Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21709 articles
Browse latest View live

Huawei ออกแถลงการณ์ด่วน! ยังคงอัพเดทซอฟท์แวร์ ให้มีความปลอดภัยและเกิดประสบการณ์ที่ดีต่อไป

$
0
0

จากกรณีการนำเสนอข่าวของสํานักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับกูเกิลจะระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ย
ทางด้าน Huawei จึงส่งจดหมายชี้แจงด่วน! เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าของหัวเว่ย โดยมีข้อความว่า 

หัวเว่ย” ขอชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการและการเติบโตของแอนดรอยด์ทั่วโลก และในฐานะที่เป็นพันธมิตรรายหลักของแอนดรอยด์ในระดับโลก เราได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับแพลทฟอร์มโอเพ่นซอร์ซของพันธมิตรทั่วโลกเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็มที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ใช้และต่ออุตสาหกรรมนี้

หัวเว่ยขอให้ความมั่นใจว่าจะยังคงให้บริการอัพเดทซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของหัวเว่ยที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดต่อไป ครอบคลุมถึงโมเดลที่ได้จำหน่ายออกไปแล้วและที่ยังรอการจัดจำหน่ายอยู่ในสต็อกทั่วโลก

เราขอยืนยันว่าจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็มของซอฟท์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ผู้ใช้ทั่วโลก


“เซ็นทรัล วิลเลจ” ลักชูรี่ เอาท์เล็ต แห่งแรกในประเทศไทย เสร็จแล้วกว่า 70% พร้อมเปิด ส.ค. นี้

$
0
0

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ประกาศอัพเดทความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ต แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Bangkok Luxury Outlet’ โดยล่าสุดคืบหน้าแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 70%

พร้อมเตรียมตัวเปิดขายพื้นที่ร้านค้าเฟส เนื่องจากเฟสแรกมีผลตอบรับที่ดีจากแบรนด์ต่างๆ ซึ่งปิดการขายพื้นที่ได้แล้วเกือบ 100% โอกาสนี้ยังได้ร่วมหารือกับตัวแทนพันธมิตรร้านค้าและแบรนด์เพื่อเตรียมตัวนับถอยหลังเข้าสู่การจัดงานเปิดตัวโครงการอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 สิงหาคมปีนี้

คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ องประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ความคืบหน้าล่าสุดของการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จไปกว่า 70% และเตรียมเปิดจองพื้นที่ขายเฟสที่ 2 เนื่องจากผลตอบรับที่ดีมากจากเฟสที่ 1 สามารถปิดการขายพื้นที่ได้แล้วเกือบ 100% โดยมีแบรนด์ต่างๆ เลือกมาเปิดช็อปกับเซ็นทรัล วิลเลจเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญคือกว่า 65 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น

“ขณะนี้ร้านค้าทั้งหมดอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดบูทีคสโตร์ให้ตรงตามกำหนดการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ และนับเป็นลักชูรี่เอาท์เล็ตในระดับสากลจากฝีมือคนไทยเป็นที่แรกในประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้ง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลกทั่วโลก โดย​ตั้งเป้าปีแรกดึงดูดนักช้อปทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาใช้บริการกว่า 10 ล้านคนต่อปี​” 

เตรียมแคมเปญจับกลุ่ม Young & Rich

และเพื่อเตรียมงานเปิดอย่างเป็นทางการ เซ็นทรัล วิลเลจ เตรียมสร้างแคมเปญการตลาดรองรับกลุ่ม Brand Lover เจาะกลุ่มคนไทยและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่ม Young Affluent  ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองของแบรนด์เนมจากทั่วโลก และมีแนวโน้มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชีย มีอายุตั้งแต่ 25-40 ปี ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว รายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป มีกำลังซื้อสูง

กลุ่มเป้าหมายนี้จะมีลักษณะเป็นนักช้อปที่ฉลาด (Smart Shopper) พิจารณาความคุ้มค่าและคุณภาพ มากกว่าความหรูหรา ชอบสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า (Quality Seeker) อีกทั้งต้องการมอบรางวัลให้ตนเอง (Self-rewarding) และแสดงสถานะของตนเองในสังคม (Status Hunter) การช้อปปิ้งเอาท์เล็ต จึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับคนกลุ่มนี้ โดยข้อมูลจาก The 1 เผยว่า ในสมาชิกทั้งหมดของ The 1 มีกลุ่ม Young Affluent อยู่ประมาณ 2 ล้านคน เป็นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

เซ็นทรัล วิลเลจ ยังได้ทีมที่ปรึกษาเป็นบริษัทบริหารเอาท์เล็ตระดับโลกอย่าง The Outlet Company (TOC) ผนวกกับความเชี่ยวชาญของ CPN โดยคอนเซ็ปต์ดีไซน์และการออกแบบได้ใช้สีสันที่นำมาใช้ในโครงการเป็นโทนสีคอปเปอร์หรือทองแดง เพื่อสื่อถึงความหรูหราและความงามตามธรรมชาติ (Luxury, Natural, Prestige) ผสมผสานกับสีเทาเงิน เพื่อสื่อถึงความทันสมัย (Modernization, Sophistication, Innovative) ของคนยุคใหม่ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์ไทยโมเดิร์น มีการเล่นเส้นสายด้วยหลังคาทรงจั่วของไทย ลดทอนลวดลายให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แบ่งโซนด้วยการตีความเป็นหมู่บ้านรูปแบบต่างๆ ร้านค้าในโครงการจะถูกเรียกว่า บูทีคสโตร์ เพื่อสื่อถึงความหรูหราที่เข้าถึงได้ง่าย ผสานพื้นที่สีเขียวในรูปแบบ Outdoor ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับเอาท์เล็ตชื่อดังอื่นๆ ทั่วโลก

ตอบโจทย์เทรนด์สร้างเมืองสนามบิน

คุณวัลยา กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปิดเซ็นทรัล วิลเลจ จะทำให้ประเทศมีความทัดเทียมประเทศท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก เพราะในประเทศชั้นนำของโลกต่างๆ อาทิ ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น และ ฮ่องกง ล้วนแล้วแต่มีเอาท์เล็ตที่เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว สำหรับประเทศไทยเองก็จะมี เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นหนึ่งในความภูมิใจของประเทศไทยเช่นกัน ตามคอนเซ็ปต์โครงการ A Must Visit Shopping Destination to Complete Your Trip จุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวต้องแวะช้อปทุกครั้งก่อนเข้าเมืองหรือเดินทางกลับเข้าสนามบิน

“เทรนด์การสร้างเมืองสนามบิน (Aerotropolis) เป็นเทรนด์ของการพัฒนาเมืองในเขตสนามบินทั่วโลก ให้เกิดขึ้นจริงที่แรกในประเทศไทย ให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งแห่งใหม่ของภูมิภาค นับเป็นหนึ่งใน Key Strategic Move ที่ตอกย้ำความเป็นหนึ่งใน Global Player ระดับโลกของเซ็นทรัลพัฒนา ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ตั้งอยู่ติดสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางมาได้สะดวก ด้วยขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า รถยนต์ส่วนตัว และบริการรถรับส่งจากเซ็นทรัลเวิลด์ สถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข และสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งแบรนด์เนมในราคาที่ลด 35-70% แบบคาดไม่ถึงได้ทุกวันแห่งแรกและแห่งเดียวในไทย โดยมีบูทีคสโตร์จากแบรนด์ระดับโลกรวมกว่า 235 ร้านค้า อาทิ Polo Ralph Lauren, Kenzo, Vivienne Westwood, CK Jeans, Adidas , Guess, Converse, Superdry, Rip Curl, Roxy, Quiksilver, Samsonite ฯลฯ รวมถึงแบรนด์อุปกรณ์ไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัว ของเล่น อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ร่วมด้วยร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ เพื่อมอบปรากฏการณ์ใหม่ให้กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน World-Class Shopping Destination ของโลกอย่างแท้จริง

“Akirart Cafe”จากออฟฟิศโฆษณาเก่ายุค 80 สู่คาเฟ่สุดฮอต ที่ใครๆก็อยากมาเพื่อถ่ายรูป

$
0
0
คุณนิว–อาทินันท์ เดชแพ และคุณเคนโด้–นาเคนทร์ พุฒิกุลางกูร เจ้าของ Akirart Cafe Studio

เดินเข้ามากลางซอยอนุสรณ์ 1 หลังวัดเทพศิรินทร์ เพื่อมายัง บริษัท คามาราร์ต สตูดิโอ วันนี้ Brand Buffet มีนัดพิเศษกับ คุณเคนโด้–นาเคนทร์ พุฒิกุลางกูร และ คุณนิว–อาทินันท์ เดชแพ สองเพื่อนซี้เจ้าของ Akirart Cafe Studio คาเฟ่สไตล์ออฟฟิศย้อนยุค 80 ที่ฮิปที่สุดในเวลานี้

คาเฟ่ที่เล่าเรื่องราวของคนรุ่นพ่อ

ไม่รอช้า เราชวนทั้งสองคนพูดคุย ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของ Akirart Cafe Studio ที่ในอดีตเคยเป็นออฟฟิศของ Kamarart Studio บริษัท Production House ผู้ผลิตสื่อโฆษณารายสำคัญของไทย โดยมี คุณวีระ พุฒิกุลางกูร คุณพ่อของคุณเคนโด้ เป็นผู้ก่อตั้ง

ซึ่งที่ตึก 4 ชั้นแห่งนี้ ถูกใช้เป็นพื้นที่สำนักงานเกือบทั้งหมด ยกเว้นชั้นบนสุด ที่เป็นพื้นที่พักอาศัยของครอบครัว “พุฒิกุลางกูร” คุณเคนโด้เล่าว่า เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ Kamarart มาตลอด โดยเฉพาะในระยะ 10 ปีหลังก่อนที่พ่อและแม่จะตัดสินใจปิดบริษัท ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทันที แต่ค่อยๆเฟดไป จากที่เคยมีพนักงานจำนวนมาก ก็ได้เห็นพนักงานค่อยๆน้อยลง จนสุดท้ายทั้งตึกเหลือเพียงแค่ 3 คน

เพราะความผูกพัน ไม่อยากเสียที่แห่งนี้ รวมถึงมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คนรุ่นพ่อได้สร้างไว้ คุณเคนโด้จึงตัดสินใจชวนคุณนิวมาทำโปรเจกต์ร้านกาแฟด้วยกัน สร้างความแตกต่างจากร้านอื่นๆ ด้วยคอนเซปท์ที่เล่าเรื่องราวของ Kamarart ไว้อย่างสมบูรณ์ เชิญชวนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสัมผัสบรรยากาศออฟฟิศเก่าแห่งนี้

บรรยากาศของออฟฟิศ Kamarart ที่เหลืออยู่

“ตอนที่รู้ว่าบริษัทจะถูกปิด ผมรู้สึกเสียดาย เพราะเห็นว่าพื้นที่นี้มีความสำคัญ มีเรื่องราวของความเป็น Kamarart แต่ยังทำอะไรกับพื้นที่ไม่ได้มาก จนกระทั่งพ่อล้มป่วย แม่เลยพาท่านย้ายไปสร้างบ้านและเปิดโฮมสเตย์ชื่อ บ้านพักกายพักใจ อยู่ที่เชียงคาน จังหวัดเลย ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะถ้าหากผมไม่ทำอะไร ก็ต้องย้ายออกไป ก็เลยขอเช่าตึกนี้ต่อจากหุ้นส่วนพ่อ ซึ่งก่อนทำร้านเราก็ปรึกษาพ่อนะว่า อยากใช้ที่นี้ทำร้านกาแฟ ท่านก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

หลายคนสงสัยว่าชื่อร้าน มีความหมายว่าอย่างไร คุณเคนโด้เล่าว่า “Akirart” (อะคิราร์ต) มาจากคำว่า Aki ที่แปลว่าแสง พระอาทิตย์ รวมกับคำว่า Art ซึ่งชื่อนี้ คุณวีระเคยคิดไว้ก่อนจะตัดสินใจเลือก Kamarart (Camera + Art) เป็นชื่อบริษัท เขาจึงนำชื่อนี้กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพราะเรียกได้ง่ายกว่า

เครื่องใช้สำนักงานในอดีต ที่หาดูไม่ง่าย

ด้วยคอนเซปท์สไตล์ออฟฟิศย้อนยุค ทำให้การตกแต่งร้านแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพียงแต่นำเอาเครื่องใช้สำนักงานที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เครื่องพิมพ์ โต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์สำนักงาน  มาจัดเรียงเท่านั้น เราลองเปิดลิ้นชักตู้เหล็กเก็บเอกสารใต้บาร์กาแฟดู พบว่าในนั้นยังคงเก็บเอกสารของพนักงาน Kamarart ไว้เป็นอย่างดี ที่เห็นใหม่จริงๆ คงจะมีเพียงแค่เครื่องบดและเครื่องชงกาแฟ

นอกจากข้าวของเครื่องใช้เก่าแล้ว ที่นี่เราจะได้เห็นชิ้นงานโฆษณาในตำนาน อย่าง Nescafe, Honda ติดอยู่ตามผนังห้อง และเรียงรายอยู่ริมทางเดิน รวมถึงหนังสือออกแบบหายาก ของสะสมจากประเทศญี่ปุ่น ของคุณพ่อและคุณอา ซึ่งก็คือ คุณสุรชัย พุฒิกุลางกูร illustrator ผู้สร้างภาพประกอบงานโฆษณา มือหนึ่งของโลก ที่คุณเคนโด้นำมาจัดวางไว้ให้ผู้ที่สนใจอีกด้วย

จอคอมพิวเตอร์เก่าที่เจ้าของร้านตั้งไว้ต้อนรับลูกค้า

“นับว่าเป็นโชคดีของเราที่ข้าวของเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี ไม่ได้ถูกทิ้งไป บางชิ้นยังคงใช้งานได้ เพราะเราอยากให้ลูกค้าที่เข้ามารู้สึกตื่นเต้นกับเครื่องใช้เก่าๆ อย่างตอนที่เดินขึ้นมา ลูกค้าก็จะเจอกับจอคอมพิวเตอร์เก่าก่อนเลย เราตั้งใจจัดไว้แบบนั้น เพราะอยากให้รู้สึกว่า เดินขึ้นมาเจอจอกระพริบนี้ คือมาถึง Akirart แล้ว

ตอกบัตร นั่งกินกาแฟ แล้วค่อยทำงาน

เรามีโอกาสได้ลองชิม “Passion fruit Espresso” กาแฟผสมน้ำเสาวรส ที่เสิร์ฟมาในแก้วทรงกลมใส พร้อมกับแผ่นรองแก้วซึ่งทำจากแผ่นฟลอปปีดิสก์ เป็นกิมมิคเล็กๆ กลิ่นหอมอ่อนๆของเสาวรสผสมกับกลิ่นกาแฟสด ชวนให้รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว ทำให้เราสนใจถึงแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟ

Passion fruit Espresso

คุณเคนโด้และคุณนิว อธิบายให้เราฟังว่า ที่ร้านจะใช้เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจากบาซิล และรัฐฉาง (ประเทศพม่า) และคั่วกลางจากรัฐฉาง และกัวเตมาลา นอกจากนี้จะมีกาแฟชนิดพิเศษที่พวกเขาหามาเสริม รวมแล้วประมาณ 10 ชนิด ส่วนน้ำเสาวรสที่ใช้เป็นส่วนผสมในเมนู Passion fruit Espresso นั้น ใช้น้ำเสาวรสสดที่ส่งตรงมาจากจังหวัดเลย

นอกจากนี้ที่ร้านมีเมนูเบสิคกาแฟด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Latte Mocha หรือ 70.5% Dark Chocolato ซึ่งทางร้านหาสัดส่วนและวัตถุดิบเอง รวมถึงเมนู “Affogato x ไอติมยศเส” ซิกเนเจอร์ที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ซึ่งมีที่มาที่ไปน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

“ตอนที่ช่วยกันคิดเมนู เรามองว่าต้องมี Affogato นะ แล้วไอติมก็ต้องเป็นไอติมยศเส เพราะเราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะให้ไหม จนได้เข้าไปคุยแล้วเล่าคอนเซปท์ร้านให้เขาฟังว่า เราอยากจะทำร้านกาแฟที่เล่าเรื่องราวของพื้นที่ตรงนี้นะ เขาก็คิดไปสักพัก ก่อนจะถามผมว่า เกิดที่นี่ไหม ผมก็บอกว่าใช่ครับ เกิดที่นี่ เท่านั้นแหละ เขาบอกงั้นได้ เอาเลย วัยรุ่นมันๆ เราดีใจมาก”

Cafe hopping มากันเต็มร้าน ทำเอารับมือไม่ทัน

มุมที่นั่งข้างหน้าต่าง มุมโปรดของคุณเคนโด้

แม้ว่าจะเปิดทำการได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น แต่กระแสบนโซเชียลมีเดียที่พูดถึงความชิค ความเท่ ความเป็นแฟชั่นสไตล์ 80’ ของคาเฟ่แห่งนี้ ทำให้ชื่อของ Akirart กลายเป็น Wish list ที่เหล่า Cafe Hopping ทั้งไทยและเทศ อยากมาเช็คอิน ถ่าย IG Story หรือถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้เปลี่ยนโปรไฟล์ใหม่

น้องใหม่ในวงการคาเฟ่ เผยว่า ข้อดีของการอยู่ในกระแสโซเชียล ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักเร็ว มีลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก แต่ในทางกลับกัน เขายอมรับว่า การที่ลูกค้าเข้ามาเยอะ ประกอบกับประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่ยังมีไม่มาก ทำให้เขาไม่สามารถรับมือลูกค้าได้ทัน

ห้องทำงานที่เก็บหนังสือของสะสมของคุณพ่อและคุณอา เอาไว้อย่างดี

ด้วยความที่สไตล์การตกแต่งร้านค่อนข้างโดดเด่น มีเอกลักษณ์ ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาโฟกัสกับสถานที่มากกว่ากาแฟที่พวกเขาชง

“แรกเริ่มเราคาดหวังไว้ว่าร้านจะค่อยๆเติบโต เพิ่มคนรู้จักไปเรื่อยๆ แต่โซเชียลทำให้มีคนรู้จักเราเร็วเกินกว่าที่คิดไว้ มีคนตามมาจาก Influencer ใน Instagram เยอะมาก เอาเข้าจริงๆ ช่วงแรกเรารับลูกค้าไม่ทัน ทำให้ค่อนข้างเสียลูกค้า เพราะเราทำร้านกันแค่ 2 คน เซ็ตอัพที่เราเซ็ตไว้ อย่างเครื่องบดกาแฟหัวเดียว การที่ต้องชั่งเมล็ดกาแฟทุกครั้งก่อนบด ขั้นตอนทุกอย่างค่อนข้างใช้เวลา พอลูกค้าเข้ามาพร้อมกันเยอะๆ เขาก็ต้องต่อคิว ไหนจะที่นั่งไม่พอ พอลูกค้าบ่น คราวนี้ก็เริ่มไม่โอเคแล้ว” 

ขอโทษนะครับ ร้านนี้ห้ามถ่ายรูป

ติดประกาศห้ามถ่ายรูป

ไม่เพียงเท่านั้น พลังโซเชียลมีเดีย ยังทำให้มีลูกค้าแฝงเข้ามาใช้พื้นที่ร้านเพื่อถ่ายรูปเชิงพาณิชย์ จนกระทบกับลูกค้าคนอื่นๆ ทำให้ทางร้านต้องตั้งกฎกติกาใหม่ว่า ห้ามถ่ายรูปเชิงพาณิชย์เด็ดขาด แม้ว่าอาจจะทำให้ต้องเสียลูกค้าบางกลุ่มไป

แต่ถ้าอยากถ่าย ทางร้านมีสตูดิโอให้เช่าอยู่ที่ชั้น 2 หรือถ้าอยากได้โซนคาเฟ่ ทางร้านก็เปิดให้เช่าเช่นกัน แต่เฉพาะวันพุธที่ร้านปิดเท่านั้น โดยคิดราคาเป็นแพ็กเกจ ซึ่งที่ผ่านมามีแบรนด์แฟชั่นเข้ามาใช้บริการแล้ว อย่าง มอร์แกน เป็นต้น

สตูดิโอให้เช่าที่ชั้น 2

“ทุกวันนี้ยังมีคน inbox เข้ามาถามเรื่อยๆว่า ถ่ายรูปได้ไหม พานางแบบไปได้ไหม แต่หลังจากออกกฎนี้ ผมกลับรู้สึกได้ว่าลูกค้าตั้งใจมากินกาแฟมากขึ้น อย่างวันก่อนมีลูกค้ามานั่งคุยถึงเรื่องกาแฟ เขาก็บอกว่า ดีนะผมไม่มาก่อนหน้านี้ ไม่งั้นก็คงไม่อยากมาอีก”

เกาหลีเขากินกาแฟกันจริงจัง แต่ไทยเรามาเพื่อถ่ายรูป

บรรยากาศออฟฟิศในวันทำงาน

คุณเคนโด้และคุณนิว ยังได้แชร์ประสบการณ์จากการไปตระเวนดูคาเฟ่ที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยพบว่าที่กรุงโซล นอกจากจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคาเฟ่สวยๆแล้ว พฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนเกาหลียังแตกต่างจากคนไทยอีกด้วย

“ล่าสุดเราปิดร้านไปเที่ยวเกาหลีกันมา ที่นั่นคาเฟ่เยอะมาก แล้วทั้งคนเกาหลีและนักท่องเที่ยวก็นิยมเข้าคาเฟ่กันมาก แถมเขายังกินกาแฟจริงจังด้วย อย่างร้าน Cafe Onion ที่เรามีโอกาสได้แวะไป จะเห็นว่าพื้นที่ร้านเขาเยอะมาก แต่เขาทำร้านได้เจ๋ง บริหารพื้นที่ได้ดีมาก

สิ่งที่เราสัมผัสได้ คือ วัยรุ่นไทยยังดื่มกาแฟไม่มากเมื่อเทียบกับคนเกาหลี การมาคาเฟ่ของคนไทยจะเป็นในลักษณะที่รีบมา สั่งเครื่องดื่ม ถ่ายรูป แล้วก็รีบไปร้านอื่นต่อ ผมเคยลองถามลูกค้าว่า วันหนึ่งเขาไปกันกี่ร้าน มีคนตอบผมว่า 5 ร้าน แต่คนเกาหลีเขากินกาแฟกันจริงจังกว่านั้นมาก แล้วแต่ละร้านก็มีมาตรฐานกาแฟที่ดีด้วย”

จะไม่เป็นแค่ Cafe แต่จะสร้าง Community

ที่เฟซบุ๊ก Akirart Cafe Studio พวกเขาเรียกแทนทุกคนว่า “ชาวออฟฟิศ” อันเป็นธีมที่ใช้ในการสื่อสารและเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาตอกบัตร กินกาแฟ และนั่งทำงานกันด้วยกัน และคอนเซปท์นี้ยังถูกนำมาต่อยอดในการสร้าง Community ให้คนที่รักในสิ่งเดียวกันได้มารวมตัวกัน โดยโปรเจกต์แรก คือ การพาคนรักดนตรีและคนรักกาแฟมาเจอกัน

“เมื่อก่อนเราเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ผลิตหนังสั้น ทำโปรเจกต์ธีสิส ส่วนตัวเราเองก็มีเพื่อนค่อนข้างเยอะ ทั้งเพื่อนสายดนตรี สายภาพยนตร์ สายกราฟฟิก ในวันเปิดร้าน เราก็เลยชวน โบกี้ไลออน ไททศมิตร และ Tree Man Down มาเล่นคอนเสิร์ต โดยให้ลูกค้าเข้างานฟรี เพียงแต่ช่วยอุดหนุนเครื่องดื่มหน่อย”

Akirart X Safeplanet

เมื่อครั้งแรกได้ผลตอบรับค่อนข้างดี ในเดือนถัดมาพวกเขาชวน Safeplanet มาจัด live session คราวนี้สร้างความสนใจและดึงคนให้มาร่วมงานได้ถึง 120 คนทั้งจากแฟนคลับวงและคนที่ติดตามทางร้านเอง

“เราอยากให้ภาพบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นทุกเดือนๆ ทำให้เป็นเหมือน Community เป็นพื้นที่ให้คนหลงใหลในสิ่งเดียวกันได้มารวมตัวกัน และถ้าเป็นไปได้ อนาคตเราอยากฉายหนังด้วย หรืออาจจะเห็นเราเอากล้องฟิล์มออกมาวางขายก็ได้”

คุณเคนโด้ และคุณนิว ยังบอกว่า ตอนนี้กำลังเริ่มต้นคิดโปรเจกต์ใหม่ๆกันแล้ว ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าพวกเขาจะต่อยอดเรื่องราว Kamarart Studio ไปเป็นอะไรกันได้อีก

แม้ว่าคาเฟ่ของสองหนุ่มจะเท่มากๆ จนอยากควักมือถือออกมาถ่ายรูปรัวๆ แต่หากคุณได้มีโอกาสมาที่ออฟฟิศแห่งนี้ เราอยากแนะนำให้คุณลองใช้เวลาชิมกาแฟของทางร้านสักนิด ไม่แน่ว่าคุณอาจจะหลงรักบรรยากาศที่นี่มากกว่าเดิม จนอยากกลับมาตอกบัตรอีกหลายครั้งก็ได้

ถอดบทเรียน 4 ปีของ AIS Fibre กับก้าวต่อไปเพื่อสลัดตำแหน่งเบอร์ 4 ในตลาด

$
0
0

 

4 ปีที่แล้ว AIS สร้างความฮือฮาให้กับวงการโทรคมนาคมเมืองไทย ด้วยการบุกเข้าสู่ธุรกิจอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ และนับว่าเป็น Game Changer ในตลาดด้วยการประเดิมเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่ใช้สายไฟเบอร์ออพติกแท้ 100% มาให้บริการกับลูกค้าทั้งระบบนับตั้งแต่ Day 1 ที่ลุยในสนามนี้ มาถึงวันนี้ที่ AIS ครบรอบ 4 ปีของการให้บริการ AIS Fibre จัดหนักอีกครั้งด้วยแนวคิด “เร็วกว่า ดีกว่า ง่ายกว่า (Forward Better Simple)”

ท้าทายตัวเองด้วยโจทย์ยากอยู่ตลอด

คุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานบริการธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ เอไอเอส เล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของ AIS Fibre โดยยอมรับว่าการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แตกต่างจากการให้บริการมือถืออย่างมาก จากเดิมที่ขาย “ซิม” แล้วจบ สัญญาณฉลุยนับตั้งแต่เริ่มเพราะสัญญาณของไอเอเอสในวันนี้ครอบคลุมหมดแล้ว แต่สำหรับ “เน็ตบ้าน” นั่นแปลว่าต้องนัดหมายเข้าไปติดตั้งที่บ้านของลูกค้า เข้าบ้านลูกค้า ตามเวลาที่ลูกค้าสะดวก รวมทั้งอื่นๆ อีกมากมายที่ในวันนี้  AIS Fibre เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเองในทุกด้าน  และเรียนรู้จากลูกค้า  จนถึงเวลาที่กล้าการันตีว่า “วันนี้เราฝ่าฝันมาจนถึงจุดที่เราไม่สะดุดอีกแล้ว”

ที่บอกว่าไม่สะดุดในที่นี้หมายถึง ทั้งเรื่องบริการและความเร็วของอินเทอร์เน็ต

ด้วยไอเดียของ คุณสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ซีอีโอตัวเล็กแต่ใจใหญ่ของ เอไอเอส ที่ประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแสดงวิสัยทัศน์เมื่อ 5 ปีก่อน ว่า AIS จะเป็น Digital Provider และการที่จะไปถึงจุดนั้นได้ นอกเหนือจาก บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นบริการหลักแล้ว ต้องเพิ่มเติมเรื่อ Fixed Broadband  กับ Digital Platform  โดยในส่วนของ  Digital Platform เอไอเอสจึงเป็นรายแรกที่นำเอา Streaming Video มาให้บริการตั้งแต่ตอนที่คนอื่นยังเลือกนำเสนอคอนเทนต์ด้วย Cable และ… เจ็บก่อนก็เรียนรู้ก่อน!

เพราะนั่นทำให้ AIS ต้องบี้ให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตของตัวเองเสถียร!  เพื่อรองรับการออกอากาศให้ได้ และเมื่อเทรนด์ e-Sport เข้ามา ความเร็วและความลื่นไหลที่ต้องเป๊ะ! อีกระดับเมื่อการที่เน็ตกระตุกแค่เสี้ยววินาทีเดียว เท่ากับทอดทิ้งเพื่อนร่วมรบเลยทีเดียว โจทย์ท้าทายของ AIS Fibre จึงถูกยกระดับขึ้นมาอีกรอบ และก็ทำให้เกิดการแก้ปัญหาแบบ “นอกกรอบ”

Customize ตามใจลูกค้า

จากโจทย์นำมาสู่ทางแก้ปัญหา ที่ AIS ได้นำเสนอสู่ตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

Speed Boost เลือกเพิ่มความเร็วในวันที่ต้องใช้งานหนัก ส่วนวันอื่นก็กลับมาใช้อัตราความเร็วปกติ

Speed Toggle ที่ลูกค้าเลือกได้ว่าต้องการใช้สปีดดาวน์โหลดหรืออัพโหลดสูงในช่วงเวลาไหน เพียงแค่สลับค่าความเร็วได้ด้วยตัวเอง ผ่านหน้าจอคอม แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ง่ายๆ ที่บ้าน

Dual Bandwidth แยกแบนด์วิดท์ การใช้งานทั่วไปกับการใช้งานหนักออกจากกกัน เช่น การเล่นเกมออนไลน์ เพื่อไม่ให้ทั้งสองส่วนแย่งแบนด์วิดท์กันเอง แล้วจะหงุดหงิดทั้งสองฝ่าย

ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เก็บเอาปัญหาที่ลูกค้าเจอ แล้ว AIS Fibre เอากลับมาคิดเป็นการบ้าน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าได้เลือกตามที่ตัวเองต้องการ

ต้องมากกว่าแค่ส่งสัญญาณเข้าบ้านแล้ว “จบ”

Pain Point ที่เจาะลึกลงไปอีกระดับหนึ่งของลูกค้าอินเทอร์เน็ต ก็คือ การใช้งานมีปัญหาแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร? หลายครั้งมาจากตัวผู้ใช้งานเอง บางครั้งก็มาจากอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม หน้าที่ของผู้ให้บริการบรอดแบนด์วันนี้ ต้องไปไกลกว่าแค่ส่งสัญญาณไปที่บ้านแล้ว จบ!

AIS Fibre พัฒนาตัวเองไปให้บริการถึงในตัวบ้านของลูกค้าตั้งแต่วันที่ติดตั้ง ด้วยบริการ AIS Fibre Guru ช่างที่ได้รับการฝึกจากเอไอเอสโดยตรง เพื่อเข้าไปพูดคุยกับลูกค้า ประเมิน และวางแผนร่วมกันกับเจ้าของบ้าน เพื่อทำให้การติดตั้งเป็นไปตามที่ลูกค้าคาดหวังทั้งเรื่องสัญญาณและความสวยงามของการติดตั้ง เพราะว่าบางครั้งการวางตัวปล่อยสัญญาณเพียงแค่ตัวเดียวก็ไม่ครอบคลุมทั่วบริเวณ ทีมช่างต้องคำนวณให้ได้ว่าสัญญาณเพียงพอไหม ถ้าหากว่าไม่พอ AIS Fibre ก็มีการพัฒนา Mesh Wifi เร้าเตอร์มาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้สัญญาณกระจายครอบคลุมทั่วบ้านตั้งแต่จุดแรก แต่หากอยากเพิ่มจุดต่อๆ ไป ก็ซื้อเพิ่มในราคาจุดละ 1,490 บาทต่อจุด ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดในตลาด ทั้งบริการและตัวดีไวซ์ล้วนแล้วแต่ซัพพอร์ตให้เกิดประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด

AIS Fibre Guru ตอนนี้มี 40 คน แต่เรายังไม่ได้เริ่มประชาสัมพันธ์ อาจจะไม่ใช่ลูกค้าทุกรายที่ต้องการบริการของ AIS Fibre Guru เพราะนั่นเท่ากับการที่ต้องนัดช่าง 2 ครั้ง แต่ถ้าหากว่ามีลูกค้าต้องการบริการนี้มากขึ้น ผมถือว่าเป็น Happy Problem เราพร้อมจะเพิ่มทีมงาน รวมทั้งมีการันตีว่า การติดตั้ง AIS Fibre ต้องใช้งานได้แบบไม่มีปัญหาอย่างน้อยใน 1 เดือนแรก” คุณศรัณย์ เผย

นอกจากนี้ยังมีบริการ Network Quality Assurance มอนิเตอร์การใช้งานของลูกค้าแต่ละหลังตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบของ AIS Fibre ทำให้รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก AIS  เอง หรือว่าอุปกรณ์ของลูกค้า ทาง AIS  Fibre สามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ทำเลย ถ้าไม่ได้ก็จะติดต่อประสานงานกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า และตัดสินใจในขั้นตอนต่อไปร่วมกัน ที่ผ่านมา AIS Fibre เริ่มทดลองมาประมาณ1 เดือนที่ผ่านมา และช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้่าไปแล้ว 9,000 เคส โดยที่ลูกค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ลูกค้า AIS Fibre ต้องได้ Privileges เหมือน AIS

กลยุทธ์การตลาดอีกอย่างหนึ่งของ AIS Fibre ภายในแนวคิดที่วางเอาไว้ว่าปีนี้จะเป็น Year of Quality ก็คือ การพัฒนาสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าแอบน้อยใจว่าไม่ได้กินขนมฟรี หรือใช้บริการอื่นๆ ทัดเทียมลูกค้ามือถือ AIS ซึ่งทาง AIS Fibre รู้ข้อจำกัดในเรื่องนี้ดี จึงจริงจังในเรื่องการพัฒนา  Privileges

สเต็ปแรก เริ่มจากภายใน ด้วยการดึง พี่แอ๋ว-คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ อดีตผู้บริหารมือดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแม่ CRM และมีส่วนปลุกปั้นเรื่องการดูแลพนักงานกับลูกค้าเอไอเอสมานาน ให้กลับเข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อผลักดันโปรเจ็กต์ของ AIS Fibre ให้กลายเป็นผู้นำเรื่องสิทธิพิเศษต่างๆ ด้วยการขยายการรับสิทธิพิเศษของลูกค้า AIS Fibre  ที่อาจเป็นทั้งลูกค้า AIS Mobile และลูกค้า Mobile ต่างค่าย ให้ได้รับสิทธิพิเศษจาก AIS Points & AIS Privileges เทียบเท่ากับลูกค้า AIS Mobile ไม่ว่าจะเรื่องกิน ดื่ม เที่ยว ดูหนัง ช้อปปิ้ง ก็จัดเต็มให้ลูกค้าแบบไม่มีกั๊ก

 “วิสัยทัศน์ของคุณสมชัยที่มองว่า การแข่งขันของธุรกิจบรอดแบนด์จะสู้กันด้วยการลดราคา เพิ่มความเร็วแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน ถ้าทำแบบนั้นวันนี้เราลดราคา เพิ่มความเร็ว วันรุ่งขึ้นคู่แข่งก็ทำได้ แต่ถ้าเราแข่งขันด้วยคุณภาพ ด้วยบริการ คู่แข่งอาจจะอยากทำตาม แต่รับรองว่าทำตามไม่ได้ในทันทีแน่ๆ” คุณศรัณย์อธิบาย

สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่ยาก แต่ความจริงคือการรื้อระบบหลังบ้าน ในเมื่อเดิมลูกค้า AIS ถูกลิงค์สิทธิพิเศษต่างๆ กับเบอร์โทรศัพท์ซึ่งอยู่ในระบบทั้งหมด แต่สำหรับลูกค้า AIS Fibre ซึ่งมีทั้งลูกค้า AIS และลูกค้าต่างค่าย จึงมีเบอร์โทรศัพท์หลากหลาย AIS Fibre จึงเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าได้ใช้บริการที่ง่ายขึ้น ผ่านช่องทาง LINE Official Account ของเอไอเอสซึ่งตอนนี้มีฐานสมาชิกอยู่ 40 ล้านคน ทำให้ข้อมูลของลูกค้า AIS Fibre ทุกรายไม่ว่าจะใช้เครือข่ายใด ก็สามารถสมัครบริการ เลือกแพ็กเกจ เช็คคะแนน และสิทธิพิเศษต่างๆ ไปจนถึงจ่ายบิล ผ่านช่องทาง AIS Fibre Line Connect นี่ได้เลย

นอกจากนี้ในอีกด้านหนึ่งก็เพิ่มระบบการให้คะแนนกับช่าง หรือบริการต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของพนักงานอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าไม่ผ่านการประเมินก็อบรมอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันพนักงานที่ได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีก็จะได้ Incentive เพิ่มไปเป็นขวัญกำลังใจ

จากการปรับปรุง พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด AIS Fibre ซึ่งตอนนี้มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 4 ในตลาด แต่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดในอัตรา 100-120% ทุกปี จนมีฐานลูกค้าเกือบ 800,000 ราย ปีนี้ AIS Fibre จึงตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าเบียดเบอร์ 3 ในตลาด ซึ่งมีฐานลูกค้าราว 1.2-1.4 ล้านรายได้อย่างใกล้เคียง ท่ามกลางโอกาสในตลาดที่เปิดกว้างมากๆ เมื่อประเทศไทยมีบ้านหรือครัวเรือนทั้งหมด  21 ล้านราย แต่มีบ้านที่ติดอินเทอร์เน็ตแล้วเพียงแค่ 9 ล้านครัวเรือนเท่านั้น

มีคำกล่าวเอาไว้ว่า Nobody Remembers Number 3 การเป็นเบอร์ 3 ในตลาดจึงเป็นเป้าหมายระยะสั้นของ AIS Fibre ถ้าหากว่าการเติบโตยังเป็นแบบนี้เป้าหมายนั้นคงไม่ยาก แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มูฟเมนต์แต่ละอย่างของ AIS Fibre ได้เข้ามาเป็น Game Changer และเขย่าตลาด ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ มีทางเลือกมากขึ้นจริงๆ ก็ได้แต่เชียร์ให้ทุกค่ายผลักดันตัวเองกันแบบนี้เรื่อยๆ แบบนี้แหละ ดีแล้ว … Let’s them Fight!

 

Gucci หวนคืนสู่สงครามเมคอัพอีกครั้ง ด้วย “รอยยิ้มที่บกพร่อง”

$
0
0

บางครั้งความงามใน “ศิลปะ” อาจเกิดขึ้นจาก “ความไม่สมบูรณ์อันสมบูรณ์แบบ” (Imperfect is Perfect) ดูเหมือนว่าไอเดียนี้จะโดนใจ Gucci จนกลายเป็นโฆษณาแคมเปญ เพื่อเปิดตัวลิปสติกคอลเลกชั่นใหม่ ซึ่งท้าทายและกล้าหาญอย่างมากที่เลือกนำเสนอด้วยแนวทางนี้ เพราะนี่คือการกลับมาเข้าสู่สงครามเมคอัพเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ของแบรนด์แฟชั่นหรู

Gucci วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเมคอัพครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2014 แต่เมื่อกลับมาในครั้งนี้ Gucci จงใจเลือกแนวทางการสื่อสารด้วยโฆษณาที่มีกลิ่นอายย้อนยุค แถมยังนำเสนอรอยยิ้มที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก ผ่านแอคเคานท์อินสตาแกรม @guccibeauty ซึ่งก่อนหน้านี้ทางแบรนด์ได้โพสต์รูปที่สะท้อนความงามที่แตกต่างในแต่ละยุคสมัย โดยใช้ภาพหญิงสาวจาก Los Angeles County Museum of Art (LACMA) และ Metropolitan Museum of Art มาสื่อความหมาย แทนที่จะเป็นนางแบบสุดสวยหุ่นดี หน้าเป๊ะ

กระทั่งเมื่อเปิดตัวสินค้าจริง Gucci ก็เลือกใช้รูปภาพการใช้ลิปสติกของสาวๆ เหล่านี้ เพื่อบอกเล่าความสุขเมื่อได้แต่งแต้มสีสันให้ริมฝีปาก ซึ่ง Gucci เปิดตัวทีเดียวเบาๆ แค่ 58 เฉดสีเท่านั้นเอง เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยราคา 38 เหรียญสหรัฐต่อแท่ง

Alessandro Michele ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ เล่าถึงที่มาของโปรดักท์ว่า เขาได้แรงบันดาลใจมาจากสเน่ห์แบบวินเทจของสีแดงก่อนที่สีชมพูจะกลายเป็นตราประทับของความเป็นผู้หญิงช่วงหลังสงคราม รวมทั้งเขาให้เหตุผลที่เลือกลิปสติกเป็นสินค้าแรกที่ส่งแบรนด์ Gucci กลับสู่ตลาดว่า เมคอัพเป็นวิธีที่ดชว์คาร์เแร็กเตอร์และความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างเด่นชัดที่สุด และลิปสติกคือเครื่องมืออันทรงพลังที่จะเล่าความงามนั้นออกมา

 

Google ผ่อนปรน 90 วัน แต่หัวเว่ยบอก 90 วันงั้น ๆ แหล่ะ เพราะ Huawei พร้อมรับมืออยู่แล้ว โดยเฉพาะ 5G ที่จะไม่มีใครตามทัน

$
0
0
เหริน เจิ้งเฟย ซีอีโอ Huawei (ขอบคุณภาพจาก CGTN)

หลังจากที่สร้างความปั่นป่วนมาตลอดวันจันทร์กับกรณีของ Google ที่ตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับ Huawei อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดสินใจขึ้นบัญชีดำ Huawei ไปนั้น ล่าสุด ทางการสหรัฐฯ ได้ออกมา เลื่อนการแบน Huawei ออกไปอีก 90 วันแล้ว โดยกำหนดการตัดความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคมนี้

โดยตอนนี้ Huawei จะได้รับเป็นไลเซนต์ชั่วคราว (Temporary General License) จากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้ตัวเครื่องของ Huawei ที่เปิดใช้งานแล้วก่อนวันที่ 16 พฤษภาคม 2019 สามารถรับบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นได้ ทั้งในด้านการอัปเดตซอฟต์แวร์ และแพทช์ (Patch) ต่าง ๆ รวมถึงการใช้งานระบบเน็ตเวิร์ก และการได้รับข้อมูลด้านช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการด้วย

Wibur Ross รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า Temporary General License ที่ Huawei ได้รับนั้น มีขึ้นเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเตรียมการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ทั้งในส่วนของผู้บริโภค และฝั่งโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่าย

ทว่า ในด้านซีอีโอของ Huawei อย่างเหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) กลับให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนด้วยอาการไม่ตระหนก และบอกด้วยว่า 90-day temporary general license นั้นมีผลน้อยมากสำหรับ Huawei

พร้อมกันนี้ เขายังได้กล่าวขอบคุณภาคธุรกิจในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยเหลือเป็นอย่างดี และมองว่าการที่รัฐบาลอเมริกันเลือกปฏิบัติกับ Huawei นั้นเพราะประเมินศักยภาพของ Huawei ต่ำเกินไป

“จากนี้ไปอีก 2 – 3 ปี เทคโนโลยี 5G ของเราจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครก้าวตามได้ทัน ส่วนเทคโนโลยีด้านชิปนั้น แม้ว่าครึ่งหนึ่งของชิปที่ Huawei ใช้จะมาจากสหรัฐอเมริกา แต่อีกครึ่งหนึ่ง เราก็ผลิตเองได้ รวมถึงสั่งซื้อจากบริษัทอื่นได้”

“เราไม่ใช่บริษัทที่โดดเดี่ยวตัวเองออกจากสังคมโลก”

Source

Source

ทำความรู้จัก Plan B ของ Huawei นาม HongMeng ระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2012

$
0
0

 

จาก Plan B ที่ “ริชาร์ด หยู” (Richard Yu) ซีอีโอ Huawei เคยแง้มเอาไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่่ผ่านมาว่า Huawei ก็มีแผนสำรองในกรณีที่ไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการ Android หรือ Microsoft Windows ได้เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐอเมริกา มาวันนี้ Plan B ที่ว่านั้นได้เผยชื่อออกมาแล้ว กับ “HongMeng” ว่าที่ระบบปฏิบัติการตัวใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะนำมาใช้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ ของทางค่าย รวมทั้งระบบในคอมพิวเตอร์ก็ดูเหมือนว่าจะมีการพัฒนาเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้วเช่นกัน

โดยรายงานจาก Huawei Central ระบุว่า ระบบปฏิบัติการ HongMeng ได้รับการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และมีการทำงานอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวที่อ้างถึงระบบปฏิบัติการตัวนี้ไม่ยืนยันว่า Hongmeng เป็นแค่ชื่อโค้ดเนม หรือเป็นชื่อที่จะใช้ทำตลาดจริง เพียงแต่ยืนยันว่า Huawei มี OS สำรองเตรียมไว้แล้วอย่างแน่นอน

โดยชื่อของ HongMeng มาจากชื่อในตำนานจีน ซึ่งพ้องกับแบรนด์ Kirin หนึ่งในตระกูลชิปของ Huawei ที่มีความหมายถึงตัวกิเลน และเป็น 1 ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน ที่ประกอบไปด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ) ด้วย

HongMeng – แรงบีบจากทรัมพ์ ต้นกำเนิด Eco-System ของจีน?

HongMeng เป็นคำจีนที่เหมือนกับคำจีนหลาย ๆ คำ แฝงความหมายมากมาย เช่น ต้นกำเนิด, ปฐมภูมิ, พลังแห่งธรรมชาติ, ฯลฯ และเมื่อ Huawei ถูกบีบจากสหรัฐอเมริกาจนเกิดเป็นระบบปฏิบัติการนี้ขึ้นมา นั่นแปลว่านับจากนี้ Huawei น่าจะเริ่มต้นตัดขาดกับแอนดรอยด์ คงเหลือไว้แค่ Android Open Source Project (AOSP) ส่วนบริการอื่นๆ เช่น  Google Drive, Google Play, Google Search, Gmail, YouTube รวมทั้ง Google Maps ก็ต้องถูกระงับไป และนั่นเท่ากับว่า Huawei ต้องเร่งพัฒนาโปรดักท์ของตัวเองขึ้นมา…คำถามก็คือ นี่จะเป็นการปลุกให้ยักษ์ตื่นหรือเปล่า?

Huawei เป็นเจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยี 5G ประมาณ 18-20% ของโลก คิดง่ายๆ ว่านั่นคือเกือบ 1 ใน 5 ของเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่จะเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมอยู่ในมือของ Huawei อย่างมีนัยยะสำคัญ แม้แต่หลายประเทศในยุโรปก็ยังเลือกใช้อุปกรณ์ของ Huawei ด้วยซ้ำ

ผู้บริโภคหลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าแล้วระบบของ Huawei ที่พัฒนาขึ้นมานั้นจะทัดเทียมกับแอนดรอยด์ ที่พ่วงมากับบริการเสริมอื่นๆ ของกูเกิลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google Map ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่า กว่าที่ระบบแผนที่ของค่ายยักษ์ใหญ่รายนี้จะแม่นยำได้ต้องอาศัยทั้งงบประมาณมหาศาล เทคโนโลยีและ Passion ที่ทั้งหมดสะสมมาหลายปี ไม่ได้เกิดขึ้นได้ภายในหลักเดือน นี่เป็นคำถามที่ฝั่ง Huawei เองก็ต้องตอบคำถามและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าให้ได้ ในเมื่อของที่เคยมีกลับหายไปหรือมีดีไม่เท่าของเดิม ผู้บริโภคต้องรู้สึกแน่ๆ

งานเข้าแบรนด์จีนทุกค่าย ไม่เฉพาะ “Huawei”

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เฉพาะ Huawei ที่ต้องเจองานหนัก เพราะการตัดสินใจแบน Huawei ของ Google ได้ทำให้ความเชื่อมั่นใน Android นั้นหมดลงแล้ว และผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android ทุกยี่ห้อในวันนี้ต้องมองหา Plan B ของตัวเองแล้วเช่นกัน และนั่นคาดว่าจะกระทบกับตลาดสมาร์ทโฟน Android ด้วย

โดยข้อมูลจาก IDC ระบุว่าในบรรดาสมาร์ทโฟน Android ที่จำหน่ายไปแล้วในไตรมาส 1 ของปี 2019 นั้น Samsung มาเป็นที่หนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 26% ตามมาด้วย Huawei 21.4% Xiaomi 10.1% ส่วน Vivo และ OPPO เท่ากันที่ 8.4% ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในมุมของผู้ผลิต คนที่จ่ายเงินให้เพื่อนำเซอร์วิสจาก Google ไปใช้นั้น มาจากจีนแผ่นดินใหญ่มากขนาดไหน แต่งานนี้ที่แน่ๆ คนที่ได้รับอานิสงห์ก็คือ Samsung และ Nokia ที่หุ้นขึ้น 2% และ 1.5% ตามลำดับทันทีที่ Google กับ Huawei มีประเด็นกันคราวนี้

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ และยิ่งถ้าหากว่ายืดเยื้อออกไป เราอาจจะได้เห็นการรวมพลังของ “แบรนด์จีน” เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมา ระบบการสื่อสาร แอปพลิเคชัน หรือพฤติกรรมผู้บริโภคของคนจีนก็มีความเฉพาะตัวอยู่แล้ว แต่เราก็ได้เห็นว่าพลังเงินและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของจีนสามารถแพร่หลายเข้ามาในดินแดนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นแอปฯ อย่าง TikTok, Ali Pay, WeChat, Weibo บางแอปฯ เป็นที่รู้จัก บางแอปฯ เป็นเทรนด์ใหม่ บางแอปฯ ต้องใช้เพราะความจำเป็นเมื่อต้องรองรับนักท่องเที่ยวหรือคู่ค้าจากประเทศจีน บริษัทเบื้องหลังแอปพลิเคชั่นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ เงินหนาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Tencent, Alibaba ถ้าหากว่าสงครามการค้ายังยืดเยื้อต่อไป จนเกิดเป็น “กระแสชาตินิยม” ไปจนถึง “คลั่งชาติ”  ขึ้นมาจนบริษัทเหล่านี้ร่วมมือกันบอกลาบริการของสหรัฐอเมริกาละก็ “งานเข้า” แน่ๆ

และนอกจากรายได้ที่จะหายไปแล้ว อีกสิ่งที่ Google อาจไม่สามารถเรียกกลับมาได้ก็คือความภูมิใจ โดยเฉพาะในเรื่องของม็อตโต้ที่ยุคหนึ่ง Google เคยมีประโยคอย่าง Don’t Be Evil บรรจุอยู่ใน Code of Conduct และสร้างความภูมิใจให้พนักงานได้อย่างเต็มปาก ซึ่งเราก็หวังว่า Code of Conduct ยุคใหม่ที่บริษัทเขียนขึ้นนั้น จะสามารถนำพาบริษัทให้ไปต่อได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ที่บริษัทอเมริกันเองก็ต้องได้รับผลกระทบจากสงครามในครั้งนี้ไปตาม ๆ กัน

ในส่วนของ HongMeng เอง จึงไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการณ์ที่เกิดขึ้นมาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดของหัวเว่ย แต่นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดแอกจากเซอร์วิสของชาติตะวันตก และปลุกมังกรให้ยืนบนลำแข้งของตัวเองมากกว่าเดิม

Source

Source

Source

เผยความจริง ทำไมคนสูงอายุยังต้องทำงาน? สังคมอเมริกันพบเรื่องชวนอึ้ง คนสูงอายุกว่า 3 ล้านคนยังผ่อนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาไม่หมด

$
0
0

ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาววัยรุ่นที่ต้องผ่อนจ่ายชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเท่านั้น ผู้สูงอายุหลายคนกล่าวว่า พวกเขายังคงจ่ายเงินกู้ยืมการศึกษาไม่หมด หลังจากที่กู้มาเพื่อเรียนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

ข้อมูลนี้ได้รับการเปิดเผยโดย Consumer Financial Protection Bureau หรือ CFPD ที่ระบุว่า คนอเมริกันที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 3 ล้านคน ยังติดหนี้การศึกษารวมกันมากกว่า 86,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2017 ที่เคยอยู่ที่ 66,700 ล้านเหรียญสหรัฐไปพอสมควร และ CFPD ยังพบด้วยว่า ผู้สูงอายุอเมริกันหลายคนใช้เงินจากประกันสังคม (Social Security) ซึ่งในที่นี้คือเงินบำนาญ มาจ่ายใช้หนี้กู้ยืนเพื่อการศึกษาของพวกเขา

หนึ่งในนั้นคือ Seraphina Galente หญิงสูงวัย อายุ 76 ปีที่เรียนจบปริญญาโทจาก San Diego State University เมื่อ 19 ปีที่แล้ว โดยเธอระบุว่า ยังเหลือหนี้ให้ต้องชดใช้อยู่อีกประมาณ 40,000 ดอลลาร์

“ฉันเคยมั่นใจว่าฉันสามารถใช้หนี้คืนได้ แต่ก็อย่างที่คุณรู้…เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับเวลาเหมือนกัน เพราะพวกเราแก่ขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือเรื่องจริงของชีวิต”

ปัจจุบัน Galante ทำงานแบบพาร์ทไทม์ โดยเป็นที่ปรึกษาด้านการดูแลผู้ป่วย และชำระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษานี้เดือนละ 176 ดอลลาร์ ทว่ายอดเงินดังกล่าวนี้ไม่ครอบคลุมดอกเบี้ยด้วยซ้ำ

“ฉันไม่เห็นความยุติธรรมหรือตรรกะอะไรเลยในเรื่องนี้ หนี้มันไม่เคยลดลง มันยังคงอยู่ตรงนั้น อยู่แบบนั้นต่อไป” Galante กล่าวให้สัมภาษณ์กับ CBS News

ด้าน Seth Frotman ผู้เชี่ยวชาญด้านหนี้เพื่อการศึกษากล่าวกับ CBS News ว่า การที่รัฐบาลมีแผนจะนำประกันสังคมมาจ่ายหนี้เพื่อการศึกษา นั่นหมายความว่า จะทำให้ผู้สูงอายุอเมริกันจำนวนมากมีสถานะเป็นคนยากจนทันที

จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้หนี้สำหรับการกู้ยืมเพื่อการศึกษากลายเป็นแคมเปญสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 จากวุฒิสมาชิก Elizabeth Warren ที่เสนอให้ยกเลิกหนี้จำนวน 50,000 ดอลลาร์กับคนอเมริกันจำนวน 42 ล้านคนในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการสำรวจพบว่า 57% ของคนอเมริกันสนับสนุนแนวคิดนี้ของ Warren และมี 21% ที่ไม่เห็นด้วย

“พวกเราเข้าสู่วิกฤตนี้ได้เพราะรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางตัดสินใจที่จะยกเลิกภาษีให้กับคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่ ส่งผลให้ตัวผู้เรียนและครอบครัวต้องรับภาระด้านค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่สูงขึ้นมาก ซึ่งเราควรจะยุติแนวคิดนี้ได้แล้ว” Warren กล่าวปิดท้าย

Source


ลุ้นโชคทองมหามงคลกับน้ำมันบางจาก [PR]

$
0
0

ลุ้นโชค…ทองมหามงคล กับ น้ำมันบางจาก เพียงเติมน้ำมันบางจากครบทุก 700 บาท รับคูปองชิงโชค 1 ใบ (พิเศษ! สมาชิกบัตรบางจาก และบัตรเกษตรสุขใจ รับสิทธิ์คูปอง 2 ใบ) รวมโชคทองกว่า 1,000 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ตั้งแต่ 15 พ.ค. 62 – 15 ส.ค. 62 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทุกสาขาทั่วประเทศ

เงื่อนไขรายการ

  1. เติมน้ำมันบางจากทุกผลิตภัณฑ์ครบทุก 700 บาท รับคูปอง 1 ใบ (สมาชิกบัตรบางจาก และบัตรเกษตรสุขใจ รับสิทธิ์ 2 ใบ)
  2. เขียนรายละเอียดในคูปองให้ครบถ้วน หย่อนกล่องชิงโชค
  3. ของรางวัลไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
  4. พนักงานและครอบครัวของบริษัท บางจากฯ บริษัทในกลุ่ม ผู้ประกอบการ สถานีบริการน้ำมันบางจาก เจ้าหน้าที่ตลาด และพนักงานบริการหน้าลานไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมรายการ
  5. บริษัทฯ ประกาศรายชื่อผ่านเวปไซต์บางจากเพื่อให้ผู้โชคดีติดต่อขอรับรางวัล ภายใน 60 วัน หลังจากวันที่ประกาศรายชื่อ หากเลยกำหนดดังกล่าวถือว่าเป็นโมฆะ
  6. ผู้โชคดีจะต้องชำระภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าของรางวัล

รายละเอียดของรางวัล**

รางวัลที่ 1 : ทองคำแท่ง 1 บาท มูลค่า 21,961.22 บาท จำนวน 15 รางวัล

รางวัลที่ 2 : สร้อยคอทองคำ 1 สลึง มูลค่า 5,278.98 บาท จำนวน 990 รางวัล

ระยะเวลา    เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 62  – 15 ส.ค. 62 (จับรางวัลทุกเดือนรวม 3 ครั้ง)

ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทุกสาขาทั่วประเทศ

รายละเอียดการจับรางวัล

จับรางวัลเดือนละ 1 ครั้ง จำนวน 335 รางวัล/ครั้ง รวมของรางวัลตลอดรายการ จำนวน 1,005 รางวัล

ครั้งที่ 1

  • รวบรวมคูปอง ที่ส่งตั้งแต่ วันที่ 15 พ.ค. 62 – 15 มิ.ย. 62
  • จับรางวัล วันที่ 9 ก.ค. 62 เวลา 10:00 – 12:00 น.
  • ประกาศผล วันที่ 15 ก.ค. 62
  • แจกทองคำหนัก 1 บาท 5 รางวัล และสร้อยคอทองคำ 1 สลึง 330 รางวัล

ครั้งที่ 2

  • รวบรวมคูปอง ที่ส่งตั้งแต่ วันที่ 16 มิ.ย. 62 – 15 ก.ค. 62
  • จับรางวัล วันที่ 7 ส.ค. 62 เวลา 10:00 – 12:00 น.
  • ประกาศผล วันที่ 14 ส.ค. 62
  • แจกทองคำหนัก 1 บาท 5 รางวัล และสร้อยคอทองคำ 1 สลึง 330 รางวัล

ครั้งที่ 3

  • รวบรวมคูปอง ที่ส่งตั้งแต่ วันที่ 16 ก.ค. 62 – 15 ส.ค. 62
  • จับรางวัล วันที่ 6 ก.ย. 62 เวลา 10:00 – 12:00 น.
  • ประกาศผล วันที่ 13 ก.ย. 62
  • แจกทองคำหนัก 1 บาท 5 รางวัล และสร้อยคอทองคำ 1 สลึง 330 รางวัล

สถานที่จับรางวัล  : บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ณ ห้องปันสุข 2 ชั้น 8

ประกาศผลที่เว็บไซต์ :  www.bangchakmarketplace.com

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  : Call Center บางจากฯ โทร 1651 กด 3 หรือ Call Center ธ.ก.ส. โทร 02555 0555

**มูลค่าทอง ณ วันที่ 21 มี.ค. 62

MIZUNO เปิดตัวรองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่ “Rebula 3” พร้อมไฮไลท์ “ชินจิ โอกาซากิ” จัด Okazaki Clinic [PR]

$
0
0

MIZUNO (มิซูโน) แบรนด์เสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น จัดงานเปิดตัวรองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่ Rebula 3” อย่างเป็นทางการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3D CT-Frame สุดยอดนวัตกรรมล่าสุด ช่วยยกระดับการสัมผัสของเท้าที่ดียิ่งขึ้น และอีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน ได้รับเกียรติจาก “ชินจิ โอกาซากิ” สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้, ผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็น Mizuno Brand Ambassador มาเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมจัดกิจกรรมฟุตบอลคลินิกให้แก่เยาวชนในครั้งนี้

สำหรับความพิเศษของRebula 3” รองเท้าสตั๊ดรุ่นใหม่ล่าสุดจากทางแบรนด์ MIZUNO ซึ่งได้นำเสนอถึงการพัฒนาด้วยนวัตกรรมขั้นสุด เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของฝีเท้าและการช่วยในการวางบอลที่แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความพิเศษด้วยการผลิตจากหนังจิงโจ้คุณภาพที่ดีที่สุด ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยให้ความรู้สึกที่นุ่มกว่ารุ่นก่อน ช่วยให้การสัมผัสฟุตบอลที่ดีขึ้นอย่างลงตัว ซึ่งเป้าหมายในการจำหน่ายของรองเท้ารุ่นนี้อยู่ที่ 400,000 คู่ ตลอด 1 ปีนับจากวันนี้

ซึ่งภายในงานเปิดตัว Rebula 3” ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูง โดย Mr. Kiyoshi Tatani, President of MIZUNO APAC (THAILAND) LTD. and MIZUNO SINGAPORE PTE LTD. พร้อมด้วย “ชินจิ โอกาซากิ” แบรนด์แอมบาสเดอร์ รวมถึง นักเตะดีกรีทีมชาติไทย พุทธินันท์​ วรรณศรี”​ และ “วิศรุต​ อิ่มอุระ​” นักฟุตบอลทีมชาติไทย สังกัดสโมสรแบงค็อก​ ยูไนเต็ด นอกจากนี้ในท้ายงานเหล่านักเตะยังเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมไฮไลท์ Okazaki Clinic ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เทคนิคการเล่นฟุตบอลอย่างมืออาชีพ ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักฟุตบอลเยาวชนจากโรงเรียนในเครือจตุรมิตร เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตบอลระดับมืออาชีพที่ดีต่อไปในอนาคต ต่อด้วยกิจกรรมพิเศษ “Media Try-On Program” ที่ทางสื่อมวลชนได้ร่วมสัมผัสรองเท้าคุณภาพจากทางแบรนด์อีกด้วย

ด้านการสนับสนุนนักฟุตบอลระดับเยาวชนของแบรนด์ MIZUNO ต่อจากนี้ คือเดินหน้ามอบผลิตภัณฑ์ รองเท้าฟุตบอลให้แก่เยาวชนในเครือจตุรมิตรทั้ง 4 โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการฝึกซ้อมและใช้แข่งขันในรายการจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 29 พร้อมผลักดันให้เยาวชนไทยก้าวสู่นักฟุตบอลมืออาชีพที่ดีและมีคุณภาพต่อไปในอนาคต

 

ชวนไปดูชีวิตแบบ Moto Lifestyle ที่ CUB House ชวนขี่ Monkey และ C125 ไป อาบแดด อาบลม ห่มเสียงเพลง ที่งาน “ลงเล บีชไลฟ์ เฟสติวัล” [PR]

$
0
0

ใครว่ารถของนักสะสมจะเอาออกไปสนุกไม่ได้ งานนี้ CUB House นอกจากจะยก The First Moto Lifestyle Café and Showroom ไปไว้ในหาดสุดสวยในงาน ลงเล บีชไลฟ์ เฟสติวัล แล้วยังชวนเหล่า Genuine People นำรถสุดรักไปขี่เล่นบนหาดทรายสวยอีกด้วย

ลงเล บีชไลฟ์ เฟสติวัล งานสุดแนวที่ปิดหาด Diamond Beach อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี จัดงานกันแบบเอ็กคลูซีฟ ถ้าให้เล่าสั้นๆ ก็ต้องบอกว่างานรวมคนมีสไตล์ มาอาบแดด อาบลมห่มเสียงเพลงกันแบบชิลๆ แล้ว CUB House ไปเกี่ยวอะไรด้วย?

ก็ต้องบอกว่านอกจากจะยก CUB House พร้อมกระเป๋า Stream Trail รุ่นพิเศษไปโชว์กันในงาน ยังจัดทริปพิเศษที่ชวน Genuine People เอารถสนุกๆ อย่าง Monkey และสายคลาสสิคอย่าง C125 ไปขี่กันถึงหาด เรื่องราวและชีวิตแบบ Moto Lifestyle จะสนุกแค่ไหนติดตามกันได้ในบรรทัดต่อไปเลย!

เริ่มกันที่ช่วงเช้า Genuine People รวมตัวกันที่ CUB House เอกมัย บรรยากาศสบายๆ พูดคุยเส้นทาง แลกเปลี่ยนสไตล์การแต่งรถกันก่อนออกเดินทางไป CUB House เพชรบุรี

จุดหมายที่สอง CUB House เพชรบุรี The First Moto Lifestyle Café and Showroom ของจังหวัด ถึงจุดนี้ Genuine People กรุงเทพฯ มารวมตัวกับ Genuine People เพชรบุรี เห็นการรวมตัวของคนรักรถสไตล์เดียวกันแล้วก็ยืนยันได้ว่า Moto Lifestyle นี่ไม่ได้มีอยู่แค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น

หลังจากเดินเยี่ยมชมมุมต่างๆ ใน CUB House เพชรบุรี ดื่มกาแฟ กินขนม นั่งพักก็ถึงเวลาตั้งขบวน แล้วเพลิดเพลินไปกับสายลมมุ่งตรงไปที่ ลงเล บีชไลฟ์ เฟสติวัล กันแล้ว

เข้างานธรรมดาโลกไม่จำ! สำหรับชาว Genuine People มาถึง Diamond Beach ทั้งทีของขี่ Monkey กับ C125 ลงหาดซะเลย

(เหล่า Genuine People ขอฝากล้อบนหาดทราย)

หลังจากขี่รถลงหาดในงานลงเล แบบชิลๆ กันไปแล้วก็ถึงเวลาปาร์ตี้ริมหาดที่มีบูท CUB House สนับสนุนอาหารและเครื่องดื่มให้ ต้องบอกว่าอาหารดี ดนตรีเพราะ บรรยากาศเยี่ยมเป็นชีวิตแบบ Moto Lifestyle ที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ

สุดท้ายปิดวัน แยกย้ายกันกลับโรงแรม ก่อนที่จะตื่นเช้าวันใหม่กลับกรุงเทพฯ กันอย่างปลอดภัย

โดยรวมแล้วถือ เป็นทริปทำให้เห็นบรรยากาศของ “คนคอเดียวกัน” ได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนไม่ว่ามาจะแถวไหน จังหวัดไหนพอมารวมตัวกันใช้ชีวิตแบบ Moto Lifestyle ก็กลายเป็นเพื่อนที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกัน ขี่ไปด้วยกัน สนุกไปด้วยกันตลอดเส้นทาง

CUB House ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายเป็นประจำ สำหรับใครที่ชื่นชอบรถที่มีสไตล์ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะอยากสะสมหรือขี่เล่น Monkey และ C125 นับเป็นรถที่ตอบโจทย์มากๆ เพราะนอกจากจะได้รถที่ชอบยังได้สังคมที่ใช่อีกด้วย

ถ้าสนคัลเจอร์ เจ๋งๆ มอเตอร์ไซค์สุดยูนีค และกาแฟระดับพรีเมี่ยมเราขอแนะนำให้แวะไปที่ CUB House ทุกสาขา

CUB House – The First Moto Lifestyle Cafe’ & Showroom ทั้ง 10 สาขาทั่วประเทศ

CUB House เอกมัย l โทร 02-116-4446

CUB House อุดรธานี l โทร 062-201-9749

CUB House ขอนแก่น l โทร. 090-030-4444

CUB House ชลบุรี l โทร 080-282-3942

CUB House สุราษฎร์ธานี l โทร 077-264-458

CUB House หาดใหญ่ l โทร 074-800-999

CUB House เพชรบุรี l โทร 062-741-3666

CUB House เชียงราย l โทร 095-904-4545

CUB House ภูเก็ต l โทร. 066-152-5889

CUB House เชียงใหม่ I 063-323-5640

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aphonda.co.th/cubhouse/

และติดตามข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/cubhousebyhonda/

 

ซวยไปด้วย! Nike – Adidas – Under Armour เขียนจดหมายถึงทรัมพ์ ขอให้เลิกสงครามการค้า

$
0
0

เวลาที่ช้างสารชนกัน “หญ้าแพรก” ทั้งหลายก็พลอยแหลกลาญไปด้วย คำพูดนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นใกล้ตัวเราเข้ามาทุกทีๆ หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศ “สงครามการค้า” กับ จีนอีกระดับหนึ่ง โดยขึ้นอัตราภาษีสินค้าที่ผลิตในจีนเป็น 25% จากเดิม 10% รวมทั้งมีการแบน Huawei ไม่ให้ใช่เซอร์วิสอื่นๆ จาก Google นอกเหนือจาก  Android Open Source Project (AOSP) ซึ่งเป็นระบบเปิด ก่อนที่จะกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาต้องออกมาผ่อนปรน 90 วัน หลังจากประเทศจีนตอบโต้อย่างหนักด้วยการขู่ว่าจะไม่ส่งแร่ซึ่งใช้ผลิตชิพที่ต้องใส่ในโทรศัพท์ให้กับบริษัทจากสหรัฐอเมริกา

แต่นอกเหนือจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กระทบกันมันส์หยดแล้ว อุตสาหกรรมอื่นๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบไปกับเขาด้วย ล่าสุด บริษัทแฟชั่นกีฬาชั้นนำทั้งหลาย ไม่ว่จะเป็น Nike, Under Armour, Adidas, Foot Locker, Ugg และ Off Broadway Shoe Warehouse รวมแล้วกว่า 173 ราย ต้องรวมพลกันเขียนจดหมายเรียกร้องถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ให้ยกเลิกมาตรการภาษีดังกล่าว โดยระบุว่า “นี่คือภัยพิบัติของผู้บริโภค, บริษัทและธุรกิจของสหรัฐอเมริกาทั้งระบบ” (“catastrophic for our consumers, our companies and the American economy as a whole.”)

จดหมายดังกล่าว ระบุชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์แต่ส่งผ่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Steve Mnuchin, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ Wilbur Ross และผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ Larry Kudlow

“ในนามของลูกค้านับล้าน และพนักงานนับแสนคน เราอยากเรียกร้องให้ยุติการขึ้นภาษีทันที การเพิ่มภาษีทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายค่าสินค้าแพงขึ้น และนั่นทำให้เราต้องเลิกสงครามการค้าให้เร็วที่สุด”

มีการประเมินว่าการขึ้นภาษีนี้ น่าจะทำให้ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแล้วอเมริกนชนต้องซื้อของแพงขึ้น 300 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว รวมทั้งรองเท้าผ้าใบ รองเท้ากีฬา ไปจนถึงรองเท้าแตะ

ทางด้านสมาคมผู้ค้ารองเท้าในสหรัฐอเมริกา(The shoe industry’s trade association) และกลุ่มผู้จัดจำหน่ายรองเท้าและผู้ค้าปลีกแห่งอเมริกา (The Footwear Distributors and Retailers of America) ประเมินว่า หากระดับภาษีอยู่ที่ 25% จริง ลูกค้าชาวอเมริกันจะต้องจ่ายค่ารองเท้าเพิ่มคิดเป็นเงินกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เลยทีเดียว ซึ่งต้องกระทบกับยอดขายของแบรนด์รองเท้าชื่อดังเหล่านี้แน่ๆ ในที่สุดก็จะลามเป็นลูกโซ่ไปที่พนักงาน และระบบเศรษฐกิจทั้งหมด พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันส่งจดหมายดังกล่าวเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย

สำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ และสีจิ้นผิง มีกำหนดการพบปะเพื่อหารือกันในเดือนหน้า แต่กว่าจะถึงเวลานั้น รับรองได้เลยว่า คู่นี้คงซัดกันนัวอีกหลายยกแน่ๆ

ดิอาจิโอ เขย่าตลาดวิสกี้หมื่นล้าน ส่ง Copper Dog คราฟต์วิสกี้ จากฝีมือเบลนเดอร์มาสเตอร์ตัวพ่อของวงการ

$
0
0

ตลาดวิสกี้มูลค่า “หมื่นล้าน” ไม่ได้มีสีสันมานานพอสมควร ต่อให้มีแบรนด์หน้าใหม่ถูกนำเข้ามาทำตลาดในไทย ก็ไม่สามารถทำการตลาดหรือโฆษณาได้หวือหวามากนักเพราะกฏระเบียบในประเทศไทย แต่ล่าสุด ค่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ของโลก “ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่” ผู้เป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอวิสกี้แบรนด์ดังมากมาย หนึ่งในนั้นคือ คอปเปอร์ ด็อก(Copper Dog) สก็อตช์วิสกี้ที่เต็มไปด้วยดีกรีความซน ได้เวลาบุกไทยอย่างเป็นทางการ  ….. พาไปทำความรู้จักแบรนด์น้องใหม่ และ ถอดสูตรปั้นแบรนด์ Copper Dog

ผลิตภัณฑ์ (Product) คือ ด่านแรกที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย การเข้ามาของ “คอปเปอร์ ด็อก” เลือกที่จะฉีกจากตำแหน่งทางการตลาดเป็น Craft Scoth Whisky แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะวงกว้าง (Mass) ทุกคนทุกไลฟ์สไตล์สามารถดื่มได้

ความเป็น Craft Scoth Whisky ของ “คอปเปอร์ ด็อก” มีที่มาน่าสนใจ ลองย้อนไปรู้จักจุดกำเนิดของแบรนด์นี้โดย เพียร์ส อดัม (Piers Adam) ผู้ก่อตั้งแบรนด์และเจ้าของโรงแรม Craigellachie ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านสเปย์ไซด์ ดินแดนแห่งวิสกี้ พร้อมกับ สจ๊วต มอริสสัน (Stuart Morrrison) มาสเตอร์เบลนเดอร์ เป็นผู้รังสรรค์ “คอปเปอร์ ด็อก” ขวดนี้ขึ้นมาจากซิงเกิ้ลมอลต์ชั้นยอดมากถึง 8 ชนิด จากแถบสเปย์ไซด์ เพื่อเป็นการเชิดชูให้กับคนงานในโรงกลั่น

มร.เพียร์ส อดัม (Piers Adam) ผู้ก่อตั้งแบรนด์และเจ้าของโรงแรม Craigellachie

จากนั้นเส้นทางของแบรนด์ ก็ถูกส่งต่อรสชาติที่มีเอกลักษณ์ไปยังกลุ่มคนรักการดื่ม ไม่ว่าจะเป็นรสสัมผัสของผลไม้อย่างแอปเปิ้ลและลูกแพร์ที่แทรกผสานความละมุนของน้ำผึ้ง ความร้อนแรงของเครื่องเทศ ความสดชื่นด้วยกลิ่นเบอร์รี่และส้มซิตรัส ความละมุนของครีมวานิลลาและผลไม้หวานซ่อนอยู่เบื้องหลัง  มีทีเด็ดด้วยท็อฟฟี่แอปเปิลและคาราเมลชูการ์ให้ได้ค่อยๆ ละเลียดและค้นหา นับเป็นการลบภาพการดื่มสก็อตช์วิสกี้แบบเดิมที่เป็น ออน เดอะ ร็อก ผสมน้ำเปล่า โซดา แต่สามารถเข้ากันดีกับน้ำผลไม้ กาแฟ หรือ Soft drink อื่นๆ เพื่อชูรสชาติด้วย

“สำหรับผม คอปเปอร์ ด็อก คือตัวแทนของแถบสเปย์ไซด์จริงๆ” สจ๊วต มอริสสัน

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้เอง ที่ทำให้ คอปเปอร์ ด็อก ได้รับความนิยมและกลายเป็นวิสกี้ในดวงใจของเหล่านักดื่มทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และยังเป็น “แต้มต่อ” ให้คอปเปอร์ ด็อก นำมาต่อยอดในการทำตลาดในประเทศไทยด้วย

มร.รอสส์ แฮดโดว์  ผู้จัดการฝ่ายการตลาดกลุ่มนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์คอปเปอร์ ด็อก  บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า คอปเปอร์ ด็อก เป็นที่รู้จักในฐานะคราฟต์สก็อตช์วิสกี้ เต็มเปี่ยมจิตวิญญาณเสรี ไม่ยึดติดในกฎเกณฑ์ มีความสนุก ซุกซน ทะเล้น ขี้เล่น และฉลาดแบบ Dog’s Spirit แต่ก็ยังคงความล้ำลึก เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ตามแบบฉบับของวิสกี้จากสเปย์ไซด์ไว้อย่างครบถ้วน และด้วยความที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากันได้อย่างลงตัวกับทุกมิกเซอร์ และนั่นยังสะท้อนคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ที่มีความซนพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค

มร.รอสส์ แฮดโดว์   ผู้จัดการฝ่ายการตลาดกลุ่มนวัตกรรม  และผลิตภัณฑ์คอปเปอร์ ด็อก  บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท    เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด

“คอปเปอร์ ด็อก เป็นวิสกี้ที่เหมาะกับทุกคน ซึ่งพร้อมจะเปิดโอกาสให้เหล่านักดื่มได้ทดลองและค้นพบสิ่งใหม่ๆ ทั้งส่วนผสมใหม่ วิธีการดื่มแบบใหม่ ความหมายใหม่ และความรู้สึกใหม่ เพื่อพาคุณออกมาจากกรอบการดื่มแบบเดิมๆ และปลดปล่อยอิสระในตัวคุณแบบที่วิสกี้อื่นยากที่จะเลียนแบบได้”

สำหรับการทำการตลาดยุคนี้แบรนด์ต้องเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วม (Engage) มากขึ้น คอปเปอร์ ด็อก จึงไม่พลาดที่จะสร้างประสบการณ์ให้กลุ่มเป้าหมาย กับกิจกรรม COPPER DOG NIGHT WHISKY UNLEASHED วันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ WALLFLOWERS UPSTAIRS เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับเรื่องราวของแบรนด์ ทำความรู้จักกับ 8 ซิงเกิลมอลต์ จากแถบสเปย์ไซด์มากขึ้น และการมิกซ์คอปเปอร์ ด็อก เป็นเมนูค็อกเทลที่มีความน่าค้นหากับทุกๆเมนู จากฝีมือ “เลโอ” ปรม มาลากุล  Brand Ambassador สุดแสบซน ที่มากไปด้วยประสบการณ์สายบาร์เทนเดอร์

นอกเหนือจากการสร้าง Engagement และสร้าง Brand Experience แล้ว การเลือกทำตลาดผ่านร้านดังกล่าวหรือช่องทาง On premise มีความสำคัญกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมาก ถือเป็นการสร้างพันธมิตรกับร้านค้า และได้เปิดประสบการณ์ลูกค้าไปพร้อมๆกัน แต่ขณะเดียวกันช่องทาง Off Premise อย่างห้างค้าปลีกชั้นนำต่างๆก็เข้าไปวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน

เอสซี แอสเสทฯ มอบแคมเปญสุดพิเศษ “OK DEAL OK DAY เปย์ให้หมด สูงสุด 6 ล้าน”!! 8-9 มิ.ย.นี้ เท่านั้น [PR]

$
0
0

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำ 37 โครงการ ราคา 2-100 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศคุณภาพ พร้อมกับ 2 คอนโดฯ  อารมณ์บ้าน ร่วมแคมเปญพิเศษ “OK DEAL OK DAY เปย์ให้หมด สูงสุด ล้าน พร้อมฟรีทุกค่าใช้จ่าย และส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 6 ล้านบาท*  รับข้อเสนอเพิ่ม The One Privilege Gift Set สินค้าแบรนด์ดังมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท และลูกค้า SCB รับ Extra point 10 เท่าเมื่อรูดบัตรจองโครงการที่เข้าร่วม สุดพิเศษสำหรับผู้สนใจและจองในงาน วันที่ 8-9 มิ..นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1749 หรือ www.scasset.com

พาณิชย์กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก บูมงาน “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019” ครั้งที่ 2 ตอบรับความสำเร็จ ศิลปิน ดารา คนดังตบเท้าร่วมงาน [PR]

$
0
0

พาณิชย์จังหวัดกลุ่มภาคตะวันออก ปลื้มความสำเร็จ บูมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรมกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลุ่มจังหวัดภาคะตะวันออก (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง) “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019”ครั้งที่ 2 ต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ระหว่างวันที่ 15– 19 พฤษภาคม 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยมีไฮไลท์ดารานักแสดงชื่อดัง อเล็กซ์ เรนเดล และศิลปิน นักร้อง คนดังตบเท้าโชว์พิเศษในงาน คาดประชาชนให้ความสนใจนับหมื่นคน

นายธรรมศักดิ์  รัตนธัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวว่างาน  แสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรมกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019” ครั้งที่ 2 ตามโครงการปรับปรุงมาตรฐานสินค้าและธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ดำเนินการโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด กลุ่มภาคตะวันออก ๑ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง  มีเป้าหมายในการต่อยอดให้กับสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรม ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างโอกาส ทางการค้าของชุมชนให้มีช่องทางการตลาดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนา ขีดความสามารถของผู้ประกอบการ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – 2564) และยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ได้กำหนดทิศทางมุ่งเน้น การพัฒนาเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหาร สินค้าเกษตร สินค้าชุมชน ในเชิงนวัตกรรม รวมทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไปสู่เป้าหมายการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว เป็นฐานของการกระจายรายได้และการ สร้างงาน เป็นการขับเคลื่อนภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC

กลุ่มภาคตะวันออก 1 (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง)  เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตร การแปรรูปอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก มีความต้องการในการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ และมีความหลากหลาย

การจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรมกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019” จึงเป็นการสนับสนุนการพัฒนาตลาดสินค้าชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรม เชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภาคตะวันออก 1  เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร/กลุ่มผู้ผลิต/สินค้าชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อย่างยั่งยืน

นายปริญญา กำแหง ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน ในนามสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกลุ่มภาคตะวันออก ๑ ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง กล่าวเพิ่มเติมว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานแสดงงานแสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรมกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019” ประกอบด้วยผู้ผลิตสินค้าเชิงนวัตกรรมจาก กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มสินค้า OTOP กลุ่มสินค้าตลาดต้องชม กลุ่ม Biz Club และกลุ่มสินค้าของดีของเด่นจากจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง) จังหวัดละ 20 ราย รวมทั้งสิ้น 60 รายโดยมีสินค้าหลากหลาย ให้ผู้ร่วมงานได้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ สินค้าสมุนไพรแปรรูปต่างๆ

ตลอดจนในงานมีกิจกรรมไฮไลท์การแสดงจากศิลปิน นักแสดง ดารา นักร้องชื่อดัง อาทิ เช่น อเล็กซ์ เรนเดล ศิลปินนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้ก่อตั้งองค์กร (EEC Thailand) ดารานักร้องเดอะวอยซ์ 2018 แชมป์ ชนาธิป ปอย วงไทม์ ศิลปินลูกทุ่ง กล้วย คลองหอยโข่ง และ แก้ม นักร้องสองไมค์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแสดง  ศิลปวัฒนธรรม และการจัดกิจกรรมนาทีทอง การแจกจักรยานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับผู้ซื้อสินค้าภายในงาน วันละ 1 คัน ทุกวันอีกด้วย

นายธรรมศักดิ์  รัตนธัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดชลบุรี และนักท่องเที่ยวเยี่ยมชม เลือกซื้อสินค้า ภายในงานแสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนเชิงนวัตกรรม  กับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ “Innovation & Eco-Tourism Fair 2019” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาชลบุรี  ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมและซื้อสินค้าถึงในวันที่ 19 พฤษภาคม 2562 นี้โดยคาดการณ์ว่างานในครั้งที่ 2 นี้จะมีความยิ่งใหญ่กว่าเดิม และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 10,000 คน


โกลเด้นแลนด์ เปิดหลักสูตรใหม่ พัฒนาพื้นที่การเรียนรู้โรงเรียนต้นแบบเพื่อผู้พิการทางสายตา ภายใต้โครงการ GOLD GIVING : CLASSROOM MAKEOVER [PR]

$
0
0

 

CLASSROOM MAKEOVER โครงการสร้างองค์ความรู้และพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็กผู้พิการทางสายตา โดยที่มาของโครงการ อยู่บนพื้นฐานแนวคิด Developing the best ซึ่งเป็น tagline ที่สะท้อนปรัชญาการทำงานของโกลเด้นแลนด์ ที่ตั้งใจจะพัฒนาและมอบสิ่งที่ดีที่สุดในทุกๆ เรื่อง โดยการเข้าไปพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้สำหรับกลุ่ม ผู้พิการทางสายตาครั้งนี้ เป็นการคิดพัฒนาแบบองค์รวม เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กอย่างเต็มที่ และถือเป็นห้องเรียนตัวอย่าง เพื่อให้โรงเรียนผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศสามารถนำหลักสูตรนี้ไปปรับใช้ได้ สำหรับโรงเรียนต้นแบบที่โกลเด้นแลนด์เลือกพัฒนาคือ โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา จ.ชลบุรี

สำหรับโครงการนี้ทางผู้บริหารของบริษัทฯ เล็งเห็นว่า The Best ของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกัน ครั้งนี้จึง มอบโอกาสให้แก่ ผู้พิการทางสายตา” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังขาดโอกาส เพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาสู่ The Best ของเขาได้ และเป็นการกระตุ้นให้สังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญของคนเหล่านี้อีกทางหนึ่ง

คุณธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการในครั้งนี้ว่า โกลเด้นแลนด์เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาสิ่งที่ดีที่สุด   ไม่ว่าจะเรื่องโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานให้เช่า และล่าสุดกับโครงการมิกซ์ยูส โครงการสามย่านมิตรทาวน์ เราพัฒนาทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ครั้งนี้เราจึงคิดพัฒนาโครงการเพื่อส่งต่อคืนสู่สังคมในรูปแบบของการพัฒนาพื้นที่เช่นกัน พื้นที่ของเราเป็นพื้นที่เพื่อการเรียนรู้ให้กับเด็กผู้พิการทางสายตา โดยเฉพาะเด็กเล็ก  บริษัทเล็งเห็นว่าทุกคนเกิดมามีโอกาสไม่เท่ากัน เนื่องจากบางคนเกิดมาแล้วมีความบกพร่อง หรือไม่พร้อมเหมือนคนปกติทั่วๆ ไป แต่เราเชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะถูกพัฒนาให้มีศักยภาพ The best ในระดับของเขาได้

โกลเด้นแลนด์จึงได้คิดริเริ่มทำโครงการนี้ขึ้น โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบเพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของน้องๆ ให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้ดีที่สุดซึ่งการพัฒนาห้องเรียนครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การไปทาสี หรือเอาของเล่น เอาหนังสือไปใส่ แต่เป็นการคิดแบบครอบคลุมครบ 360 องศา ทุกตารางนิ้วของห้องเรียนถูกออกแบบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทุกด้านของเด็กให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

สำหรับปัญหาของผู้พิการทางสายตาในประเทศไทย คือมีไม่ถึง 15% ของผู้พิการทางสายตา ที่ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษา ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในการพัฒนาเด็กผู้พิการทางสายตา และสังคมส่วนใหญ่ก็ยังขาดความใส่ใจกับการที่จะพัฒนาศักยภาพของคนกลุ่มนี้ นอกจากนั้นในประเทศไทยเองก็ยังขาดแหล่งความรู้ที่จะมาเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กอย่างถูกวิธี

ซึ่งประเภทของผู้พิการทางสายตา (Type of Blindness) แบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกตาบอดสนิท (Blindness) ผู้ที่มองเห็นได้น้อยมาก หรือไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ได้ ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นแทนในการเรียนรู้ หรือทำกิจกรรม ส่วนประเภทที่สอง ตาบอดเลือนราง (Low Vision) ผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นไม่รุนแรง ยังสามารถมองเห็นอักษรพิมพ์ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ประสาทตาจะเสื่อมลงเรื่อยๆ และบอดสนิทในที่สุด หากไม่ได้รับการกระตุ้นการใช้สายตาอย่างถูกวิธี

จากปัญหาเหล่านี้ของเด็กผู้พิการทางสายตา โกลเด้นแลนด์จึงได้มีการจัดทำพื้นที่การเรียนรู้ที่สามารถใช้สอนวิชาในการพัฒนาด้านต่างๆ ประกอบไปด้วย วิชาสัมผัสวิชาแสงวิชาลมหายใจ และวิชาเดซิเบรลล์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการเบื้องต้นของเด็กกลุ่มนี้อย่างบูรณาการ เพราะหากเด็กเหล่านี้ได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นการเสริมสร้างให้เด็กมีพัฒนาไวยิ่งขึ้น

วิชา สัมผัส คุณแบงค์ – เอกฉันท์ เอี่ยมอนันต์วัฒนะ ผู้อำนวยการ บริษัท ครีเอทีฟครูส์ จำกัด สถาปนิกผู้ออกแบบ กล่าวถึงโครงการนี้ว่า สำหรับไอเดียการออกแบบที่ทำให้เกิดการออกแบบนี้ขึ้นมามีอยู่ 2 ประเด็น ไอเดียแรก เป็นของผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านบอกว่าเด็กตาบอดเรียนรู้ไม่เหมือนเด็กปกติ เด็กปกติจะเริ่มเรียนรู้  จากภาพรวมก่อนเป็นภาพย่อย แต่ถ้าเป็นเด็กตาบอด คือจะกลับกัน คือเขาจะต้องเข้าไปจับก่อน ก็เหมือนเป็นการสแกนส่วนย่อยก่อนถึงจะเห็นเป็นภาพรวม ส่วนไอเดียที่สอง คือเรื่องหลักสูตรพรีเบรลล์และแนวทางในการใช้ห้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นได้รับการแนะแนวจากพี่สา ที่ปรึกษาเฉพาะทางสำหรับผู้พิการทางสายตา กระทรวงศึกษาธิการ ที่แนะว่าจะทำยังไงให้เด็กกลุ่มนี้ซึ่งเป็นเด็กเล็กผู้บกพร่องทางการมองเห็นวัยก่อนเรียนอักษรเบรลล์ (พรีเบรลล์) สามารถเรียนรู้ไปสู่ The Best ซึ่งคือการเรียนรู้ให้ดีขึ้น แม้ว่าเด็กแต่ละคนจะมีระดับและทักษะการเรียนรู้ที่ต่างกัน หลักสูตรต่างๆ จึงไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถนำหลักสูตรเหล่านี้มาปรับเป็นพื้นฐานในการออกแบบห้องเรียนได้

ตัวห้องเรียนที่ออกแบบนั้น ทางผู้อำนวยการได้เลือกห้องสมุดที่มีผนัง 6 ด้าน ทางเราใช้ความรู้ด้าน การออกแบบผสานกับหลักสูตรพรีเบรลล์ (Pre-Braille) ทำให้ทั้งห้องสามารถใช้เรียนรู้ได้รอบด้าน อันนี้เราก็เริ่มโดยไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ แล้วก็มีผนังให้เด็กไปเกาะกับผนัง เล่นกับผนัง หมุด ตัวหมุดก็จะมีหลักสูตรต่างกัน มีอยู่ 6 แบบตามผนัง 6 ด้าน ตัวหมุดด้านแรก จะเริ่มที่ระเบียงก่อน ตัวหมุดจะมีขนาดเท่าๆกัน แล้วก็เป็นรูปทรงมาตรฐาน ทรงกลม ทรงเหลี่ยม สามเหลี่ยม ผนังที่สอง ก็เป็นเรื่องขนาดเริ่มต่างกัน แล้วก็มีตัวเลขให้นับ ผนังต่อไป ก็จะเป็นตัวหมุดมีเสียงอยู่ข้างใน เพราะว่าพอเราเริ่มจากสัมผัสแล้ว เราก็เริ่มพัฒนาสัมผัสอื่นๆ ที่เด็กมีนอกจากการมองเห็น ก็จะมีสัมผัส ได้ยิน ได้กลิ่น แล้วก็เสียงที่เราใช้ในหมุด ก็จะเป็นของในชีวิตประจำวัน เช่น เกลือ พริกไทย อันนี้ประหลาดใจมาก ที่เด็กสามารถเขย่าพริกไทย เขย่าเกลือ แล้วแยกแยะได้ว่ามันไม่เหมือนกัน

วิชาแสง อาจารย์อ้อ – ผศ.ดร. วรรณภา พิมพ์วิริยะกุล ไลท์ติ้ง ดีไซเนอร์ กล่าวถึง สำหรับเด็กสายตาเลือนราง เราจึงสามารถใช้ทฤษฎีสีและแสงมาออกแบบเพื่อเด็กผู้พิการทางสายตาให้เด็กสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมปกติ โดยเอาแสงมาเป็นเครื่องมือในการช่วยสอนเด็กที่มีการมองเห็นเลือนรางได้ เช่น สามารถเอาสีของแสงมาจับต้องกับวัตถุเพื่อให้เห็นรูปทรงที่แตกต่างออกไป แต่ในอีกแง่หนึ่ง แสงนับว่ามีศักยภาพเยอะในเรื่องของการช่วยกระตุ้นการใช้ดวงตา ซึ่งเราได้เอาความรู้เรื่องทฤษฎีแสงและสี มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อสาธิตให้เด็กสายตาเลือนรางจะได้เรียนรู้เรื่องสี เรื่องแสงและรูปทรงไปพร้อมๆ กัน

วิชาลมหายใจ คุณก้อย – ชลิดา คุณาลัย  Scent Designer (นักออกแบบกลิ่น) กล่าวว่า คนเราทุกคนจะมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ถ้าประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหายไป อีก 4 สัมผัสที่เหลือ จะต้องทำงานให้ดีขึ้น หากน้องๆ มองไม่เห็น เรื่องกลิ่นถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการดำรงชีวิตของน้องๆ  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแบบกลิ่นให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพื่อเป็นการเตือนอันตรายให้กับน้อง และสามารถนำการสูดดมกลิ่นต่างๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย

วิชาเดซิเบรลล์ คุณอู่ – ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ จำกัด  กล่าวว่า การเรียนรู้ในการได้ยิน เสมือนเรามอง-เห็นสถานที่นั้นจริงๆ ธรรมชาติของการได้ยินเสียงของมนุษย์ หูซ้ายและขวาเรามีการประมวลผลที่ต่างกัน ไกลแค่ไหน ระยะทางแค่ไหน มาจากทางซ้ายหรือขวา ซึ่งระบบที่เราเลือกบันทึกเสียง เป็นระบบ Binaural recording จำลองความได้ยินของมนุษย์ผ่านความห่างของกระโหลก โดยจะมีหูซ้าย หูขวา มีใบหู แล้วก็ใส่ไมโครโฟนไว้สองข้าง  โดยพยายามที่จะทำให้น้องๆ ได้เรียนรู้ ฝึกฝนการใช้ประสาทการได้ยิน เป็นส่วนช่วยในการใช้ชีวิต ผมว่าเสียงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต ทำให้น้องๆ ได้ทำอะไรมากขึ้น มีจินตนาการได้กว้างไกลมากขึ้น

สำหรับโครงการ GOLD GIVING : CLASSROOM MAKEOVER นี้ถือว่าเป็นโครงการที่โกลเด้นแลนด์ตั้งใจทำขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากเหล่าพันธมิตรผู้มีจิตกุศลและชำนาญเรื่องต่างๆ มาร่วมกันพัฒนาห้องเรียนแบบ 360 องศา ให้ใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่และทุกส่วนของห้อง เพื่อต่อยอดการเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับผู้พิการทางสายตาให้สามารถออกมาเป็น The Best ที่ดีในสังคมต่อได้ในอนาคต 

สามารถติดต่อขอรับคู่มือสำหรับการออกแบบห้องเรียน เพื่อพัฒนาน้องๆ ผู้พิการทางสายตา ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ 02-764-6244 

ไปต่อไม่ได้แล้ว! ร้านอาหารของ Jamie Oliver เตรียมฟื้นฟูกิจการ พนักงานกว่า 1,000 คน อาจตกงาน

$
0
0

ร้านอาหารของ Jamie Oliver จำนวน 22 สาขา จากทั้งหมด 25แห่งต้องปิดกิจการลง ทำให้มีการตกงานเกิดขึ้นกว่า 1,000 ตำแหน่ง โดยทาง Jamie Oliver Restaurant Group ได้แต่งตั้งให้ KPMG เป็นที่ปรึกษาสำหรับการฟื้นฟูกิจการครั้งนี้

การฟื้นฟูกิจการอาจหมายถึงจุดสิ้นสุดของอาณาจักรร้านอาหารของ Oliver ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเริ่มมาจากการเปิดร้าน Fifteen ในลอนดอนครั้งแรกในปี 2002 โดยจะมีเพียง 3 สาขาที่ Gatwick airport เท่านั้นที่จะยังดำเนินกิจการต่อรวมถึงร้านJamie’s Diner ในทั้งหมดอยู่ระหว่างรอการขายให้กับผู้ที่สนใจ

Oliver กล่าวว่า “ผมเสียใจมากที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ และ ผมอยากจะขอขอบคุณพนักงานทุกคนและซัพพลายเออร์ที่ช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารนี้ด้วยหัวใจและวิญญาณตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเข้าใจดีถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับทุกคนจากเหตุการณ์นี้

“ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ชื่นชอบและให้การสนับสนุนพวกเราตลอดมา ถือว่าเป็นความยินดีของพวกเราที่ได้ทำอาหารให้ทุกคนทาน

“พวกเราเปิดตัวร้าน Jamie’s Italian ในปี 2008 ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าไปเขย่าตลาดร้านอาหารระดับกลางทั่วไปของสหราชอาณาจักร ด้วยคุณค่าที่ลูกค้าได้รับและคุณภาพของวัตถุดิบ มาตรฐานสูงสุดของที่มาของเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการทารุณ และทีมงานคุณภาพที่มีความสนใจเหมือนกับผมในการทำอาหารคุณภาพและบริการที่ดี และ พวกเราได้ทำอย่างนั้นเสมอมา”

ร้านอาหารภายใต้ชื่อ Jamie Oliver มากกว่า 61 แห่งทั่วโลก รวมทั้ง Jamie’s Italians 25 สาขา และ Fifteen ที่ Cornwall เมืองริมชายฝั่งของอังกฤษ อย่างไรก็ตามร้านอาหารในส่วนที่เป็นแฟนไชส์จะไม่ได้รับผลกระทบในการฟื้นฟูกิจการ

Will Wright หนึ่งในหุ้นส่วนของ KPMG และที่ปรึกษาร่วมในการฟื้นฟูกิจการกล่าวว่า “สภาพการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมร้านอาหารมีการแข่งขันสูง ผู้บริหารของ Jamie Oliver Restaurant Group ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยในการต่อสู้กับต้นทุนที่สูงขึ้นและความมั่นใจของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และได้ใช้เงินลงทุนไปโดยไม่ประสบความสำเร็จ ทีมผู้บริหารตกอยู่ภายใต้แรงกดดันและตัดสินใจลำบากที่จะแต่งตั้งที่ปรึกษาในการฟื้นฟูกิจการ

“แม้ว่าจะมีเงินทุนเหลือพออยู่บ้างในการแต่ตั้งที่ปรึกษาสำหรับการฟื้นฟูกิจการ แต่สาขาทั้งหมดยกเว้นที่ Gatwick Airport จะปิดกิจการลง สิ่งที่ต้องทำต่อไปนี้ในวันหรือชั่วโมงข้างหน้าคือการแบ่งงานให้กับพนักงานส่วนหนึ่งได้มีโอกาสไปทำงานในสาขาที่ยังเปิดกิจการ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาต้องการ”

กลุ่มบริษัทได้มองหาผู้ซื้อต่อกิจการมาตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลังจาก Oliver ตัดสินใจขายกิจการในส่วนของร้านอาหาร casual dining ซึ่งมีการแข่งขันที่ดุเดือดและมีหลายร้านที่ปิดกิจการไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้าน Carluccio’s, Byron Burger, และ Gourmet Burger Kitchen

การตัดสินใจจ้างที่ปรึกษามาช่วยฟื้นฟูกิจการเกิดขึ้นหลังจากที่ยอดขายของ Jamie’s Italian ตกลง 11% เหลือเพียง 101 ล้านปอนด์ ในปีที่ผ่านมา และต้องปิดร้านไปทั้งหมด 12 สาขา พร้อมทั้งยังรักษาสถานะภาพพนักงานไว้อีก 600 คน ซึ่งปีที่ผ่านมาเอง กิจการร้านอาหารแห่งนี้ยังได้เงินอัดฉีดจาก Jamie Oliver จำนวน 13 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยพยุงให้กิจการอยู่รอดต่อไป

Jamie Oliver โด่งดังได้จากกองถ่ายรายการโทรทัศน์ไปเจอเขาที่ River Café ใน Hammersmith ในปี 1997 ทำให้เขาก้าวเข้ามาทำรายการทำอาหาร The Naked Chef หลังจากนั้นเขาทำรายการโทรทัศน์และเปิดร้านอาหารที่มีช่วงขาขึ้น-ลงตามวัฏจักรของธุรกิจ แต่เขาได้ออกมายอมรับว่ากว่า 40% ของการลงทุนของเขาประสบความล้มเหลว

ในปี 2015 สาขาสุดท้ายของ Recipease ร้านขายเครื่องครัวของเขาปิดตัวลง และอีก 2 ปีต่อมาร้าน Union Jack ร้านอาหารสไตล์อังกฤษทั้ง 4 สาขาก็ปิดตัวลง และในปี 2017 แมกกาซีนอาหาร Jamie ยุติการตีพิมพ์หลังจากเปิดกิจการมาได้เกือบ 10 ปี แต่ธุรกิจที่ขายตัวตนของเขา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือและรายการทำอาหารก็ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

Source

RISC กับ 4 สุดยอดกูรูชั้นนำระดับโลก ในงาน WATS Forum 2019 นวัตกรรมการเปลี่ยนชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน [PR]

$
0
0

 

RISC เผยชื่อนักคิด นักวิจัย และนักวิชาการชั้นนำระดับโลก ที่พร้อมเข้าร่วมแบ่งปันไอเดีย แชร์ประสบการณ์ ส่งต่อองค์ความรู้ในการพัฒนาการออกแบบ งานสถาปัตยกรรม และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนในงาน WATS FORUM 2019 เสวนาระดับนานาชาติ วันที่ 3 มิถุนายนนี้ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมเปิดให้สำรองที่นั่งแล้ววันนี้  ฟรี !!!  รับจำนวนจำกัด

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนหรือ RISC ภายใต้บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับการตอบรับจากสุดยอดกูรู จำนวน  4 ท่าน ซึ่งเป็นทั้งนักวิชาการ นักคิดและนักวิจัย ที่หาตัวจับยาก เนื่องจากเป็นกูรูระดับโลกที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้และมุมมองในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน Well–being  จะมาร่วมแบ่งปันแนวคิดทั้งด้านการออกแบบ การสร้างสถาปัตยกรรม รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และเป็นแนวทางในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนที่ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขอย่างเป็นรูปธรรม  โดย กูรูทั้ง 4 คนนี้ ได้แก่

รศ. ดร. ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ – วิศวกรคนไทยผู้ได้ชื่อว่า เป็นนักซ่อมสมองมนุษย์ ท่านจะมาถ่ายทอดให้เราได้เห็นว่าการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านคลื่นไฟฟ้าสมองกับวิศวกรรมศาสตร์มาผนวกรวมกันเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเอกที่จะสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดกาลนั้น ทำได้อย่างไร และเราจะมีการส่งต่อแนวคิดและต่อยอดการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร อีกท่านหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์ ไมเคิล สตีเวน สตราโน – นักวิศวเคมีจาก MIT ผู้ไขความลับสูตรการพัฒนาสิ่งมีชีวิตเรืองแสง ท่านผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาโนไบโอนิค จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT มีผลงานตีพิมพ์ด้านการวิจัยและประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมกว่า 50 ฉบับ และเป็นผู้ก่อตั้งสาขาวิชา Plant Nanobionics ซึ่งศึกษาและพัฒนาพืชให้มีความสามารถแปลกๆ ในงานเสวนาครั้งนี้  เราจะได้ทราบว่า ศ. ไมเคิล สตีเว่น สตราโน  จะนำความมหัศจรรย์ของพืชและสิ่งมีชีวิตเรืองแสงมาสู่การสร้างความอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืนนั้นเป็นอย่างไร

นอกจากนี้  เรายังได้รับการตอบรับจาก  มร. เชอริง ต๊อบเกย์ – อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศภูฏาน ผู้ยึดหลักความสุขมวลรวมของชาติสำคัญกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ท่านผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็น นักสร้างความสุข ผู้แบ่งปันเรื่องราวพันธกิจของประเทศภูฏาน ที่ใช้ความสุขของประชากรเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของประเทศ  ดัชนีชี้วัดความสุขนี้เป็นอย่างไร และให้ประโยชน์อะไรและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ความสุขพื้นฐานของผู้คนและการเจริญของประเทศได้อย่างไร อีกท่านหนึ่ง คือ มร. สเตฟาน เดอ โคนิง – สถาปนิกชาวดัตช์ที่มากด้วยฝีมือและความสามารถ จาก MVRDV สำนักงานออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมืองชื่อดังระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสนอการแก้ปัญหาสถาปัตยกรรมร่วมสมัยและการฟื้นฟูเมือง ที่ฝากผลงานการออกแบบไว้อย่างมากมายจนได้รับรางวัลและเป็นที่รู้จักของนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าดีไซน์สุดล้ำ The Gyre บนถนนโอโมเตะซันโด ใจกลางกรุงโตเกียว Peruri88 โครงการมิกซ์ยูสใจกลางกรุงจาการ์ตา ที่ประกอบด้วยที่พักอาศัย สำนักงาน พื้นที่เชิงพาณิชย์ และพื้นที่สาธารณะ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการพื้นที่สีเขียวท่ามกลางความหนาแน่นของชุมชนเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะพานข้ามถนน 6 แห่ง ในเมือง Leiria ประเทศโปรตุเกส ที่ถูกออกแบบให้แตกต่างกันตามความเหมาะสมเพื่อการใช้งาน โดยทุกการออกแบบจะต้องร่วมสมัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเขาได้ดูแลโครงการในประเทศอินเดียและอินโดนีเซีย จนทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกของ MVRDV นอกจากนี้เขายังเป็นติวเตอร์ที่ Delft University อีกด้วย ด้วยผลงานระดับโลกดังกล่าว เราจะได้รู้กันว่า มร. สเตฟาน เดอ โคนิง จะนำองค์ความรู้นี้มากระตุกต่อมคิดด้านสถาปัตยกรรมและผังเมืองเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนได้อย่างไร

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต กล่าวเสริมในท้ายที่สุดว่า การที่จะนำกูรูทั้ง 4 มาอยู่ในฟอรั่มเดียวกันเพื่อถ่ายทอดแนวคิดการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนในแง่มุมต่างๆนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น ผู้ประกอบการด้านอสังหาฯ และผู้สนใจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเปลี่ยนชีวิตทั้งภาครัฐ และเอกชน ไม่ควรพลาดที่จะเข้ารับฟังอย่างยิ่ง  ซึ่งขณะนี้ทางศูนย์ได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ https://risc.in.th/watsforum/registration/#register ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ !!

แต่ขอย้ำว่า มีผู้สนใจเข้ารับฟังมีจำนวนมากจริงๆ และที่นั่งมีจำนวนจำกัด ดังนั้น  ทางศูนย์ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการสำรองที่นั่งตามลำดับการจองก่อนหลัง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนหรือ RISC

อย่าพลาดงาน “WATS Forum 2019” เสวนาระดับนานาชาติ

 

KFC เตรียมสร้าง WOW จับมือแฟชั่นดัง CARNIVAL ตอกย้ำแบรนด์ ‘ยืนหนึ่ง’เข้าถึงลูกค้าด้วย ‘ไลฟ์สไตล์’

$
0
0

นับเป็นเรื่องสั่นสะเทือนแวดวงการตลาดเมืองไทยอย่างยิ่ง เมื่อแบรนด์ไก่ทอดระดับโลกลุกขึ้นมาประกาศว่าจะขอก้าวข้ามนิยามความเป็นแค่ไก่ทอดอร่อย ไปสู่การสร้างตำนานบทใหม่ “ONE OF A KIND” สะท้อนความเป็นตัวจริงในแบบฉบับของเคเอฟซีที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนได้ พร้อมมุ่งสู่แบรนด์ที่มีมูลค่าทางจิตใจ เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ทำให้ลูกค้าจดจำและมีลอยัลตี้กับแบรนด์ ซึ่งโจทย์ที่ว่านี้นำไปสู่การกำหนดทิศทางและเดินหน้าต่ออย่างมีกลยุทธ์ของ KFC ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

KFC แบรนด์ธุรกิจอาหารบริการด่วน ที่มีสาขากระจายไปทั่วทุกมุมโลก ชูสูตรไก่ทอดดั้งเดิมของผู้พันแซนเดอร์ส ผู้ก่อตั้ง ซึ่งระยะเวลาอันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่เคยทำให้แบรนด์เสื่อมความนิยมลง ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ เสมอมา KFC จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของแบรนด์ที่แข็งแกร่งในระดับโลก ท่ามกลางเทรนด์ตลาดอาหารที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ KFC ยังคงยึดมั่นในตัวตน ตอกย้ำความเป็นตัวจริงเรื่องไก่ทอดไม่เคยเปลี่ยน

เสน่ห์ของแบรนด์ไก่ทอดอันดับหนึ่งตลอดกาล นอกจากรสชาติที่ไม่มีใครเลียนแบบได้แล้ว การมีตัวตนของผู้ก่อตั้งยังเป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนจดจำแบรนด์ KFC ได้อย่างแม่นยำด้วยเช่นกัน ผู้พันแซนเดอร์ส ไม่ได้เป็นเพียงแค่มาสคอตชายสูงวัย ใจดี ใส่ทักซิโด้ขาว ถือไม้เท้า ที่เป็นเพียงโลโก้ของแบรนด์ที่มุ่งให้คนนึกภาพ KFC ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นนักสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่ โดยสะท้อนตัวตนและถ่ายทอดมาสู่ความเป็นแบรนด์ KFC ทุกวันนี้

ผู้พันแซนเดอร์ส คือต้นแบบของผู้เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยความรักอย่างแท้จริง เขารักในการทำอาหาร ทุ่มเทตั้งใจคิดค้นสูตรไก่ทอดที่อร่อยที่สุด และตั้งใจสร้างให้กลายเป็นธุรกิจ ถึงแม้จะพบกับอุปสรรคความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังคงแน่วแน่กับสิ่งที่รัก พยามยามอย่างเต็มที่ในการพัฒนาต่อ ยึดมั่นกับมาตรฐาน จนกลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 70 ปี ที่มาตรฐานความอร่อยของผู้พันฯ ถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้แหละที่ทำให้ไก่ทอดเคเอฟซีในวันนี้ ไม่สามารถมีไก่ทอดแบรนด์ไหนมาทดแทนได้

เคเอฟซีประเทศไทย ลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์อย่างจริงจังอีกครั้ง ครั้งนี้ เคเอฟซีมาด้วยความสดใหม่เพื่อให้ผู้บริโภคในยุคนี้เห็นความเป็นตัวตนของเคเอฟซีที่ชัดเจนขึ้น ผ่านแคมเปญ ONE OF A KIND” โดยยังคงสะท้อนความเป็นตัวจริงในสิ่งที่ทำ แต่แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ทำตามกระแส ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนได้ พร้อมขยายการรับรู้ในตลาดว่า KFC เป็นมากกว่าแบรนด์อาหาร แต่ KFC จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้ามากขึ้นด้วยการสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ระหว่างแบรนด์ KFC กับผู้บริโภคในหลายๆ ด้าน

และแล้วไม่กี่วันมานี้ เราก็ได้เริ่มเห็นการโปรโมทสุดว้าวจากแบรนด์ Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่นชื่อดังของไทย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นความร่วมมือกับ KFC เพราะมีรูปผู้พันแซนเดอร์สถูกชูเป็นพระเอกในการโปรโมท เชื่อว่า 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ทั้งระดับโลกและระดับประเทศมาจับมือกัน จะต้องมีอะไรตื่นเต้นให้ได้น่าติดตามต่ออย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีเสียงแว่วมาจากผู้บริหารอีกว่า กำลังจะเปิดตัวเมนูใหม่ที่ต้องเรียกเสียงว้าวทั้งความอร่อยและรูปแบบของสินค้า ที่รับรองว่าหากินไม่ได้ที่ไหน

แคมเปญ ONE OF A KIND เป็นอีกบทพิสูจน์ความท้าทายครั้งสำคัญของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง KFC ว่าครั้งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคได้มากน้อยเพียงไร และจะมีเรื่องตื่นเต้นรวมถึงความอร่อยแปลกใหม่ใดๆ มาให้ลูกค้าเซอร์ไพรซ์อีก คงต้องติดตามต่อ แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนทั้งตอนนี้และในอนาคตอันใกล้ล้วนสะท้อนแล้วว่า ความสนุกและลูกเล่นใหม่เกิดขึ้นได้จากความชัดเจนในตัวตน  ฉะนั้นจงเป็นตัวจริง… นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

KFC X CARNIVAL

EVERYTHING X AWAYPRESENTSKFC CULTURE CREATORVOLUME 01ปรากฏการณ์ครั้งสำคัญแห่งปี ที่ประวัติศาสตร์แห่งวงการออกแบบต้องจารึก เพราะนี่คือครั้งแรกของ KFC สุดยอดแบรนด์ระดับโลก ที่กล้าต่างและกล้าที่จะก้าวสู่เส้นทางใหม่ๆ ด้วยการผนึกกำลังความคิด ร่วมสร้างสรรค์โปรเจกท์ที่จะมาเขย่าวงการสตรีทแฟชั่น กับ CARNIVAL ผู้นำด้านไลฟ์สไตล์สตรีทแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลของไทย และนี่คือคลิปสัมภาษณ์สุดพิเศษ ที่ iameverything.co หนึ่งเดียว ที่ได้มีโอกาสเจาะสัมภาษณ์แบบคลุกวงในกระทบไหล่ คุณปิ๊น อนุพงศ์ คุตติกุล ผู้ก่อตั้ง CARNIVAL ถึงแรงบันดาลใจในการทำโปรเจกท์นี้ กับเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงาน ก่อนจะมาเป็นคอลเล็คชั่นสุดพิเศษ ที่มาพร้อมกับความเท่เกินห้ามใจ KFC x CARNIVAL ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และแน่นอนที่น้อยคนนักจะได้ครอบครอง กับคำว่า Limited Edition มาร่วมอุ่นเครื่องรอกันก่อน และหลังจบวินาทีสุดท้ายของคลิปนี้ ก็นับวันถอยหลัง เพื่อเตรียมพบกับปรากฏการณ์สำคัญแห่งปี ที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ กดติดตามที่ IAMEVERYTHING.co และ Carnival Store กันพลาด รับประกันความเดือด!!!#KFC #KFCTHAILAND #CARNIVAL #KFCCULTURECREATOR #VOLUME01 #EVERYTHING #AWAY #COLONELSANDERS

โพสต์โดย IAMEVERYTHING.co เมื่อ วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2019

รถยนต์ไฟฟ้ามาแน่ หรือรัฐกำลังฝันไกล? เมื่อคนไทยอาจไม่พร้อมซื้อรถ EV เป็นรถคันแรก

$
0
0

เมื่อ 100 ปีก่อน “รถยนต์” นับว่าเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก แต่การนำมาซึ่งมลพิษทางอากาศ เสียง ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศเริ่มมีมาตรการส่งเสริม ‘รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ ‘EV’ (Electric Vehicle) อย่างจริงจัง ขณะที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่เข้ามาแข่งขันกันพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นโดยในปีที่ผ่านมาทั่วโลกมียอดจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าสูงถึงกว่า 1.26 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 74% จากปี 2017 นอกจากนี้ยังมีการประมาณการว่าในปี 2020 จะมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วโลกกว่า 20 ล้านคัน

ขณะที่ความเป็นไปได้ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย จะเห็นได้ว่ามีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน แต่การจะให้ผู้คนยอมเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในวงกว้างไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความพร้อมในหลายๆด้าน

ล่าสุด MG ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจี จัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “EVolution of Automotive” โดยมีผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชน ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง วิเคราะห์ความพร้อมของประเทศไทยต่อการพัฒนาและยกระดับการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันว่า ตอนนี้ประเทศไทยเดินหน้าเรื่องนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว

ไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ด้านรัฐส่งนโยบายจูงใจผู้ผลิต

สำหรับประเทศไทย เรียกได้ว่า เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสำหรับขับเคลื่อนรถยนต์ จากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิมๆ อย่างเครื่องยนต์ดีเซล ไปสู่พลังงานทางเลือก ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle – HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle – PHEV) และกำลังก้าวสู่การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle – EV)

ในด้านการสนับสนุนของภาครัฐ มีการผลักดันนโยบายและแผนขับเคลื่อนด้านพลังงานที่จูงใจผู้ผลิตมากขึ้น อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลงทุนของ BOI นอกจากนี้เรายังเห็นถึงการขยายตัวของสถานีชาร์จ (EV Charger) ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อรองรับการขยายตัวของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการสร้างระบบนิเวศของตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

คุณศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า ภาครัฐได้มีการผลักดันนโยบายการพัฒนารถยนต์ในอนาคตว่าจะนำพลังงานทดแทนมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยในส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เริ่มผลักดันในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การผลักดันความต้องการของตลาดในประเทศ (demand) และสิทธิประโยชน์ทั้งหลาย (supply) และปัจจัยที่สำคัญต่างๆ ในการผลิตรถยนต์ (element) อย่างชิ้นส่วนรถยนต์สนามทดสอบ ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่และอื่นๆ

รวมไปถึงการส่งเสริมการลงทุนในภาครัฐ ที่จะมีการเปิดให้ภาครัฐทุกหน่วยสามารถซื้อรถยนต์ระบบไฟฟ้าไปใช้ เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้า ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น และการปรึกษากับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าจะมีการบริหารจัดการแบตเตอรี่อย่างไรเพื่อไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 25% ของจำนวนรถทั้งหมด

EV ประตูสู่ยุคโมบิลิตี้

แน่นอนว่าเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาด จะส่งผลให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Robots and Automations ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การมาถึงของ 5G ที่จะต้องพัฒนาให้รองรับอย่างทั่วถึง ขณะที่ภาครัฐจะพัฒนาเป็น E-Government เศรษฐกิจจะพลิกโฉมมาเป็น E-commerce มากขึ้น สังคมจะพัฒนาเป็นสังคมเมืองมากขึ้นเพื่อไปสู่ สมาร์ทซิตี้ (Smart City) และเป็น สมาร์ทโมบิลิตี้ (Smart Mobility)

ดร. เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สายงานกิจการพิเศษ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า สำหรับเทรนด์รถยนต์และแนวโน้มสมาร์ทโมบิลิตี้ ในปี 2019 มีหลักๆ ทั้งหมด 6 เทรนด์ด้วยกัน ดังนี้

  1. การติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย (Safety Sensor)
  2. คอมเพล็กซ์ทรานสปอร์ตเทชั่น (Complex Transportations) หรือ Mobility is going ‘as-a-service’
  3. รถยนต์ระบบไฟฟ้า (Electrification)
  4. การเชื่อมต่อ (Connectivity) หรือที่เรียกว่า V2X (Vehicle-to-everything)
  5. การเก็บข้อมูล (information storage)
  6. การแชร์รถยนต์ หรือ Car Sharing

คุณอดิศักดิ์ โรหิตะศุน ผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เผยว่า เนื่องจากไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในอีก 10 ข้างหน้า หรือในปี 2030 จะมีอัตราการผลิตรถยนต์ EV ถึง 53% (มากกว่ารถยนต์แบบสันดาปภายใน) โดยระบบอัตโนมัติ (A – Automated) จะมีถึง 6 ระดับด้วยกัน ไล่จากระดับ 0 คือไม่อัตโนมัติจนถึงระดับ 5 คือควบคุมอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์แบบ และยังคาดการณ์ว่าในปีเดียวกันนี้ เราจะสามารถพัฒนาระบบ Autonomous ได้ในระดับที่ 3 ซึ่งเป็นระดับที่สามารถขับขี่ได้อัตโนมัติ ในระยะทางและระยะเวลาที่จำกัด

อย่างเช่น การปล่อยมือบนทางด่วน และการเชื่อมโยง (C – Connected) ที่จะสามารถเชื่อมต่อ V2D หรือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ (Device) ต่างๆ V2P หรือการเชื่อมต่อกับคนที่เดินถนน V2V หรือการเชื่อมต่อระหว่างรถต่อรถ และ V2I หรือการเชื่อมต่อกับโครงสร้างต่างๆ และจะจะมีการพัฒนาไปถึง V2X หรือการเชื่อมโยงที่สามารถเชื่อมต่อได้กับทุกสิ่ง รวมไปถึงการแชร์ริ่ง (S – Shared) ที่จำแนกออกเป็น การแชร์กันขับ (Drive sharing) การอาศัยไปกับรถคนอื่น (Ride sharing) และระบบขนส่งสาธารณะ (Mass transit) ที่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีการพัฒนาไปในขั้นไหน

เทคโนโลยีต้องพัฒนาไปพร้อมกับกำลังคน

คุณอดิศักดิ์ ยังบอกอีกว่า ความท้าทายสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2030 เมื่อโลกเปลี่ยนไป สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมคือ คน (Human Resource Development) โดยหลักๆ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ตัวรถยนต์ระบบไฟฟ้าและการผลิต ที่ในอนาคตสังคมไทยจะขาดแคลนแรงงานมากขึ้น เรื่องของ Autonomous และ Robots จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มผลผลิตสู่ท้องตลาด

ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องต่อยอดการศึกษาเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ใหม่แก่ประชาชนโดยทั่วเกี่ยวกับเรื่องตัวรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงกระบวนการการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ทักษะด้าน Soft Skills ที่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ไม่สามารถทำได้ ซึ่งทางสถาบันยานยนต์ได้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับพื้นฐานหลัก การดำเนินงาน เทคโนโลยีและแบตเตอรี่ของรถยนต์ระบบไฟฟ้า เป็นต้น ที่ศูนย์ EV Technology & Innovation Center

รถยนต์ EV ราคาสูง คนไทยอาจไม่พร้อมเสี่ยงเป็นรถยนต์คันแรก

ด้านความพร้อมของผู้ขับขี่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้แชร์มุมมองของผู้ขับขี่และผู้ที่ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ในหลายประเด็น ดังนี้

  • ปัจจุบันรถไฟฟ้ามีหลากหลายขนาดของความจุไฟฟ้า ผู้ขับขี่ต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ อาทิ รถที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ความจุไฟฟ้าน้อยเหมาะสมสำหรับใช้ขับขี่ระยะใกล้ อาทิ ภายในหมู่บ้าน หรือขับระหว่างบ้านเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดใกล้ๆ บ้าน หรือรถที่แบตเตอรี่ความจุใหญ่หน่อยก็สามารถขับในระยะทางที่ไกลขึ้น ซึ่งตรงนี้ถ้าผู้ขับขี่ทั่วไปต้องการใช้รถไฟฟ้าเป็นยานพาหนะก็ควรเลือกมองรถที่ขนาดแบตเตอรี่ใหญ่
  • ด้านผู้ประกอบการรถยนต์ควรพัฒนารถยนต์ที่มีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งประสิทธิภาพในการวิ่งของรถยนต์ที่ต้องสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางอย่างน้อย 200-300 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ หนึ่งครั้ง
  • ด้านการลงทุนพัฒนาสถานีชาร์จ ถึงแม้ในขณะนี้สถานีชาร์จยังน้อยอยู่แต่ถ้าในอนาคตกำลังมีการพัฒนาและติดตั้งหัวชาร์จเพิ่มมากขึ้น ผู้ขับขี่ที่ใช้งานคงวางใจได้ในระดับหนึ่ง
  • ผู้ผลิตและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ต้องกลับมามองดูในเรื่องจากอะไหล่ชิ้นส่วนเพื่อประกอบรถยนต์และสำหรับซ่อมบำรุงในอนาคตด้วย เพราะถ้านวัตกรรมยานยนต์เดินเร็วจนผู้ผลิตอะไหล่ชิ้นส่วนไม่สามารถพัฒนาได้ทัน อันนี้อาจส่งผลให้เป็นปัญหาในอนาคต

นอกจากนี้มองว่า ปัจจัยด้านราคา เป็นอีกส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภค 

“ในงานมอเตอร์โชว์เราจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาตั้งแต่ 1 แสนบาท วิ่งได้ในระยะ 3-4 กิโลเมตร จนกระทั่งราคา 5 แสนบาท ขยับไปราคา 1 ล้านเศษ ไปจนถึง 7-8 ล้านบาท ถ้าเราจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้จะเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งต้องกลับมาพิจารณาในแง่ของความคุ้มค่าต่อการใช้งาน คนที่มีรถยนต์หลายคันอาจจะมีเงินซื้อได้ไม่มีปัญหา แต่คนที่จะซื้อใช้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก อาจะเป็นเรื่องยาก

ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังตื่นเต้น แต่อยากให้รอดูความชัดเจนในหลายๆเรื่องก่อน ทั้งเรื่องของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงนโยบายใหม่ๆที่จะออกมาสนับสนุนในเรื่องนี้ เพราะการลงทุนเรื่องรถไฟฟ้าเป็นการลงทุนที่สูง ส่วนการที่ภาครัฐให้เวลาไปจนถึงปี 2030 ก็ต้องจับตาดูต่อไป.

 

Viewing all 21709 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>