น กว่าร้อยละ 72 ของผู้ใช้ฟิตบิทที่ใช้ฟีเจอร์ด่านและเกมส์ นับจำนวนก้าวได้มากกว่าค่าเฉลี่ย 1,000 ก้าวต่อวัน[viii] ผู้ใช้ยังสามารถชักชวนเพื่อนฝูงและสมาชิกในครอบครัวให้มาเข้าร่วมกิจกรรมบนฟิตบิทได้อีกด้วย[ix]

ตัวช่วยการจัดการสุขภาพแบบเชิงรุก

บริการ Premium ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับรายงานสุขภาพเฉพาะตัว สามารถนำข้อมูลไปปรึกษาแพทย์ นักโภชนาการ หรือผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลต่อได้[x] อำนวยความสะดวกในการวินิจฉัยและการให้คำแนะนำเฉพาะทาง ทำให้การดูแลจัดการสุขภาพมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านข้อมูลเชิงลึกที่นำเสนอในรูปแบบกราฟ การวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ ประสิทธิภาพการนอนหลับ และน้ำหนักตัว ในอนาคตผู้ใช้จะสามารถแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ราคาและการวางจำหน่าย

Fitbit Premium จะวางจำหน่ายในเดือนกันยายน 2562 ด้วยราคาสมาชิกที่ 300 บาทต่อเดือน หรือ 2,500 บาทต่อปี เริ่มเปิดให้บริการในภาษาอังกฤษใน 17 ประเทศบนแอปพลิเคชันของฟิตบิท และขยายตลาดในภาษาอื่นๆ ภายในปี 2563 ผู้ใช้ฟิตบิททุกรายจะได้รับสิทธิ์การทดลองใช้ฟรีเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์และผู้ใช้ Fitbit Versa™2 Special Edition จะได้รับการทดลองฟรีเป็นเวลา 90 วัน[xi]

ลูกค้าองค์กรที่ใช้ Fitbit Health Solutions จะสามารถใช้บริการ Premium ผ่านโปรแกรม Fitbit Care ภายใต้ข้อเสนอทั้งแบบตัวเลือกและแบบที่ร่วมกับโปรแกรม Health Coaching เพื่อจัดการดูแลสุขภาพและป้องกันอาการเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง

ในวันเดียวกันนี้ ฟิตบิทยังได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสมาร์ทวอทช์ Fitbit Versa 2TM นาฬิกาข้อมือเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายและ Fitbit Aria AirTM เครื่องชั่งน้ำหนักบลูทูธอัจฉริยะในราคาที่จับต้องได้ สำหรับข่าวและภาพ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.fitbit.com/press

[i] Workouts play จากแอปพลิเคชัน Fitbit Coach มาพร้อมกับความท้าทายใหม่และรายงานด้านสุขภาพ เร็วๆ นี้

[ii] อ้างอิงจากผลการสำรวจ Fitbit U.S. Market Attitudes and Usage Study (อายุ 18-70 ปี) เดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม 2562

[iii] ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561

[iv] One-on-one coaching pilot มีจำนวนจำกัดสำหรับลูกค้าประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการเป็นสมาชิก Premium

[v] ติดตั้งในแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้งาน Fitbit Ionic และตระกูลสมาร์ทวอทช์ Fitbit Versa  สำหรับอุปกรณ์การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เร็วๆ นี้

[vi] มีใน Fitbit Ionic และ ตระกูลสมาร์ทวอช Fitbit Versa  เร็วๆ นี้

[vii] CDC, U.S., https://www.cdc.gov/media/releases/2016/p0215-enough-sleep.html; 51% ของวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกhttps://www.travelagentcentral.com/running-your-business/stats-51-adults-worldwide-don-t-get-enough-slee; Institute of Medicine, Committee on Sleep Medicine and Research. Sleep disorders and sleep deprivation: An unmet public health problem. National Academies Press, 2006, http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20669438.

[viii] อ้างอิงจาก การรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้ฟิตบิต ที่ร่วมกิจกรรมท้าประลอง “Workweek Hustle”, 1 กันยายน 2561 – 21 ธันวาคม 2561

[ix] การท้าประลองและเกมส์ จำเป็นต้องเริ่มจากสมาชิกพรีเมียม ถ้าได้รับการเชิญชวน ทุกคนบนฟิตบิตสามารถร่วมกิจกรรมโดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกได้

[x] การรายงานเกี่ยวกับสุขภาพจะมีการรายงานมาเร็วๆนี้

[xi] โปรโมชั่นทดลองใช้ สามารถใช้เมื่อเปิดฟิตบิตพรีเมี่ยม 90 วันทดลองใช้ จำกัดแค่ผู้ที่ซื้อฟิตบิตเวอร์ซ่า 2 รุ่นพิเศษเท่านั้น การทดลองใช้ฟรีสามารถเปิดใช้งานได้ต่อเมื่อมีอุปกรณ์และมีการจ่ายที่ถูกต้อง การทดลองใช้ฟรีจำเป็นต้องเปิดใช้งานภายใน 60 วันที่เปิดการใช้งานอุปกรณ์ การยกเลิกก่อนการทดลองใช้ฟรีจะถือว่าเป็นการสิ้นสุดการจ่ายค่าธรรมเนียมการเป็นสมาชิก (มีค่าภาษีและค่าธรรมเนียมเพิ่ม) เนื้อหาและคุณลักษณะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เป็นข้อเสนอสำหรับสมาชิกใหม่ฟิตบิตเท่านั้น

 

T.O.P 2019 – Togetherness of Possibilities ทรู ดิจิทัล พาร์ค จัดยิ่งใหญ่ งานสัมมนาเทคโนโลยีแห่งปี โอกาสพบกูรูวงการสตาร์ทอัพและเทคจากทั่วโลก ที่ไม่ควรพลาด [PR]

$
0
0

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โชว์พลังความร่วมมือของเหล่าพันธมิตรชั้นนำร่วมเติมเต็มระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพ ชวนผู้สนใจในวงการเทคและสตาร์ทอัพร่วมงานสัมมนาทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญแห่งปี T.O.P 2019 – Togetherness of Possibilities การรวมตัวของคนในวงการเทคโนโลยีและเหล่าสตาร์ทอัพ พบกับกูรูและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำ และวงการสตาร์ทอัพจากทั้งในและต่างประเทศ อย่าง 500 Startups, Asia Partners, OokBee, Beacon Venture Capital, ACE Singapore และ General Assembly ที่จะมาแลกเปลี่ยนมุมมองทางเทคโนโลยีสร้างแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ๆของธุรกิจ

งาน T.O.P 2019 – Togetherness of Possibilities จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 18 กันยายน 2562 เวลา 12.00-18.00 น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 ทรู ดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท 101 เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ https://www.eventpop.me/e/6258-top2019

#Truedigitalpark #Startupecosystem #Oneroofallpossibilities

GEPP สตาร์ทอัพ “ขยะ”ที่แปลง Data มาช่วยเก็บขวดให้โค้ก เป้าหมาย 100% ในปี 2030

$
0
0
คุณนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด และคุณมยุรี อรุณวานนท์ ซีอีโอและและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด หรือ GEPP

จากผู้บริโภคที่วันหนึ่งนึกตั้งคำถามเล่นๆขึ้นมาว่า “ประเทศไทยจัดการกับปัญหาขยะอย่างไร” จนนำมาสู่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีชื่อแสนสั้นและจดจำง่ายว่า เก็บ” (GEPP) ตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ที่มีวัสดุรีไซเคิล กับผู้รับซื้อวัสดุรีไซเคิล ก่อตั้งโดย “คุณมยุรี อรุณวานนท์” และ คุณโดม บุญญานุรักษ์” ด้วยความหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขยะที่ยั่งยืนให้กับประเทศนี้ 

“GEPP” แพลตฟอร์มที่ใช้ Data มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขยะ

คุณมยุรี อรุณวานนท์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด หรือ GEPP เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ เก็บ เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 ด้วยแพชชั่นที่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมให้มองเรื่อง ขยะ เป็นสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น และหันมาให้ความสำคัญกับการ “คัดแยกขยะ” หลังจากที่ศึกษาและพบคำตอบว่า ประเทศไทยจัดการกับขยะด้วยการฝังกลบและเผาทิ้ง ซึ่งเป็นวิธีที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมา ดังนั้น หากมีการจัดเก็บแยกขยะอย่างถูกต้อง จะช่วยลดจำนวนขยะที่ต้องนำไปฝังกลบและเผาได้ 

หากถามว่าอะไรคือ เหตุผลที่ส่วนใหญ่ไม่แยกขยะก่อนทิ้ง คุณมยุรีตอบว่า คนไทยอยากแยกขยะ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องแยกอย่างไร บางคนไม่สะดวก หรือไม่รู้ว่าจะจัดการกับขยะอย่างถูกวิธีได้อย่างไร ดังนั้นเป้าหมายแรกของ GEPP จึงต้องการให้คนแยกขยะให้ได้ โดยการเข้าไปให้ความรู้ที่ถูกต้องและช่วยอำนวยความสะดวก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ที่มีวัสดุรีไซเคิลและอยากขาย กับผู้รับซื้อวัสดุรีไซเคิล หรือเรียกกันว่า ซาเล้ง ให้ไปรับซื้อขยะถึงหน้าร้านหรือหน้าบ้าน

“เรามีเป้าหมายในการทำงานแบบ 80:20 คือ เข้าไปเจาะกลุ่มที่ทำให้เกิดผลกระทบมากที่สุดก่อน ครั้งแรกที่ทำ เราเดินเคาะประตูตามร้านอาหารต่างๆ แล้วถามว่าแยกขยะไหมคะ ทุกครั้งที่เราเดินไป เราก็จะเก็บ Data Point ไปด้วย เพื่อให้คนแยกขยะให้เร็วที่สุด ง่ายที่สุด และคุ้มทุนกับคนเก็บมากที่สุด” คุณมยุรีกล่าว

นอกจากการสร้าง Awereness กับผู้บริโภคแล้ว คุณมยุรี ยังแปลโจทย์ “การจัดเก็บและแยกขยะ ที่ต้องทำอย่างยั่งยืน” โดยขยายมาสู่การเข้าไปจับมือกับพาร์ทเนอร์ใน “ระดับองค์กร” เพื่อให้การจัดการปัญหาขยะสามารถขยายผลโดยเร็วมากที่สุด และให้ทุกภาคส่วนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน “ได้รับประโยชน์ร่วมกัน” 

โดย GEPP ขยายโมเดลธุรกิจจากที่เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้แยกขยะและผู้อยากขายวัสดุรีไซเคิล มาทำหน้าที่เป็น ผู้จัดเก็บข้อมูลขยะ(Data House) ช่วยจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขยะและวัสดุรีไซเคิล (Data Analytics) ให้กับองค์กรที่สนใจจัดการขยะทั้งหมด และกลายเป็นที่มารายได้ของบริษัท

“เราทำ Data วิเคราะห์ข้อมูลขยะทั้งหมดให้กับองค์กร โดยเข้าไปเก็บข้อมูลการคัดแยกขยะ จำนวนขยะที่ลดลง ตลอดจนจัดอบรมให้ความรู้เรื่องขยะ เพื่อปลูกฝัง Mind Set การคัดแยกขยะให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าขยะที่ทิ้งจะสามารถนำไปรีไซเคิลได้จริง ทั้งนี้ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกและนำไปวิเคราะห์ ทำให้องค์กรทราบจุดชี้วัด ซึ่งคือปริมาณขยะทั้งหมด จุดคุ้มทุนต่อการเก็บขยะแต่ละครั้ง”

ต้องเก็บคืนให้ได้ 100% เป้าหมายของระดับโกลบอลของ “Coca-Cola”

หลังจากก่อตั้งมาได้ราวๆ 1 ปี “Coca-Cola” เป็นองค์กรแรกๆที่สนใจเข้าร่วมกับคัดแยกขยะไปกับ “GEPP”

โดย “Coca-Cola” ประกาศวิสัยทัศน์ทั่วโลก World Without Waste ที่ต้องการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ เพื่อนำกลับมารีไซเคิลในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดให้ได้ 100% ภายในปี 2030  

ในฐานะที่เป็นบริษัทผู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ที่จำเป็นต้องมีบรรจุภัณฑ์ Coca-Cola ตระหนักถึงการส่วนหนึ่งของปัญหาขยะ โดยที่ผ่านมาได้นำแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในองค์กรอย่างครบวงจรตั้งแต่ ผลิต-บริโภค-นำกลับมาใช้ซ้ำ รวมไปถึงการวางแนวทางกำจัดเมื่อบรรจุภัณฑ์เมื่อถูกใช้งานเสร็จแล้ว ไปพร้อมๆกับการทำโครงการ “ขวดแก้วคืนขวด” 

คุณนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ใน 1 ปี บริษัทต้องใช้บรรจุภัณฑ์จำนวนมากในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ไปสู่มือผู้บริโภค และจากไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริษัทต้องพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มให้หลากหลาย รวมถึงการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เริ่มจากการใช้ ขวดแก้วแบบคืนขวด เพื่อนำกลับมาทำความสะอาดและบรรจุผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ปัจจุบันมีการเก็บคืนอยู่แล้วเกือบ 100% แต่ยังมีบรรจุภัณฑ์บางส่วนที่ปนเปื้อนจนไม่สามารถเก็บคืนได้ รวมทั้งยังมีบรรจุภัณฑ์ชนิดที่ไม่เก็บคืนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ขวดพลาสติก, กระป๋องอลูมิเนียม, ขวดแก้วชนิดไม่คืนขวด เป็นต้น

จึงเป็นที่มาของโครงการ “โค้กขอคืน x Central Group Journey to Zero ที่ Coca-Cola ได้ชักชวน “เซ็นทรัลกรุ๊ป” เข้ามาเป็นหนึ่งในการสนับสนุนและจัดทำระบบส่งเสริมการคัดแยกขยะที่ต้นทาง เพื่อนำบรรจุภัณฑ์กลับคืนสู่กระบวนการรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด 

ที่ผ่านมา เซ็นทรัลกรุ๊ป เป็นองค์กรที่เดินหน้าเรื่อง “Sustainability” โดยให้ความสำคัญกับการรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนการสร้างโลกสีเขียวมาอย่างต่อเนื่อง ในโครงการ “Central Group Love the Earth” ที่เข้าไปสร้างประโยชน์ทั้งในระดับองค์กร ชุมชน และมหภาค โดยหนึ่งในพันธกิจหลักของโครงการ คือ “Journey to Zero” การลดปริมาณขยะและการลดการสร้างคาร์บอน 

คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า เรื่องการแยกขยะ เป็นสิ่งที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลคิดและทำมาตลอดอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมา มีการปลูกฝังให้พนักงาน นักศึกษา รวมถึงเครือข่ายพันธมิตร ถึงความเข้าใจในเรื่องการคัดแยกขยะ แต่ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญคือไม่ใช่แค่การแยกแล้วจบ แต่ต้องต่อได้ว่าแยกแล้วไปไหน

ทั้งนี้โครงการดังกล่าว เริ่มต้นนำร่องแล้วที่ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ และ เซ็นทรัลพลาซา บางบา เมื่อวันที่ 29 กรกฏาคมที่ผ่านมา โดยคัดแยกและนำขยะจากร้านอาหารในเครือของบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว ที่นำกลับมารีไซเคิลใหม่ 

ทั้งนี้หลังจากที่แพลตฟอร์ม GEPP ได้เข้าไปเก็บข้อมูลการคัดแยกขยะ และรับซื้อวัสดุรีไซเคิลในจากร้านอาหารและภัตตาคารของกลุ่มเซ็นทรัลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีการเก็บขยะรีไซเคิลไปแล้วกว่า 2.75 ตัน

“เก็บ” แล้วไปไหนต่อ ?

ทั้งนี้วัสดุรีไซเคิลที่มีการจัดเก็บและถูกคัดแยกทั้งหมด จะส่งต่อไปยังพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในการจัดการขยะ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) ผู้รับซื้อวัสดุประเภทแก้ว , บริษัท ไทยเบเวอร์เรจ แคน จำกัด ผู้รับซื้อกระป๋องอลูมิเนียม, บริษัท เวสท์ทีเรียล จำกัด ผู้รับซื้อกระดาษและกล่องเครื่องดื่ม, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ผู้รับซื้อพลาสติกฝาขวด และ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้รับซื้อพลาสติกชนิด PET

เนื่องจากโครงการนี้เป็นการขายวัสดุรีไซเคิลให้กับผู้รับรีไซเคิลโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง จึงคาดหมายว่าผู้รับซื้อจะมีกำไรจากการซื้อขายวัสดุรีไซเคิลในโครงการนี้สูงกว่าการซื้อขายทั่วไป โดยทาง Coca-cola มีนโยบายให้ผู้ดำเนินการจัดเก็บต้องปันกำไรส่วนหนึ่งมาใช้สมทบในการขยายโครงการนี้ต่อไปในอนาคต และทางเซ็นทรัลก็มีนโยบายที่จะมอบรายได้ส่วนหนึ่งที่เกิดจากการดำเนินงานโครงการนี้ เพื่อตอบแทนกลับคืนให้กับทุกภาคส่วนที่ช่วยจัดการและแยกขยะเช่นกัน ระบบการจัดเก็บนี้จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของคุณค่าร่วม (Shared Value) เท่านั้น แต่จะทำให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมจะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมอันเป็นหัวใจของระบบที่ยั่งยืน

หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จดี มีแผนที่จะขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มรายอื่นๆ ผู้จัดเก็บและคัดแยกขยะ บริษัทรับซื้อวัสดุรีไซเคิล รวมไปถึงการขยายไปสู่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล ตลอดจนหัวเมืองใหญ่ที่มีศูนย์การค้าเซ็นทรัลตั้งอยู่อีกด้วย

ไม่เพียงแต่เฉพาะภายในศูนย์การค้าเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนยังมองภาพในระยะยาว โดยมีแผนที่จะจัดทำเส้นทาง “Pick up Point” เพื่อขยายจุดรับจัดการขยะไปสู่พื้นที่สำนักงาน หรือตามโรงเรียนต่างๆ ต่อไป

จับตา PTT x GPSC ลุยธุรกิจแบตเตอรี่พลังงานสะอาด รองรับโอกาสตลาดพลังงานหมุนเวียนในอนาคต

$
0
0

 

บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)  ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในสัญญา “โครงการวิจัยและพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ (Pilot Plant) ด้วยเทคโนโลยีเซมิ-โซลิด (Semi-Solid)” ต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ปิดจุดอ่อนพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟได้ต่อเนื่อง

เนื่องจากเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรงด้านการผลิต “ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน” เนื่องด้วยพลังงานไฟฟ้าซึ่งมีความสำคัญต่อการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกเริ่มมีข้อจำกัด จากความต้องการในการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติถ่านหิน ดังนั้น ฟอสซิลซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตจึงเริ่มหมดลงในอนาคต

“โซลาร์รูฟ” (SOLAR ROOF) หรือ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย กลายเป็นหนึ่งในไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อเทียบกับไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ลม ชีวมวล ฯลฯ เนื่องจากแสงอาทิตย์ไม่มีวันหมด เป็นพลังงานสะอาด และยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่นับวันก็ยิ่งถูกกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจาก แต่ก็ยังคงมีจุดอ่อนคือ การผลิตที่ไม่สม่ำเสมอ

ปัจจุบัน หลายประเทศเริ่มผลักดันการใช้ใช้พลังงานสะอาดไม่ว่าจะเป็นในด้านอุตสาหกรรม หรือในภาคประชาสังคม อาทิ “คอสตาริก้า” เดินหน้าใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อน โซลาร์เซลล์ แก๊สชีวมวล ฯลฯ 100%  หรือ “สวีเดน” จูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก อาทิ ลดภาษี ใช้ทางด่วนฟรี และเพิ่มรอบวิ่งรถไฟฟ้าและรถเมล์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศแรกของโลกที่เลิกใช้น้ำมันในปี 2020

สำหรับประเทศไทย มีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015) ซึ่งขณะนี้เตรียมปรับปรุงสู่แผนใหม่หรือ AEDP 2018 และยังกำหนดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มุ่งสู่การนำนวัตกรรมมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ขณะที่หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกกำหนดไว้ คือ ยานยนต์ไฟฟ้า กลุ่ม ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานของประเทศ ที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงาน จึงมองการขยายโอกาสไปยังธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ทิศทางการใช้พลังงานในอนาคตและนโยบายรัฐ ขณะที่ตลาดแบตเตอรี่ เริ่มเป็นที่ต้องการของหลายภาคธุรกิจ ทั้งเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน การบริหารจัดการพลังงานภายในชุมชน หรือเมือง ในรูปแบบ Smart Energy

ปักธงโรงงานผลิตในอเมริกา

ที่ผ่านมา GPSC ได้ร่วมกับ ปตท. ทดลองนำร่องดำเนินการพัฒนา Smart Energy Community ในพื้นที่ EECi วังจันทร์วัลเล่ย์ จังหวัดระยอง ซึ่งจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟ และโซลาร์ลอยน้ำ ใช้บล็อกเชนในการซื้อขายไฟฟ้าแต่ละอาคาร รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยี AI ในการติดตามสภาวะอากาศที่เหมาะสมในการผลิตและเลือกใช้แหล่งผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสม เป็นต้น

การลงนามความร่วมมือดังกล่าว จึงนับเป็นการปูพรมเส้นทางไปสู่การบรรลุเป้าหมายของธุรกิจใหม่ในอนาคต ต่อยอดเทคโนโลยีแบตเตอรี่หรือระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อปิดจุดอ่อนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถผลิตไฟได้ต่อเนื่อง  เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและกลไกทางธรรมชาติ

นำมาสู่แนวคิดสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ เพื่อต่อยอดไปสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มที่การตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบด้วยกระบวนการผลิต Semi-Solid ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท 24 M Technology ที่ GPSC เข้าไปร่วมลงทุน เพื่อให้การดำเนินงานรวดเร็ว และสะดวกต่อการพัฒนาพร้อมนักวิจัย

ทั้งนี้ เทคโนโลยี Semi-Solid ถือเป็นคำตอบของนวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบใหม่ของ 24M Technology มีจุดเด่นอยู่ที่กระบวนการออกแบบเซลล์แบตเตอรี่ให้มีความปลอดภัยสูง และสามารถลดขั้นตอนกระบวนการผลิตได้มากกว่า 50% ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตลดลง รวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถนำวัสดุบางอย่างกลับมาใช้ได้ใหม่

โครงการก่อนสร้างดังกล่าว ได้วางกรอบการดำเนินการในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2563 ด้วยกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งโรงงานต้นแบบนี้ สามารถผลิตแบตเตอรี่สูตร LFP เพื่อใช้งานภายในบ้านที่อยู่อาศัย  และแบตเตอรี่ Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide หรือ NMC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้

พร้อมตั้งเป้าลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว ในขนาดเล็ก เพื่อใช้ในพื้นที่เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับผลิตไฟฟ้าสูงก่อน ภายหลังจากการก่อสร้างโรงงานที่สหรัฐอเมริกาแล้วเสร็จ

นี่จึงถือเป็นอีกก้าวของความท้าทายครั้งสำคัญ ของ กลุ่ม ปตท. ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในอนาคต พร้อมจุดหมายปลายทาง คือ การก้าวไปสู่เทคโนโลยีธุรกิจไฟฟ้าใหม่ๆ ที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ที่จะมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้มั่นคงต่อไป

ทำให้วันนี้ GPSC เตรียมความพร้อมสำหรับ การรุกธุรกิจไฟฟ้า และนวัตกรรมพลังงานเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและยั่งยืน สู่แผนปรับโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจที่น่าสนใจ สำหรับผู้ถือหุ้น GPSC ที่เร็วๆนี้ จะมีการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคา 56 บาทต่อหุ้น  เพื่อการระดมทุน 7.4 หมื่นล้านบาท กำหนดวันจองซื้อได้ตั้งแต่ วันที่ 30 ก.ย.62 ถึงวันที่  4 ต.ค.62 หรือไม่ก็สามารถ Download  ข้อมูลรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ WWW.GPSCGROUP.COM นับอีกก้าวสำคัญของความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมพลังงานของภูมิภาคอาเซียน

 

แลคตาซอยแนะนำ “แลคตาซอย สูตรเจ” ครบถ้วนคุณประโยชน์เพื่อสุขภาพตลอดเทศกาลเจ พร้อมร่วมทำบุญไถ่ชีวิตโค [PR]

$
0
0

แลคตาซอย ชวนเติมพลังบุญตลอดเทศกาลเจปีนี้ในโครงการ  “อิ่มเจ อิ่มใจ ให้ชีวิต” เพียงซื้อแลคตาซอยสูตรเจ ทั้งรสงาดำและไฮ-แคลเซียม ในช่วงเทศกาลเจระหว่างวันที่ 29 กันยายน ถึง 7 ตุลาคม 2562 รายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปไถ่ชีวิตโค กับมูลนิธิไถ่ชีวิตโค-กระบือเพื่อการกุศล และจะมอบโคให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้ได้ยืมใช้ทำเกษตรกรรมต่อไป

แลคตาซอยสูตรเจ มีให้เลือกอิ่มอร่อยและได้บุญ  2 รสชาติ ได้แก่ ไฮ-แคลเซียม นมถั่วเหลือง 100% ปริมาณน้ำตาลน้อย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด และ งาดำ นมถั่วเหลืองผสมเนื้องาดำธรรมชาติ พร้อมคุณประโยชน์จากวิตามินและแร่ธาตุกว่า 13 ชนิด อิ่มท้อง เติมพลังให้ร่างกายมีสุขภาพดีตลอดเทศกาลกินเจนี้แล้ว ยังได้อิ่มบุญ สุขใจไปด้วยกัน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : LACTASOY

GAMBOL (แกมโบล) ส่งหนังใหม่ เล่นใหญ่ตอกย้ำ G-Bold Technology™

$
0
0

ถ้าพูดถึงแบรนด์รองเท้าแตะเชื่อว่าคงมีมากมายหลายแบรนด์แว้บเข้ามาในหัว แต่ถ้าเราจำกัดความถึง “รองเท้าแตะที่ใส่สบาย” จะเหลือซักกี่แบรนด์ที่คุณนึกถึง วันนี้เราจะมาพูดถึงหนึ่งแบรนด์ที่เคลมเรื่องความสบายมาตลอดอย่าง GAMBOL (แกมโบล)”

GAMBOL (แกมโบล) เป็นแบรนด์รองเท้าเจ้าตลาดที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความโดนใจวัยรุ่นจากดีไซน์ที่โดดเด่น สวยงาม การใช้สีสันที่หลากหลาย ไปจนถึงความทนทานที่ทำให้สร้างความประทับใจได้ไม่ยากกับคนทุกวัยที่ได้ลอง นำมาซึ่งแคมเปญเมื่อช่วงกลางปี กับ “ความสบายที่ขาดไม่ได้” ที่หยิบเอารองเท้าแตะมาพูดในมุมของการเป็นส่วนหนึ่งของทั้งช่วงเวลาเล็กๆ และสถานการณ์ใหญ่ๆ ในแต่ละช่วงชีวิต ของคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าคุณจะเจอเรื่องราวแบบไหน รองเท้าแตะคู่ใจก็อยู่กับคุณเสมอ โดยการสื่อสารในประเด็นนี้เพื่อสร้างการจดจำให้แก่ผู้บริโภคว่า GAMBOL (แกมโบล) = รองเท้าคู่ที่สบายที่สุด ที่อยู่กับคุณตลอด เสมือนเป็นของที่ขาดไปไม่ได้

อีกสิ่งหนึ่งที่แกมโบลพยายามเน้นย้ำเพื่อเป็น Reason to believe ให้กับแบรนด์มาตลอดคือเทคโนโลยีที่พิถีพิถันในการผลิต ที่ทำให้รองเท้าของแกมโบลเป็นรองเท้าที่มีฟังก์ชั่นการใส่สบายที่เหนือกว่าคู่แข่ง จากเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “G-Bold Technology™ (จีโบลด์ เทคโนโลยี) พื้นรองเท้าที่คิดมาเพื่อทุกคน” แคมเปญใหม่นี้แบรนด์จึงเลือกที่จะหยิบเอาเรื่องราวของ G-Bold Technology™ มามีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร หลังจากปีที่ผ่านมาได้ทำโฆษณาเชิงอารมณ์ และสื่อสารแนวคิดของแบรนด์ไปแล้ว จึงถึงเวลาที่จะกลับมาเน้นกันที่ฟังก์ชั่นที่เป็นที่มาของความสบายและทนทานของแกมโบลอีกครั้ง

กลายมาเป็นหนังโฆษณาออนไลน์เรื่องใหม่ ที่เล่าให้ใหญ่ ถึงความพยายามในการสร้างรองเท้าที่สบายที่สุดเพื่อมนุษยชาติ ท้าวความย้อนไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ กับครั้งแรกที่มนุษย์รู้สึกว่าต้องการรองเท้า จนไปถึงการพัฒนารองเท้าที่ยังไม่ตอบโจทย์ จึงเกิดเป็น Gambol Lab ในปี 2003 นำทีมโดย มิสเตอร์ จี พร้อมทีมงานนักวิจัยอีก 4 คน ที่ร่วมกันคิดค้นอย่างหนักจนได้มาซึ่ง G-Bold Technology™ เพื่อให้ทุกคนได้เดินอย่างนุ่ม ทน เบา สบาย จนกลายมาเป็นความสบายที่ขาดไม่ได้จริงๆ

ความตลก สนุกสนาน และมุกต่างๆ ที่ใส่ไปตลอดเรื่องทำให้หนังโฆษณาเรื่องนี้เป็นการกลับมาอีกครั้งของแกมโบลที่นำเอากลิ่นอายของความสนุกสไตล์แกมโบลมาใส่ อย่างที่แบรนด์สร้างภาพลักษณ์ความ FUN ของตัวเองมาโดยตลอดจนนับว่าเป็น DNA ของแกมโบล ที่เราคุ้นเคยจากทั้งความสนุกและความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงความพิถีพิถันในการผลิต ซึ่งเคยถูกนำมาถ่ายทอดผ่านการสื่อสารจากแคมเปญที่ผ่านๆ มา

นี่จึงเป็นอีกความพยายามของแกมโบลที่ไม่ได้ต้องการเป็นแค่แบรนด์รองเท้าทั่วๆ ไป แต่อยากเป็นส่วนหนึ่งของโมเมนท์ดีๆ และเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของผู้ใช้ จากการเป็นรองเท้าที่มีคุณภาพ ดีไซน์สวย และเทคโนโลยีที่คิดค้นมาอย่างตั้งใจเพื่อให้เป็นรองเท้าที่ใส่สบายและทนทาน เล่าผ่านเรื่องราวของ G-Bold Technology™ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นถึงความตั้งใจและพิถีพิถัน เพื่อสร้างการจดจำให้แก่ผู้บริโภค และสุดท้าย ถ้าคุณกำลังสนใจรองเท้าแตะสักคู่ ลองก้มลงไปดูที่เท้าคุณตอนนี้สิ ว่ารองเท้าที่ใส่อยู่คู่นี้เป็นความสบายที่ขาดไม่ได้แล้วหรือยัง?

 

“วีรันดา รีสอร์ท” ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ซื้อกิจการร้านขนมหวานแบรนด์ดัง GRAM Pancakes และ PABLO Cheesetart พร้อมรุกตลาดออนไลน์ เดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ [PR]

$
0
0

วีรันดา ประกาศความสำเร็จขยายการลงทุนต่อเนื่อง ทุ่มงบ 110 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการร้านคาเฟ่และขนมหวานชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น GRAM และ PABLO โดยบริษัทตั้งเป้าขยายสาขาของ GRAM เพิ่มอีกรวมเป็น 7-8 แห่งภายในปี 2563 รุกตลาดออนไลน์ เดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม (online delivery platform) พร้อมใช้ธุรกิจใหม่เป็นช่องทางส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทให้เติบโตอย่าแข็งแกร่งไปด้วยกัน

นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA เปิดเผยถึงแผนการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุด ว่า บริษัทฯ ใช้เงินจำนวน 110 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของสัญญาแฟรนไชส์หลัก (Master Franchise Agreement) ของร้านคาเฟ่และขนมหวาน GRAM และ PABLO โดยวางแผนงานที่จะดำเนินการทางเอกสารให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ปีนี้ ซึ่งการเข้าซื้อครั้งนี้จะช่วยเข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่งให้บริษัท พร้อมทั้งช่วยเสริมยอดรายได้การเติบโตของบริษัทได้อย่างชัดเจนในปีถัดไป

“บริษัทฯ เชื่อว่าการซื้อกิจการในครั้งนี้ เราคงจะไม่ได้เห็นแค่ยอดการเติบโตจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะมีส่วนช่วยเสริมธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทให้เติบโตขึ้นไปด้วย โดยผลจากการเข้าซื้อในครั้งนี้คาดการณ์ว่าจะทำให้รายได้ประจำ (recurring income) ของบริษัทฯ ในปี 2563 เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15 เปอร์เซนต์ และบริษัทได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนสาขาของ GRAM อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นปักหมุดไปที่จุดท่องเที่ยวทั้งเมืองหลัก เมืองรองโดยมีเป้าหมายทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ จากกระแสการเติบโตของ ออนไลน์ เดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม เราก็มีแผนงานที่จะรุกธุรกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยจะเชื่อมโยงการส่งสินค้าออนไลน์เข้าด้วยกัน พร้อมทำโปรโมชั่นอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมธุรกิจควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง” นายวีรวัฒน์กล่าว

นายวีรวัฒน์ กล่าวเสริมว่า ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่งบริษัทฯ พร้อมที่จะขยายกิจการและลงทุนผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ การลงทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการใช้เม็ดเงินการลงทุนที่คุ้มค่าและมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและมีความเกื้อหนุนเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันกับธุรกิจปัจุบันเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดยบริษัทได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านท่องเที่ยว และอาหารและเครื่องดื่มมาพอสมควร และเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก มีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด ดังนั้นมั่นใจได้ว่า บริษัทฯ จะได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้แน่นอน

ทั้งนี้ GRAM เป็นร้านคาเฟ่และขนมหวานที่มีชื่อเสียงด้านขนมแพนเค้ก มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยได้เปิดตัวในไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 และได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากจำนวนลูกค้าและการกล่าวถึงในโลกโซเชียล ถือเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ศูนย์การค้าต่าง ๆ ก็ต้องการคว้า GRAM มาไว้เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าด้วยเช่นกัน ปัจจุบัน GRAM เปิดให้บริการที่ สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิร์ด สามเสน และล่าสุดที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยหลังจากการเข้าซื้อกิจการแบบ 100 เปอร์เซนต์ วีรันดามีแผนที่จะขยายสาขา GRAM เพิ่มขึ้น รวมเป็น 7-8 สาขาภายในสิ้นปี 2563

นอกจากนี้ วีรันดายังได้ PABLO แบรนด์ขนมหวานชื่อดังจากญี่ปุ่นจากการเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ด้วย โดยเปิดให้บริการที่ สยามพารากอน และล่าสุดเพิ่งขยายสาขาใหม่ที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง และได้รับเสียงตอบรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี

ปัจจุบัน วีรันดา ได้ประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีแบรนด์ “Skoop” และ “KOF” ซึ่ง GRAM และ PABLO จะช่วยเสริมศักยภาพการต่อรองในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาพื้นที่เพื่อลงทุนขยายสาขา การทำโปรโมชั่นควบคู่กับแบรนด์อื่น ๆ ตลอดจนการทำธุรกิจกับออนไลน์ เดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม ที่จะมีการเชื่อโยงซึ่งกันและกัน ช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของสถาณการณ์ปัจจุบันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ วีรันดา นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หลังได้รับสัญญาณที่ดีจากยอดจองเข้าพักของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งมองว่าจะส่งผลดีต่อ

ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรพัย์ด้านการท่องเที่ยวของบริษัท รวมไปถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีอยู่ในมือ ซึ่งเป็นสัญญานที่ดีที่นักท่องเที่ยวพร้อมที่จะใช้จ่ายในธุรกิจท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่มด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมาณการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2562 ไว้ที่ประมาณ 39 ล้านคน ถึง 39.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2-4 เปอร์เซนต์จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวน่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.94 ล้านล้านบาท ถึง 1.97 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังของปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีจำนวน 19.7 ล้านคน โดยประเมินว่าจะมีจำนวนราว 20.1 ล้านคน ขยายตัว 7 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 


สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ส่งต่อคำมั่นสัญญาตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยย้ายสำนักงานระดับภูมิภาคมายังกรุงเทพมหานคร และเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแรงในภูมิภาค [PR]

$
0
0

เพื่อตอกย้ำความตั้งใจที่จะส่งต่ออาหารทะเลคุณภาพสูงสู่ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ตัวแทนผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารทะเลคุณภาพสูงรายใหญ่ของโลกจากประเทศนอร์เวย์ ได้ย้ายสำนักงานระดับภูมิภาคจากสิงคโปร์มายังกรุงเทพมหานคร เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยยอดการส่งออก 29,000 ตัน หรือมูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านบาท อาหารทะเลโดยเฉพาะปลาแซลมอนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจต่อสุขภาพกลายเป็นเทรนด์ที่นิยมในประเทศไทย การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีคุณภาพดี รวมไปถึงต้นกำเนิดของแหล่งอาหารที่นำมาบริโภค เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้บริโภคไทย นอกจากนี้สภาอุตสาหกรรมฯ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ระหว่างอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์และไทย

นอร์เวย์ ถือเป็นประเทศผู้นำทางด้านนวัตกรรมและการพัฒนาการเพาะเลี้ยงอาหารทะเลที่ดีที่สุดในโลก นอกจากปลาแซลมอนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ยังมีอาหารทะเลอีกหลากหลายชนิด ที่ได้รับการดูแลในฟาร์มและเลี้ยงในแหล่งน้ำเย็นและฟยอร์ดที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ โดยฝีมือผู้ชำนาญการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมาหลายสมัย นอร์เวย์ได้เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับทะเลที่มีเอกลักษณ์พิเศษ และการดูแลการจัดเก็บและการผลิตอย่างยั่งยืนเป็นอย่างดี แซลมอนจากนอร์เวย์ได้รับการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ในกระชัง เพียง 2.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อน้ำ 97.5 เปอร์เซ็นต์ และมีข้อบังคับที่เข้มงวดเพื่อรับรองความปลอดภัยด้านอาหาร สำหรับการส่งออกปลาแซลมอนมายังประเทศไทยนั้น ใช้เวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมงในการเดินทางจากนอร์เวย์มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยกรรมวิธีรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของปลา

ดร. อัสบีเยิร์น วาร์วิค เรอร์ทเว็ท ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจที่ได้เป็นตัวแทนของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ในภูมิภาคนี้ ประจำการอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร การดูแลความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำ การผลิตอย่างยั่งยืน และการลดใช้ยาปฏิชีวนะ โดยทั้งหมดนั้น เป็นด้านที่ผู้บริโภคไทยให้ความคำนึงถึง ดังนั้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถให้ความรู้ความเข้าใจ แก่ผู้บริโภคไทย เกี่ยวกับประโยชน์ของอาหารทะเลจากนอร์เวย์”

นอร์เวย์ส่งออกอาหารทะเลคุณภาพสู่ตลาดโลก โดยประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่สูงในอนาคต ประเทศไทยนำเข้าอาหารทะเลสดจากนอร์เวย์จำนวนมาก โดยเฉพาะปลาแซลมอน นอร์เวย์ และมีส่วนแบ่งการส่งออกอาหารทะเลในตลาดไทยมากถึง 98 เปอร์เซ็นต์ โดยมีมูลค่าการนำเข้าอาหารทะเลมากถึง 10,000 ตัน เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 ประเทศนอร์เวย์ส่งออกปลาฟยอร์ดเทราต์และปลาแซลมอนมายังประเทศไทยกว่า 11,000 ตัน โดยต่อจากนี้สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์มีความมุ่งมั่นที่จะบุกตลาดไทยทั้งในตลาดแบบ business-to-business (B2B) และแบบ business-to-customer (B2C) โดยในด้านตลาด B2B นั้น ทางสภาอุตสาหกรรมได้จับมือกับร้านอาหารชั้นนำในประเทศมากมาย เช่น Sushi Den, Zen, S&P และธรรมชาติซีฟู้ด Salmon Academy เป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่เราได้จัดการอบรมให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับปลาแซลมอนนอร์เวย์ และปลาฟยอร์ดเทราต์ สำหรับตลาด B2C สภาอุตสาหกรรมนอร์เวย์มุ่งมั่นที่จะสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของปลาแซลมอนนอร์เวย์และปลาฟยอร์ดเทราต์ และแสดงจุดเด่นว่าเป็นปลาที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคแบบดิบ โดยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องนี้ถือเป็นภารกิจหลักของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ในปี พ.ศ. 2562 และในอนาคตต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมายสำหรับทุกภาคส่วนตั้งแต่ ผู้บริโภค ผู้ส่งสินค้า ผู้ส่งออก ร้านค้าขายปลีก และร้านอาหารต่าง ๆ

“ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากในด้านอุตสากรรมอาหารทะเลจากนอร์เวย์ ดังนั้น สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์มุ่งมั่นตั้งใจที่จะส่งออกอาหารทะเลสดใหม่ คุณภาพสูงระดับโลกจากประเทศต้นกำเนิดอย่างนอร์เวย์สู่ประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ” ดร. อัสบีเยิร์น วาร์วิค เรอร์ทเว็ท กล่าว

นางแชสตี เริดส์มูน เอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย ในนามของประเทศนอร์เวย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ดิฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานระหว่างไทยและนอร์เวย์ โดยต้อนรับสำนักงานระดับภูมิภาคของสภาอุตสาหกรรมนอร์เวย์มายังกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ ประจําประเทศไทย และสนับสนุนการส่งออกอาหารทะเลที่ดีที่สุดจากนอร์เวย์มาสู่ตลาดไทย

 

ซี อาร์ ซี สปอร์ต ทุ่มงบไม่อั้น! ปลุกตำนาน “ellesse” ต้อนรับเข้าบ้าน พร้อมส่งแคมเปญ “For The Win”มั่นใจทำรายได้ 50 ล้านภายในปลายปีหน้า! [PR]

$
0
0

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับแบรนด์น้องใหม่ภายใต้ชายคาของ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด กับแบรนด์ “ellesse” (เอล-เลส) มาพร้อมกับแคมเปญใหม่ “For The Win” กับคอลเลกชั่น  Autumn Winter 2019 ที่จะปลุกสาวกสายแฟชั่นสตรีทแวร์ทั้งหลาย มาแสดงตัวตนผ่านการสวมใส่เสื้อผ้า และมุ่งหน้าทำตามฝัน ตามแนวคิดของแคมเปญที่ว่า “ชัยชนะและความสำเร็จเกิดขึ้นได้จากสไตล์และทัศนคติ”    คุณณัฐชนน เพ็ชรทวีพรเดช ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสินค้านำเข้า กล่าวว่า การที่เราเลือกแบรนด์ ellesse” (เอล-เลส) เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าในเรื่องความมั่นใจในความเป็นเบอร์ 1 ทางด้านร้านค้าปลีกสินค้าทางด้านกีฬาและไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย ที่นำเสนอสินค้าให้กับทุกท่านไม่ว่าจะเป็นนักกีฬามืออาชีพ, มือสมัครเล่นได้มั่นใจว่า ร้าน Supersports มีการนำเสนอสินค้าครบทุกประเภทกีฬาหลัก และรวมถึงนวัตกรรมใหม่ที่นำเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งเรายังนำเสนอในหมวดหมู่ของแฟชั่นไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย  เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ครบครันทั้งทางด้านกีฬาและแฟชั่น โดยความน่าสนใจของแบรนด์นี้ คือ เขาก่อกำเนิดที่ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1959 และโด่งดังมากในเรื่องของการผลิตเสื้อผ้าสำหรับเล่นสกีหิมะ ผลงานที่ขึ้นชื่อในยุคนั้นคือ “Jet Pant” กางเกงสำหรับใส่เล่นสกีตัวแรกๆบนโลกที่มีดีไซน์ช่วงขาเข้ารูปพอดีกับรองเท้าเล่นสกี ซึ่งในขณะนั้นต้องยอมรับจริงๆ ว่า กางเกง “Jet Pant” ตัวนี้ได้เปลี่ยนแปลงวงการสกีของโลกไปตลอดกาล ทั้งในแง่ของงานดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งาน และในเวลาต่อมาไม่นาน “ellesse” (เอล-เลส) ได้เริ่มแตกไลน์สินค้าไปยังกีฬาประเภทอื่นๆ นั่นคือ “เทนนิส” ที่ฮิตจนสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้น

คุณณัฐชนน กล่าวต่อว่า เอกลักษณ์ของแบรนด์คือ โลโก้ตัวอักษร ellesse ซึ่งความพิเศษของคอลเลคชั่นนี้ นอกจากจะเป็นแบบเดียวกันกับที่วางขายในระดับ global แล้ว นั่นคือ ความ heritage ทุกชิ้นทั้งรองเท้าและเสื้อผ้าที่นำเข้ามาจะมีกลิ่นอายความคลาสสิคที่หวนให้นึกถึงเสื้อผ้ากีฬาในสมัยก่อน แต่มาในรูปของดีไซน์ที่ทันสมัย ใส่แล้วสามารถบ่งบอกคาแรคเตอร์และตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี สินค้าที่ทางเรานำเข้ามาจัดจำหน่าย จะเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย มีอายุตั้งแต่ 18-24 ปี และ 25 -35 ปี เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ สีสันสดใสตามคาแรคเตอร์ของแบรนด์ เน้นสี แดง ส้ม น้ำเงิน และลายพิมพ์กราฟิกต่างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน การเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่วันนี้  Autumn Winter 2019 ภายใต้แคมเปญ #ForTheWin ยังมีมินิคอนเสิร์ต จากศิลปิน Younggu พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ Diamond ในงานยังมีกิจกรรมเล่นเกมส์แจก cash voucher สูงสุด 500 บาท และกิจกรรมลุ้นรองเท้า 12 วัน 12 คู่ โดยกิจกรรมนี้จะมีให้เล่นไป จนถึงวันที่ 22 กันยายนนี้

“สำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในครั้งนี้เราตั้งเป้าการเติบโตไว้ 40% คาดการณ์รายได้โดยรวมของบริษัทภายในปลายปีหน้า 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบการตลาดไว้ 10% ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ จะมีการโปรโมตทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยแบ่งสัดส่วนเป็นออนไลน์ 70% ออฟไลน์ 30% เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นวัยรุ่น Gen Z ไปจนถึง Gen Y อายุระหว่าง 18-34 ปี ซึ่งใช้เวลาในสื่อออนไลน์ค่อนข้างเยอะ ปัจจุบัน ellesse มีวางจำหน่ายในร้าน supersports ทั้งหมด 8 สาขา Central World Central Pinklao Mega Bangna Central Rama9 Central Ladprao Central Bangna Central Changwattana Central Eastville มีการกระจายสินค้าที่เป็น product hero ไปในทุกๆ สาขาที่มี พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 15 สาขาภายใน Q4 เรามั่นใจว่า จะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าและสามารถทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายอย่างแน่นอน” คุณณัฐชนน กล่าว

คุณณัฐชนน กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากดีไซน์ของเสื้อผ้าและรองเท้าที่เรามั่นใจว่าจะดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว แบรนด์ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ 2 ต่อ เพื่อปลุกกำลังซื้อในกระเป๋า เอาใจสาวกแฟชั่นสายกีฬาโดยเฉพาะ โดยต่อที่ 1 ลด 20% ทุกชิ้น ต่อที่ 2 ถ้ายอดหลังหักส่วนลด เกิน 3,500 บาท ลดเพิ่ม on top ให้อีก 10%  งานนี้บอกเลยว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถติดตามคอลเลคชั่น AW19 และกิจกรรมชิงรองเท้าได้ที่ facebook เพจ ellesse Thailand / Instagram : ellesse_THและทางออนไลน์ที่ www.supersports.co.th/ellesse

 

“สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ระดมติวเตอร์ระดับประเทศ เตรียมติวน้องม.ปลายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย [PR]

$
0
0

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) โดย ผลิตภัณฑ์ มาม่า บิสชิน มองต์เฟลอ และริชเชส ร่วมกับ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเนชั่นทีวี ช่อง 22 และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เตรียมจัดโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 22 เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่กำลังอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้มาติวเข้มก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบเจาะลึก ทั้ง O-NET, GAT, PAT และ 9 วิชาสามัญ รวมทั้งเทคนิคการทำข้อสอบพิชิต TCAS63 ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยมีติวเตอร์ระดับประเทศ อาทิ ครูพี่กิ๊บ อ.วลีรัตน์ หาญเมธีคุณา และครูพี่หวาย อ.ธฤตสรณ์ ศรพรหม ติวเตอร์จาก Enconcept, พี่เอ๋ อ.วิเศษ กี่สุขพันธ์ พี่บิ๊ก ดร.ณัฐชัย เก่งพิพัฒน์ และพี่ยู อ.สุรเชษฐ์ พิชิตพงศ์เผ่า ติวเตอร์จาก We by The Brain,  พี่วิเวียน อ.นพ.วีรวัช เอนกจำนงค์พร ครูพี่หนู อ.กฤติกา ปาละวงศ์ และครูเมฆ อ.วันชนะ หมั่นงาน ติวเตอร์จาก OnDemand, ครูพี่วิน อ.นาวิน แซ่โค้ว จากสถาบันเตรียมโดม และครูอาร์ม ครูแซ็ก พี่กิฟท์ วิทยากรแนะแนวค้นหาตัวตนจากสถาบัน The BTS เป็นต้น

นอกจากเนื้อหาและเทคนิคการทำข้อสอบแล้ว น้อง ๆ นักเรียนยังสามารถค้นหาคณะและอาชีพที่เหมาะกับตนเอง จากบูธ “แนะแนวค้นหาตัวตน” ด้วยการทำแบบทดสอบค้นหาอาชีพ พร้อมรับคำปรึกษาตัวต่อตัวจากครูแนะแนวและนักจิตวิทยา เพื่อเลือกคณะศึกษาต่อในระบบ TCAS3 และยังได้พบกับ “หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์” พร้อมทั้งรุ่นพี่ไอดอลคนเก่งสายอาชีพ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ ทุกคน

สำหรับโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 12 ตุลาคม 2562 ในเวลา 8.00 – 17.00 น. ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและโรงเรียนที่สนใจ สามารถสมัครลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ www.sahapatadmission.com และติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่ facebook : Sahapat Admission  สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-338-3652

 

เจดี เซ็นทรัล ฉลองการเติบโตครบรอบ 1 ปี ส่งแคมเปญ “B1RTHDAY JOY SHOPPING FEST วันเกิดสุด JOY แจกพอยท์ร้อยล้าน” คืนความสุขให้กับนักช้อปออนไลน์ [PR]

$
0
0

 

เจดี เซ็นทรัล  (JD CENTRAL)  ผู้นำด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ฉลองครบรอบ 1 ปี ในการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ด้วยการมอบดีลสุดพิเศษผ่านแคมเปญ “B1RTHDAY JOY SHOPPING FEST วันเกิดสุด JOY แจกพอยท์ร้อยล้าน” เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้าที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันผลักดันให้ เจดี เซ็นทรัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมแสดงวิสัยทัศน์มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอีคอมเมิร์ซให้แข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่น และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดเพื่อยกระดับมาตรฐานวงการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวว่า “เจดี เซ็นทรัล ประสบความสำเร็จตามแผนที่ได้ตั้งไว้หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 28 เดือนกันยายนในปี 2561 ที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของตัวเลขดาวน์โหลดกว่า 4 ล้านครั้ง จำนวนออเดอร์ที่โตขึ้นกว่า 35 เท่า มีร้านค้าอย่างเป็นทางการบนแพลตฟอร์มกว่า 2,000 ร้านค้า และมียอดผู้เข้าชมแพลตฟอร์มกว่าร้อยล้านครั้งภายใน 1 ปีความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการบริหารงานที่มุ่งเน้นความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญด้วยการนำเสนอสินค้าคุณภาพดี ของแท้ 100% รวมถึงการจัดส่งอย่างรวดเร็ว ถึงมือลูกค้าภายใน 24 ชม. หรือภายในระยะเวลาแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงในเขตกรุงเทพ ฯ  ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาและความยุ่งยาก (pain point) ที่ลูกค้าต้องพบเจอเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ รวมถึงได้้ใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ผู้บริโภคมาสร้างสรรค์กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีเอกลักษณ์ และตรงจุด”

“นอกจากนี้ เรายังคำนึงถึงสิทธิ์ของลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยได้มีการลงนามบันทึกทำความร่วมมือ กับ มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าในฐานะการเป็นผู้ให้ประกอบการอีคอมเมิร์ซอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการจับจ่ายซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มเจดี เซ็นทรัลอีกด้วย นอกจากนี้ เราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทย แบรนด์สินค้า และพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ที่ได้ให้การต้อนรับและให้ความร่วมมือกับเจดี เซ็นทรัลเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีเช่นนี้เรื่อยไป”

ชูวิสัยทัศน์สร้างโครงสร้างอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เจดี เซ็นทรัล มุ่งเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้แข็งแกร่ง เห็นได้จากความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในเรื่องของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การบูรณาการระบบการขนส่งด้วยอีโลจิสติกส์จากเจดีดอทคอม และการคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการในตลาดออนไลน์

ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการร่วมมือกับแบรนด์พันธมิตรมากมาย ในการบูรณาการกลยุทธ์ O2O ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป หรือกลุ่มธุรกิจประเภทอื่น ๆ อาทิ ธนาคาร ร้านอาหาร โทรคมนาคม แอปพลิเคชันอื่นๆ   ที่นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการซื้อ-ขายอย่างสะดวกสบายผ่านช่องทางต่าง ๆทั้งในแง่ของการซื้อสินค้า และการรับสินค้าแล้ว ยังเป็นการขยายขอบข่ายการตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการอื่น ๆ เพื่อสร้าง ecosystem ให้ครบวงจรอีกด้วย

นอกจากนี้ เจดี เซ็นทรัล ได้มีการร่วมมือกับ เจดี ดอทคอม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่เติบโตไปสู่สายตาชาวโลก โดยการสนับสนุนให้มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปสู่ประเทศจีน บน JD Thailand Official Flagship Store ร้านจำหน่ายสินค้าคุณภาพของประเทศไทยบนเจดีดอทคอม  เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงตลาดจีนได้อย่างง่ายดาย

คิดค้นฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน

  • JOY Supermart (จอย ซูเปอร์มาร์ท) ซูเปอร์มาร์เกตออนไลน์ที่รวมข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านในหมวดหมู่ต่าง ๆ มากกว่า 10,000 รายการจากแบรนด์ระดับชั้นนำกว่า 800 แบรนด์ไว้บนแพลตฟอร์มเพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ
  • Share Buy (แชร์บาย)ฟีเจอร์ล่าสุดในการช้อปออนไลน์ ของเจดี เซ็นทรัล เมื่อซื้อสินค้าเป็นกลุ่ม เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด
  • JD POINTS (เจดี พอยท์)คะแนนสะสมเมื่อลูกค้าช้อปบนแพลตฟอร์ม เจดี เซ็นทรัล โดยลูกค้าสามารถนำคะแนนมาแลกสิทธิพิเศษต่าง ๆ โดยเจดี พอยท์ได้ถูกแจกไปแล้วกว่า 900 ล้านคะแนนภายในระยะเวลา 1 ปี
  • Shop Central (ช้อป เซ็นทรัล) เจดี เซ็นทรัลได้ยกทัพสินค้าดี มีคุณภาพจากเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป มาให้ลูกค้าได้เลือกช้อปแบบง่ายๆที่ปลายนิ้ว อาทิเช่น ท็อปส์ ออนไลน์ เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต โรบินสันและ บ้านแอนด์บียอนด์นอกจากนี้ยังได้จำหน่ายดีลและสิทธิพิเศษต่างๆจาก โรงแรมในเครือเซ็นทารา และ เซ็นทรัลเรสเทอรองท์กรุ๊ป มาให้ลูกค้าได้เลือกสรรอีกด้วย

จัดเต็มโปรโมชั่นฉลองวันครบรอบ 1 ปี

เจดี เซ็นทรัล จัดเต็มกับกิจกรรมและโปรโมชั่นสุดยิ่งใหญ่ ในวันที่ 23 – 29 กันยายน 2562 กับดีลที่คุ้มที่สุด เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การต้อนรับและให้ความไว้วางใจช้อปกับเราเสมอมาในแคมเปญ “B1RTHDAY JOY SHOPPING FEST วันเกิดสุด JOY แจกพอยท์ร้อยล้าน”  กับโปรโมชั่นมากมาย อาทิ

  • SURPRISE ONE PRICEพบกับสินค้าคุณภาพราคาเริ่มต้นเพียง 928 บาท พร้อมคูปองส่วนลดสุดพิเศษ
  • SURPRISE CHOP SHOPเกมเก็บส่วนลดสินค้ากับเพื่อน ๆ เพื่อแลกรับคูปองซื้อสินค้าจากหลากหลายแบรนด์ดังในราคาที่ถูกที่สุด
  • SURPRISE 99 HOT DEALSสินค้าดี ราคาเด็ด 99 รายการ
  • SURPRISE BOX แจกเลยของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ทุกแบรนด์ วันนี้วันเดียว!
  • SURPRISE HOURขาช้อปห้ามพลาดกับดีลเด็ดนาทีทอง เพียง 2 รอบในเวลา 00:00น. – 00น. และ 20:00 น. – 24.00 น. เท่านั้น
  • SURPRISE JD POINTS แจกไม่อั้นสูงสุดรวม 100,000,000 JD POINTS เมื่อเช็คอินผ่านแอป ฯ และร่วมเล่นเกม “JOY Surprise Box แตะปั๊บรับพอยท์” เพื่อรับคะแนนเพิ่มเติมทุกวัน

“ตั้งแต่เปิดตัว เจดี เซ็นทรัลได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นและการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทั่วประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงผ่านช่องออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  ทั้งในเรื่องของคุณภาพของสินค้า ความรวดเร็วการส่งสินค้า หรือแม้กระทั่งการให้บริการจากบุรุษส่งสินค้าของเจดี เซ็นทรัล ที่ยังคงเป็นที่พูดถึงและเป็นหนึ่งในจุดแข็งของแพลตฟอร์มมาถึงปัจจุบัน และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีสุดยิ่งใหญ่ เราตั้งใจที่จะมอบของขวัญสุดพิเศษให้กับลูกค้าผ่านแคมเปญล่าสุด  เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการตอบรับที่ดีโดยเสมอมา” รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมของแคมเปญ ลูกค้าสามารถติดตามได้ผ่านทางเว็บไซต์ JD.CO.TH 

และเฟซบุ๊ก JD CENTRAL

เหล่าเซเลบริตี้ ร่วมแชร์ประสบการณ์ ในงาน “Next Station KERRY EXPRESS สถานีต่อไป เคอรี่ เอ็กซ์เพรส”

$
0
0

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดตัว “BTS Express Service” จุดบริการใหม่ล่าสุดที่ให้ลูกค้าส่งพัสดุด่วนทั่วไทยได้อย่างสะดวกสบายบนรถไฟฟ้าบีทีเอสถึง 4 สถานี

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถจัดส่งพัสดุด่วนไปยัง 12 สถานีปลายทางแบบเดลิเวอรี่ภายใน 3 ชั่วโมง รวมถึงมีบริการส่งของในระยะ 200 เมตร จากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีปลายทาง ภายในงานได้รับเกียรติจากพันธมิตรทางธุรกิจเข้าร่วมพิธีเปิดงาน ได้แก่ นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), นายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย เหล่าเซเลบริตี้ผู้เคยใช้บริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมาร่วมแชร์ประสบการณ์ อาทิ เป็กกี้ฐิติยา ฮุนตระกูล, โบว์ณชา จึงกานต์กุล, ปอนด์หฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา, แอ้มปวีณลักษณ์ ลิมปิชาติ, จุ๋ยจรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา, มิ้งค์ณัฎฐิ์ประภา ชุณหะวัณ เป็นต้น

นายอเล็กซ์ อึ้ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงบริการใหม่ที่ได้ร่วมมือกับบีทีเอสและวีจีไอว่า “บริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่จะอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสจะพร้อมให้บริการเหมือนกับช้อปของเคอรี่ เอ็กเพรส ทุกประการ ดังนั้นลูกค้าสามารถจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทยถึงวันถัดไป (Next Day) รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็สามารถส่งพัสดุเพื่อขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้ นอกจากนั้นลูกค้ายังสามารถเติมเงิน e-wallet, Rabbit Card หรือ Rabbit LinePay ได้ด้วย แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดของบริการใหม่คือการเปิดให้บริการ BTS Express Service ที่สามารถส่งพัสดุได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 ชั่วโมง บริการ BTS Express Service จะให้บริการใน 4 สถานีรถไฟฟ้ายอดนิยม ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีศาลาแดง, สถานีพร้อมพงษ์, สถานีทองหล่อ และสถานีสยาม”

 “BTS Express Service จะกลายเป็นบริการส่งพัสดุด่วนสำหรับคนกรุงเทพฯ ที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ได้รับการสนับสนุนแบบ exclusive จากรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยเราได้คาดการณ์ว่าเป้าหมายของเราคือลูกค้าทุกคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าบีเอสอย่างเป็นประจำทุกวัน พร้อมทั้งคาดหวังว่าบริการ BTS Express Service จะมีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายน้อยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือแม้กระทั่งบุคคลทั่วไปที่สามารถใช้บริการส่งพัสดุด่วนด้วยความเร็วระดับนี้และจ่ายด้วยราคาที่สมเหตุสมผล เรียกได้ว่าบริการลักษณะนี้ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อนนายอเล็กซ์ กล่าวเสริม

นอกจากนี้ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ยังได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ “เวียร์ – ศุกลวัฒน์ คณารศ” ซุปเปอร์สตาร์ของประเทศไทยเพื่อเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พร้อมนำเสนอภาพลักษณ์ของการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นด้วยเสน่ห์ของเวียร์ รวมถึงความอบอุ่น ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความห่วงใย (Warm – Humble – Caring) ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสได้เป็นอย่างดี

ด้าน “เวียร์ – ศุกลวัฒน์ คณารศ” ศิลปินยอดนิยมของประเทศไทยได้เปิดเผยถึงความรู้สึกที่ได้รับเชิญให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และขอขอบคุณทาง เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่ได้ให้โอกาสผม โดยปกติแล้วผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรสอยู่แล้ว อย่างต่ำก็เดือนละ 1-2 ครั้ง ทั้งส่งและรับเลยครับ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนารูปแบบการให้บริการ ซึ่งขณะนี้มีจุดให้บริการทั่วไทยแล้วกว่าหมื่นจุด เพื่อตอบสนองผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี”

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้ผู้ที่เคยใช้บริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรส มาร่วมแชร์ประสบการณ์ เริ่มที่ “เป็กกี้-ฐิติยา ฮุนตระกูล” เจ้าของร้านแบรนด์ขนมสุดเก๋ Bake Ministry ที่ใช้บริการของเคอรี่ เป็นประจำได้กล่าวว่า “ใช้เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ส่งพัสดุตลอดค่ะ ส่งทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งด้วย เพราะสินค้าของเราเป็นขนมพวกคุ้กกี้ ดังนั้นการจัดส่งจึงต้องการความเร็วเป็นอย่างมาก เพื่อความสดใหม่ที่จะได้ไปถึงมือผู้รับให้เร็วที่สุด และเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ก็ส่งได้รวดเร็วทันใจมาก แถมตอนนี้ยิ่งมีบริการ BTS Service Express ที่ส่งถึงภายใน 3 ชั่วโมง ก็ยิ่งตอบโจทย์ของเป็กกี้ยิ่งขึ้นไปอีก และสตูดิโอของร้านอยู่ตรงสุขุมวิท 26 ก็ใกล้กับสถานีพร้อมพงษ์ที่มีบริการนี้พอดีเลยค่ะ”

ด้าน “โบว์-ณชา จึงกานต์กุล” แห่งแบรนด์ Kunna ผลไม้อบแห้ง สแน็คแสนอร่อยเพื่อสุขภาพ เล่าว่า “ด้วยความที่โบเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับ ทำให้โบรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร โบขายของก็อยากส่งสินค้าให้ถึงมือผู้รับแบบเรียบร้อย ครบสมบูรณ์แบบไม่บุบสลาย ไม่มีปัญหา ฝั่งคนรับเองก็อยากได้ของสภาพดีและรวดเร็ว มันทำให้โบเลือกใช้เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ได้อย่างไม่ลังเลเลย เพราะเรารู้ว่าไว้ใจในบริการได้ค่ะ”

ส่วนอีกหนึ่งสาว “ปอนด์-หฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา” เจ้าของ HAATIYA แบรนด์เสื้อผ้าออนไลน์ชื่อดัง ก็ร่วมเผยว่า “เวลาส่งเสื้อผ้าให้กับลูกค้า จะชอบใช้บริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เป็นพิเศษค่ะ เพราะมั่นใจว่าจะถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย ไม่มีปัญหาตามมาที่หลัง แถมยังส่งได้รวดเร็วด้วย ถูกใจมากค่ะ เพราะคนซื้อบางครั้งเขาก็ต้องการใช้แบบเร่งด่วน เราก็พยายามบริการให้เร็วที่สุด ยิ่งได้บริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมาช่วยก็ยิ่งทำให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ”

ปิดท้ายด้วย “แอ้ม-ปวีณลักษณ์ ลิมปิชาติ” ที่วันนี้ขอมาแชร์ในฐานะผู้รับว่า “แอ้มเป็นผู้ส่งและผู้รับนะคะ แต่จะรับบ่อยกว่า (หัวเราะ) เพราะทุกวันนี้เราสั่งซื้อของออนไลน์เยอะ ก็จะได้รับพัสดุบ่อย ชอบบริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เพราะพนักงานดี พูดจาสุภาพ และสิ่งของที่ได้รับอยู่ในสภาพดีตลอดเลยค่ะ ยิ่งตอนนี้มีบริการส่งเร็วผ่านทางสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์เราที่ก็ไปไหนมาไหนแถวๆ นี้ตลอดอยู่แล้วด้วยค่ะ”

ปัจจุบัน เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มีจุดให้บริการมากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ (นับรวมสถานีบนรถไฟฟ้าบีทีเอสจำนวน 4 แห่งแล้ว) และมียานพาหนะขนส่งกว่า 20,000 คัน นอกจากนั้นยังสร้างงานไปแล้วกว่า 23,000 ตำแหน่งในประเทศไทย สำหรับ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เราเชื่อมั่นใน “ลูกค้า” และต้องขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อลูกค้านับล้านรายในประเทศไทยที่ได้เชื่อมั่นในเคอรี่ เอ็กซ์เพรส นับตั้งแต่วันแรกที่ให้บริการ นอกจากนั้นยังมี “พันธมิตร” ที่ร่วมพัฒนาธุรกิจไปกับเรา เพราะเคอรี่ เอ็กซ์เพรสคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของประเทศไทยได้ หากขาดการสนับสนุนจากพันธมิตรทุกรายที่ให้เกียรติมาร่วมงานกับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พันธมิตรทุกรายมีบทบาทสำคัญอย่างมากที่ทำให้เคอรี่ เอ็กซ์เพรสมาถึงวันนี้ อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณอย่างพิเศษสำหรับบีทีเอส กรุ๊ป, วีจีไอ และพันธมิตรรายอื่นๆ และท้ายที่สุดซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “พนักงานของเรา” สำหรับเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เราได้คนที่เก่งที่สุดในประเทศไทยมาร่วมงานด้วย พนักงานของเราทุ่มเทอย่างมากกับการทำงาน และเราไม่เคยหยุดที่จะปรับปรุงบริการและทำให้เคอรี่ เอ็กซ์เพรสดียิ่งขึ้น เพราะเราเชื่อว่า “Together we are cool!” นายอเล็กซ์ กล่าวทิ้งท้าย

 

Viewing all 21934 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>