Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21699 articles
Browse latest View live

TK Park เพิ่มหนังสือออนไลน์เสริมความรู้คนรุ่นใหม่ ไม่ต้องเดินทางมาห้างก็อ่านได้ [PR]

$
0
0

สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK park ชี้พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล นิยมศึกษาหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์อย่างกว้างขวาง ประกาศเดินหน้าส่งเสริมการให้บริการห้องสมุดดิจิทัลด้วยการเพิ่มสื่ออีกหลายแขนง ทั้งอีบุ๊ค หนังสือเสียง วีดิโอ และคอร์สออนไลน์กว่า 20,000 รายการ ให้กับ TK Public Online Library ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ TK park ก็สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้แบบไร้พรมแดน

นายเปรมเกียรติ ศิริวัฒนะ บรรณารักษ์อาวุโส ฝ่ายห้องสมุดมีชีวิต สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK park ได้เผยถึงความคืบหน้าของห้องสมุดออนไลน์แห่งนี้ว่า

“ปัจจุบัน ระบบห้องสมุด TK Public Online Library ให้บริการครอบคลุมทั้งหนังสือ นิตยสาร และสื่อการเรียนรู้ทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ โดยมีสื่อให้บริการในรูปแบบอีบุ๊ค หนังสือเสียง วีดิโอ และคอร์สออนไลน์  มีเนื้อหาที่หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยมีจำนวนสื่อกว่า 20,000 รายการ มีสมาชิก ณ ปัจจุบันกว่า 25,000 คน โดยมีหนังสือและสื่อหลากหลายประเภท ครอบคลุมทุกช่วงวัย แบ่งเป็นอีบุ๊คกว่า 20,000 เล่ม หนังสือเสียงกว่า 800 ชิ้น วิดีโอและคอร์สออนไลน์กว่า 400 ชิ้น รวบรวมหลายประเภท อาทิ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง, ธุรกิจและการจัดการ, หนังสือเด็ก, วรรณกรรมเยาวชน, ท่องเที่ยว, นวนิยาย เรื่องสั้น, ภาษา, ความรู้ทั่วไป เป็นต้น

โดยจากฐานข้อมูลทำให้พบว่าเทรนด์ในการอ่านที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน 3 อันดับ คือ อันดับ 1 หนังสือประเภทจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อันดับ 2 หนังสือเด็ก และอันดับ 3 คือ การเรียนรู้เรื่องภาษาต่างประเทศ

นอกจากนี้ คุณเปรมเกียรติยังกล่าวเสริมว่า ตัวเลขของผู้ใช้บริการผ่าน TK Public Online Library มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยจุดเด่นที่ห้องสมุดออนไลน์ สามารถอำนวยความสะดวกเพราะสามารถยืม-คืน จอง อ่าน ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางมาที่ห้องสมุดจริง และยังใช้ผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สมาทโฟน แท๊บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญคือเปิดให้บริการฟรี เพียงแค่สมัครสมาชิกที่ www.tkpark.or.th และนำ Username และ Password ที่ได้ ไปใช้ผ่าน 4 แอปพลิเคชั่น  ได้แก่ TK park Online Library รวบรวมหนังสืออีบุ๊ค หนังสือเสียง วีดิโอ และคอร์สออนไลน์ภาษาไทยจากสำนักพิมพ์ชั้นนำ Libby by Overdrive หนังสืออีบุ๊ค และหนังสือเสียง และวิดีโอสารคดีภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมทั่วโลก, 2ebook Library หนังสืออีบุ๊ค ความรู้และวิชาการภาษาไทย และ PressReader รวบรวมหนังสือพิมพ์และนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์กว่า 60 ภาษาทั่วโลก

ส่วนใครที่สนใจ สามารถติดต่อเพื่อให้ TK park ไปจัดกิจกรรมสัญจร “ทีเค ออนไลน์” TK Public Online Library เข้าไปให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับบริการห้องสมุดรูปแบบใหม่ โดยสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายห้องสมุดมีชีวิต อุทยานการเรียนรู้ TK park โทรศัพท์ 081-925-9900 หรืออีเมล premkiat@tkpark.or.th ไม่มีค่าใช้จ่าย


ทาบูล่า เติบโตต่อเนื่องในอัตราตัวเลขสองหลักในไทย และ เอเชียแปซิฟิก [PR]

$
0
0

ทาบูล่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแสดงผลคอนเทนต์ชั้นนำของโลก แถลงผลประกอบการเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลักทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนายอดัม ซิงโกลด้า ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทาบูล่า กล่าวระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ในระยะยาวสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่าบริษัทเชื่อมั่นว่าจะเห็นการเติบโตของปีนี้ในอัตราเดียวกับปีที่ผ่านมา

ทาบูล่าซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในมหานครนิวยอร์ก คือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแสดงผลคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุดบน Open Web เข้าถึงผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า 1.4 พันล้านคนต่อเดือน หรือกว่าครึ่งของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และได้ก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำในการเข้าถึงผู้บริโภคนอกเหนือจากแพลตฟอร์มการค้นหาและสื่อสังคมออนไลน์ บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากใช้แพลตฟอร์มของทาบูล่าในการนำพาผู้บริโภคให้ก้าวไปสู่ขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการตัดสินใจซื้อ ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้า ทาบูล่าบุกเบิกแนวคิด ‘search in reverse’ ซึ่งหมายถึงคอนเทนต์เป็นผู้ค้นหาผู้อ่าน แทนที่ผู้อ่านจะต้องค้นหาคอนเทนต์ที่ตัวเองสนใจ เพื่อช่วยให้ผู้คนค้นพบคอนเทนต์ใหม่ๆ และน่าสนใจในช่วงเวลาที่พร้อมเปิดรับมากที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม โดยใช้เทคโนโลยี Deep Learning และ AI ในการจับคู่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกับเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำวิดีโอ บทความ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ บนฟีดเนื้อหาของผู้ให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และสมาร์ทโฟน

ทั้งนี้ ทาบูล่าเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ชั้นนำต่างๆ มากมายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับประเทศไทย ผู้ให้บริการคอนเทนต์ระดับแนวหน้าที่ร่วมงานกับทาบูล่า อาทิ สนุกดอทคอม ไทยรัฐ ข่าวสด เดลินิวส์ ผู้จัดการ 360 และพีพีทีวี เป็นต้น อนึ่ง ในระหว่างการพูดคุยกับผู้ให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์และผู้บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ในประเทศไทย นายอดัม ซิงโกลด้า ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทาบูล่า กล่าวว่า “การเติบโตด้านดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพสูงอย่างยิ่ง หลายประเทศมีประชากรคนรุ่นใหม่ที่เป็นวัยดิจิทัล อีกทั้งยังมีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นหลายล้านรายทุกปี”

Omi แอปเดทติ้งน้องใหม่ ย้ำเทรนด์หาคู่ออนไลน์ยังฮิต [PR]

$
0
0

Omi (โอมิ) แอปพลิเคชันโซเชียลใหม่ล่าสุด กวาดยอดดาวน์โหลด 2 ล้านรายในไทย หลังเปิดตัวเพียง 3 เดือน ตอกย้ำตลาดแอปหาคู่ออนไลน์ยังรุ่ง คนไทยนิยมใช้ เผยกลยุทธ์ความสำเร็จด้วยฟังก์ชั่นสุดล้ำ แมตช์ไว ปลอดภัย ใช้งานง่าย พร้อมตั้งเป้าเป็นชุมชนหาคู่ออนไลน์ที่มีคุณภาพสูงอันดับหนึ่งในไทยในอนาคต

ปัจจุบันแอปพลิเคชันหาคู่ออนไลน์ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้สมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา สอดคล้องกับผลการสำรวจของ iResearch ที่พบว่า มีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันหาคู่ในไทยรวมกันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000,000 ล้านคน ส่วนมากอายุระหว่าง 18 – 35 ปี ด้านงานวิจัยใหม่ของ YouGov เผยให้เห็นข้อมูลปรากฏการณ์นี้ในประเทศไทยเช่นกัน โดยคนไทยมากถึง 4ใน 10 เคยใช้แอปฯ หาคู่ทางอินเทอร์เน็ตหรือทางออนไลน์ โดยแอปพลิเคชันหาคู่ที่มีอยู่ในตลาดมีมากมายหลายแบรนด์ ส่วนใหญ่ตอบโจทย์วัยรุ่นที่ใช้แอปฯ เพื่อหาเพื่อนคุยและเพื่อความเพลิดเพลิน ในขณะที่ยังมีกลุ่มผู้ใช้ระดับผู้ใหญ่ วัยทำงาน และระดับไฮเอนด์ ที่ต้องการหาคู่รักที่มีคุณภาพ และเป็นคนที่ใช่อย่างแท้จริง ด้วยจุดประสงค์นี้Omi แอปพลิเคชันน้องใหม่แห่งชุมชนออนไลน์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในไทย มาแรงแซงหน้าแอปหาคู่ในตลาดไทยอยู่ในขณะนี้ ด้วยจำนวนยอดผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านคน หลังจากเปิดตัวเพียง 3 เดือน และมีอัตราการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ติดอันดับแอปพลิเคชันที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดทั้ง iOS และ Google Play Store จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแอปให้เป็นชุมชนหาคู่ออนไลน์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ระดับไฮเอนด์

Omi ทอล์คออฟเดอะทาวน์แอปมีความแตกต่างจากแอปหาคู่อื่น ๆ โดยพัฒนาขึ้นด้วยกลไกลที่ทันสมัย มีการตรวจสอบที่เข้มงวดตั้งแต่ขั้นตอนลงทะเบียน เพื่อจำกัดผู้ใช้ที่มีคุณลักษณะที่เหมาะสม และสร้างบรรยากาศชุมชนเดทติ้ง (dating) ที่มีคุณภาพสูงสอดคล้องเป้าหมายของOmi คือการสร้างสังคมพูดคุยออนไลน์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้ค้นพบคนที่ใช่และตรงใจมากที่สุด แอปพลิเคชันถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย สามารถเลือกสนทนากับคนที่สนใจเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรบกวน ยังมีสติ๊กเกอร์ลวดลายใหม่ ๆ เพิ่มสีสันที่น่าสนใจให้ห้องแชทอย่างไม่รู้เบื่อ และที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูงโดยทีมงานมีขั้นตอนและระบบล้ำสมัยสำหรับตรวจสอบและปฏิเสธต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมรวมถึงการจัดการข้อมูลต่าง ๆ ใน Omi จะเป็นไปตามนโยบายความเป็นส่วนตัว ไฮไลท์ของ Omi ที่โดดเด่น คือฟังก์ชั่น “ควิซ” (Quiz) ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้ผู้ใช้สาวไทยสามารถค้นหาคู่แมตชที่เข้ากันได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเปิดฟังก์ชันควิซเพื่อโต้ตอบและทดสอบความเข้ากันระหว่างชายหนุ่มที่สนใจด้วยระบบควิซออโต้ (Quiz Auto) ซึ่งไม่เพียงแค่ประหยัดเวลาเท่านั้น ยังช่วยให้คนทั้งคู่สานสัมพันธ์กันมากขึ้นอีกด้วย

จากความเห็นของผู้ใช้ส่วนใหญ่พึงพอใจอย่างมากกับฟังก์ชั่น “ควิช” ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถพบกันคนที่ใช่และมีคุณภาพในขณะที่หลายคนก็สนุกกับแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายของ Omi และการออกแบบที่น่าดึงดูดด้วยสติกเกอร์และอีโมจิสนุก ๆ ผู้ใช้บางรายให้ความเห็นว่าOmiคือการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบของพวกเขาและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานอีกด้วย สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Omi ได้ทั้งระบบ Android และ iOSหรือติดตามข่าวสาร Omi ได้ที่ Facebook: @omi.chat, Instagram: @omi.chat อีเมล support@omi.sgหรือคลิกเว็บไซต์ https://omi.sg/

นีเวีย เมน จัดเต็ม! ยกทัพ 4 หนุ่มสุดฮอตแห่งยุค ฉลองแบรนด์อันดับหนึ่ง พร้อมเปิดตัวแพคเกจจิ้งใหม่ [PR]

$
0
0

แบรนด์อันดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและใต้วงแขนสำหรับผู้ชาย จัดงานแถลงข่าว “เปิด SAFEHOUSE” เผยโฉมแพคเกจจิ้งใหม่ 4 พรีเซ็นเตอร์ล่าสุดที่เรียกได้ว่าฮอตที่สุดในยุคนี้ อย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นตัวแทนของ นีเวีย เมน เอ็กซ์ตร้า ไวท์ เซรั่ม เอสพีเอฟ 50, กรรณ-สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยาเป็นตัวแทน นีเวีย เมน ไวท์ ออยล์ เคลียร์ มัดโฟม และ เซรั่ม, ไอซ์-พาริส เป็นตัวแทน นีเวีย เมน แอคเน่ เคลียร์ มัดโฟม และ เซรั่ม และสุดท้ายกับ เดอะ ทอยส์ ตัวแทนของ นีเวีย เมน ดีพบราวน์ สเปรย์ และโรลออน ที่จะมาเผยความลับให้หนุ่มไทยหล่อใสมั่นใจได้ในทุกสไตล์กันแบบยกแก๊ง ในวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม 2562 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ ลานหน้า Hard Rock Café ในสยามสแควร์ ซอย 11

Huawei vs Google เปิดฉาก “สงครามเย็นเทคโนโลยี”หรือแค่ The Apprentice ซีซั่นใหม่

$
0
0

สำหรับใครที่ติดตามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีนแผ่นดินใหญ่กันมา ข้อพิพาทระหว่าง Huawei – Google ในตอนนี้น่าจะเป็นภาพของสงครามตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดกรณีหนึ่ง โดยล่าสุด แม้จะมีการผ่อนผัน ที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาเลื่อนเวลาให้ Huawei สามารถอัปเดต และรับเซอร์วิสต่าง ๆ จาก Google ได้อีก 90 วันเพื่อจะได้สามารถเปลี่ยนถ่ายจ่ายโอนการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น แต่หลังจากวันที่ 19 สิงหาคม 2019 ถ้ายังไม่มีการถอดชื่อของ Huawei ออกจากบัญชีดำของสหรัฐอเมริกา ก็คงแน่นอนแล้วว่า สงครามเย็นรอบใหม่ได้ปะทุขึ้นแล้ว โดยมีเรื่องของ “เทคโนโลยี” เป็นแกนกลางของความขัดแย้ง

หากจะย้อนไปนั้น สงครามเย็นเทคโนโลยี หรือ Tech Cold War อาจเริ่มขึ้นตั้งแต่การมีอินเทอร์เน็ต โดยเราจะเห็นว่า รูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐอเมริกานั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากฝั่งโลกตะวันตกจะเน้นการเติบโต, การขยายตลาดอย่างรวดเร็ว, การเปิดให้ใช้งานฟรีแลกกับการนำข้อมูลของผู้บริโภคไปใช้ในการวางแผนโฆษณา ฯลฯ ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่นั้น แม้จะเติบโตไม่แพ้กัน แต่ก็เป็นการเติบโตที่โลกตะวันตกเยาะเย้ยว่ามีการเซ็นเซอร์เนื้อหาข้อมูล รวมถึงปิดกั้นผู้ประกอบการอย่าง Facebook, Google ฯลฯ ไม่ให้เข้าไปทำธุรกิจด้วย

สถานการณ์ความขัดแย้งผ่านไปนับสิบปี จน Facebook ท้อแท้แล้วท้อแท้อีก จีนก็ยังไม่เปิดให้ Facebook เข้าไปทำธุรกิจอยู่ดี แต่การปิดกั้นเหล่านั้นก็ไม่เคยมีปัญหา

แล้วทำไมวันนี้เพิ่งมาเป็นปัญหา?

หลายคนอาจมองว่ายิ่งจีนเติบโต สหรัฐอเมริกาก็ยิ่งได้ประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น กรณีของ Apple เองที่ว่าจ้างโรงงานผลิต iPhone ในจีนจนทำให้ได้สินค้าราคาดี และขายต่อทำกำไรได้งาม ๆ หรือในส่วนของตลาดอุปกรณ์เน็ตเวิร์ก ก็มีของถูกให้เลือกช้อปกันมากมาย

แต่ในอีกด้าน ก็ต้องยอมรับว่า จีนในวันนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Huawei ที่วางแผนก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดสมาร์ทโฟน – เทคโนโลยี 5G โลก และมียอดขายไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหายใจรดต้นคอ Samsung ไปแล้วเรียบร้อย นอกจากนั้น จีนยังมีบริษัทอีกเพียบที่พร้อมจะก้าวข้ามโลกไร้พรมแดนอย่างอินเทอร์เน็ตเข้ามาแย่งชิงบัลลังก์ของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาทำจึงเปรียบได้กับการยกฉากกั้นประตูขึ้นมาแล้วบอกว่า “ถึงเวลาต้องสะกัดไม่ให้เธอ (จีน) โตไปมากกว่านี้แล้ว”

เมื่อต่างฝ่ายต่างปิดประตูใส่กัน ลูกค้าจะหันไปทางไหน

แม้จะยังไม่แน่ชัดว่า Tech Cold War จะเริ่มขึ้นหรือไม่ในวันที่ 19 สิงหาคม แต่ถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของผู้คนบนโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผ่านมา เราไม่เคยต้องกังวลว่าแพลตฟอร์มที่ต่างกันจะนำมาซึ่งปัญหา ดังนั้น การปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ Google ทำจึงถือเป็นเรื่องที่สร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของผู้ผลิต และผู้บริโภคบนฝั่ง Android

โดยสิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้มีได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือการได้เห็นภาพของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในจีนที่ลุกขึ้นมาแลกหมัดกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว ด้วยการพัฒนาระบบปฏิบัติการ, สร้างเทคโนโลยี และมาตรฐานด้านการออกแบบชิปของตัวเอง เพื่อให้ตลาดสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนยังเดินหน้าต่อไปได้ พร้อม ๆ กับตั้งกำแพงของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น (อาจมี Maps, Search, Mail ของตนเองเพื่อให้ Ecosystem สมบูรณ์) ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นสองโลกที่ผู้บริโภคต้องเลือกข้าง

หรือในอีกด้าน อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของจีนแผ่นดินใหญ่เอง เพราะรูปแบบการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีที่ผ่านมาก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่าย

โดยฝ่ายที่ไม่ได้ประโยชน์มองว่า รัฐบาลจีนเทงบสนับสนุนเฉพาะบริษัทที่ยอมเป็นมือเป็นเท้าให้รัฐบาลเท่านั้น ส่วนบริษัทอื่น ๆ ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐในครั้งนี้ จึงมีนักธุรกิจจีนบางส่วนกลับใจหันมาเป็นกองเชียร์โดนัลด์ ทรัมป์ และคาดหวังว่าแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา จะทำให้รัฐบาลสี จิ้นผิง เปลี่ยนแปลงตัวเอง และทำตลาดให้น่าแข่งขันมากขึ้น

งานนี้ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า Tech Cold War รอบนี้จะเกิดขึ้นจริง หรือเป็นแค่ซีซั่นใหม่ของ The Apprentice ที่มีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตรายการ

Source

Source

โค้ก”เตรียมวางจำหน่าย New Coke โปรดักท์ที่มีอายุเพียง 79 วัน อีกครั้ง ในแคมเปญ Coke x Stranger Things

$
0
0


“โค้ก”
นำเอากระป๋องดีไซน์ปี 1985 กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งแบบลิิมิเต็ด เอดิชั่น จำนวน 500,000 กระป๋อง ภายใต้ความร่วมมือกับซีรีส์ดัง “Stranger Things” ซีซั่น 3 ที่กำลังจะออกฉายเร็วๆ นี้

ดีลที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นผลดีกับ Netflix ที่จะขยายตลาดไปสู่ผู้ชมระดับแมส ในส่วนของโคคา-โคล่า ก็ได้กระตุ้นตลาดให้ตื่นเต้นอีกครั้ง ด้วยการเกาะกระแสความเป็น pop culture ของซีรี่ส์ดัง โดยความพิเศษไม่ได้มีทีเด็ดแค่ตัวกระป๋องโค้กดีไซน์เรโทรนี้เท่านั้น แต่โปรดักท์ข้างในก็เป็นโค้กสูตรปี 1985 สอดคล้องกับคอนเซ็ปท์ของซีรี่ส์ “Bringing back product from the dead” อิงกับเรื่องราวในซีรี่ส์ที่เล่าเรื่องเด็กกลุ่มหนึ่งในสังคมอเมริกายุค ’80 ที่เจอประสบการณ์ประหลาดแนว sci-fi ชวนติดตาม

กิมมิคของโค้กสูตรนี้ ก็เป้น Storytelling ที่น่าติดตาม เมื่อซัมเมอร์ ปี 1985 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในตอนนั้นโค้กตัดสินใจ “ปรับสูตร” และนำเสนอสินค้าใหม่เรียกว่า New Coke ซึ่งก็สร้างอิมแพ็คกับตลาดอย่างมาก ในยุคที่ไม่มีโซเชี่ยลมีเดีย ไม่มีทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊กให้ผู้บริโภคแสดงออก โค้กต้องรับโทรศัพท์กว่า 400,000 สาย และอ่านจดหมายที่เขียนเข้ามาถล่ม เรียกร้องให้บริษัทกลับมาใช้สูตรเดิม จน New Coke ที่ว่านี้ มีอายุเพียง 79 วันเท่านั้น แล้วโค้กก็กลัมาขายโค้กสูตรเดิม นั่นแปลว่า Coke x Stranger Things จะเป็นโค้กที่มีรสชาติแปลกกว่าโค้กในตลาดทั่วไป

นอกจากเรื่องของรสชาติโค้กในกระป๋องแล้ว ต้องจับตาดู เครื่อง Vending Machine รวมทั้งแพ็กเกจจิ้งที่ตีพิมพ์ “กลับหัว” กิมมิคที่แฟนๆ ซีรี่ส์เรื่องนี้เข้าใจเป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้จะเผยโฉมให้เห็นแบบเต็มๆ วันพฤหัสบดีนี้ โดยมีจำหน่ายหรือทำกิจกรรมเป็นบางรัฐเท่านั้น และเครื่องจำหน่ายโค้กอัตโนมัติที่ว่านี้เป็นเครื่องที่ทำขึ้นเพื่อแจก

เหตุเกิดจากความเหงา! เมื่อ “คนเหงา” กำลังเป็นวาระแห่งโลก ส่องเทรนด์ตลาด ธุรกิจที่กำลังโตจาก Pain point นี้

$
0
0

เมื่อได้ยินคำว่า “ความเหงา”​ หรือ “คนเหงา”​ หลายคนอาจมองว่าไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใครๆ ก็เหงากันได้ แต่ด้วยสภาพสังคมทั่วโลกในปัจจุบัน การพัฒนาของเทคโนโลยีที่กล่าวอ้างว่า ทำให้คนทั่วโลกขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันกลับสร้าง​ความเป็น  Individual หรือความเป็นปัจเจกชนให้เพิ่มมากขึ้น คนส่วนใหญ่จึงมักจะอยู่คนเดียว แต่งงานกันช้าลง หย่าร้างกันมากขึ้น มีจำนวนคนโสดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้คนทั่วโลกที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียวขยายจำนวนเพิ่มมากขึ้น​ และส่งผลให้ปริมาณคนเหงาทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความเหงาไม่ใช่แค่เรื่องของ “คนเหงา”​

ในบางประเทศ การขยายตัวของประชากรในกลุ่มคนเหงาเพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็นความกังวลของรัฐบาล มองว่านี่คือต้นตอสำคัญของปัญหาทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ​และจะเอฟเฟ็กต์ไปสู่การพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ตามมา​ เพราะทรัพยากรมนุษย์คือต้นทุนสำคัญของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน ขณะที่ความรุนแรงของความเหงานั้นส่งผลต่อทั้งสภาพจิตใจ ให้รู้สึกเดียวดาย หดหู่ อ้างว้าง และยังส่งผลไปสู่สุขภาพทางด้านอื่นๆ ตามมาด้วย รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในชนวนเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของผู้คนในยุคนี้ด้วย

ประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งตัวอย่างของประเทศที่จริงจังต่อการจัดการเรื่องของความเหงาให้ประชาชนในชาติ จากตัวเลขประชากรคนเหงาในอังกฤษที่มีสูงถึง 9 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีถึง 2 แสนคน ที่เป็นผู้สูงอายุและไม่ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนหรือคนรู้จักมาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน และเมื่อเจาะลึกลงไป พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุราวๆ 2 ล้านคนทั่วเกาะอังกฤษ ที่ต้องอาศัยอยู่ตามลำพัง รวมทั้งแนวโน้มประชากรที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้ทางรัฐบาลโดย เทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งอังกฤษ​ มีมติให้จัดตั้งกระทรวงความเหงาขึ้นมาเพื่อดูแลจัดการด้านความเหงาให้กับคนในชาติ พร้อมแต่งตั้ง เทรซีย์ เคร้าช์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาทำหน้าที่ดูแลกระทรวงแห่งความเหงานี้ควบคู่กันไปด้วย

ไม่ต่างจากในสหรัฐอเมริกา​ที่พบเจอปัญหาที่คนในชาติกว่า 75% หรือมากถึง 3 ใน 4 ที่มีปัญหาเรื่องของความเหงา รวมทั้งยังพบคนที่มีความรู้สึกเหงาได้ในคนหลากหลายช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็น 20 ปีขึ้นไป เนื่องจาก เป็นวัยที่หลายๆ คนในสังคมอเมริกาเริ่มแยกจากครอบครัวเพื่ออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง ทำให้เป็นช่วงของการปรับตัวที่ต้องออกมาอยู่คนเดียว รวมทั้งในวัย 50 ปีขึ้นไป และ 70  ปีขึ้นไปเป็นต้น

นอกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2 ประเทศใหญ่นี้แล้ว การเติบโตและจำนวนคนเหงาที่เพิ่มสูงมากขึ้น ยังสะท้อนผ่านผลสำรวจ Top 10 Global Consumer Trends  2019 ของยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทวิจัยชั้นนำระดับโลก โดยพบว่า Loner Living หรือเทรนด์ของผู้บริโภคที่อาศัยอยู่คนเดียว เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สอดคล้องกับการศึกษาของ Mintel เอเยนซีการตลาดชั้นนำระดับโลก ระบุว่า หนึ่งในกระแสผู้บริโภคที่เกิดขึ้นระดับโลกในปี 2019 นี้ คือ ความโดดเดี่ยวทางสังคม หรือ Social Isolation ที่ผู้คนจะเปลี่ยนจากการปฏิสัมพันธ์แบบ Face to Face เป็นการสื่อสารผ่านดิจิทัล ทำให้มีแนวโน้มที่ผู้คนจะรู้สึกเหงา แปลกแยกจากสังคม และเกิดความซึมเศร้าตามมาได้

Insight คนเหงาในประเทศไทย

สำหรับในประเทศไทยเอง จำนวนคนเหงาก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ​เมื่องานวิจัยเจาะลึกตลาดคนเหงา (Lonely in the Deep) โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ระบุว่า มีคนไทยถึง 40.4% ที่เป็นคนเหงาในทุกๆ ระดับ ตั้งแต่เหงาเล็กน้อยไปจนถึงเหงามาก​ หรือคิดเป็น 26.57 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศกว่า 66 ล้านคน

 

 

โดยช่วงอายุที่มีแนวโน้มมีความเหงาสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มวัยทำงาน อายุระหว่าง 23 – 40 ปี ครองอันดับสูงสุดถึง​ 49.3% เยาวชนวัยเรียน อายุระหว่าง 18 – 22 ปี 41.8% และวัยผู้ใหญ่ อายุระหว่าง 41 – 60 ปี  33.6%

ขณะที่กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี กลับประสบภาวะความเหงาเพียง 24.5% เนื่องจากมีความพร้อมด้านการจัดการอารมณ์ และรายได้เพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมแก้เหงาเพิ่มสูงขึ้น ตามอายุที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

ทั้งนี้ หากแยกความเหงาตามเพศ พบว่าเพศชายและหญิงมีสัดส่วนความเหงาใกล้เคียงกันที่ 40.2% และ 40.1% แต่ความน่าสนใจอยู่ที่เพศทางเลือก ซึ่งมีแนวโน้มเหงามากถึง 85.7% และในกลุ่มตัวอย่างพบว่า มีเพศทางเลือกเป็นคนเหงาสูงถึง 6 ใน 7 คนเลยทีเดียว ​นับเป็นอินไซต์ที่น่าสนใจเพื่อทำการศึกษาต่อในเชิงลึก ​

เมื่อแยกคนเหงาออกตามสถานภาพ จะพบว่า คนที่อยู่ในสภาวะหย่าร้าง จะเผชิญกับความเหงามากที่สุดถึง 50% ขณะที่คนมีแฟนมีสัดส่วนคนเหงา 47.6% ส่วนคนโสด มีคนเหงา 46.1% หรือหากพิจารณาตามลักษณะการอยู่อาศัย พบว่า คนที่อาศัยอยู่กับแฟน จะมีคนเหงาสูงสุดถึง 81.8% อยู่กับญาติ มีคนเหงา 64.3% และคนที่อยู่กับสามี ภรรยา จะมีคนเหงา 48.1%

นอกจากนี่้ Insight ที่น่าสนใจและค้นพบจากการทำวิจัยเรื่องนี้คือ พบว่า คนที่มีรายได้สูงกว่าจะมีความเหงาน้อยกว่าคนที่มีรายได้ต่ำกว่า เนื่องจาก คนที่มีรายได้มาก ก็จะมีกำลังในการนำเงินไปจับจ่ายเพื่อซื้อความสุขต่างๆ มาบรรเทาความเหงาให้กับตัวเองได้มากกว่าคนที่มีรายได้น้อย หรือคนที่มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย จนไม่สามารถใช้เงินตอบสนองความต้องการส่วนตัวได้

โดยพบว่า คนที่มีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน จะมีสัดส่วนคนเหงาถึง 46.3% คนที่มีรายได้ 15,000 – 30,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนคนเหงา 44.1% และคนที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนคนเหงาที่ 40.1%

ส่วนกิจกรรม 3 อันดับแรก ที่คนเหงาชอบทำคือ การเล่นโซเชียลมีเดีย​ เพราะเป็นช่องทางที่ทำให้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นการเสพคอนเทนต์ที่สนใจ หรือการติดต่อกับบุคคลอื่นๆ เป็นช่องทางที่ช่วยผ่อนคลายและสร้างความเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี แต่มีคนเหงาไม่น้อยที่รู้สึกเบื่อกับการอยู่บ้าน หรือนั่งไถหน้าจอมือถือฆ่าเวลาไปวันๆ วิธีคลายความเหงาที่ได้รับความนิยมรองลงมาจึงเป็นการออกไปร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ และการออกไปช้อปปิ้ง

สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่กลุ่มคนเหงาชาวไทยนิยมใช้มากที่สุด คือ Facebook 36.7%, Line 33%, IG 16.7% และ Twitter 11.9% ซึ่งหากเจาะลึกลงไปในแต่ละช่วงวัยจะพบว่า คนเหงาแต่ละช่วงวัยชอบใช้โซเชียลมีเดียแตกต่างกัน โดยวัยเรียนจะชอบใช้ Instagram มากที่สุด 35.7% วัยทำงานชอบใช้ Facebook 46.3% ขณะที่วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุชอบใช้ Line มากที่สุดเหมือนกัน ด้วยสัดส่วน 64.5% และ 81.6% ตามลำดับ​ ขณะที่พฤติกรรมในการเล่นโซเชียล ส่วนใหญ่จะเป็นสายส่องที่ 51.3% ตามมาด้วยสายเม้าท์ 30% และสายโพสต์อยู่ที่ 14.4%

เมื่อเจาะลึกอินไซต์คนเหงาเพื่อมองความต้องการของคนที่เริ่มรู้สึกว่าเหงาจะพบว่า คนเหงาส่วนใหญ่จะต้องการคนที่เข้าใจ ต้องการคนที่ให้คำปรึกษาหรือพูดคุยได้ เพื่อให้ตัวเองไม่มีความรู้สึกว่าเดียวดายอยู่เพียงคนเดียว ทำให้คนเหงาส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมในการติดมือถือมาก โดยมีจำนวนถึง 44.8% ที่มักจะหยิบมือถือขึ้นมาดูอยู่เรื่อยๆ ส่วน 25.7% ที่หยิบขึ้นมาดูในเวลาทำงานบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะใช้หลังเวลาเลิกงาน และอีก 21.5% ที่ดู​ราวๆ ชั่วโมงละครั้งเป็นอย่างน้อย  มีเพียงไม่ถึง 8% ที่จะดูนานๆ ครั้งหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ติดมือถือ

โอกาสของธุรกิจที่แก้ Pain Point ได้

จากการศึกษาอินไซต์คนเหงาในครั้งนี้ ค้นพบได้ว่าสิ่งที่คนเหงาต้องการที่สุด คือ คนที่เข้าใจ เพื่อนที่สามารถพูดคุยและปรึกษาได้ และทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลก ดังนั้น ความเหงาจึงกลายมาเป็นโอกาสให้ธุรกิจที่สามารถดีไซน์สินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนเหงา​​ ให้สามารถสร้างการเติบโตจากขนาดของตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ และยังเป็นเทรนด์ที่ขยายตัวทั้งในไทยและในต่างประเทศ

ในต่างประเทศ มีนักการตลาดจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มคนเหงาเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ​จากการเติบโตของตลาด​คนเหงาที่ขยายตัว ทำให้มีบริการใหม่ๆ เกิดขึ้น อาทิ

บริการโอสซัง เรนทัล (OSSAN RENTAL) หรือบริการเช่าคุณลุง ซึ่งเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น เพื่อให้เหมือนกับมีเพื่อน หรือคนในครอบครัวเพื่อคอยเป็นที่ปรึกษาปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะคนที่มีอายุมาก ที่มักจะผ่านประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตมาค่อนข้างมาก

​- บริการเช่าหุ่นยนต์แมว (FRIBO) เป็นหุ่นยนต์แมว AI ที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นเพื่อนคนที่อาศัยอยู่คนเดียว และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลี โดยแนวคิดการทำงานของเจ้าหุ่นยนต์แมวนี้ จะทำหน้าที่เป็นเครื่องตรวจจับเสียงต่างๆ โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปิดตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า รวมถึงเสียงจากการเปิด-ปิดประตูห้อง จากนั้นระบบจะส่งข้อมูลแจ้งเตือนไปยังกรุ๊ปแชท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสื่อสารเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

บริการแกรนด์คิด ออนดีมานด์ (Grandkids On-Demand) สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ไม่ค่อยมีญาติหรือครอบครัวมาเยี่ยม อาจทำให้เหงาและคิดถึงลูกหลาน จึงมักจะใช้บริการจากเด็กๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย มาคอยดูแล พาไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นเกมด้วยกัน สอนใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

ส่วนธุรกิจในประเทศไทย ที่เริ่มมองเห็นโอกาสในการเข้ามาแก้ Pain Point กลุ่มคนเหงาหรือคนที่อาศัยอยู่คนเดียว ผ่านการครีเอทบริการต่างๆ ใน 5 กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ประกอบด้วย

1. Community : การรวมกลุ่มคนที่ชอบหรือสนใจในสิ่งเดียวกัน เพื่อทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างคนเหงา เช่น ธุรกิจคาเฟ่บอร์ดเกม ร้านกาแฟ หรือการใช้ศิลปิน-ไอดอลที่คนเข้าถึงได้ เป็นตัวกลางเพื่อสร้าง Community เพื่อให้คนเหงาได้ออกมาเจอกันมากขึ้น

2. Co-Living Space : เพราะคนที่มาทำงานในเมืองส่วนใหญ่มักจะอยู่คนเดียว กลายเป็นเทรนด์ในการสร้างที่อยู่อาศัยในลักษณะนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมีเนียม อพาร์ทเม้นต์ หรือออฟฟิศบิลดิ้งต่างๆ ที่จะ​มีพื้นที่ private room แต่มีพื้นที่ส่วนกลางไว้สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งห้องครัว ห้องซักล้าง ห้องนั่งเล่นรวม รวมไปถึงมี Rooftop คาดฟ้าสำหรับจัดปาร์ตี้

3. Digital Life : แอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์คนเหงา เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และพบเพื่อนใหม่ๆ

4. Best Friend Pet : ธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่ตอบโจทย์ทั้งคนเหงาและคนรักสัตว์ โดยเฉพาะการอยู่อาศัยในเมืองที่ไม่มีพื้นที่ให้เลี้ยงสัตว์ ทำให้ธุรกิจประเภทคาเฟ่สัตว์เลี้ยง ให้เช่าสัตว์เลี้ยง หรือรับปรึกษาด้านสัคว์เลี้ยงต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น

5. Travel Together : ธุรกิจท่องเที่ยวที่ออกแบบแพกเกจสำหรับเจาะกลุ่มคนที่ไปคนเดียวได้ เช่น ทัวร์คนโสด โปรพิเศษสำหรับคนโสด หรือที่พักสำหรับคนที่พักคนเดียว หรือกิจกรรมอาสาสมัครต่างๆ

พร้อมทั้งแนะนำกลยุทธ์สำหรับการทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มคนโสด คนเหงา หรือคนที่อยู่คนเดียว ซึ่งการทำตลาดเพื่อให้ได้ใจกลุ่มเป้าหมายนี้ ต้องคำนึงถึง 4 ประเด็นสำคัญต่อไปนี้ คือ  Circumstance สร้างบรรยากาศให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกเหงา​, Companion แบรนด์ต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนกับผู้บริโภค, forget Me not​ ในโอกาส/ เทศกาลสำคัญต่างๆ เป็นโอกาสอันดีในการทำการตลาดกับคนเหงา และสุดท้ายคือ CommUnity Co-creation ในการสร้างบรรยากาศของการทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น ผ่านการร้างสรรค์คอนเทนท์ ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกิจกรรมการตลาด ที่แตกต่างจากตลาด​ โดยเน้นให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการปฏิสัมพันธ์ และจับกลุ่มรวมตัวขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดเป็นชุมชนพิเศษอันนำไปสู่การบอกต่อในวงสังคมในระยะยาว​

จาก Insight ของคนเหงาที่ได้กล่าวมานี้ สรุปได้ว่า คนเหงาอาจเป็นคนที่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ใครสักคนที่พูดคุยหรือปรึกษาได้ และใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว หากนำ Insight เหล่านี้มาวิเคราะห์ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจคนเหงาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แน่นอนว่า ไม่ใช่ในแง่ของการส่งเสริมให้มีคนเหงาเพิ่มมากขึ้น แต่เป็นการที่จะทำอย่างไรที่จะเข้าใจคนกลุ่มนี้ รู้ความต้องการของเขา และตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างควรจะเป็น

ไม่ต้องปลดพนักงานก็ปลดทุกข์ได้! สิงคโปร์ผลิตห้องน้ำ 3D ลดค่าใช้จ่ายก่อสร้างลงอีกครึ่งหนึ่ง

$
0
0

ในขณะที่บ้านเรามีข่าวลือธุรกิจก่อสร้าง – อสังหาริมทรัพย์ปลดพนักงานกันนับร้อย สถาบันการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์กลับมีข่าวดีกับการเปิดตัวห้องน้ำแนวใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติมาผลิตห้องน้ำสำเร็จรูป ที่ช่วยให้ธุรกิจก่อสร้างลดต้นทุนในการสร้างห้องน้ำตามอาคารลงได้อีกครึ่งหนึ่ง แถมยังพิมพ์เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว เพียง 9 ชั่วโมงเท่านั้น

ห้องน้ำที่สร้างจากเครื่องพิมพ์ 3 มิตินี้เป็นผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยนันยาง เทคโนโลยี ที่ต้องการพัฒนาตัวช่วยอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ประหยัดต้นทุนและใช้สอยพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นผลสืบเนื่องจากปี 2014 ที่รัฐบาลระบุว่าการสร้างอาคารในสิงคโปร์จะต้องติดตั้งห้องน้ำสำเร็จรูปที่ประกอบแล้วเสร็จจากภายนอกไซต์งาน (Prefabricated Bathroom Units) ที่มาถึงแล้วก็ยกขึ้นติดตั้งบนอาคารได้เลยเท่านั้น

โดยทางมหาวิทยาลัยมองว่า แม้ห้องน้ำสำเร็จรูปจะลดต้นทุนในการก่อสร้าง และค่าจ้างแรงงานลงได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับการสร้างห้องน้ำในแบบดั้งเดิมก็ตาม แต่มันก็ยังมีหนทางลดค่าใช้จ่ายลงได้อีก

Pain Point สำคัญของเรื่องนี้ก็คือธุรกิจก่อสร้างในสิงคโปร์ยังมีค่าใช้จ่ายจากการหาที่เก็บ “ห้องน้ำสำเร็จรูป” ระหว่างรอการติดตั้ง ซึ่งบนเกาะเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ การหาพื้นที่เป็นต้นทุนก้อนใหญ่ทีเดียว แต่ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ธุรกิจก่อสร้างในสิงคโปร์สามารถผลิตห้องน้ำได้ในพื้นที่จำกัด และไม่ต้องเช่าโกดังเพื่อเก็บห้องน้ำเหล่านี้อีกต่อไป

โดยระหว่างนี้ ทางทีมวิจัยอยู่ระหว่างการขออนุญาตจากหน่วยงานที่กำกับดูแลการก่อสร้างอาคารของสิงคโปร์ในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าทดสอบอย่างเป็นทางการ รวมถึงพัฒนาไปสู่การแยกตัวออกเป็นบริษัทเพื่อให้บริการในเชิงพาณิชย์ต่อไป

Source


พาชม 7 เทรนด์เทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าเทรนด์สุดล้ำ ในงาน POWER BUY EXPO 2019 [PR]

$
0
0

เริ่มแล้วงาน POWER BUY EXPO 2019 มาพร้อมกับความยิ่งใหญ่ สมกับโอกาสครบรอบ 22 ปี ของเพาเวอร์บาย ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรที่มีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทย  โดยปีนี้ชูแนวคิดนวัตกรรมแห่งอนาคต  “POWER YOUR FUTURE” ที่ยกทัพสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ไอที แก็ดเจ็ตมาให้อัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีล้ำสมัย กว่า 100 แบรนด์ รวมกว่า 10,000 รายการ จากการสนับสนุนและความร่วมมือของหลากหลายแบรนด์พันธมิตรชั้นนำระดับโลก ได้นำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีที่โดดเด่นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตสอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร

และนี่คือนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้การใช้ชีวิตในบ้านสะดวกสะบายและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ได้แก่

1. Smart Home จากซัมซุงที่แสดงการเชื่อมต่อและควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วย ระบบเสียงผ่าน Application

2. TA Robot (ทีเอ โรบ็อต) AI Service Robot หุ่นยนต์อัจฉริยะบริการครบวงจรสามารถสั่งด้วยเสียงภาษาไทย และภาษาอังกฤษ มาในรุ่น Genie หุ่นยนต์ผู้ช่วยภายในบ้านที่เป็นเพื่อนสร้างความสุข และรอยยิ้มแก่ผู้สูงวัย และรุ่น Amy คือหุ่นยนต์ผู้ช่วยส่วนตัวพูดคุยสนทนาและช่วยงานในชีวิตประจำวัน สามารถโต้ตอบ ทักทาย กับผู้คนทั่วไปได้

3. นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นเรื่องง่าย ได้แก่ เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V11 ที่มาพร้อมกับระบบ intelligent Dynamic Load Sensor (DLS) ที่สามารถควบคุมผ่านการสื่อสารกับตัวมอเตอร์และแบตเตอรี่ ให้ปรับการใช้งานเพิ่มหรือลดความแรงในการดูดได้ตามสภาพแวดล้อมในการใช้งานจริง

4. แต่หากไม่ต้องการใช้แรงก็ปล่อยให้เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่น iRobot Roomba e5 ช่วยจัดการให้บ้านสะอาดเรียบในทุกวัน กับระบบทำความสะอาด 3 ขั้นตอนที่เหนือชั้นกับชุดแปรงยางคู่ทำความสะอาดหลากพื้นผิว แรงดูดทรงพลัง และ ฟิลเตอร์กรองฝุ่นประสิทธิภาพสูง สามารถลัดเลาะขอบกำแพง มุม รอบเฟอร์นิเจอร์ พร้อมทำงานซ้ำในบริเวณที่มีฝุ่นมากโดยอัตโนมัติด้วย เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นละออง Dirt Detect™ และสะดวกยิ่งขึ้น ควบคุมการทำงานและตั้งเวลาล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน iRobot HOME

5. การรีดผ้าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไปกับ เครื่องรีดผ้าแรงดันไอน้ำ Tefal IXEO รุ่น QT1020 ระบบ All-in-one ที่จะช่วยรีดผ้าได้ใน 1 นาที ดูแลเสื้อผ้าทุกประเภท ด้วยเตารีดไอน้ำและถนอมผ้าในหนึ่งเดียว โดดเด่นด้วยบอร์ดรีดผ้าอัจฉริยะ ที่ออกแบบการรีดที่ตรงตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้ผ้าเรียบง่าย นุ่มสบาย และรวดเร็ว

6. Samsung New QLED 8K นวัตกรรมล่าสุด จาก Samsung กับ Real 8K Resolution ที่มีความละเอียด 33 ล้านพิกเซลให้ทุกภาพคมชัดสูงสุด สีสันสมบูรณ์ 100% กับเฉดสีนับพันล้านเฉด ผ่านเทคโนโลยี Quantum Dot ทำให้ทุกภาพในจอเหมือนมีชีวิตชีวาสมจริง พร้อมเทคโนโลยี Direct Full Array สามารถปรับระดับความมืดและความสว่างได้อย่างแม่นยำ รวมถึง Backlight Zoning Control ระบบควบคุมพื้นที่แบคไลท์ที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ สามารถเห็นทุกรายละเอียด ไม่พลาดแม้จุดเล็กๆ

7. CUCKOO (คุกคู) เครื่องฟอกอากาศพรีเมี่ยมแบรนด์จากเกาหลีใต้  ทั้ง 3 รุ่น โดยโดดเด่นด้วยคุณสมบัติระบบฟอกอากาศ “CUCKOO PLASMA IONIZER” ในการกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบโจทย์คนรักสุขภาพพร้อมเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานแบบเหนือระดับด้วยระบบสั่งงานแบบฟังก์ชั่นเสียง หน้าจอระบบสัมผัส ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก

ทั้งนี้ ในงานยังได้นำสินค้ามากกว่า 100 แบรนด์ 10,000 รายการ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นแบบจัดเต็มให้ลูกค้าได้ช้อปสินค้าในราคาสุดคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นโดยช้อปครบ 10,000 บาท รับส่วนลด 1,000 บาท และพิเศษเฉพาะลูกค้า The 1 รับเครดิตเงินคืนสูงสุดถึง 36,000 บาท จ่ายเต็มผ่านบัตรได้ส่วนลด 3% และยังสามารถใช้คะแนนเพื่อรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15% และร่วมสนุกช้อปไปกับสินค้า Crazy Item แบบทุบราคาพิเศษทุกวันวันละ 2 รอบ เวลา 13.30 น. และ 18.30 น. เป็นต้น

มาร่วมเปิดประสบการณ์พร้อมสัมผัสนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต และข้อเสนอสุดพิเศษได้ในงาน Power Buy EXPO 2019 – Power Your Future  ตั้งแต่วันที่ 17-26 พฤษภาคม 2562 เวลา 10.00 น.– 22.00 น. ณ ฮอลล์ 103-104 ไบเทค บางนา ติดตามความเคลื่อนไหว กิจกรรม และโปรโมชั่นต่างๆ จาก เพาเวอร์บาย (Power Buy) ได้ที่ www.powerbuy.co.th, Facebook: Power Buy และ Line: @Power Buy

Starbucks ขายสิทธิ์ในไทย ให้บ.ในเครือ ไทยเบฟ มุ่งโฟกัสตลาดจีน-สหรัฐ

$
0
0

 

สตาร์บัคส์ คอร์ปเปอเรท ตกลงขายไลเซ่นดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้กับ Coffee Concepts Thailand บริษัทที่ร่วมทุนระหว่าง Maxim’s Caterers บริษัทฮ่องกงที่ถือไลเซ่นบริหารร้านสตาร์บัคส์ในหลายประเทศแทบเอเชีย และ F&N Retail Connection บริษัทด้านเครื่องดื่มในเครือไทยเบฟเวอเรจ  ทั้งนี้เพื่อโฟกัสการทำตลาด 2 ตลาดใหญ่ คือ จีนและสหรัฐฯ อย่างจริงจังมากขึ้น

และมีการคาดการณ์ว่าปัจจุบันธุรกิจของสตาร์บัคส์ในประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านเหรียญฯสหรัฐ

ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ได้มีการขายไลเซ่นในประเทศฝรั่งเศสและประเทศในกลุ่มยุโรป  รวมไปถึงฮ่องกงและไต้หวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คาดว่าดีลนี้จะจบภายในสิ้นเดือนนี้

 

SENA ขน 6 โครงการพร้อมอยู่ทำเลฮอต สะท้านฝน แจกเบอร์ใหญ่ “ซื้อบ้านแถมรถ” ไม่ต้องลุ้น!! [PR]

$
0
0

ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ทางเสนาเตรียมจัดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อตลอดเดือนมิถุนายน ภายใต้แคมเปญพิเศษ “ซื้อบ้านแถมรถ” และได้คัดโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม/ โฮมออฟฟิศ และช้อปเฮ้าส์ กว่า 6 โครงการ พร้อมเข้าอยู่ มาจัดโปรโมชั่นมอบข้อเสนอสุดพิเศษแถมรถ รวมมูลค่าสูงสุด 1 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 โครงการ ประกอบ โครงการเสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา – วงแหวน เริ่ม 6-8 ล้าน แถม Toyota Yaris 1.2 J ECO AUTO มูลค่าราคา 489,000 บาท ในวันที่  1-2 มิ.ย. 2562 โครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี-สาย 5 เริ่ม 4.9- 6 ล้านบาท แถม Toyota Yaris 1.2 J ECO AUTO มูลค่าราคา 489,000 บาท ในวันที่ 15-16 มิ.ย. และโครงการเสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา เริ่ม 10-12 ล้านบาท แถม MG V80 รุ่น 2.5 L MT ราคา 9.88 แสนบาท ในวันที่ 15-16 มิ.ย. ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเสนาทาวน์ นวมินทร์ 2 ยูนิตสุดท้าย เริ่ม 6-8 ล้านบาท แถม Toyota C-HR รุ่น 1.8 Entry มูลค่าราคา 979,000 บาท และโครงการเสนาทาวน์ รามอินทรา เริ่ม 3 ล้านกว่าบาท แถม Toyota Yaris 1.2 J ECO AUTO มูลค่าราคา 489,000 บาท ช้อปเฮ้าส์ ได้แก่ โครงการเสนาช้อปเฮ้าส์ พหลฯ เริ่ม 5.9 ล้านบาท แถม Toyota Avanza 1.5 E A/T มูลค่า 979,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขายของแต่ละบริษัทยังมีแนวโน้มที่ดี ขณะที่ไตรมาส 2/2562 หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่ออสังหาฯ (LTV : loan to value) ที่มีผลบังคับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้การซื้อ – ขายอสังหาฯ กระทบบ้างจากตลาดนักลงทุน แต่กำลังซื้อจากเรียลดีมานด์ยังมีอยู่โดยเฉพาะตลาดแนวราบที่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง สำหรับลูกค้าที่สนใจโครงการของเสนาสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.sena.co.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1775

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว AvatarOn และ Wiser AvatarOn โฮมออโตเมชั่น เพื่อชีวิตยุคใหม่ที่ไร้กรอบ [PR]

$
0
0
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น เปิดตัว  AvatarOn สวิตช์สุดโมเดิร์นแบบไร้ขอบ เจ้าของคอนเซ็ปต์ ‘Limitless Possibilities’ ที่คว้ารางวัลระดับโลก iF Design Award พร้อมชูความไฮเทคยุคดิจิทัลด้วย Wiser AvatarOn โฮมออโตเมชั่น สำหรับโครงการที่พักอาศัยยุคใหม่ ที่มุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค 4.0 ด้วยเทคโนโลยีเหนือระดับ ที่เล็งเจาะกลุ่มนักออกแบบโครงการที่พักอาศัย คอนโดมิเนียมหรู โรงแรม รีสอร์ท ที่ต้องการฉีกกฎเกณฑ์แนวคิดเดิมๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการต่างๆ

นายกุศล กุศลส่ง รองประธานกลุ่มธุรกิจ Home& Distributions ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เผยว่า “ในสังคมยุคใหม่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป คอนเซ็ปต์ด้านการออกแบบที่พักอาศัยของแต่ละโครงการได้ถูกนำมาเป็นจุดเด่นในการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากเรื่องของราคาและทำเล เพื่อเจาะลึกถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้พัฒนาโครงการ สถาปนิก มัณฑนากร สามารถสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ได้อย่างไร้กฎเกณฑ์ รวมถึงการผนวกเทคโนโลยีในการควบคุมบ้านอัจฉริยะ เพื่อต่อยอดแนวคิด หรือคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ ในการออกแบบที่พักอาศัย โครงการหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรม รีสอร์ท ให้ตอบโจทย์รสนิยม และความพึงพอใจของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด” AvatarOn ถูกออกแบบมาเพื่อโครงการที่พักอาศัยแบบไร้กรอบ การันตีความโดดเด่นด้วยรางวัลระดับโลก iF Design Award 2017 ซึ่งเป็นรางวัลในการแข่งขันการออกแบบในระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก มีกรรมการตัดสินกว่า 60 ประเทศทั่วโลก AvatarOn ช่วยเติมเต็มความต้องการในการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทุกการออกแบบมีความใส่ใจในลายละเอียดปลีกย่อย ฉีกกฎเกณฑ์สวิตช์ไฟแบบเดิมๆ ที่เคยรู้จักในทุกการสัมผัส ภายใต้รูปทรงเพรียวบาง ทันสมัย เรียบแต่หรู ตัวสวิตช์ให้แสงไฟอ่อนๆ ยามดับไฟ ง่ายในการทำความสะอาดด้วยวัสดุตัวผลิตภัณฑ์มันวาวฝุ่นไม่จับ มีสีมาตรฐานให้เลือก 4 สี ได้แก่ ไวท์ (White) ไวน์โกลด์ (Wine Gold) เมทัลโกลด์ (Metal Gold) และดาร์ควูด (Dark Wood) นอกจากนี้ผู้ออกแบบสามารถสรรสร้างลายพิเศษในคอนเซ็ปต์ที่ไม่เหมือนใคร ผ่านทางชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อความสอดคล้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภาพรวม เช่น ลายเดียวกับวอลเปเปอร์ที่ออกแบบ ลายเส้นสาย ลายหินอ่อน ลายภาพวาดศิลปะ หรือในแบบที่ทะลุขอบจินตนาการ นอกจากนี้ในการดีไซน์ของ AvatarOn ไม่ได้มีแค่สวิตช์ไฟ ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ อีก เช่น เต้ารับยูเอสบีชาร์จเจอร์ที่มีการซ่อนที่วางมือถือแบบพับได้ในตัวเอง หรือสวิตช์ไฟแบบซ่อนที่แขวนพวกกุญแจ (สำหรับโครงการที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยแบบมีประสิทธิภาพ) เต้ารับบางรุ่นมีปุ่มเปิด/ปิดกระแสไฟ หากไม่ได้ใช้บ่อย เพื่อความปลอดภัยของผู้พักอาศัยฯลฯ

พร้อมกันนี้ AvatarOn ยังถูกรวมเป็นหนึ่งในดีไซน์แห่งเทคโนโลยี โฮมออโตเมชั่น Wiser AvatarOn ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยแต่ละอุปกรณ์ในโซลูชั่นยังคง DNA แห่งอัตลักษณ์ของ AvatarOn เพิ่มความสามารถด้านเทคโนโลยี พลิกโฉมบ้านธรรมดา ให้เป็นบ้านอัจฉริยะ ในการสั่งเปิด/ปิด ไฟ ระบบม่าน แอร์คอนดิชั่น ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย และเซ็นเซอร์น้ำรั่ว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิดปิด ประตู-หน้าต่าง เป็นต้น AvatarOn จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในไอเดียให้กับนักออกแบบโครงการที่ต้องการสร้างคอนเซ็ปต์ที่พักอาศัยแนวใหม่แล้ววันนี้ ค้นหาไอเดียเพิ่มเติมคลิ๊ก https://www.se.com/th/en/work/products/product-launch/avataron/

น้ำมะพร้าวธรรมชาติ 100% จาก Tipco คู่หูที่รู้ใจคนใหม่ของนักวิ่ง [PR]

$
0
0

หลายๆ คนอาจคิดว่าน้ำเปล่าและเครื่องดื่มเกลือแร่เท่านั้นที่สามารถช่วยทดแทนการสูญเสียเหงื่อได้ โดยเฉพาะนักวิ่ง ที่เป็นภาพที่เรามักจะคุ้นชินว่าต้องดื่มน้ำระหว่างการวิ่งระยะไกล แต่นอกจากเครื่องดื่มเหล่านี้แล้ว ยังมีผู้ช่วยคนใหม่ของนักวิ่งและนักกีฬาทั้งหลายอย่าง “น้ำมะพร้าว” เครื่องดื่มเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ซึ่งตอบโจทย์นักวิ่งและผู้ที่ออกกำลังกายที่ต้องการชดเชยทั้งการสูญเสียเหงื่อและอิเล็กโทรไลต์ (เกลือแร่ในร่างกาย) โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีสภาพอากาศที่มีความร้อนค่อนข้างสูง อาจทำให้นักวิ่งเกิดการเสียเหงื่อและเกลือแร่ได้ง่าย นอกจากนี้นักวิ่งมาราธอนส่วนใหญ่ต้องเคยประสบอาการเหนื่อยล้า ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากการวิ่ง หรือเรียกว่า ภาวะการฟื้นตัวของร่างกาย โดย “ทิปโก้ น้ำมะพร้าวธรรมชาติ 100 %” เปรียบเสมือน “Natural Electrolyte Beverage (เครื่องดื่มเกลือแร่ธรรมชาติ)” เพราะอุดมไปด้วยเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีน้ำตาลกลูโคสและฟรุกโตสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที แถมยังช่วยคืนความสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิ่งมาราธอน นอกจากการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการวิ่ง เครื่องดื่มก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน น้ำมะพร้าวจึงเหมาะเป็นคู่หูคนใหม่ที่รู้ใจตอบโจทย์นักวิ่งและนักกีฬาที่คืนสมรรถนะหลังจากการออกกำลังได้รวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้คุณประโยชน์ของ “ทิปโก้ น้ำมะพร้าวธรรมชาติ 100 %” นอกจากให้พลังงาน และบรรเทาความอ่อนเพลียแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่ใครหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย แคลอรี่ต่ำ ช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดี สามารถตอบโจทย์นักวิ่งหรือผู้ออกกำลังกายที่กำลังควบคุมน้ำหนักและดีต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะ ทิปโก้ เล็งเห็นความสำคัญของน้ำมะพร้าว “ทิปโก้ น้ำมะพร้าวธรรมชาติ 100 %” จึงเน้นไปที่ส่วนผสมจากธรรมชาติของน้ำมะพร้าวเป็นหลัก โดยมีการใช้น้ำมะพร้าวจากลูกมะพร้าวสด 100% ซึ่งไม่มีการเติมแต่ง รวมทั้งมีแร่ธาตุและเกลือแร่จากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ โพแทสเซีย แมกนีเซียม,ฟอสฟอรัส,แคลเซียม และโซเดียม ที่สามารถช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย ชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อของนักวิ่งและผู้ออกกำลังกาย ได้ดี ช่วยรักษาสมดุลการทำงานต่างๆ ของร่างกาย และทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วหลังจากการออกกำลังกายอีกด้วย ร่วมเปลี่ยนน้ำมะพร้าวให้เป็นน้ำดื่มในใจของคุณ พร้อมเพิ่มพลังเติมความสดชื่นได้แล้ววันนี้ที่ ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำต่างๆ ได้แก่ Tesco, BigC, Tops, The mall, Villa, Foodland และ Makro

กรุงศรีฯ ต้อนรับ CEO คนใหม่ “เซอิจิโระ อาคิตะ” [PR]

$
0
0

ตามที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงนั้น นายเซอิจิโระ อาคิตะ ได้เข้าทำหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา

นายเซอิจิโระ อาคิตะ มีประสบการณ์ทำงานกว่า 30 ปีในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นบนเส้นทางการทำงานกับ MUFG Bank มาโดยตลอด ทั้งนี้ ก่อนที่จะมาร่วมงานกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา นายอาคิตะดำรงตำแหน่ง Managing Executive Officer ของ MUFG Bank ณ นครนิวยอร์ก โดยก่อนหน้านั้น นายอาคิตะได้เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับผู้นำในหลากหลายตำแหน่งสำคัญของ MUFG Bank ทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยรับผิดชอบดูแลงานด้านความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ การผสานและควบรวมกิจการ การวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ระดับโลก ตลอดจนโครงการสำคัญๆ ของ MUFG ด้วยประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล รวมถึงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง นายอาคิตะจะนำพากรุงศรีสู่ความเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดจนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ภายใต้แผนพัฒนาธุรกิจระยะกลาง (Medium Term Business Plan) ของกรุงศรี ตามพันธกิจของธนาคารในการมุ่งสู่การเป็นกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทย นายอาคิตะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัย Keio โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และระดับปริญญาโทด้านการจัดการจาก Arthur D. Little School of Management บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

คอนเซ็ปท์มันได้! Fox ส่งโปสเตอร์หนังแวมไพร์ ที่พร้อมจะลุกเป็นไฟเมื่อเจอความร้อนจากแสงอาทิตย์

$
0
0
โปสเตอร์ในระหว่างติดตั้ง กับเมื่อเจอแสงแดด

“The Passage” ซีรีส์แวมไพร์จากค่าย Fox เจอครีเอทีฟมือฉมัง จับมาโปรโมตด้วยโปสเตอร์เวอร์ชันพิเศษที่ออกแบบให้ลุกเป็นไฟเมื่อเจอความร้อนจากแสงอาทิตย์ โดยถือเป็นการล้อกับความเชื่อที่ว่า แวมไพร์ถ้าหากโดนแสงแดดเมื่อไรก็จะพ่ายแพ้ถูกเผาไหม้เป็นจุณนั่นเอง

ส่วนจะทำอย่างไรให้เกิดไฟได้นั้น ทีมครีเอทีฟจากค่าย BETC เผยเคล็ดลับว่า มาจากสีที่ใช้ที่มีการเพิ่มส่วนผสมอย่างโพแทสเซียม เปอร์แมงกาเนต หรือด่างทับทิม กับกรดซัลฟิวริกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อรวมกับการติดตั้งโปสเตอร์ดังกล่าวบนตู้แบบโปร่งใส ก็ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมากระทบเข้ากับภาพโดยตรง และเกิดลุกเป็นไฟได้ในที่สุด

โดยทีมงานเลือกที่จะติดตั้งโปสเตอร์แวมไพร์เรื่องนี้ในตอนกลางคืน บนถนนแห่งหนึ่งในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล และได้รับความสนใจจากผู้ที่เดินผ่านไปมามาถ่ายรูปกับโปสเตอร์ไม่น้อยเลยทีเดียว

Source


แถลงการณ์ “สตาร์บัคส์”ตกลงมอบสิทธิ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ให้บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ ประเทศไทย

$
0
0

ซีแอตเทิล 23 พฤษภาคม 2562 – วันนี้ สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ประกาศการลงนามในสัญญากับบริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของบริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด (Maxim’s Caterers Limited) และ บริษัท เอฟแอนด์เอ็นรีเทล คอนเนคชั่น จำกัด (F&N Retail Connection Co., Ltd.) ให้เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย พร้อมขยายการเติบโตของตลาดในประเทศต่อไป ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้

“เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่สตาร์บัคส์ได้เริ่มดำเนินธุรกิจและส่งมอบประสบการณ์สตาร์บัคส์ ให้กับลูกค้าในประเทศไทย การตกลงร่วมลงนามในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์บัคส์ และเรามีความยินดีที่ได้มอบสิทธิ์ในการบริหารธุรกิจแก่ บริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด และ บริษัท เอฟแอนด์เอ็นรีเทล คอนเนคชั่น จำกัด ที่มีความมุ่งมั่นในการขยายโอกาสการเติบโตของสตาร์บัคส์ในประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง” จอห์น คัลเวอร์ ประธานกลุ่มบริษัทสตาร์บัคส์ อินเตอร์เนชันแนล ฝ่ายพัฒนาช่องทางจำหน่ายและผลิตภัณฑ์กาแฟและชา กล่าว

สตาร์บัคส์เริ่มเปิดสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2541 ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งตั้งอยู่ในย่านศูนย์การค้าระดับพรีเมี่ยม และตั้งแต่นั้นมา สตาร์บัคส์ได้ส่งมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ที่ดีให้กับลูกค้ามาโดยตลอดผ่านร้านทั้ง 372 สาขา ทั่วประเทศ นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ยังได้เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรกในเอเชีย ที่ถนนหลังสวน กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2556 ซึ่งสตาร์บัคส์ ได้มอบรายได้ 10 บาท จากการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วจากร้านแห่งนี้ ให้กับ องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (The Integrated Tribal Development Program) หรือ ไอทีดีพี เพื่อเป็นเงินสนับสนุนในการพัฒนาโครงการด้านการศึกษา สุขอนามัยในชุมชนของพวกเขา

บริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด เป็นผู้บริหารธุรกิจร้านกาแฟสตาร์บัคส์ในตลาดสำคัญหลายแห่งทั่วเอเชีย รวมถึงเป็นพันธมิตรและร่วมดำเนินธุรกิจกับสตาร์บัคส์มาอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นจากการเปิดร้านสตาร์บัคส์สาขาแรกที่เกาะฮ่องกงร่วมกันเมื่อปี พ.ศ. 2543

“เราตั้งตารอที่จะได้นำความเชี่ยวชาญของเรา กับความตระหนักเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวัฒนธรรมและแบรนด์สตาร์บัคส์ที่ได้สั่งสมมา เพื่อมอบบริการที่ดีให้กับลูกค้าผ่านพาร์ทเนอร์(พนักงาน) ผู้ซึ่งมีความรู้และความลุ่มหลงในกาแฟ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต่อไป” ไมเคิล วู ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด กล่าว “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้เป็นผู้ส่งมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจในประเทศไทยต่อไป“

ปัจจุบัน บริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการร้านสตาร์บัคส์กว่า 400 สาขา ในตลาดกัมพูชา ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และเวียตนาม ซึ่งมีการจ้างงานพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) กว่า 6,000 คนทั่วทั้ง 5 ตลาด ภายใต้กิจการร่วมค้าใหม่นี้ แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จะเป็นผู้ดูแลธุรกิจค้าปลีกและการขยายสาขาในตลาดประเทศไทยต่อไป

“แมคฯ รักผึ้งนะ” McDonald’s เปิดตัวร้านแมคเล็กที่สุดในโลก ที่มีผึ้งเป็นลูกค้าคนสำคัญ

$
0
0

ในบางประเทศ อาจมีหลายคนดีใจที่ได้เห็นจำนวนประชากรผึ้งลดลง แต่ไม่ใช่สำหรับสวีเดน ประเทศที่ชาวเมืองเริ่มมองปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ โดยมีข้อมูลงานวิจัยจากกรีนพีซมาช่วยยืนยันว่า ผึ้งมีส่วนสำคัญในการผลิตอาหาร เนื่องจากผึ้งคือผู้ช่วยผสมเกสรของพืชทั่วไปตามธรรมชาติถึง 80% และ 70% สำหรับพืชที่เป็นอาหารของมนุษย์ ดังนั้น การลดลงของประชากรผึ้งย่อมกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์เราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หนึ่งในแบรนด์ที่มองเห็นปัญหานี้ด้วยเช่นกันก็คือ McDonald’s เพราะบริษัทมีสาขาเกือบ 38,000 แห่งใน 100 ประเทศทั่วโลก และการจะรักษาแบรนด์ McDonald’s ให้ยั่งยืนจำเป็นต้องพึ่งพา “ผึ้ง” อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ร้าน McDonald’s ในสวีเดนจำนวนหนึ่งจึงเริ่มสร้างหลังคาของร้านให้เป็นที่อยู่สำหรับผึ้ง เพื่อที่พวกมันจะได้เพิ่มจำนวนประชากรอย่างปลอดภัย รวมถึงเพิ่มกระถางต้นไม้ – ดอกไม้รอบ ๆ ร้านแทนการสร้างสนามหญ้าด้วย

และในวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันผึ้งโลก McDonald’s ร่วมกับดีไซเนอร์มือรางวัลชาวสวีเดนอย่าง Nicklas Nilsson ได้ร่วมกับสร้างผลงาน McHive หรือร้าน McDonald’s ที่เล็กที่สุดในโลกขึ้นมาเป็นกิมมิคเล็ก ๆ โดยบอกว่าร้านแห่งนี้จะสามารถต้อนรับแขกสำคัญอย่างผึ้งได้นับพันตัวเลยทีเดียว

โดยร้าน McDonald’s ที่เล็กที่สุดในโลกนี้ได้ถูกประมูลไปในราคา 7,885 ปอนด์ หรือประมาณ 320,000 บาท และรายได้ดังกล่าวจะถูกส่งมอบให้กับมูลนิธิ the Ronald McDonald House charities ต่อไป

ข้อมูลจากกรีนพีซยังระบุด้วยว่า หน้าที่การผสมเกสรของผึ้งนี้ หากตีเป็นมูลค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้วพบว่ามีมูลค่าถึง 265,000 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า แคมเปญนี้จะทำให้มนุษย์เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น ว่าผึ้งก็อยากมีสภาพแวดล้อมที่จะอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยไม่ต่างจากมนุษย์เช่นกัน

Source

Source

เข้าใจอินไซต์! ต่อไปนี้นิ้วไม่เปื้อนด้วย Potechinote ไม้หยิบมันฝรั่ง แถมเอามาจิ้มมือถือได้ต่อ

$
0
0

Takara Tomy บริษัทของเล่นของญี่ปุ่นสร้างสรรค์ “ไม้จับมันฝรั่ง” ขึ้นมา ด้วยความเข้าใจในอินไซต์ของผู้บริโภคยุคใหม่ว่าไม่อยากมือเปื้อน เพื่อเล่นโทรศัพท์มือถือ จนออกมาเป็น Potechinote (อ่านออกเสียงว่า Po-tay-chi-no-tay ซึ่งอาจจะแปลได้ว่า เครื่องมือหยิบมันฝรั่งเพื่อคุณ)

ไม้หยิบมันฝรั่งที่ว่านี้นอกจากมีฟังก์ชั่นช่วยคีบมันฝรั่งใส่ปาก แทนที่นิ้วมือเราแล้ว ที่ปลายด้าม ยังติดตั้งวัสุดที่ช่วยให้สัมผัสหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

นอกเหนือจากนั้น เรื่องของการออกแบบยังมีให้เลือกหลากหลายสี ไม้หยิบมันฝรั่งอันนี้จะวางจำหน่ายวันที่ 29 มิถุนายน ราคา 1,280 เยน หรือประมาณ 12 เหรียญ

พบกับที่สุดของศิลปะเค้กน้ำตาลปั้น “ยูนิคอร์น ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ในงาน Lin Thailand Sweet Creation 2019 วันที่ 8 – 10 มิ.ย.นี้ [PR]

$
0
0

 

ที่สุดของความอลังการเค้กน้ำตาลปั้นยูนิคอร์นและเจ้าหญิงจากเทพนิยาย ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อต้อนรับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของงาน Lin Thailand Sweet Creation 2019 สุดยอดงานสร้างสรรค์ศิลปะ ด้วยน้ำตาล และการเฟ้นหาสุดยอดแชมป์นักปั้นน้ำตาลฟองดอง เพื่อสนับสนุนเข้าแข่งขันใน งานประกวดเค้กโลกในปี 2019 ณ ประเทศอังกฤษ

ศิลปะเค้กน้ำตาลปั้น “ ยูนิคอร์น ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ” และคาราวานเค้กน้ำตาลปั้นที่สร้างสรรค์จากจินตนาการของศิลปินทั้งเค้กเจ้าหญิงกับปราสาทในเทพนิยาย และเค้กน้ำตาลปั้นอีกหลายรูปแบบสุดอลังการมากกว่า 60 ชิ้น ที่จะมาจัดแสดงให้ทุกท่านได้ชมความงดงาม และความคิดสร้างสรรค์พร้อมกิจกรรม Workshop เพื่อสร้างทักษะทางศิลปะ อาทิ คลาสสอนปั้นน้ำตาล ฟองดองสำหรับคุณหนู, คลาส Workshop สำหรับผู้ที่สนใจในการปั้นน้ำตาลฟองดองและการทำ เบเกอรี่, การประกวดเพื่อหาสุดยอดนักปั้นน้ำตาลฟองดองและโอกาสที่จะได้พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์พร้อม รับฟังเคล็ดลับความรู้จากสุดยอดกูรูขั้นเทพทางด้านเบเกอรี่

กลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ผู้ผลิตน้ำตาลลิน เชิญร่วมงาน Lin Thailand Sweet Creation 2019 ยกระดับวงการเค้กน้ำตาลปั้นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างพร้อมจัดประกวด Cake Competition เฟ้นหาสุดยอดนักปั้นเค้กน้ำตาลเพื่อสนับสนุนให้เข้าประกวดในงานระดับโลก Cake International

พร้อมเชิญสุดยอดเค้กดีไซเนอร์ คุณโอปอล์ ลิปปกร ปรียาภาบุลกิต เจ้าของตำแหน่งแชมป์ Best Of Gold จากงาน Cake International 2018  มาร่วมเนรมิตผลงานเค้กน้ำตาลปั้นจากเทพนิยายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งไฮไลท์ของทั้งสามวันจัดงานจะได้พบกับ การจัดแสดงผลงานเค้กน้ำตาลปั้นสุดอลังการ , กิจกรรม Workshop สาธิตแนะนำเคล็ดลับต่างๆ จากแขกรับเชิญพิเศษ อาทิ คุณพล ตัณฑเสถียร , คุณโอปอล์ ลิปปกร  พร้อมกิจกรรมจากกลุ่มรวมนักเบเกอรี่ชื่อดังได้แก่ “กลุ่มเบเกอรี่โซไซตี้” และ “ห้องรวมสูตรขนมไทย เบเกอรี่” พร้อมทั้งกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายภายในงาน

โดยงาน Lin Thailand Sweet Creation 2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 8 – 10  มิถุนายนนี้  ณ ลานอีเดน  ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์  โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียด  พร้อมลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิภายในงาน ได้ที่ Facebook : Lin Sugar Sweet Creation

F&N แจงชัด ดีล Starbucks ไม่เกี่ยว “ไทยเบฟฯ”แต่เป็นการรุกพอร์ต “กาแฟ”ของ F&N เอง

$
0
0

เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ประกาศในวันนี้ว่า บริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเน็คชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเข้าร่วมกับ Maxim’s Caterers Limited (“Maxim’s”) ตั้งกิจการร่วมค้าชื่อ บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด (“CCT”)เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด (“สตาร์บัคส์ประเทศไทย”) นับเป็นกลยุทธ์ล่าสุดของ F&N ในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในประเทศไทย ที่ F&N ได้ทำธุรกิจมากว่า 20 ปีอย่างมั่นคงและยั่งยืน

การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะเพิ่มตราสินค้าชื่อดังให้แก่พอร์ตโฟลิโอของ F&N ซึ่ง F&N ในประเทศไทยมีรายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาทในปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยสำหรับกลุ่มสินค้านมกระป๋อง โดยมี ทีพอท ตราหมีและคาร์เนชั่นเป็นตราสินค้ากลุ่มนมข้นหวาน นมสเตอริไลส์ และนมข้นจืดที่ผู้บริโภคชื่นชอบ  F&N ยังคงมุ่งหน้าขยายสินค้ากลุ่มไอศกรีมและนมในประเทศไทยด้วยการออกสินค้าใหม่จาก แมกโนเลีย ในปี 2561

คุณโก๊ะ โป๊ะ เตียง (Mr. Koh Poh Tiong) กรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร ให้ความเห็นว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 3 ตลาดหลักของ F&N และเรายินดีที่สามารถตอกย้ำและขยายธุรกิจในประเทศไทยผ่านการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ นอกจากนี้ ตลาดค้าปลีกกาแฟระดับพรีเมียมในประเทศไทยยังมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และสตาร์บัคส์ซึ่งมีจำนวนร้าน 372 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต  เรายินดีที่จะได้ร่วมงานกับMaxim’s ซึ่งมีประวัติการทำธุรกิจที่ดีกับสตาร์บัคส์มาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในร้านสตาร์บัคส์ต่อไป”

Maxim’s เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ คอมพานี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน และเป็นผู้ดำเนินงานและพัฒนาร้านค้าปลีกกาแฟสตาร์บัคส์ในฐานะบริษัทที่ได้รับสิทธิให้ใช้เครื่องหมายการค้าสตาร์บัคส์มาตั้งแต่ปี 2543 โดยในปัจจุบันMaxim’s ประกอบกิจการร้านสตาร์บัคส์ในฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา

Viewing all 21699 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>