Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21835 articles
Browse latest View live

โฮมโปร 9 เดือนยังทำกำไรแม้ไม่เปิดสาขาใหม่ แต่ไตรมาส 3 ผลประกอบการยังพลาดเป้า [PR]

$
0
0

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย สำหรับช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ว่า มีรายได้รวมจำนวน 48,859.00 ล้านบาท เติบโต 3.51% มีรายได้จากการขาย จำนวน 45,720.21 ล้านบาท เติบโต 3.51% ซึ่งมาจากยอดขายสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย และมีรายได้จากค่าเช่าและบริการ จำนวน 1,437.25 ล้านบาท เติบโต 4.22% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าสาขาใหม่ของสาขาโฮมโปร นอกจากนี้ยังมีส่วนของรายได้อื่นจำนวน 1,701.55 ล้านบาท เติบโต 3.02% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า รวมถึงรายได้จากค่าบริการ “Home Service”

ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,926.85 ล้านบาท เติบโต 16.86% มีกำไรขั้นต้น จำนวน 12,402.60 ล้านบาท เติบโต 7.63% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.09% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 27.13% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการปรับปรุงแผนการจัดซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโฮมโปร และเมกาโฮม

บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 10,411.53 ล้านบาท เติบโต 3.41% เทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า ต้นทุนค่าขนส่ง ค่าเช่า และค่าซ่อมแซม อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการลดลงจาก 22.79% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.77%

ในช่วงไตรมาส 3 โดยปกติถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจค้าปลีกที่เกิดจากผลกระทบของฤดูกาลเป็นหลัก ซึ่งปีนี้มีปริมาณฝนตกมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้ามาจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ถึงแม้ว่าภาคการส่งออกและท่องเที่ยวจะยังขยายตัวก็ตาม แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ที่ผ่านมา บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า โดยได้มีการจัดงาน โฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ที่เมืองทองธานีในช่วงเดือนกรกฎาคม รวมถึงการจัดงานโฮมโปร แฟร์ ในเมืองที่ยังมีการเติบโต เช่น หาดใหญ่ ตลอดจนการจัดกิจกรรม “ฉลองโฮมโปรครบรอบ 22 ปี” ในทุกสาขา เป็นต้น

สำหรับไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีการเปิดสาขาใหม่  ซึ่งถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัท มีสาขาในรูปแบบต่างๆ  คือ 1.โฮมโปร จำนวน 82 สาขา 2. โฮมโปร เอส จำนวน  5 สาขา 3.เมกา โฮม จำนวน 12 สาขา และ 4.โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา  ส่วนในไตรมาสสุดท้ายบริษัทมีแผนเปิดสาขา โฮมโปร เอส ในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลักด้วย


ผลสำรวจชี้ ความสามารถภาษาอังกฤษของคนไทยตกอันดับกราวรูด 11 อันดับ อยู่ในระดับต่ำ!

$
0
0

อีเอฟ เอดูเคชันเฟิสต์ (EF Education First) เปิดเผยผลการจัดอันดับความสามารถทางการใช้ภาษาอังกฤษประจำปีซึ่งสำรวจจากคนจำนวน 1.3 ล้านคนจาก 88 ประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักจากผลการสำรวจพบว่า ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 64 ของโลก ซึ่งล่วงลงจากอันดับที่ 53 ในปีก่อน  และหากเปรียบเทียบในระดับเอเชีย ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 16 จาก 21 ประเทศ

นับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 8 ปี ที่ประเทศสวีเดนติดโผอันดับสูงสุดจากผลการทดสอบความสามารถด้านภาษาอังกฤษ EF FPI ทำให้ประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งติดอันดับหนึ่งในปีที่แล้วลดลงมาเป็นอันดับที่ 2

ประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก แต่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษสูงสุด 15 อันดับแรก

ดร. มิน ทราน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายงานวิจัย กล่าวว่า

“ผลสำรวจพบว่าในระยะเวลา 1 ปี อันดับความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยตกลงไป 11 อันดับ”

และยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การสำรวจ EF EPI แสดงให้เห็นว่าประเทศและบุคคลที่ลงทุนในการศึกษาภาษาอังกฤษ และตระหนักถึงความสำคัญของภาษาซึ่งเป็นตัวผลักดันด้านการแข่งขัน จะเป็นประเทศและบุคคลที่มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลการจัดอันดับของ EF นี้ถูกนำมาเป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญของรัฐบาล บริษัท และผู้ให้ความรู้ เมื่อพูดถึงทักษะด้านภาษาอังกฤษ”

ผลสำรวจเฉพาะประเทศในเอเชีย

ประเด็นที่น่าสนใจในผลการสำรวจประเด็นหลักๆ ของ EF EPI ปีนี้ ได้แก่

  • ยุโรปยังคงเป็นผู้นำระดับโลกด้านความสามารถทางภาษาอังกฤษ โดย 8 ใน 10 อันดับประเทศที่มีความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษสูงสุดเป็นประเทศจากแถบยุโรป
  • นับเป็นครั้งแรกของประเทศในแถบเอเชียที่ติดโผ 3 อันดับแรก คือ สิงคโปร์ อยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก อย่างไรก็ตาม เอเชียยังคงมีช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาค และประเทศที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษต่ำสุด (ประเทศอุซเบกิสถาน อยู่อันดับที่ 86 ของโลก)
  • แอฟริกาแสดงถึงความสามารถด้านภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยประเทศแอลจีเรีย อียิปต์ และแอฟริกาใต้ ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น 2 คะแนนหรือมากกว่า
  • ละตินอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่แสดงถึงความสามารถด้านภาษาอังกฤษโดยรวมลดลงเล็กน้อย ผลคะแนนในภูมิภาคยังคงสม่ำเสมอกว่าที่อื่นๆ โดยมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างประเทศที่มีระดับความสามารถภาษาอังกฤษต่ำสุดและสูงสุด
  • ผู้หญิงยังคงมีทักษะด้านภาษาอังกฤษดีกว่าผู้ชาย โดยความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษระหว่างสองเพศจากทั่วโลกเริ่มแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา
  • ผลสำรวจในแบบสหสัมพันธ์พบว่า ความสามารถทางภาษาอังกฤษในประเทศส่งผลต่อความเท่าเทียม โดยประเทศที่มีความสามารถทางการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นจะมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น โดยพบว่าจำนวนเด็กผู้หญิงในประเทศเหล่านี้ได้รับโอกาสในการเรียนหนังสือเพิ่มขึ้นอีกทั้งยังมีบัญชีเงินฝากในชื่อตัวเองอีกด้วยสามารถดูรายงานผลการจัดอันดับระดับภูมิภาคด้านความสามารถภาษาอังกฤษ EF EPI ปี 2561 ที่ข้อมูลด้านล่างและดาวน์โหลดข้อมูลได้ที่ www.ef.com/epi

ลูกค้าดีแทค BLUE MEMBER รับสิทธิพิเศษส่วนลดสำหรับทานอาหาร โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จากทั่วโลก [PR]

$
0
0

ดีแทค รีวอร์ด มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า BLUE MEMBER รับส่วนลดสำหรับทานอาหารโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จากทั่วโลก จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยความร่วมมือของดีแทครีวอร์ด และโรงแรมวี กรุงเทพฯ โดยหมุนเวียนนำเสนอเชฟชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลกนำเสนอรสนิยมและความคิดสร้างสรรค์ที่มาพร้อมด้วยประสบการณ์บวกเทคนิคส่วนตัว ผ่านอาหารหลากหลายเมนู ให้ลูกค้าได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองแบบ Exclusive ในราคาสุดพิเศษสำหรับลูกค้าคนพิเศษของดีแทคเท่านั้น

นางสาวเพ็ญพงา สุทธิมณฑล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารลูกค้า บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “ภายใต้จุดยืนทางการตลาด ใจดี ดีแทค รีวอร์ด มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก โดยเน้นสิทธิพิเศษใน 3 หมวดคือ อาหารเครื่องดื่ม ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยวดีแทคมุ่งมั่น เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อนำมาสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่แตกต่าง ให้สิ่งที่คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตลูกค้าง่ายขึ้น และยิ้มได้กว้างขึ้น เพราะความสุขและรอยยิ้มของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราลูกค้าไม่เพียงแต่คาดหวังประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ๆ และความคุ้มค่าที่ได้จากแบรนด์เท่านั้นแต่ยังต้องการสิทธิพิเศษจากดีแทคที่ให้ได้มากกว่าจริงๆ และใช้สิทธิได้ง่ายใกล้บ้านและที่ทำงานไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด ดีแทคจึงได้ให้ความสำคัญ ในการพัฒนาดีแทครีวอร์ด อย่างต่อเนื่องใน 2 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มดีกรีประสบการณ์ที่สามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าให้ได้มากที่สุด”

“กิจกรรมส่วนลดสำหรับทานอาหารโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จากทั่วโลก เป็นหนึ่งใน BLUE LIFESTYLE ให้ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า กับสิทธิพิเศษหลายหลายจากพันธมิตรชั้นนำทั้ง Dining,Beauty,Travel,Entertainment และ Shopping มื้อค่ำวันนี้ เป็นการกลับมาเยือนเมืองไทยในครั้งที่สี่ตามคำเรียกร้องกับมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟสเตฟาน บูคง ผู้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมและเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์เมนูอาหารกับรสชาติที่สมบูรณ์ ซึ่งมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “สุดยอดเชฟแห่งเทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส”

ประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้า BLUEMEMBER
สัมผัสชีวิตที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร กับประสบการณ์ประทับใจที่คัดสรรเฉพาะเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์คุณด้วยบริการและสิทธิพิเศษมากมาย อาทิบริการผู้ช่วยส่วนตัว บริการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน บริการช่วยเหลือฉุกเฉินภายในบ้าน บริการรถรับ-ส่งสนามบิน ฟรีเมนูพิเศษจากร้านค้าร้านอาหารชั้นนำ
BLUE DEVICE สิทธิพิเศษสุดดูแลมือถืออย่างมืออาชีพ มอบสิทธิประโยชน์พร้อมส่วนลด ครอบคลุมทุกเรื่องโทรศัพท์มือถือ
BLUE ACCESS สิทธิพิเศษแห่งความสะดวกสบาย ที่ให้คุณมาเป็นที่หนึ่งเสมอสัมผัสได้ถึงความพิเศษทุกครั้ง เพราะคุณคือคนสำคัญของเรา กับประสบการณ์ความสะดวกสบายสูงสุด เพื่อร่วมกิจกรรมความบันเทิงก่อนใครและเข้าใช้บริการได้เร็วกว่าทีสำนักงานบริการลูกค้าดีแทค
BLUE CARE สิทธิพิเศษที่คุณสัมผัสได้ถึงความใส่ใจ ตลอด 24 ชม.แทนความห่วงใยด้วยความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมอย่างอุ่นใจ ไม่ว่าที่ไหน
BLUE LIFESTYLE ให้ทุกไลฟ์สไตล์ของคุณ คือความพิเศษ กับสิทธิพิเศษหลายหลายจากพันธมิตรชั้นนำ พร้อมเสิร์ฟทุกความต้องการ ด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวคุณ ทั้ง Dining,Beauty,Travel, Entertainment และ Shopping เพื่อ Blue Member เท่านั้น

รายละเอียดในwww.dtac.co.th/dtacreward/bluemember/benefits/lifestyle.html
ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะด้วยตนเองผ่านการกด *140# แล้วโทรออกเพื่อรอข้อความตอบกลับ และสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้จาก http://www.dtac.co.th/dtacreward/bluemember.html

ค้าปลีกแดนปลาดิบ ยกธงขาว ประกาศปิดตัวห้างสรรพสินค้ากรุงเทพ-โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค ถาวร

$
0
0

สมรภูมิค้าปลีกประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ขึ้นชื่อว่า “ปราบเซียน” สำหรับทุนข้ามชาติ เพราะต่อให้เงินทุนหนาปึ้ก! ถ้าไม่เจ๋งจริง ไม่สตรองพอ ก็อาจแป้ก! เสียท่าให้กับเจ้าถิ่นพี่ทุนไทยได้อย่างง่ายดาย

การประกาศโบกมือบ๊ายบายของห้างสรรพสินค้า “กรุงเทพ-โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค” แบบ “ถาวร” เป็นเรื่องที่บรรดาขาช็อปปิ้งกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกอยู่บ้าง เพราะหมายถึง “ทางเลือก” ในการจับจ่ายใช้สอยไปอีกหนึ่ง

แต่ในมุมของผู้ประกอบการค้าปลีก คือ บริษัท พีพี รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินกิจการห้างสรรพสินค้ากรุงเทพ-โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค ระยะ 3 ปีที่เปิดดำเนินกิจการมา ต้องเผชิญภาวะ “ขาดทุน” มาโดยตลอด และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น “เท่าตัว” ทุกปี หากไม่รีบหยุดเลือดไหล ในวันที่พฤติกรรมการช็อปปิ้งเปลี่ยน จากเดินไปซื้อสินค้าในห้างค้าปลีกเป็นคลิกช็อปปิ้งด้วยปลายนิ้วผ่านโลกออนไลน์ อาจต้องเจ็บหนักกว่านี้

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา ทางห้างจึงร่อนประกาศผ่านโซเชียลมีเดียให้ลูกค้าประชาชนรับทราบโดยทั่วกันเรื่อง แจ้งปิดทำการถาวร

“ทางบริษัทฯ มีความเสียใจที่จะต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า ห้างสรรพสินค้ากรุงเทพ-โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค จะเปิดให้บริการวันสุดท้าย ณ วันที่ 31มกราคม พ.ศ. 2562

ห้างสรรพสินค้ากรุงเทพ – โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2558 ในรูปแบบห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นและเมื่อไม่นานมานี้ ได้เพิ่มสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น อาทิผัก ผลไม้ตามฤดูกาล เสื้อผ้าแฟชั่น สินค้าเพื่อสุขภาพ อาหารญี่ปุ่น และเป็นห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่ นแห่งเดียวในย่านศรีนครินทร์ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างมาก”

เป็นธรรมเนียมก่อนปิดตัว ทางห้างจะมีการนำสินค้าและบริการต่างๆ ที่มีมาลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ เพื่อระบายสต๊อกและขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณในคราวเดียวกัน

 

ย้อนรอยโตคิว พาราไดซ์ พาร์ค

หลังจากบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด(มหาชน) ตัดสินใจทุ่มงบ 3,200 ล้านบาท เพื่อพลิกห้าง “เสรีเซ็นเตอร์” บนถนนศรีนครินทร์ ให้เป็น “พาราไดซ์ พาร์ค” จุดหมายปลายทางการช็อปปิ้งของคนกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก ด้วยคอนเซ็ปต์ “สวนสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงเทพตะวันออก” รองรับประชากรที่อยู่อาศัยในย่านนั้นจำนวนมาก และผู้คนล้วนมีกำลังซื้อสูงในระดับ เอ บี

การไปเดี่ยวๆ ไม่เพียงพอ เอ็ม บี เค จึงดึงพันธมิตรห้างสรรพสินค้า “โตคิว” มาลุยตลาดค้าปลีกด้วยกัน เป็นหนึ่งในแองเคอร์ “แม่เหล็ก” ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาช็อปปิ้ง

บริษัท โตคิว ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ (ประเทศญี่ปุ่น) จึงตัดสินใจร่วมทุนกับ เอ็ม บี เค โดยทั้งคู่ส่งบริษัทลูก ได้แก่ บริษัท กรุงเทพ-โตคิว สรรพสินค้า จำกัด และ บริษัท พาราไดซ์ รีเทล จำกัด ลงขันกันในสัดส่วน 50% เท่ากัน ลงทุนพัฒนาโตคิว พาราไดซ์ พาร์ค มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท

ห้างสรรพสินค้าโตคิว พาราไดซ์ พาร์ค มีพื้นที่ 13,000 ตารางเมตร(ตร.ม.)แบ่งเป็น 2 ชั้น มุ่งนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง เครื่องแต่งกาย สินค้าแฟชั่นเด็ก สินค้าเครื่องแต่งกายชาย ฯ และยังสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการระดมสินค้าญี่ปุ่นมาขาย แต่ไฮไลท์ที่พูดถึงกันมากคือการตกแต่งภายในด้วย “ทองแท้” และชูคอนเซ็ปต์ห้างญี่ปุ่นที่ดูเรียบง่ายแต่พรีเมี่ยมสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย

3 ปีขาดทุนบักโกรก!

ใส่เงินลงทุนเป็นร้อยล้านเพื่อเปิดห้างบนทำเลกรุงเทพฯโซนตะวันออก จากเดิมมีสาขาอยู่เพียงแห่งเดียวใจกลางกรุงที่เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ จึงไม่แปลกที่บริษัทจะหมายมั่นมากจะให้โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค เป็น “จุดหมายปลายทางนักช้อป” วาดเป้าจะมีคนเข้าห้างไม่หลักหลายหมื่นคนต่อวัน ที่สำคัญหวังจะโกยเงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ผลการดำเนินงานกลับผิดคาดจากที่ตั้งไว้ ซึ่งต่อให้รู้กันดีว่า ช่วง 3-5 ปีแรกของค้าปลีก ไม่ใช่จังหวะคืนทุน แต่จะให้ยอดขาย รายได้ลดลงต่อเนื่อง สวนทางการเติบโต เห็นทีจะไม่ไหว จึงเห็นการ “ยกธงขาว”

บริษัท พีพี รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ดำเนินกิจการห้างสรรพสินค้ากรุงเทพ-โตคิว พาราไดซ์ พาร์ค ตั้งแต่ปี 2558-2560 ผลการดำเนินงานเป็นดังนี้

ปี 2558 รายได้รวม 108,561,571 บาท

            ขาดทุน 65,438,507 บาท

ปี 2559 รายได้รวม 212,945,381 บาท เพิ่มขึ้น 96.15%

            ขาดทุน 89,906,295 บาท ติดลบ 37.40%

ปี 2560 รายได้รวม 188,035,949 บาท ลดลง 11.70%

            ขาดทุน 154,290,103 บาท ติดลบ 71.61%

ส่วนพันธมิตรที่ร่วมทุนคือ บริษัท พาราไดซ์ รีเทล จำกัด ผลการดำเนินงานช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ลดลงไม่ต่างกัน ดังนี้
ปี 2558 รายได้รวม 128,220,225 บาท
มีกำไรสุทธิ 7,379,172 บาท

ปี 2559 รายได้รวม 113,697,110 บาท ลดลง 11.33%
มีกำไรสุทธิ 16,085,552 บาท เพิ่มขึ้น 117.99%

ปี 2560 รายได้รวม 108,924,798 บาท ลดลง 4.20%
ขาดทุน 139,380,650 บาท ติดลบ 966.50%

ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

การหยุดเลือดไหลด้วยการปิดกิจการถาวร อาจเป็นทางรอด และทำให้ “โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ทุ่มงบประมาณและสรรพกำลังทั้งหมดไปโฟกัสสาขาที่มีโอกาสทำเงินเติบโตคงจะดีกว่า

HAPPY ENDINGS นิทรรศการการ์ตูนตลกร้าย จากศิลปิน Joan Cornellà 8 พ.ย. – 3 ธ.ค. นี้

$
0
0

กลับมาอีกครั้งกับนิทรรศการเดี่ยว ครั้งที่ 2 ในประเทศไทยของ โจแอน คอเนลลา (Joan Cornellà) ศิลปินชาวสเปน ผู้มีผลงานโดดเด่นด้วยลายเส้นการ์ตูนสดใสแต่สอดแทรกตลกร้าย ถ่ายทอดความจริงออกมาเป็นจินตนาการชวนขันในคราบงานศิลปะแบบไร้คำพูด อันเป็นที่กล่าวถึงและชื่นชมในหลากประเทศ “HAPPY ENDINGS” (แฮปปี้ เอนดิ้งส์) นิทรรศการล่าสุด นำเสนอผลงานมากกว่า 80 ชิ้นที่จะชวนคุณมาตีความหมายต่างมุมของจุดจบแสนหวานแต่มีลางร้ายในแบบที่คุณคาดไม่ถึง

โดยเฉพาะผลงานชิ้นพิเศษอันไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อนที่โจแอนสร้างสรรค์ขึ้นระหว่างที่พักอยู่ในประเทศไทย ซึ่งหยิบเอาสถานการณ์บ้านเรามาจิกกัดแบบชวนยิ้มเป็นไฮไลท์ของนิทรรศการที่ไม่ควรพลาด ผลงานต่างๆจะถูกนำเสนอตั้งแต่บนผ้าใบแคนวาสไปถึงประติมากรรม นอกจากนี้ยังจะมีการวางจำหน่ายหนังสือ เสื้อยืด กระเป๋าผ้า ซึ่งจะได้รับลายเซ็นจากตัวศิลปินเองด้วย

โดย โจแอน คอเนลลา กล่าวว่า “งานของผมนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีให้กับปัญหาต่างๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วรอยยิ้มเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงความสุขจริงๆ แต่เป็นการเสเแสร้งให้ดูมีความสุขไปวันๆ เท่านั้น ปัญหายังคงอยู่และเราก็ยังพยายามใช้ชีวิตต่อไปเช่นเดิมด้วยความที่งานของผมเป็นการ์ตูนแบบไม่ใส่คำพูดจึงสามารถตีความได้อย่างเปิดกว้างและเข้าถึงได้ในหลายเชื้อชาติ แต่โดยรวมแล้ว 2 ความหมายแฝงในงานแต่ละชิ้นของผมคือความสามารถในการมองข้ามปัญหาเล็กๆ น้อยๆ และร่วมมีความสุขไปกับมันได้”

ด้าน คุณผไทวัฒน์ จ่างตระกูล ผู้บริหาร ฟาร์มกรุ๊ป ในฐานะภัณฑารักษ์ของนิทรรศการ กล่าวว่า “สำหรับฟาร์มกรุ๊ปเราเห็นว่าศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากและสอดแทรกอยู่ในไลฟ์สไตล์ของเราโดยไม่รู้ตัว เรามุ่งหวังให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงความสวยงามของงานศิลปะกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะผลงานศิลปะในรูปแบบใหม่ๆที่ไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะความงามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นสถานการณ์จริงจากมุมมองสร้างสรรค์ เป็นศิลปะที่ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนภาพและบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคม นิทรรศการนี้เป็นการนำเสนองานของ Joan เป็นครั้งที่สองในประเทศไทยภายในเวลาไม่มากนักซึ่งนับเป็นการท้าทายทั้งตัวศิลปินเองให้นำเสนอไอเดียใหม่ๆที่กลั่นกรองได้จากที่เดิมในแบบที่น่าสนใจยิ่งขึ้น และตัวผู้ชมงานให้มาร่วมตีความรับแง่คิดใหม่ๆที่ไม่เคยเอะใจมาก่อนเช่นกัน ถือเป็นประสบการณ์การชมงานศิลปะที่น่าจับตามอง”

สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน จนถึง วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2561 เวลา 11.00-22.00 น. เป็นต้นไป ณ WOOF PACK ศาลาแดง ซอย 1 ราคาบัตรเข้าชมนิทรรศการ 200 บาท
สามารถซื้อล่วงหน้าได้ที่ http://www.ticketmelon.com/event/joancornellahappyendings
และติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ https://joancornella.net/, https://www.facebook.com/joancornellahttps://www.facebook.com/events/2387103327972004/

Instagram: @sirjoancornella #joancornella

ย้อนรอย ‘ไอคอนสยาม’เส้นทาง 5 ปี ก่อนได้ฤกษ์เปิดประตู Global Landmark สู่สายตาชาวโลก

$
0
0

ย้อนหลังไปเมื่อราว 5 ปีก่อน ภายหลังการประกาศความร่วมมือในการเนรมิตรโครงการเมกะโปรเจ็กต์จากภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ด้วยการขับเคลื่อนโครงการยักษ์ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5.4 หมื่นล้านบาท จาก 3 กลุ่มธุรกิจระดับประเทศอย่างบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับการพลิกฟื้นที่ดินแปลงใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ว่ากันว่าตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด บนแนวโค้งที่สวยที่สุดของริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างเป็นเมืองใหม่ในการดึงดูดผู้คนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาอยู่รวมกัน และปักหมุดหมายใหม่ในฐานะ The Next Global Destination บนแผนที่โลก

ความร่วมมือในการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่นี้ถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. 2557 ซึ่งในขณะนั้นสถานการณ์โดยรวมของประเทศไม่ค่อยดีมากนัก สภาพเศรษฐกิจไม่ได้สดใสหรือเอื้อต่อการลงทุนมากนัก แต่ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพที่แข็งแรงของประเทศไทย รวมทั้งต้องการแสดงให้ผู้คนทั่วโลกเห็นว่า นักลงทุนไทยยังมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยอยู่ เมกะโปรเจ็กต์บนพื้นที่ 55 ไร่ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจึงได้เริ่มเดินหน้าขึ้น จนผ่านมา 1,640 วัน ก็ได้ฤกษ์ในการเปิดประตูเมือง “ไอคอนสยาม” แห่งนี้ ให้แก่สาธารณชนจากทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศต่างๆ ภายในอาณาจักรแห่งนี้ด้วยสายตาตัวเองแล้ว

9 พฤศจิกายน 2561 คือวันแรกที่ไอคอนสยามเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ในรอบไพรเวทสำหรับแขกวีไอพี เซเลบริตี้ และสื่อมวลชน ก่อนจะเริ่มเปิดให้สาธารณชนทั่วสารทิศจากทุกมุมโลกเข้ามาได้หลังจากวันที่ 10 พ.ย. เป็นต้นไป

ย้อนรอยเส้นทาง 5 ปี ที่รอคอย

จากความมุ่งมั่น ทุ่มเท และตั้งใจของหลายพันชีวิตที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกๆ องค์ประกอบของโครงการแห่งนี้ ทำให้ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้มีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ลงทุน ทีมวิศวกรก่อสร้าง ศิลปินที่ร่วมสร้างสรรค์ ทั้งบรรดาเหล่า Creators, Makers ในแต่ละภาคส่วน ได้กลับมารวมตัวกันเพื่อประกาศความพร้อมสำหรับการเปิดประตูเมืองไอคอนสยามแห่งนี้

นำทัพโดย คุณแป๋ม ชฎาทิพ จูตระกูล หนึ่งในหัวเรือใหญ่ที่งานนี้ทุ่มสุดตัวกระโดดลงมาดูแลทุกๆ ส่วนของเนื้องานอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง เพื่อให้ทั้ง 7.5 แสนตารางเมตรภายในโครงการ เต็มไปด้วยเรื่องราวและความสร้างสรรค์ที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

คุณแป๋มเล่าย้อนไปถึงวันลงนามสัญญาร่วมทุนเพื่อดำเนินโครงการไอคอนสยามว่า “วันนั้นเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นในการให้คำมั่นสัญญาที่จะต้องสร้างสัญลักษณ์ใหม่ของประเทศไทย ที่จะเป็นทั้งการแสดงอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีของความเป็นไทย สามารถนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย และคนที่รักประเทศไทยทุกคน เพื่อให้มีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับจากชาวโลก โดยเฉพาะการทำให้ไอคอนสยามแห่งนี้เป็นเสมือนจุดบรรจบระหว่างสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทยและสิ่งที่ดีที่สุดของทุกมุมโลก และกลายเป็นตัวแทนในการบอกเล่า 1 ล้านเรื่องราวของประเทศไทยและของคนไทย เป็นการบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ที่คนไทยและชาติไทยมีอยู่ไปสู่ชาวโลก”

  1. ทำไมต้องริมแม่น้ำเจ้าพระยา

หนึ่งในความโดดเด่นของโครงการนี้ คือ มีทำเลตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเลือกเวิ้งน้ำตรงโค้งที่สวยที่สุด รายล้อมด้วยโรงแรม 5 ดาว โดยรอบ ทำให้รายล้อมด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม แต่หนึ่งในความหนักใจของการเนรมิตรโครงการบนทำเลทองแห่งนี้คือ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ลงทุนก็ตาม ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อมาดำเนินการให้เป็นจริงตามฝัน

ขณะที่ความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศมาช้านาน หลากหลายเรื่องราวในประวัติศาสตร์ล้วนเกิดขึ้นและเชื่อมโยงอยู่บนแม่น้ำสายนี้ ที่มีความสำคัญไม่ต่างกับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนในชาติ และเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนเช่นกัน

สิ่งดีงามทั้งหลายในประเทศก็ล้วนเกิดขึ้นบนแม่น้ำสายนี้ เมืองหลวงของประเทศไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็เลือกที่จะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หรือทุกครั้งที่กษัตริย์ของไทยรบชนะ ก็มักจะมีการก่อสร้างอนุเสาวรีย์แห่งชัยชนะที่แสดงถึงพลังและความรุ่งโรจน์ของประเทศไทยบนสายน้ำแห่งนี้เช่นกัน

จนถึงปัจจุบันแม่น้ำสายนี้ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางของความเจริญ โดยที่ยังอยู่ท่ามกลางความงดงามของวัฒนธรมและประเพณี ของชุมชนที่ยังคงตั้งรกรากอยู่คู่กับริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งในวันแรกเริ่มเดินหน้าโครงการคุณแป๋มมองว่า การมาของไอคอนสยามเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ต่างจากจิ๊กซอว์ตัวเล็กๆ ที่จะเข้ามาช่วยจุดประกายความสว่างไสว เพื่อสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กลับมาสู่สายน้ำแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งการดึงสายตาจากคนทั่วโลกให้หันกลับมามองเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนแม่น้ำสายนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถึงวันนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการผลักดันให้ไอคอนสยามเป็น ‘ICONSIAM MASTER THE RIVER’ ตามที่ได้ประกาศไว้ในวันเริ่มต้นโครงการ

2. เข้าบอร์ดครั้งเดียวผ่าน

ย้อนอดีตไปเมื่อ 5-6  ปีก่อน ก่อนที่จะมีโครงการระดับ WORLD ICONIC อย่างไอคอนสยามเกิดขึ้น ที่ดินผืนนี้ยังคงเป็นที่ดินว่างเปล่า ภายในพื้นที่หลายสิบไร่มีแต่โกดังว่างเปล่า และมีท่าเรืออยู่สองท่า แต่ตามกายภาพแล้วถือว่าเป็นที่ดินผืนที่สวยมากแปลงหนึ่ง  แต่อย่างที่รับรู้กันว่า แม้ที่ดินแปลงงามแห่งนี้จะเป็นที่ใฝ่ฝันและต้องการของใครหลายคน แต่หากจะทำโครงการใหญ่ๆ ระดับประเทศ ก็ต้องใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูงมาก เพื่อทำให้โครงการนี้เป็นจริงได้ตามที่ฝัน

จนกระทั่งการมาโคจรพบกันของ 2 แม่ทัพญิงเก่งในแวดวงธุรกิจไทยอย่าง คุณแป๋ม ชฎาทิพ จูตระกูล แห่งสยามพิวรรธน์ และคุณบี ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ แห่งแมกโนเลีย ควอลิตี้ หรือ MQDC ที่ต่างเฝ้ามองที่แปลงดังกล่าวพร้อมกับวาดภาพโครงการหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ด้วยกันทั้งคู่  จนกระทั่งมีโอกาสได้พบและพูดคุยกันและพบว่าต่างคนต่างมีความฝันและจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาโครงการที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย สร้าง New Destination แห่งใหม่ของโลกด้วยการรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดของโลกมารวมกันไว้ในที่เดียว ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลกและเป็นโอกาสที่จะผลักดันให้ความเป็นไทย รวมทั้งชื่อเสียง ฝีมือ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและความดีงามต่างๆ ของคนไทยได้ถูกจดจำไปทั่วโลก

หลังจากการพูดคุยเบื้องต้นระหว่างคุณแป๋ม และคุณบี ทางคุณแป๋มได้นำโครงการนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เนื่องจากต้องขออนุมัติเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อนำเสนอรูปแบบโครงการ และประโยชน์ต่างๆ ที่ประเทศชาติจะได้รับ ทางบอร์ดสยามพิวรรธน์ก็อนุมัติให้เดินหน้าลงทุนโครงการนี้ได้เลยเพียงแค่การนำเสนอครั้งแรกเท่านั้น

3. พื้นที่แห่งการ Co Creation

อีกหนึ่งจุดมุ่งหมายสำคัญของไอคอนสยามคือ การเป็นหนี่งในความภาคภูมิใจที่ทำให้คนไทยทั้งชาติกลับมามองและภาคภูมิใจในความเป็นไทยที่สามารถทำในหลายๆ สิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ โดยเฉพาะคุณค่าและเสน่ห์แบบไทยๆ หรือจินตนาการสร้างสรรค์จนนำมาสู่การถือกำเนิดขึ้นของไอคอนสยาม

จากความร่วมแรงร่วมใจตลอด 5 ปี เพื่อสร้างสรรค์ของศิลปินไทยในทุกๆ แขนง เป็นโครงการที่รวมศิลปินผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดฝีมือ ศิลปินแห่งชาติ รวมทั้งนักวิชาการ ทีมงานวิศวกร สถาปนิก และผู้มีความรู้ในแขนงต่างๆ ภายใต้การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก เพื่อร่วมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ไปด้วยกัน ผ่านสถาปัตยกรรม และนวัตกรรมที่โดดเด่น ที่โลกต้องตะลึงเพราะยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เช่น โครงสร้างอาคารเพดานสูงถึง 23 เมตร โดยไม่ต้องใช้เสาค้ำ เป็นต้น

นอกจากความร่วมมือของศิลปินและทีมก่อสร้างแล้ว ในโครงการยังมีพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์จากกลุ่มผู้ประกอบการไทยจากทั้ง 77 จังหวัด ในชื่อ “สุขสยาม” เพื่อเป็นพื้นที่ของภูมิปัญญาไทยในแต่ละจังหวัดแต่ละท้องถิ่น ทั้งสินค้าเกษตร หัตถกรรม ที่สืบทอดมาแบบรุ่นสู่รุ่นมีโอกาสให้คนจากทั่วทั้งโลกได้รู้จักและสัมผัส ในฐานะหนึ่งจุดหมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยไม่ต่ำกว่าปีบะ 20 ล้านคน จะได้มีโอกาสสัมผัส เรียนรู้ และชื่นชมคุณค่าของศิลปะ วัฒนธรรม และสินค้าของคนไทย เป็นอีกหนึ่งเวทีในการผลักดันให้ Local Hero เติบโตไปสู่การเป็น Global Hero ได้อีกทางหนึ่ง

4. ศูนย์กลาง Global Iconic Store

นอกจากเป็นโอกาสในการนำแบรนด์ไทยไปเติบโตระดับโลก ไอคอนสยามยังได้รวม 500 ร้านค้า ที่มีชื่อเสียงในระดับ Global Brand ซึ่งมีถึง 20% ที่ยังไม่เคยเข้ามาเปิดช็อปในประเทศไทยมาก่อน ซึ่งในการไปพรีเซ็นต์เพื่อดึงแบรนด์ดังระดับโลกเหล่านี้เข้ามา และเป็นการเข้ามาแบบแตกต่างจากทุกๆ ครั้งที่เคยขยายร้านไปยังที่อื่นๆ เพราะแต่ละร้านภายในไอคอนสยามจะเป็นแฟลกชิพสโตร์ทั้งหมด โดยให้แบรนด์ดังๆ ได้มีโอกาสทำงานสร้างสรรค์ร่วมกับศิลปินไทย เพื่อผสานคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ให้เข้ากับความเป็นไทย และจะเป็นคอนเซ็ปต์ร้านที่จะมีอยู่แค่เฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เท่ากับไอคอนสยามแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวม Global Iconic Store ของ 500 แบรนด์ดังระดับโลก

ในส่วนนี้ คุณแป๋ม เล่ารายละเอียดในการไปเชื้อเชิญบรรดาแบรนด์ดังต่างๆ ให้เข้ามาเปิดบริการในไอคอนสยามไว้คร่าวๆ ว่า

“เวลาไปเชื้อเชิญแต่ละแบรนด์เข้ามานั้น เราไม่ได้พรีเซ็นต์ที่ความเป็นไอคอนสยาม แต่เน้นพรีเซ็นต์ถึงประเทศไทย บอกถึงความดีงาม ความแข็งแกร่ง และทิศทางอนาคตที่จะต้องดีของประเทศไทย รวมทั้งแสดงความเชื่อมั่นในฐานะนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย ทำให้แบรนด์เหล่านี้เชื่อมั่นและกล้าเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกันก็พยายามให้แต่ละแบรนด์พรีเซ็นต์ความเป็นตัวเองออกมาในรูปแบบของความเป็นไทย ให้มองข้ามการขายสินค้าไปที่การขายคุณค่า ขายประวัติศาสตร์ ขายนวัตกรรม ขายวิสัยทัศน์ของแบรนด์ และเปิดโอกาสในการสับสนุนคนไทยที่มีความสามารถให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร้านที่มีชื่อเสียงระดับโลก”

ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ไอคอนสยามทำสำเร็จและเป็นที่ฮือฮา คือ คอนเซ็ปต์ของร้านแอปเปิ้ลสโตร์ในไทย ที่สร้างกระแส Viral ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ คุณแป๋มย้ำว่า จะได้เห็นในแบรนด์อื่นๆ ตามมาอีกอย่างแน่นอน

5. สร้างเมืองแล้วต้องสร้างสาธารณูปโภคด้วย

ด้วยโลเกชั่นโครงการไอคอนสยามที่ออกไปจากใจกลางเมือง ต่างจาก World Class Destination อื่นๆ ที่มักจะอยู่โซนใจกลางเมืองมีรถไฟฟ้าเชื่อมผ่าน ทำให้นักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเข้าโครงการได้อย่างสะดวก

ทว่าการถือกำเนิดขึ้นของไอคอนสยาม ยังมาพร้อมกับการอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ตามนโยบายของทางกรุงเทพมหานคร โดยเป็นโครงการแรกและเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ให้การสนับสนุนการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนในเส้นทางนี้จนทำให้การก่อสร้างเส้นทางคืบหน้าไปได้อย่างมาก แม้ว่าจะยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันในวันเปิดตัว 9 พ.ย. 2561 นี้ แต่มีการประกาศจากทางผู้บริหารแล้วว่าอีกไม่นานเกินรอผู้คนย่านฝั่งธนและชาวคลองสานก็จะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีทองอย่างแน่นอน ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเส้นทางนี้ไม่ใช่แค่ลูกค้าของไอคอนสยามเท่านั้น แต่ยังเป็นการอำนวยความสะดวก และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยในย่านดังกล่าวให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ส่วนการโดยสารทางน้ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นทางหลักในการเดินทางมาสู่โครงการนั้น ได้มีการก่อสร้างท่าเทียบเรือ 4 ท่า เพื่อรองรับการสัญจรทางน้ำด้วยเรือยอร์ชส่วนตัว และเรือสำราญของนักท่องเที่ยว รวมทั้งการดูแลและรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกสบายให้กับท่าเรือข้ามฟากทั้ง 73 ท่าริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสามารถให้บริการได้ทันทีหลังการเปิดให้บริการ โดยมีการทำงานร่วมกับตำรวจน้ำ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อมเพื่อยกระดับความปลอดภัย พร้อมการให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างรอบด้าน

ซึ่งภายหลังการเปิดเดินรถเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทอง ไอคอนสยามจะกลายเป็นต้นแบบของจุดเชื่อมโยงการเดินทางทั้งทางรถ ราง และเรือที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

 

การเดินทางมาไอคอนสยาม

สำหรับหลายๆ คนที่กำลังกังวลในการเดินทางมาไอคอนสยาม เพราะรถไฟฟ้าสายสีทองที่มีเส้นทางนำเข้ามาสู่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ และคิดว่าต้องเดินทางเฉพาะทางเรือเท่านั้นหรือไม่ ทางไอคอนสยามได้สรุปเส้นทางสำหรับการเดินทางมายังโครงการในทุกๆ รูปแบบ  ดังนี้

เดินทางด้วยรถไฟฟ้า

1. สถานีกรุงธนบุรี (ออกทางออก 1) มีบริการ Shuttle Bus /Van ทุก ๆ 15 นาที ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 24.00 น.

2. สถานีสะพานตากสิน (ออกทางออก 2) มีบริการ shutter boat ที่ท่าเรือสาทร ตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 23.30 น. เรือออกทุกๆ 10 นาที

เดินทางด้วยเรือ : สามารถใช้บริการ Shuttle Boat ของไอคอนสยาม ได้ที่

ท่าเรือสาทร ให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 น. – 23.30 น.

ท่าเรือ CAT Telecom ให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 23.00 น.

ท่าเรือสี่พระยา ให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 23.00 น.

ท่าเรือราชวงศ์ ให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 23.00 น.

เดินทางด้วยรถยนต์ 

1. ทางด่วนพิเศษศรีรัช

มาจากบางนา-คลองเตย ลงทางออกสาทร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญราษฎร์ ข้ามสะพานตากสิน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญนคร

มาจากแจ้งวัฒนะ ลงทางออกสีลม เลี้ยวซ้ายเจอแยกสุรศักดิ์ เลี้ยวขวาเข้าถนนสุรศักดิ์ แล้วเลี้ยวขวาข้ามสะพานตากสิน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญนคร

2. ฝั่งพระนคร

จากถนนสุขุมวิท เลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิทยุ ตรงมาเข้าถนนสาทร ขึ้นสะพานตากสิน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญนคร

จากถนนเจริญกรุง เลี้ยวขวาเข้าถนนสีลม เลี้ยวขวาเข้าถนนสุรศักดิ์ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสาทร ข้ามสะพานตากสิน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญนคร

จากถนนราชดำเนิน เลี้ยวเข้าถนนวรจักร ข้ามสะพานพระปกเกล้า ถึงวงเวียนเล็ก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสมเด็จเจ้าพระยา ตรงมาเข้าถนนเจริญนคร

จากแยกคลองเตย เลี้ยวเข้าถนนพระราม วิ่งตรงมาข้ามสะพานพระราม 3 ชิดซ้ายทางออกถนนเจริญนคร เพื่อวนลงถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 3 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญนคร

3. ฝั่งธนบุรี

จากถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าสู่วงเวียนใหญ่ ชิดซ้ายสู่ถนนลาดหญ้า แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญนคร

จากถนนราชพฤกษ์ ก่อนถึงสถานี BTS กรุงธนบุรี (S7) ชิดซ้ายเข้าสู่ทางคู่ขนาน เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเจริญนคร

จากถนนราษฎร์บูรณะ ถึงแยกบุคคโล วิ่งตรงเข้าสู่ถนนเจริญนคร

จากถนนอิสรภาพ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนลาดหญ้า เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเจริญนคร

 

5 เหตุผล SB Furniture แตกไลน์ธุรกิจ CONDO SOLUTIONS โฟกัสเต็มๆ เรื่องแต่งคอนโดมิเนี่ยม

$
0
0

เทรนด์การอยู่อาศัยของคนยุคนี้ เลือกจะอยู่คอนโดมิเนียมมากกว่าการอยู่ในบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์  ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ  ไม่ว่าจะเป็นเพราะครอบครัวมีขนาดเล็กลง อยู่กันเฉลี่ย 1-2 คน จากอดีตหนึ่งครอบครัวอยู่กัน 3-4 คน การพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้า ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย โครงการคอนโดฯ จึงเกิดขึ้นเกาะแนวรถไฟฟ้าทุกสาย เพื่อเชื่อมโยงไปยังแหล่งการทำงานของคนส่วนใหญ่  ทั้งดีมานด์และซัพพลายที่เกิดขึ้น  ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญส่งผลต่อเทรนด์การอยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน  และต่อเนื่องไปในอนาคต นี่เองจึงเป็นที่มาของการเพิ่มบริการใหม่ของ SB Furniture เพื่อรองรับเทรนด์คอนโดฯ โดยมีเหตุผลสำคัญดังนี้ 

ข้อแรก: 9 เดือนคอนโดฯ เปิดใหม่ 51,000 ยูนิต

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์​ (ธอส.)  เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโครงการคอนโดฯ​ พบว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีจำนวน 93,683 ยูนิต ส่วนในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้มีจำนวน 44,789 ยูนิต หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  จะพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 35.4% แสดงให้เห็นว่าคนเข้าอยู่อาศัยในโครงการคอนโดฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา  คนก็ซื้อคอนโดฯ และเข้าอยู่กันปีละไม่ต่ำกว่า 70,000 ยูนิต

และหากมาดูจำนวนคอนโดฯ เปิดใหม่ในปีนี้  ใน 9 เดือนแรกก็มีจำนวนกว่า 51,000 ยูนิตแล้ว ส่วนปีที่แล้วก็มีโครงการเปิดใหม่ออกขาย 64,953 ยูนิต ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ปีที่แล้วเปิดขายใหม่ 49,241 ยูนิต เฉพาะช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เปิดใหม่ 31,580 ยูนิต  ดูตัวเลขแล้วน้อยกว่าคอนโดฯ แสดงให้เห็นว่าตลาดคอนโดฯ​ ยังถูกพัฒนาออกมาขายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคอนโดฯ​กว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนได้ก็คงอีก 1-2 ปี  ก็ตาม  แต่ก็แสดงให้เห็นว่าในอนาคตจะมีคนเข้าอยู่คอนโดฯ  มากขึ้น เป็นเทรนด์ที่ชัดเจนตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่

ข้อสอง: เฟอร์นิเจอร์ โตตามธุรกิจอสังหาฯ

ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  ซึ่งอาศัยการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ  ก็มองเห็นเทรนด์การอยู่อาศัยดังกล่าว จึงต้องปรับธุรกิจของตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่มีเพิ่มมากขึ้น  สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ การออกแบบให้มีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งานในห้องชุดของคอนโดฯ  การดีไซน์มุ่งเน้นให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย และเน้นเพิ่มพื้นที่การใช้สอยในห้องให้คุ้มค่ามากที่สุด  ทำให้เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่จะชิ้นเล็ก ตามขนาดและพื้นที่ของห้องชุดคอนโดฯ

แต่ด้วยความหลากหลายของรูปแบบห้อง ที่ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาออกมาขายมากมาย ทำให้บางครั้งเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว  อาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า  เพราะลูกค้าแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างและหลายหลายไม่เหมือนกัน แค่มีสินค้าเฟอร์นิเจอร์หลากหลายรูปแบบมาให้เลือกอาจจะไม่เพียงพอ โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการตกแต่งห้องชุดให้สวยเหมือนห้องตัวอย่าง  หรือตามโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์  ความต้องการเหล่านี้จึงเป็นตัวผลัก  ให้ผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จึงต้องเพิ่มบริการออกแบบห้องชุดคอนโดฯ​ ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า  ที่มีจำนวนมากขึ้นตามปริมาณห้องชุดที่ทำการโอกนกรรมสิทธิ์กันในแต่ละปีเท่านั้น  แต่ยังเป็นอีกแนวทางเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจมากขึ้น เพราะยอดขายต่อการออกแบบหนึ่งครั้ง สูงกว่าขายเฟอร์นิเจอร์เป็นชิ้นๆ หลายเท่าตัว

ข้อสาม: สัดส่วนยอดขายเฟอร์นิเจอร์สำหรับคอนโดพุ่ง ตามกระแสคอนโดฯ ปล่อยเช่า

เมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้  SB Furniture เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าคอนโดฯ  ด้วยการเปิดตัวเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องชุดคอนโดฯ condo fit” ซึ่งขณะนั้นสัดส่วนยอดขายลูกค้าอยู่ในคอนโดฯ ยังมีประมาณ 30% เท่านั้น  แต่จากเทรนด์การอยู่อาศัยในคอนโดฯ เพิ่มมากขึ้น  ทำให้สัดส่วนยอดขายสูงถึง 60-70% ขณะที่ยอดขายเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านเดี่ยว  จากที่เคยมีสัดส่วน 60-70%  ลดลงเหลือประมาณ 30% เป็นเทรนด์สวนทางกันระหว่างการอยู่อาศัยของบ้านและคอนโดฯ ซึ่งทางเอสบี เฟอร์นิเจอร์ มองว่าการอยู่อาศัยในคอนโดฯ  กำลังเป็น “เมกะเทรนด์” สำหรับอนาคตเลยทีเดียว

เพราะไม่เพียงแต่การซื้อคอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยโดยเจ้าของเองแล้ว อีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น  และเป็นอีกลุ่มลูกค้าที่กระตุ้นยอดขายเฟอร์นิเจอร์สำหรับคอนโดฯ คือ กลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่า ซึ่งที่ผ่ามาก็มีเข้ามาซื้อบ้าง แต่ในปีนี้มีภาพชัดเจนขึ้น โดยเอสบี เฟอร์นิเจอร์ มีลูกค้ากลุ่มนี้ถึง 32% ของผู้ที่มาซื้อเฟอร์นิเจอร์สำหรับคอนโดฯ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีบริการ CONDO SOLUTIONS ออกมารองรับตลาดกลุ่มนี้  เพราะเทรนด์ของคนรุ่นใหม่และกลุ่มนักลงทุนในอสังหาฯ มีเพิ่มมากขึ้นมาโดยตลอด  ซึ่ง CONDO SOLUTIONS สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้ด้วยการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ตามแบบในห้องตัวอย่างได้ภายใน 10 วัน ด้วยงบประมาณ 1.2 แสนบาท  สำหรับห้องขนาดพื้นที่ประมาณ 30 ตารางเมตร

ข้อสี่: แก้ Pain Point ความยุ่งยากแต่งห้อง   

เพราะว่าในความเป็นจริงการแต่งห้องคอนโดมิเนี่ยมมีปัญหาเฉพาะอย่างที่ทำให้ลูกค้ามีความกังวลต่อปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการแต่งห้อง อาทิ ไม่รู้จะเริ่มตกแต่งห้องอย่างไร ไม่รู้ว่าจะต้องใช้งบประมาณเท่าไร  มีความต้องการสินค้าที่มีดีไซน์ลงตัวกับห้องคอนโดฯ แต่ไม่รู้จะออกแบบอย่างไรให้เหมาะ  มีปัญหาไม่รู้จะหาผู้รับเหมาได้ที่ไหน และความยุ่งยากในการควบคุมงานตกแต่ง เป็นต้น

ข้อห้า: คู่แข่งมี ต้องไล่กวด

หากมองดูคู่แข่งในตลาดตอนนี้  ไม่ว่าค่าย “อินเด็กซ์” หรือ “อิเกีย” ต่างก็มีบริการด้านการออกแบบและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์เช่นกัน  โดยเฉพาะ “อินเด็กซ์” ได้เปิดตัวทำตลาดและให้บริการใหม่  “ยูนีค บิลต์อิน 4.0 (Youniqe Built-in 4.0)” บริการออกแบบเฟอร์นิเจอร์รวมติดตั้งบิลต์อินครบวงจร ที่ใช้เวลาประมาณ 25-30 วัน เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าอยู่ในคอนโดฯ เช่นกัน  ซึ่งกวาดยอดขายไปก่อนหน้านี้แล้ว

ด้วยเหตุผลที่ว่ามา จึงทำให้ เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดแผนกธุรกิจใหม่ CONDO SOLUTIONS @ SB DESIGN SQUARE เพื่อให้บริการด้านการออกแบบและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์  สำหรับห้องชุดคอนโดฯ โดยเฉพาะ

สำหรับจุดเด่นของบริการ CONDO SOLUTIONS คือ การให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบจนห้องตกแต่งแล้วเสร็จ โดยมีสินค้าให้เลือกครบทุกอย่าง และมีช่างไว้คอยบริการครบ ไม่ต้องหาช่างภายนอก ที่สำคัญการบริการที่คิดขึ้นมา ต้องการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกค้า อย่างเช่น ถ้าไม่มีไอเดียว่าจะแต่งห้องอย่างไร ก็มีห้องตัวอย่างจัดแสดงไว้ 6 แบบ และในเว็บไซต์อีกนับ 100 แบบ ซึ่งนำเอาแปลนห้องคอนโดฯ มาจากผู้ประกอบการชั้นทำแทบทุกบริษัท  ลูกค้าอยากได้แบบไหนก็ทำได้เลย หรือการประเมินราคาค่าตกแต่งได้ทันที เป็นต้น ส่วนบริการอินทรีเรีย ดีไซน์ ที่มีให้บริการก่อนหน้านี้  เป็นรูปแบบของการให้บริการออกแบบห้อง  เพื่อใช้เป็นแบบการตกแต่งและเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์  และไม่ได้มีการบริการครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนจนตกแต่งห้องแล้วเสร็จ เพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้แล้ว  นั่นหมายความว่าจะทำให้สามารถขายเฟอร์นิเจอร์ได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง สำหรับเป้าหมายปีแรกเอสบี เฟอร์นิเจอร์ จะทำยอดขายจากบริการนี้ได้ถึง 300 ล้านบาท

คุณธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ได้เล่าถึงทิศทางธุรกิจในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ว่า มีอัตราการขยายตัวเติบโตได้ที่ประมาณ 4-5% คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสร้างการเติบโตได้ 5% แต่หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาอาจจะเติบโตได้ถึง 10% ด้วยยอดขาย 7,800 ล้านบาท จากปี 2560 มีสามารถทำยอดขายได้ 7,200 ล้านบาท ส่วนในปี2562 บริษัทมีแผนเปิด “เอสบี ดีไซน์สแควร์” อีก 2 สาขา ด้วยงบลงทุน 900 ล้านบาท ได้แก่ สาขาเดอะมอลล์ บางแค พื้นที่ประมาณ 15,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท และสาขาพระราม 2 พื้นที่เกือบ 10,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนประมาณ 300 ตารางเมตร จากปัจจุบันมีทั้งหมด 12 สาขา

Toyota ปรับภาพลักษณ์รถ “น่าเบื่อ” จับความรู้สึกลูกค้าจริงสู่แคมเปญเรียลๆ ด้วยเทคโนโลยี TNGA

$
0
0

ในโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีและดิจิทัล ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น “คู่แข่งทางการค้า” หรือ แม้กระทั่ง “ผู้บริโภค” ที่เหล่านักการตลาดหรือแบรนด์ต่างต้องเร่งสปีดก้าวให้ทันและก้าวให้ล้ำหน้ากว่า เพื่อพิชิตใจพวกเขาและดึงให้กลายมาเป็นลูกค้าของเราให้ได้  ดังนั้นการทำการตลาด ณ ขณะนี้ “การเข้าใจความรู้สึก” ของลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด และแบรนด์โตโยต้าเองก็ได้ยึดสิ่งนี้เป็นหลัก จึงได้จัดแคมเปญที่เล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภคจริงๆ ใน role ของการ TAKE & GIVE กล่าวคือ เริ่มด้วยการ TAKE ความรู้สึกจริงๆของผู้บริโภคก่อน และใช้ product ของตัวเองเป็น Solution ในการเข้าถึงผู้บริโภคได้แบบชาญฉลาด

เมื่อผู้บริโภคมองโตโยต้า “น่าเบื่อ”

จากการสำรวจของโตโยต้า เพื่อ TAKE ความรู้สึกของผู้บริโภคผ่านการโพสต์ตั้งคำถามใน Facebook พบว่า การรับรู้ หรือ Perception ต่อแบรนด์โตโยต้า ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่า รถยนต์โตโยต้าเป็นเหมือนรถครอบครัว  ที่โดดเด่นแค่เรื่องประหยัดน้ำมัน สมรรถนะก็เหมือนรถยนต์ในตลาดทั่วๆไป ไม่มีความโดดเด่นหวือหวามากนัก  นอกจากนี้  ยังพบว่าลูกค้าบางส่วนยังมีความรู้สึกต่อรถโตโยต้า ด้วยความรู้สึกแบบเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความไม่มั่นใจในช่วงล่างของรถ  ขับไม่สนุก หรือแม้แต่รถดูไม่มีความสปอร์ต

ใช้ TNGA เทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างความรู้สึก ใหม่

เมื่อได้รับ Feedback ของผู้บริโภคซึ่งโดยรวมคือเรื่องของ “ความไม่หวือหวา และขับไม่สนุก”  ดังนั้นทางโตโยต้า จึงตั้งเป้าหมายอย่างยิ่งใหญ่ไว้ว่า “หลังจากนี้รถโตโยต้าจะต้องไม่น่าเบื่อ” จึงเป็นที่มาของการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่แห่งอนาคตของรถโตโยต้า ได้แก่ TNGA หรือ Toyota New Global Architecture สถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ ที่จะมาเป็นตัวช่วยสำคัญทำให้รถของโตโยต้ามีแต่ความเร้าใจ และสิ่งนี้เอง คือ Product Solution ที่จะเปลี่ยน Perception ของลูกค้าเสียใหม่ ว่ารถยนต์ของโตโยต้า จะไม่ได้มีดีแค่ฟังก์ชั่น หรือ สมรรถนะพื้นฐานของรถยนต์แบบทั่วไปอีกแล้ว

สำหรับจุดเด่นของสถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ TNGA ที่จะเปลี่ยนทุกความรู้สึกของลูกค้าต่อรถโตโยต้า มีอยู่ 2 ประเด็นหลักสำคัญ  คือ

1.Design ดีไซน์เน้นความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ดุดัน ล้ำสมัยอย่างมาก  ไม่ใช่แค่รถตลาดหรือรถครอบครัวธรรมดาแล้ว  เพราะเทคโนโลยี TNGA ทำให้วิศวกรและดีไซน์เนอร์  สามารถทำงานร่วมกันอย่างอิสระ  ไร้ข้อจำกัดในการออกแบบรถ

2.Performance สมรรถนะด้วยแนวคิดของเทคโนโลยี TNGA ถูกพัฒนาและออกแบบมาจากความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์​  ที่มีกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อเป็นพื้นฐาน  จึงได้พัฒนารถโตโยต้าด้วยแนวคิดเดียวกัน  ไม่ว่าจะเป็น

– Body Rigidity โครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง ช่วยรองรับแรงบิดต่อตัวถัง ส่งผลเรื่องการทรงตัวและเกาะถนนที่ดีเยี่ยม

– Low Center of Gravity ลดอาการโคลง ช่วยการทรงตัวและการเข้าโค้งที่ดีขึ้น

– Good Handling พวงมาลัยปรับจูนใหม่ ตอบสนองแม่นยำ ควบคุมรถง่าย มั่นใจขึ้น

– Excellent Visibility ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยที่กว้างมากขึ้น ลดจุดอับมุมบอดสายตา

– Double Wishbone Suspension  ความนุ่มนวลการขับขี่ แต่ยังคงเกาะถนนดีเยี่ยม

Consumer Experience สัมผัสการขับจริง

เมื่ออยากเปลี่ยนความรู้สึกของผู้บริโภค ก็คงจะไม่มีวิธีไหนที่สามารถทำได้ นอกจากให้ผู้บริโภคไป “สัมผัสด้วยตัวเอง”  แคมเปญ “TNGA Sensation Challenge” จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกสิ่งทุกอย่างแบบที่ต้องการ โดยเริ่มจากการ recruit ผู้บริโภคที่อยากมาทดสอบด้วยตัวเอง เป็นจำนวนทั้งหมด 20 คนผ่านทาง Facebook Fanpage Toyota Motor Thailand โดยจัดทำสนามทดสอบ ให้เสมือนเป็นสนามแข่งจริงๆ ที่พีระ เซอร์กิต พัทยา นอกจากสนามที่มีโค้งท้าทายอยู่แล้วทั้งหมด 11 โค้ง ทางทีมงานยังสร้างอุปสรรคสิ่งกีดขวาง เพื่อให้ผู้บริโภคที่เข้าร่วมได้ทดสอบสมรรถนะที่แท้จริงจาก TNGA ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ผู้เข้าร่วมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  TNGA เปลี่ยนทุกความรู้สึกจริงๆ”   ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคิดเหมือนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของช่วงล่างที่แน่นมาก  เป็นพวงมาลัยในฝันของคนขับรถอยากได้  การทรงตัวที่ดีมาก  มุมมองการมองกว้างทำให้การคอนโทรรถได้ง่าย เหมือนการขับรถสปอร์ตคันหนึ่ง และการเปลี่ยนความกลัวกลายเป็นความสนุกในการขับรถ

MAKING EVER-BETTER CARS

สิ่งที่เราขอชื่นชมจากแคมเปญนี้ของโตโยต้า คือความกล้าของแบรนด์ ที่กล้า Challenge กับความรู้สึกของผู้บริโภค และกล้าที่จะเปลี่ยนแนวคิดของตัวเองเพื่อ support ความรู้สึกและความคาดหวังของผู้บริโภค ซึ่งด้วยดีเทลของแคมเปญ เรามองว่านอกจากได้ใจของผู้บริโภคทั้ง 20 คนที่ได้ไปสัมผัสด้วยเองแล้ว ยังมี potential ในการก่อให้เกิดกลุ่ม TNGA Advocacy ได้ในอนาคตอีกด้วย นับเป็นแคมเปญได้ทั้งในแง่ของ Media Exposure และ Brand Engagement ไปพร้อมๆ กัน

ซึ่งปัจจุบันตลาดในประเทศไทยมีรถยนต์ Toyota C-HR และ Toyota New Camry 2018 เพียง 2 รุ่น ที่ใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้าง TNGA  และในอนาคตโตโยต้ายังตั้งเป้าให้รถรุ่นใหม่กว่า 50% ทั่วทั้งโลก จะต้องถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้าง TNGA ไปจนถึงปี 2020 อีกด้วย และสำหรับใครที่อยากไปสัมผัสเทคโนโลยี TNGA สามารถไปสัมผัสได้แล้ววันนี้ที่ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศหรือที่งาน Motor Expo ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2561 ณ อาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 IMPACT เมืองทองธานี

 


ธนชาต ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2561 ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จังหวัดสมุทรสาคร [PR]

$
0
0

 

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหาร พนักงาน พันธมิตร และลูกค้าของกลุ่มธนชาต อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ถวาย ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) ต.มหาชัย อ.เมือง  จ.สมุทรสาคร โดยมีผู้มีจิตศรัทธาและประชาชนร่วมงานจำนวนมาก และมียอดเงินร่วมทำบุญทั้งสิ้น 15,773,185.40 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปทำนุบำรุงพระอาราม และทางวัดจะมอบเงินเพื่อสมทบทุนสร้างศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลสมุทรสาครด้วย จำนวน 3 ล้านบาท

พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2561 มีขึ้นระหว่างวันที่ 2  – 3 พฤศจิกายน 2561 โดยวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 19.29 น. พระสงฆ์ 10 รูปเจริญพระพุทธมนต์สมโภชองค์พระกฐินพระราชทาน ณ พระวิหารหลวง และวันที่ 3 พฤศจิกายน เวลา 15.39 น. นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ เป็นประธานนำถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พระสงฆ์อนุโมทนา ถวายอดิเรก จากนั้นธนาคารธนชาต  จัดมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ 4 แห่ง แห่งละ 20,000 บาท

นายเกรียงไกร ภูริวิทย์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนชาตอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวงในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 12 วัตถุประสงค์เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระอารามหลวง ปูชนียสถานไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทย และตอบแทนสังคม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปณิธานความดีที่ธนชาตดำเนินควบคู่กับการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด โดยปีนี้ได้นำผ้าพระกฐินพระราชทานถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดป้อมวิเชียรโชติการาม (พระอารามหลวง) จังหวัดสมุทรสาคร โดยได้เชิญชวนลูกค้าและผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญผ่านกล่องรับบริจาค ที่ธนาคารธนชาต ทุกสาขา โอนผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารธนชาต เลขที่บัญชี 325-6-77889-9 ชื่อบัญชี “กฐินพระราชทานกลุ่มธนชาต ประจำปี 2561” โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอน รวมทั้งเชิญชวนให้ทำบุญผ่านช่องทาง e-Donation บนโมบาย แบงกิ้ง แอปพลิเคชั่นของทุกธนาคาร ด้วยการสแกน QR code ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว อีกทั้งไม่ต้องขอเอกสารจากหน่วยรับบริจาค แต่ระบบจะยิงข้อมูลใบอนุโมทนาไปให้กรมสรรพากรโดยตรงเพื่อใช้เป็นหลักฐานลดหย่อนภาษีประจำปีได้ทันทีด้วย

วัดป้อมวิเชียรโชติการาม เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรีชนิดสามัญ ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดท้ายป้อม” หรือ “วัดบ้านป้อม” สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ติดกับป้อมวิเชียรโชฎก เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดสมุทรสาครอีกวัดหนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในปีใด เพียงแต่สันนิษฐานกันว่า น่าจะสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประมาณ พ.ศ. 2323 และผูกพัทธสีมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2330 และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงเมื่อ พ.ศ. 2539 โดยบริเวณที่ตั้งของวัดเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวรามัญ ซึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทย โดยที่ชาวรามัญเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นชุมชนแล้ว จึงได้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา

 

ลาซาด้า เปิดตัวเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย วันเดียวแห่งปี “Lazada 11.11 Shopping Festival” [PR]

$
0
0

ลาซาด้า ประเทศไทย เปิดตัวเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและอาเซียน “Lazada 11.11 Shopping Festival เทศกาลช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันเดียวแห่งปี” ที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นส่วนลดจำนวนมากที่ลดจัดหนัก หั่นจัดเต็ม  ลาซาด้าได้มีการเตรียมพร้อมระบบโลจิสติกส์ นำนวัตกรรมเทคโนโลยีจากอาลีบาบามาอัพเกรดระบบหลังบ้านกันอย่างเต็มสตรีมเพื่อรองรับกับเทศกาลช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลาซาด้า โดยรูปแบบงานที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่นี้นับเป็นปีแรกที่ “Alibaba” และ “Lazada” ควบรวมกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบ

เจมส์ ตง (James Dong) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า “ลาซาด้า พยายามที่จะขยายความสามารถของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อที่จะสร้างนิยามของประสบการณ์
การช้อปปิ้งออนไลน์แบบใหม่ สำหรับลูกค้า ผู้ค้า และแบรนด์สินค้าต่างๆ สำหรับเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ในครั้งนี้ ลาซาด้าได้เตรียมความพร้อมของระบบโลจิสติกส์และฝ่ายบริการลูกค้าสัมพันธ์ รวมทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีจาก
อาลีบาบามาอัพเกรดเพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์รูปแบบใหม่  และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพกับเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด วันเดียวแห่งปี เพราะสิ่งที่จะกำหนดให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซหยุดนิ่งหรือไปต่อได้นั้น ก็คือความสามารถของอีคอมเมิร์ซนั่นเอง ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลับมาซื้อสินค้าได้หรือไม่”

ลาซาด้าพร้อมพาทุกท่านสัมผัสมหกรรมความสนุกแห่งการช้อปปิ้ง รวมโปรเด็ดจากแบรนด์ดังมากกว่า 400 แบรนด์
และผู้ค้ารายย่อยชาวไทยนับหมื่นร้านค้าพร้อมทั้งส่วนลดสูงสุดกว่า 90% พิเศษสุด! พบกับกิจกรรม warm up ให้แฟนๆ ลาซาด้าได้ช้อปได้คุ้มที่สุด ตั้งแต่วันที่ 1-10 พฤศจิกายนนี้  อาทิ midnight surprise แจก voucher เด็ด ที่ลดราคาแบบสุดๆ ให้คุณได้กดสะสมไว้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลา 00.00 – 02.00 น. เพื่อใช้ในวันที่ 11 เดือน 11 นี้ นอกจากนี้ยังมีดีลคูปองส่วนลดกว่ามูลค่ากว่า 200,000 บาท ให้เลือกสะสม แบบง่ายๆ ไม่ต้องจำโค้ด และไม่ต้องเสียเวลากับการเลือกคูปอง เพราะระบบจะเลือกคูปองส่วนลดที่ดีที่สุดให้อัตโนมัติ

และยังมี Feature เด็ดอีกมากมายให้นักช้อปทั้งหลายได้ร่วมสนุกกับโปรโมชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และส่วนลดภายในเกม
ทั้ง 4 เกม ได้แก่

  1. เกม Shake it เขย่าเพื่อรับโชค เพียงล็อคอินเข้าที่แอปพลิเคชั่นของลาซาด้า แล้วเขย่าโทรศัพท์ของคุณเพื่อลุ้นรับดีลส่วนลดต่างๆ มากมาย
  2. เกม Slash It ยิ่งแชร์ ยิ่งลด ยิ่งกด ยิ่งหั่น เกมเอาใจขาช้อปให้คุณชวนเพื่อนมาหั่นราคากัน!! ไฮไลท์สินค้าเด็ดที่เปิดให้หั่นในราคาเพียง 0 บาท อาทิ iPhone 8 Plus 64GB Gold ตั๋วชมภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ ในราคาเพียง 11 บาท บัตรเติมน้ำมันบางจาก บัตรกำนัลสตาร์บัค ในราคาพิเศษ
  3. เกม Crazy flash sales ดีลแรง แซงทุกโปรฯ กับสิทธิพิเศษช้อปสินค้าในราคาที่ตํ่าที่สุด ในเวลาจำกัด
  4. เกม Wonderland ดินแดนมหัศจรรย์ของนักช้อป ฟีเจอร์เกมรับส่วนลดสุดฟินที่จะเปิดตัวในเทศกาล 11 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบใหม่ให้กับนักช้อปชาวไทย โดยมีส่วนลดมากถึง 77 ร้านค้า

ลาซาด้า มุ่งมั่นที่จะมอบสิทธิพิเศษและประสบการณ์การช้อปปิ้งให้กับเหล่านักช้อปชาวไทย ในเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย วันเดียวแห่งปี “Lazada 11.11 Shopping Festival” พร้อมสิทธิพิเศษในช่วง 11.11  เท่านั้น

  1. ส่งเร็ว ส่งฟรีทั่วไทย
  2. สิทธิประโยชน์จากลาซาด้าวอลเล็ต : ชำระเงินสะดวก ปลอดภัย กับลาซาด้าวอลเล็ต เพียงเติมเงินรับเพิ่มทันที 11%
  3. Sticker 11.11: Download ฟรี sticker Line น้องลาซ (Laz) ชุดพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้

หั่นแหลกแจกจริง เอาเบนซ์ไปขับฟินๆ  11.11 นี้
ลาซาด้าแจกจริง Mercedez Benz C220d มูลค่า 2.349 ล้านบาท  กติกาง่ายๆ เพียงทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • เพียงแค่ชวนเพื่อนมาหั่นคูปองรถเบนซ์ ในวันที่ 11 เดือน 11 วันเดียวเท่านั้น รีบหั่นให้เสร็จก่อน 00 น.
  • เมื่อคุณหั่นสำเร็จ คูปองรถเบนซ์จะถูกส่งเข้าไปในบัญชีที่ลงทะเบียนกับลาซาด้าไว้
  • นำคูปองที่ได้ มาซื้อรถเบนซ์ คนแรก คนเดียวเท่านั้น รับรถเบนซ์ไปขับเลยฟรีๆ

ลาซาด้าจัดเต็มความบันเทิง LAZADA 11.11 SUPER SHOW

มาร่วมนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลช้อปปิ้งพร้อมกัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561 ณ ไบเทค บางนา พบกับ LAZADA 11.11 SUPER SHOW สุดยิ่งใหญ่ โดยเริ่มกิจกรรมตั้งแต่ 11.00 น. ภายในงานลาซาด้าได้ขนเอาเซอร์ไพร์สมาให้ลูกค้าได้ฟินไปกับ โชว์สุดอลังจากแบรนด์ดัง และดารานักร้องชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทยกว่า 30 ท่าน อาทิ คุณเบลล่า ราณี แบรนด์ Ambassador สาวสวยอย่าง นางเอกชั้นนำ เช่น คุณเจนนี่ เทียนโพธิสุวรรณ คุณไปรยา สวนดอกไม้ และปิดท้ายโชว์ด้วย มินิ คอนเสริต์จาก เจ เจตริน เจ้าพ่อเพลงป๊อปอีกด้วย

งานนี้เข้าชมฟรี! นอกจากนี้ยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ตั้งแต่เวลา 22.45 น. ทางช่อง 3 (33HD)  และเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการชม Live บนแอปพลิเคชั่นลาซาด้า และ Facebook Live ของลาซาด้า ระหว่างการถ่ายทอดสด ทางลาซาด้าได้จัดดีลเด็ด ที่มีเฉพาะในโชว์เท่านั้น

เตรียมตัวนับถอยหลังเพื่อพบกับเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด วันเดียวแห่งปีของลาซาด้า ในวันที่ 11พฤศจิกายนนี้ และอย่าลืมเตรียมลิสต์รายการสินค้าที่จะช้อปตั้งแต่วันนี้  ได้ที่ แอปพลิเคชั่นลาซาด้า

Facebook: https://www.facebook.com/LazadaThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lazada_th

Twitter: https://twitter.com/lazadath

#LazadaTH #Lazada1111TH #LazMallTH #Lazada1111

 

“กรุงศรี ออโต้” ปฏิวัติวงการสินเชื่อยานยนต์ ส่ง “พร้อมสตาร์ท” วงเงินพร้อมซื้อ รับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล [PR]

$
0
0

“กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรียุธยา จำกัด (มหาชน) สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดสินเชื่อยานยนต์ไทยกับ “กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท” นวัตกรรมดิจิทัลแรกด้านสินเชื่อยานยนต์ที่เปิดให้ลูกค้าเช็กวงเงินประเมินสินเชื่อได้ด้วยตนเองบนโมบายเว็บก่อนเลือกรถ ผ่านขั้นตอนง่ายๆ “ตอบ-ถ่าย-ส่ง” พร้อมแจ้งผลประเมินภายใน 30 นาที ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อยานยนต์เป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าที่เคย

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรี ออโต้ ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ และเราพบว่า ในระหว่างเลือกซื้อรถคันใหม่ ลูกค้ามักรู้สึกไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเรื่องการขอสินเชื่อ เนื่องจากไม่ได้รู้ถึงความสามารถด้านการเงินของตนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันยังคุ้นเคยกับการค้นหาข้อมูล ตลอดจนซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่การเป็นเจ้าของรถยังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ต่างกับบริการด้านการเงินอื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์”

“กรุงศรี ออโต้ จึงได้พัฒนา ‘กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท’ นวัตกรรมดิจิทัลแรกด้านสินเชื่อยานยนต์ที่ให้ลูกค้าเช็กวงเงินประเมินสินเชื่อเบื้องต้นได้ด้วยตนเองผ่านโมบายเว็บ นวัตกรรมนี้มาพร้อมกับประโยชน์ 3 ด้าน ได้แก่ Assurance ปลดล็อกความกังวลให้ลูกค้าได้รู้วงเงินในมือเพื่อเลือกซื้อรถในฝันอย่างมั่นใจ Accessibility ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลด้วยบริการที่สะดวกรวดเร็วและครอบคลุม และ Advice ประสบการณ์ราบรื่นขึ้นด้วยคำแนะนำจากที่ปรึกษาพร้อมสตาร์ท ผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งจะคอยแนะนำเรื่องเงื่อนไขสินเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ”

ลูกค้าสามารถประเมินวงเงินสินเชื่อกับ “กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท” ได้ง่ายๆ กับขั้นตอน “ตอบ-ถ่าย-ส่ง” ตอบคำถามสั้นๆ ถ่ายรูปเอกสาร 3 ฉบับ คือ บัตรประชาชน สลิปเงินเดือน และบัตรพนักงาน หรือข้อมูลรายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Bank Statement) พร้อมรอผลประเมินผ่าน SMS ภายใน 30 นาทีในวันและเวลาทำการ โดยข้อมูลที่ลูกค้าจะได้รับประกอบด้วยวงเงินประเมินสินเชื่อเบื้องต้น ระยะเวลาผ่อนชำระ ยอดเงินดาวน์ และข้อมูลเพื่อติดต่อที่ปรึกษาพร้อมสตาร์ทของตนเอง

“กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท ถือเป็นการนำร่องนวัตกรรมด้าน Digital Lending ของกรุงศรี ออโต้ ก่อนจะนำเสนอบริการที่เต็มรูปแบบยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เราเชื่อมั่นว่า กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท จะไม่เพียงแค่มอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น แต่ยังขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจของพันธมิตรอย่างตัวแทนจำหน่ายฯ และแบรนด์ผู้ผลิต ตลอดจนยกระดับมาตรฐานของธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ไทยอีกด้วย” นายไพโรจน์กล่าวทิ้งท้าย

กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท เปิดให้บริการแล้ววันนี้บนโมบายเว็บที่ promptstart.krungsriauto.com สำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 – 15 กุมภาพันธ์ 2562 เลือกรับทันที e-voucher มูลค่า 200 บาท จากสตาร์บัคส์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล หรือเทสโก้ โลตัส

 

“ HappyFresh Bike Troop” ตอกย้ำความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์อันดับ 1 ของคนกรุงเทพฯ [PR]

$
0
0

HappyFresh (แฮปปี้เฟรช) จัดกิจกรรม “ HappyFresh Bike Troop” ตอกย้ำความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์อันดับ 1 ของคนกรุงเทพฯ  ทีมงานคุณภาพพร้อมให้บริการ ช่วยช้อปของกินของใช้ ส่งตรงถึงบ้าน พร้อมส่งมอบโปรโมชั่นช้อปสุดพิเศษ กับดีลสุดฮอต 11.11 ในวันที่ 11 เดือน 11 นี้ ลดสูงสุด 80%

นายเจรกอร์ซ ซากาน กรรมการผู้จัดการ HappyFresh ประเทศไทย ผู้นำแพลตฟอร์มซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์อันดับ 1 ของคนกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ จัดกิจกรรม “HappyFresh Bike Troop” ประชาสัมพันธ์ในแหล่งสำคัญตามจุดต่างๆ ในเมือง ด้วยขบวนรถมอเตอร์ไซค์ส่งของของ HappyFresh จำนวน 20 คัน แล่นไปตามเส้นทางสุขุมวิท พระราม 4 และสิ้นสุดที่ย่านทองหล่อ เพื่อสร้างการรับรู้ให้คนกรุงเทพฯ ได้รู้จักบริการของ HappyFresh และเป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น

HappyFresh มีความพร้อมในการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมงถัดไปหรือตามเวลาที่ลูกค้าสะดวก โดยได้เพิ่มกำลังคนให้เพียงพอที่จะให้บริการกลุ่มลูกค้าทั่วกรุงเทพฯ เนื่องจากยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง HappyFresh มีพนักงานมืออาชีพช่วยคัดสรรสินค้าคุณภาพดี ราคาประหยัด มากกว่า 60,000 รายการ จากซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เช่น กูร์เมต์ มาร์เก็ต,  เทสโก้ โลตัส,  บิ๊กซี และร้านค้าชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย  สามารถเป็นตัวช่วยแบ่งเบาภาระการจับจ่ายซื้อของได้อย่างสะดวกสบาย

บรรยากาศการจัดกิจกรรม “HappyFresh Bike Troop” เป็นไปอย่างคึกคัก  มีการเต้น Flash mob เพื่อดึงดูดความสนใจของคนบริเวณนั้นและผู้ที่สัญจรผ่านไปมา และเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมสนุก เชิญชวนดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น HappyFresh  พร้อมแนะนำเชิญชวนให้ร่วมใช้บริการ ลุ้นรับรางวัลและของที่ระลึกมากมาย ควบคู่การโปรโมทกิจกรรมบนสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง  อาทิ Facebook, Instagram และ LINE เพื่ออัปเดตข้อมูลข่าวสารและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด

ล่าสุด ทางบริษัทฯ  HappyFresh  จัดโปรโมชั่นเอาใจขาช้อปออนไลน์ให้ได้ช้อปกันสะใจ กับสินค้าราคาพิเศษมากมาย ลดสูงสุด 80% บนแอปพลิเคชั่น HappyFresh ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ พร้อมรับส่วนลดเพิ่ม 30% (สูงสุด 300 บาท) เมื่อช้อปครั้งแรก ตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไป และใช้โค้ด THNEW30 สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/r7V2Nz หรือติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นอื่นๆ ได้ที่ www.facebook.com/HappyFreshTH, www.instagram.com/happyfresh_th และ https://line.me/R/ti/p/@happyfreshth

ส่องแนวโน้มและ Landscape ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย พร้อมประเมินความเสี่ยงสำคัญที่ต้องรีบแก้

$
0
0

มองเห็นการตื่นตัวช่วงเทศกาล One Day Sale ที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้พื้นที่ใดของโลก กับการตอบรับในเทศกาล 11.11 ที่ถือกำเนิดขึ้นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างอาลีบาบาเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อเอาใจคนโสดในวัน Single’s Day หรือ 11.11  ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักช้อปอย่างล้นหลาม จนได้รับความนิยมต่อเนื่องและขยายการให้บริการไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ จนกลายเป็น Signature Campaign ของออนไลน์ช้อปปิ้งที่ผู้คนต่างรอคอย 

สำหรับประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มองเห็นการตื่นตัวกับการมาของเทศกาล 11.11 เพราะผู้ประกอบการในธุรกิจ Retail  ไม่ว่าจะออนไลน์ ออฟไลน์ รายเล็ก รายใหญ่ ต่างออกโปรโมชั่นมาดึงดูดนักช้อปอย่างคึกคัก รวมทั้งมีแคมเปญกระตุ้นยอดขายที่ใกล้เคียงกันมากระตุ้นนักช้อป ไม่ว่าจะเป็น 8.8, 9.9,10.10 หรือแม้แต่ End Year Sale ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทศกาลจับจ่ายสำคัญของธุรกิจที่คึกคักอยู่แล้ว ก็ยังใช้ตัวเลขในลักษณะเดียวกันอย่าง 12.12 มาเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเช่นกัน

ประกอบกับการเติบโตที่ดีของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ที่มีตัวเลขการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาทุกปี  ทำให้มีแบรนด์ใหญ่ระดับโลกเข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้าและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ของคนไทยที่สูงกว่าทุกประเทศในอาเซียน สะท้อนความเชื่อมั่นในการกล้าใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้โอกาสของธุรกิจอีคอมเมร์ซในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ส่องอีคอมเมิร์ซไทยปัจจัยบวกเพียบ

ดร.ไซมอน แบพทิสต์ Global Chief Economist, Managing Director The Economist Intelligence Unit (EIU) Asia หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก หน่วยข้อมูลของ The Economist คาดการณ์ทิศทางแนวโน้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยว่า มีโอกาสเติบโตได้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่าจะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 4.7% ในปี 2019 และ 4.4% ในปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนาม กัมพูชา และพม่า ที่จะเติบโตได้สูงกว่า 6% ขณะที่ประเทศไทยเม้จะเติบโตได้น้อยกว่าที่ราวๆ เกือบ 4% แต่ยังคงเห็นสัญญาณการเติบโตที่ดีได้เช่นกัน

โดยเฉพาะแนวโน้มการบริโภคของภาคเอกชนที่ยังคงมีดีมานด์อยู่ โดยการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1% รวมทั้งการมีมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชนที่จะมีออกมาเป็นระยะๆ  ทำให้แนวโน้มการบริโภคของภาคเอกชนไทยใน 5 ปีจากนี้อยู่ในทิศทางขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 18,902 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 620,000 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2030 จากปี 2017 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 8,790 เหรียญ หรือกว่า 2.88 แสนบาทต่อครัวเรือน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญให้คนไทยมีความสามารถในการจับจ่ายได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

“แม้ทิศทางการเติบโตของประเทศไทยจะไม่ได้เติบโตสูงมากเหมือนประเทศอื่นๆ เพราะมีพื้นฐานการเติบโตอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว แต่ลักษณะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะพัฒนาไปในมิติที่ลึกซึ้งมากขึ้น เช่น การเข้าใจและเรียนรู้ตลาดได้ดีมากขึ้น ทั้งความสามารถในการเข้าใจและติดตามเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ทำให้มีความเข้าใจที่จะเรียนรู้และสามารถตอบสนองผู้บริโภคได้ดีเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต”

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไทยเองก็เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย อาทิ นโยบายของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไปสู่การเป็น Thailand 4.0 ทำให้ความสามารถในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกระจายไปในวงกว้าง การก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดหรือ Cashless Society การตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นเกตเวย์สู่เอเชียแปซิฟิก รวมทั้งการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยรองรับการเปิดใช้บริการ 5G ได้ภายในปี 2020 ซึ่งคาดว่าจะทำให้เพิ่มการใช้บรอดแบนด์บนมือถือได้ถึง 133%

คนไทยเชื่อมั่นอีคอมเมิร์ซสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

EIU ยังได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับความไว้วางใจในระบบ Security และ Privacy พบว่า คนไทยมีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมีค่าเฉลี่ยความมั่นใจทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูงถึง 70% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกรวมทั้งสูงกว่าในสิงคโปร์ และถือเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่จะผลักดันให้อีคอมเมิร์ซในไทยยังเติบโตต่อไปได้ โดยพบว่า 51% ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทยได้ซื้อสินค้าผ่านทางโซเชียลมีเดีย และมีความคุ้นเคยกับการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขับเคลื่อนของภาคธุรกิจธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศ ทำให้ในปีที่ผ่านมามีคนไทยเกือบครึ่งหรือ 43% มีการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล

และแม้ว่า Digital Payment ในรูปแบบต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่รูปแบบการเก็บเงินปลายทางหรือ Cash on Delivery (COD) ก็ยังคงเป็นช่องทางชำระเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ โดยมีเพียง 17% และ 12% ที่เชื่อว่าข้อมูลการชำระเงินของพวกเขาจะได้รับการปกป้องหากมีกรณีถูกโจกรรมข้อมูล เมื่อใช้บริการ M-commerce หรือ E-commerce สะท้อนถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างความมั่นใจและไว้วางใจให้กับระบบ Digital Payment โดยภาพรวม

อีกหนึ่งจุดเด่นของธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทย คือ การเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมให้ผู้หญิงซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่มีบทบาทในการผลักดันการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ให้สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มได้อย่างเสรีทั้งในฐานะของผู้ซื้อและผู้ขาย โดยผู้หญิงไทยมีอัตราในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ไม่ต่างจากผู้ชาย และยังมีสัดส่วนในการเป็นผู้ประกอบการในระยะเริ่มต้นสูงกว่าผู้ชาย ขณะที่ในแวดวงธุรกิจก็มีผู้หญิงที่เป็นนักธุรกิจสูงถึง 47% ขณะที่ข้อมูลจากการศึกษาของ MasterCard Worldwide พบว่า มีผู้หญิงที่เป็นเจ้าของ SME ในประเทศไทยสัดส่วนประมาณ 38% ที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อน GDP ให้กับประเทศ”

จะเป็นผู้นำอีคอมเมิร์ซโครงสร้างพื้นฐานต้องแข็งแกร่ง    

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ตลาดในประเทศ เพราะปัจจุบันเมื่อ Users ไม่มีพรมแดน สามารถเข้าถึงทุกตลาดได้จากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้เราจะเห็นนักช้อปเริ่มสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น นักช้อปชาวไทยจะเริ่มสั่งออนไลน์จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ ส่วนนักช้อปต่างประเทศก็เลือกมาสั่งสินค้าจากแพลตฟอร์มของไทยอยู่บ่อยๆ การพัฒนาระบบในการขนส่งสินค้าข้ามประเทศจึงมีความสำคัญและเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจและเข้ามาสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

“เรื่องของโลเคชันที่ดีเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางของภูมิภาคทำให้สามารถขนส่งไปยังประเทศต่างๆ ได้โดยสะดวกก็เป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของคนไทย แต่ศักยภาพในการบริหารจัดการเกี่ยวกับขั้นตอนศุลกากรและระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยยังทำได้ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการในการส่งออกสินค้าในเวลาเพียงราวๆ 10  ชั่วโมง ส่วนกระบวนการในการนำเข้าอยู่ที่ราวๆ 35 ชั่วโมง ขณะที่ประเทศไทยต้องใช้ระยะเวลาในการส่งออกถึง 52 ชั่วโมงและในการนำเข้า 50 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากทำให้การขนส่งค่อนข้างล่าช้าแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนอีกด้วย”

ดังนั้น หากต้องการให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันและเติบโตได้มากขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพราะแม้ปัจจุบันจะมีการลงทุนค่อนข้างสูงแล้ว แต่ยังพบว่ามีปัญหาในเรื่องของการติดขัดที่คอขวด ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่สูงอยู่ โดยเฉพาะการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ รวมทั้งการเชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่ๆ และกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังจำเป็นต้องมีการปรับปรุง

ทั้งนี้ EIU ได้ประเมินความเสี่ยงจากแต่ละปัจจัยในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางไม่ว่าจะเป็นทางด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยรวม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือและสนามบิน เครือข่ายทางถนน รวมทั้งเครือข่ายในระบบค้าปลีกและการกระจายสินค้า ซึ่งยังเป็นรองหลายๆ ประเทศ อาทิ มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เป็นความโดดเด่นและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คือ ความมั่นใจของผู้ใช้งานคนไทยที่มีต่อแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งสูงมากที่สุดในภูมิภาค มีมุมมองเป็นบวกและมั่นใจต่อธุรกิจการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยในอีก 5 ปีนับจากนี้ เติบโตได้สูงขึ้นและมีการพัฒนาได้มากขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้เข้ามารองรับการเติบโตของธุรกิจให้เป็นไปได้อย่างสอดคล้องกันนั่นเอง

เครือบาร์บีคิวพลาซ่า เปิดตัว Charna (ฌานา) ฮอตพอทสุขภาพสัญชาติไทย ยกสวนผักสดๆมาไว้กลางกรุงฯ

$
0
0

ฟู๊ดแพสชั่น (Food Passion) บริษัทแม่ของเชนร้านอาหารชื่อดังอย่าง “บาร์บีคิวพลาซ่า” จับกระแสคนรักการกินและรักสุขภาพ ได้ฤกษ์เปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารน้องใหม่ Charna (ฌานา) ร้านฮอตพอทสัญชาติไทย ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ที่ผู้รักสุขภาพต้องร้องว้าวอย่างแน่นวลล

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์สุขภาพนั้นมาแรงอย่างมาก และทวีคูณขึ้นเรื่อยๆทั้งต่างประเทศและประเทศไทย โดยเฉพาะอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้มาจากธรรมชาติปลอดสารเคมีหรือแม้กระทั้งผ่านการปรุงให้น้อยที่สุด เพื่อคุณประโยชน์สูงสุดและดีที่สุขภาพของผู้รับประทาน

Charna ร้านฮอตพอทสัญชาติไทย จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ณ “สยามเซ็นเตอร์” ชั้น 4 โลเคชั่นชั้นดีกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มคนวัยทำงาน มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตช่างเลือกช่างสรรหาสิ่งที่ดีเพื่อสุขภาพตนเอง  Charna จึงชูคอนเซ็ปต์ที่เรื่องความเฮลท์ตี้ (Healthy) เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพที่ต้องการรับประทานอาหารปลอดสารเคมี  เพราะภายในร้านใช้วัตถุดิบทั้งหมดเป็นเกษตรอินทรีย์ ทั้งปลูกและเลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ  พร้อมกับตั้งใจปรุงด้วยสัดส่วนเนื้อและผักที่สมดุลกัน เพื่อให้รสชาติที่ดีและประโยชน์ต่อผู้รับประทานมากที่สุด  อีกทั้งทุกคำที่ได้รับประทานเป็นการอุดหนุนทรัพยากรดีๆจากเกษตรกรไทยไปพร้อมกัน

“ฌานา อยากขอบคุณเพื่อนเกษตรกรที่มุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเมแรงกาย และ ใส่พลังใจลงไปในการเลี้ยงดู เพื่อสร้างวัตถุดิบที่สุดยอดและเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้อาหารของฌานา เป็นอาหารที่อร่อย ปลอดภัยต่อสุขภาพ และทำให้เรารู้สึกดีได้ในทุกๆคำ”

จุดเด่นภายในร้านที่ต้องเจอ คือ Garden corner สำหรับลูกค้าที่สั่งเมนูฮอตพอต (บ้างเรียกสุกี้ จิ้มจุ่ม หรือ ชาบู แล้วแต่ความชอบ) มุมผักสดๆนี้มีผักสมุนไพร ผักพื้นบ้านไทย หลากหลายและแบบหารับประทานได้ยากส่งตรงจากไร่จากสวนของเกษตกรทุกวัน เช่น กะหล่ำดาว มะระขี้นก บวบงู ดอกกระเจี๊ยบ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดบน Garden corner ลูกค้าสามารถรับประทานผักได้ไม่อั้น ส่วนเนื้อหมู เนื้อวัว หรือ ซีฟู๊ด ก็จากฟาร์มที่เป็นอินทรีย์เช่นกัน  และยังมีน้ำจิ้มอีก 5 อย่างให้เลือกรับประทาน เช่น นำ้จิ้มแจ่ว น้ำจิ้มพอนสึ น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว น้ำจิ้มซีฟู๊ด เป็นต้น

Garden Corner
Veggie Jar โถใส่ผัก

 

นอกจากฮอทพอทแล้วยังมีอาหารประเภทย่าง ยำ ผัด  หรือ แม้กระทั้งอาหารจานเดียวด้วยให้ลูกค้าได้เอ็นจอยรับประทานอาหารสุขภาพ หลากหลายไม่น่าเบื่อ เช่น กุ้งแม้น้ำอินทรีย์ย่างเตาถ่าน  ปลาประมงพื้นบ้านย่างสมุนไพรอินทรย์  ซีโครงหมูอารมณ์ดีย่างสมุนไพรตะไคร้กรอบ สลัดลาบไก่ผักเคล ข้าวหอมมะลิอินทรีย์คลุกปลาทูแม่กลอง เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเซตอาหารตามธาตุของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นดิน/น้ำ/ลม/ไฟ

ในส่วนของเครื่องดื่มมีน้ำผักผลไม้คั้นนสดๆ ใส่ขวดแบบ Cold Press เอาไว้บริการลูกค้าหลากหลายเมนู  และปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่ดีต่อใจและต่อสุขภาพเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น กล้วยไข้ไอศกรีม พุดดิ้งนมสัปปะรด เป็นต้น

สำหรับการตกแต่งภายในร้านออกโทนสีธรรมชาติ ใช้ไม้และสีน้ำเงินเป็นการตกแต่ง เรียบง่ายออกแนวไทยโมเดิร์น เพื่อให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติเหมือนอยู่บ้านมากที่สุด มากไปกว่านั้นภายในร้านยังร่วมช่วยกันสร้างพฤติกรรมลดการใช้หลอดพลาสติก ด้วยการใช้หลอดสแตนเลสทั้งหมด เพื่อลดขยะที่เกิดขึ้นภายหลัง

คอนเซ็ปต์และการบริการของ Charna ดีแบบนี้แล้ว…จะช้าอยู่ทำไมต้องไปลองกัน

 

เปิดตัว ที่แรกในไทย “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำ พร้อมปลดล็อคศักยภาพของทุกบ้านเพียงคลิกเดียว! [PR]

$
0
0

โฮสต์เมกเกอร์ (HOSTMAKER) บริษัทชั้นนำด้านบริการจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและอยู่อาศัยจากยุโรป ได้ประกาศเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” แพลตฟอร์มจองบ้านพักสุดล้ำอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นตลาดแรกของโลกสำหรับการเปิดตัว “Stayy with Hostmaker” ก่อนตลาดยุโรปและประเทศอื่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ โดย ‘Stayy’ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าพักชาวไทยและต่างชาติสามารถค้นหาที่พักระยะกลางและยาวได้อย่างสะดวกผ่านกระบวนการจัดการที่ยืดหยุ่น ภายใต้ข้อบังคับและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยของบ้านพักที่เชื่อถือได้บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโฮสต์เมกเกอร์

หมวดรางวัลดีเด่นด้านแพลตฟอร์มปล่อยเช่าบ้านพักระยะสั้นจาก Serviced Apartment Award เมื่อปีที่ผ่านมาจากความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดราคาให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างรายได้มากกว่าทางเลือกอื่นๆ ในขณะที่ผู้เข้าพักหรือผู้เช่าสามารถรับการบริการอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่เข้าพักอาศัย และหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปัจจุบันโฮสต์เมกเกอร์มีบ้านพักให้เช่าแล้วกว่า 50 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น โฮสต์เมกเกอร์ดำเนินการและปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยให้บริการเช่าบ้านพักขั้นต่ำอย่างน้อยระยะเวลา 30 วันขึ้นไป ซึ่งบริการระยะเวลาดังกล่าวในกรุงเทพฯ สามารถตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะบ้านเช่าขั้นต่ำ 30 วันยังคงเป็นบริการที่หาได้ยากในตลาดที่มีความต้องการสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วย Stayy with Hostmaker แพลตฟอร์มจองบ้านพักใหม่ล่าสุดนี้จะสามารถให้บริการอย่างครบครัน ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เช่าบ้านด้วยความมั่นใจและยืดหยุ่นแบบไม่ยุ่งยาก

นกุล ชาร์มา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารโฮสต์เมกเกอร์ กล่าว “กรุงเทพฯนับเป็นหนึ่งสถานที่ที่มีผู้คนเดินทางมาเยอะที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว นักศึกษาหรือชาวต่างชาติที่เดินทางมาทำงาน ซึ่งก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และส่วนใหญ่พวกเขามักมองหาบ้านพักที่ได้คุณภาพและสามารถเช่าอยู่ได้อย่างน้อย 1 เดือนถึง 1 ปี แบบถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มของเราก็ตอบโจทย์ทุกอย่างอย่างลงตัวที่สุด เราจึงลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายแรกในโลกสำหรับการเปิดตัว Stayy with Hostmaker ซึ่งเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ที่สุดแก่คนไทยและผู้ที่เดินทางมากรุงเทพฯ ทุกท่าน”

สำหรับคุณสมบัติหลักของแพลตฟอร์ม Stayy with Hostmaker ได้แก่
● การคัดสรรบ้านพักอย่างพิถีพิถัน โดยมุ่งเน้นคุณภาพ ดีไซน์ และความสะดวกสบาย
● สถานที่ตั้งของบ้านพักที่โดดเด่นในกรุงเทพฯ เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้เช่าพักอย่างหลากหลาย เช่น สถานที่ตั้งแบบใจกลางเมืองอันครึกครื้นและบริเวณที่เงียบสงบ
● บริการ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันในสัปดาห์ ด้วยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นที่จะให้บริการและความช่วยเหลือผู้เข้าพักตลอดระยะเวลาการเช่าบ้าน
● บริการแบบยืดหยุ่นไร้กังวล ไม่ว่าผู้เข้าพักจะเข้าพักระยะเวลานานเท่าไร ผู้เช่าจะอยู่ภายใต้สัญญาเช่าที่ยืดหยุ่น ผ่านการบริการที่สะดวกและง่ายดาย

เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ โฮสต์เมกเกอร์ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแสนสิริ
ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของประเทศไทย โดยในปัจจุบันได้ร่วมทำโครงการ อาทิ XXXIX, ฮาสุ เฮาส์, คีนน์ บาย แสนสิริ และ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า “Stayy with Hostmaker เติมเต็มความตั้งใจของเราที่จะปลดล็อคศักยภาพของทุกๆบ้านในกรุงเทพฯ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าชมเว็บไซต์ https://stayy.hostmaker.com


ใหม่! จากนีเวีย ปลุกผิวขาวใส ฉ่ำเด้ง เติมวิตามินผิว เห็นผลใน 7 วัน [PR]

$
0
0

 

นีเวีย เอาใจสาวๆ ที่อยากมีผิวขาวกระจ่างใส แต่ไม่อยากรอนาน โดยคราวนี้ให้ทั้งการบำรุงและเพิ่มวิตามินให้แก่ผิวไปพร้อมๆกัน กับผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง NIVEA Extra White C & E Vitamin Lotion ครั้งแรกกับโลชั่นวิตามินบำรุงผิวที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังจากวิตามินซีเข้มข้นหลายชนิดช่วยให้ผิวสาวๆ ขาวใสและเห็นผลลัพธ์ได้ดีกว่าส้มธรรมชาติ พร้อมผสานกับวิตามินอีที่สามารถตรงเข้าบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นได้ทันที่ ให้คุณมีผิวขาวใส ฉ่ำเด้ง เห็นผลลัพธ์ภายใน 7 วัน

NIVEA Extra White C & E Vitamin Lotion นอกจากจะเป็นโลชั่นที่มีเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุดจากนีเวียแล้ว ยังบางเบาและซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วจนคุณสามารถทาได้ทั้งเช้าและเย็น นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีเข้มข้นกว่า 4 ชนิด ได้แก่
Ascorbic acid วิตามินซีชนิดเดียวที่ได้จากส้มธรรมชาติแต่มีความคงที่กว่าจึงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการสร้างเม็ดสีซึ่งเป็นสาเหตุของผิวคล้ำและปกป้องเซลล์ผิวจากการทำลายของรังสียูวี

Purified Vitamin C วิตามินซีเข้มข้นบริสุทธิ์ 95% ช่วยกู้ผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ลดเลือนความหมองคล้ำ
ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายและฟื้นบำรุงให้ผิวคุณกลับสว่างใส่เปล่งประกายอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพ

Camu Camu หนึ่งในผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในโลกซึ่งจะให้วิตามินซีสูงกว่ามะนาวถึง 50 เท่า และยังอุดมด้วย anti-oxidant จึงช่วยให้ผิวดูสม่ำเสมอมากขึ้น และบล็อคผิวด่างดำที่อาจเกิดซ้ำได้เป็นอย่างดี

Acerola Cherry วิตามินซีจากผลไม้ธรรมชาติอีกชนิดที่ช่วยบำรุงให้สาวๆมีผิวที่กระจ่างใสขึ้นอีกระดับ และ ยังช่วยดูแลเนื้อผิวให้เนียนละเอียด แลดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นอีกด้วย

เตรียมพบกับ NIVEA Extra White C & E Vitamin Lotion ได้แล้วที่ร้านค้าใกล้บ้านท่าน โดยมีมาให้เลือกซื้อถึงสามขนาดด้วยกัน ได้แก่ ขนาด 70 มล. ราคา 69 บาท (มีขายพิเศษใน เซเว่นอีเลฟเว่นเท่านั้น) ขนาด 180 มล. ราคา 129 บาท และขนาด 320 มล. ในราคา 199 บาท

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทย นำเสนอผลงานสุดยอดรถคัสตอม “The Prince” ลุ้นชิงตำแหน่ง 2018 CUSTOM KING ระดับโลก [PR]

$
0
0

ผลงาน “The Prince” จากทีมฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ออฟ แบงคอก ซึ่งใช้รถรุ่นสตรีท บ๊อบ (Street Bob™) สามารถคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งทีมคัสตอมรถกว่า 300 ทีมจาก 30 ประเทศทั่วโลก ผ่านเข้ารอบตัดเชือก เป็น 1 ใน 3 คันสุดท้าย เข้าสู่รอบเชิงชนะเลิศในการประกวด 2018 Battle of the Kings ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดรถคัสตอมฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ระดับโลกแห่งปีจากทีมผู้จำหน่ายทั่วโลก โดยการประกาศผลรางวัล 2018 Battle of the Kings Grand Champion กำหนดจัดขึ้นในช่วงงาน EICMA (International Motorcycle and Accessories Exhibition) ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6-11 พฤศจิกายน 2561 ณ บูธฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ภายในศูนย์ประชุมโรฟิเอรามิลาโน ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี

รถคัสตอมฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ทั้ง 3 คันที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย คัดเลือกจากทีมผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ทั่วโลก
ผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยสื่อมวลชนมืออาชีพที่คร่ำหวอดในวงการทั้งจากญี่ปุ่นอินเดีย
ออสเตรเลีย เกรทบริเทน และฝรั่งเศส ซึ่งผลงาน “The Prince” จากประเทศไทย จะต้องเข้าประชันในการประกวดรอบตัดสิน ร่วมกับผลงานของทีมอะเดเลด ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ประเทศออสเตรเลีย และทีมโบโลญญา ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ประเทศอิตาลี โดยทีมผูจำหน่าย ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ออฟ แบงคอกจากกรุงเทพฯ

ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์รูปโฉมใหม่ของรถมอเตอร์ไซค์สายเลือดอเมริกันให้มีกลิ่นอายแบบไทยภายใต้แนวคิ
ด “การใช้ชีวิตในแบบฉบับฮาร์ลีย์” สู่สายตาของแฟนฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ของเมืองไทยในปัจจุบัน โดยได้นำรูปแบบรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ Chopper ในยุค 70s มาดัดแปลงด้วยการตัดบังโคลนหน้าและหลังเพื่อทำให้รถเพรียวบางและสะอาดตาขึ้น เสริมด้วยงานเพ้นท์ในโทนสีดำและทองแบบคลาสสิกเพื่อสร้างความโดดเด่นทำให้รถคัสตอมคันนี้สื่อถึงแก่นแท้แห่งการหวนรำลึกถึงอดีตอันงดงามในแบบฉบับร่วมสมัยได้อย่างโดดเด่นและชาญฉลาด

“นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในการประกวด Battle of the Kings และถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับพวกเราทุกคนที่นี่ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้ขับขี่ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ นายธนบดี กุลทล (มาร์ค) ผู้จัดการประจำประเทศ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทย กล่าว ผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ทั้ง 9 ราย ล้วนรอคอยฟังข่าวดีนี้ เนื่องจากฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในด้านการแต่งรถที่มีความหลากหลายและมีประวัติมาอย่างยาวนาน งาน Battle of the Kings ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโดดเด่นในเรื่องนี้ในระดับโลก”

“ผลงาน “The Prince” จากทีมฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ออฟ แบงคอก ได้ฝ่าฟันจนไปถึงรอบตัดสินในงาน EICMA
ด้วยแนวคิดและคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นเหนือใคร ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการนำเสนอเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมการคัสตอมรถฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน การตัดสินเลือกผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวนับเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากทีมผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ทั้ง 9 ของเราล้วนสามารถคัสตอมรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ได้อย่างดีเยี่ยมทุกทีม”

ออมสิน หนุนสตาร์ทอัพต่อเนื่องสร้าง “นักรบทางความคิดพันธุ์ใหม่” เปิดงาน GSB Smart SMEs Smart Startup 2018

$
0
0

ในปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับโลก เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลให้การผลิตสินค้าและบริการมีประสิทธิภาพและคุณภาพสูง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ

กอปรกับรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการมุ่งเน้นที่จะใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย เพื่อก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาส รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมธุรกิจ SMEs และธุรกิจ Startup

ธนาคารออมสินเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจ SMEs และธุรกิจ Startup  จึงเป็นศูนย์กลางทางด้านแหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอดและผลักดันธุรกิจSME และ Startup ให้เติบโตอย่างมั่นคง และพยายามปรับเปลี่ยนวิธีคิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ประกอบการไทยก้าวสู่การเป็น“ผู้ประกอบการ 4.0รวมทั้งสนับสนุนการเติบโตของStartup ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าของนวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยให้แข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นธนาคารออมสินจึงเนรมิตงาน“GSB Smart SMEs Smart Startup 2018”ยกทัพนักรบทางความคิดพันธุ์ใหม่ บุกโลกดิจิทัล ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องเพลนารี่ฮอลล์ 1-3  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเร่งพัฒนาศักยภาพกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ กล้าคิด กล้าทำ และกล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยใช้จุดแข็งของ SME และ Startup มาเกื้อหนุนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับให้งานดังกล่าวเป็นศูนย์กลางของINNOVATION HUB ของประเทศไทย

โดยภายในงานแบ่งออกเป็น 6โซนประกอบด้วย

  • โซนที่ 1 Digital Banking – Digithai Life Solution by GSBพื้นที่การแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลแบงก์กิ้งแห่งโลกอนาคตของประเทศไทย รวมทั้งบริการให้คำปรึกษาการทำธุรกิจ โดยธนาคารออมสินจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและบริการด้านสินเชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจ เพื่อให้กับผู้ประกอบการ SME และ Startupนำไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจของตนเองรวมทั้งเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างรวดเร็ว
  • โซนที่ 2 Digital Playground พื้นที่แห่งการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์จากการนำเสนอนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้โดยตรงผ่านการใช้งานจริง
  • โซนที่ 3Smart Digital Park Smart Digital Life พื้นที่แสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มพันธมิตรของธนาคารออมสิน ซึ่งประกอบด้วยองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ SME และ Startup       ที่จะมาให้ความรู้และคำปรึกษาในด้านการทำธุรกิจโดยตรง
  • โซนที่ 4 Smart Education พื้นที่แสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่จะเข้ามาแสดงผลงาน พร้อมสร้างไอเดียใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการ
  • โซนที่ 5 Smart Business พื้นที่แสดงสินค้าของกลุ่มธุรกิจ SME และ Startup ที่ประสบความสำเร็จ
  • โซนที่ 6 Truck Business พื้นที่แสดงของกลุ่มผู้ประกอบการทางด้านรถทรัคเพื่อนำไปประกอบธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่นFood Truck , รถทรัคสำหรับขายเสื้อผ้า และอื่น ๆ

เท่านั้นยังไม่พอภายในงาน “GSB Smart SMEs Smart Startup 2018” ยังอัดแน่นไปด้วยความรู้จากการจัดสัมนาที่ได้ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังของเมืองไทยมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์แลกเปลี่ยนความรู้อย่างเจาะลึกทุกประเด็นตลอด3วันเต็ม

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561สร้างแรงบันดาลใจและอัพเดทเทรนด์ความรู้ในเรื่องของ Creative & Design พบกับ คุณภัทรพร โพธิ์สุวรรณ์ จากEventpop / คุณจิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ จากวิถีไทย และคุณสุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ จากSHIPPOP

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2561ต่อยอดไอเดียดีๆ กับจากกูรูตัวจริงด้าน Innovation & Technology พบกับ คุณธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ จากบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากGRAB

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2561เตรียมความพร้อม Digital Marketing เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคดิจิทัลพบคุณเด่นพิพัฒน์ ใจตรง จากAIRPORTELS / คุณธฤษ ตันฑเสถียร จากMy cloudและคุณปริญญา เผือนพิพัฒน์ จากNGIN

สำหรับน้อง ๆ เยาวชนและประชาชนทั่วไปยังจัดให้มีการแข่งขัน eSports เกม RoV  สุดยอดเกมมือถือแนวMOBA แห่งปีจาก Garena ไว้ภายในงานด้วย เพื่อให้เยาวชนและประชาชนที่สนใจได้มีเวทีแสดงความสามารถ รวมทั้งพัฒนาต่อยอดการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างประโยชน์ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย นอจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ Scan QR CODE ครบทุกโซน ลุ้นรับรางวัลใหญ่ อีกทั้งโปรโมชั่นสินเชื่อ GSB Smart Start-up Smart SMEsดอกเบี้ยพิเศษสุด 0%นาน 1ปี  พร้อมชมมินิคอนเสริต์จากศิลปินชื่อดัง ได้แก่  กัน ณภัทร- ตู่ ภพธร – ลิปตา ที่มาร่วมสร้างบรรยากาศและสีสันภายในงานให้สนุกคึกครื้นมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นงานเดียวที่รวบรวมศักยภาพการส่งเสริม SMEs และ Startup  ของไทย

ยุคนี้เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทั่วโลกต่างนำมาเพื่อการแข่งขัน ฉะนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเร่งพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพราะการหยุดนิ่งคือความล้มเหลวทางธุรกิจ อีกทั้งยังต้องใฝ่หาความรู้และต้องใช้ความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาหรือสร้างสรรค์สินค้าใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

งาน“GSB Smart SMEs Smart Startup 2018” ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องเพลนารี่ฮอลล์1-3  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานเดียวที่รวบรวมไอเดียการทำธุรกิจSMEsและ Startup แห่งโลกดิจิทัลจะช่วยต่อยอดและสร้างโอกาสและแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี

ขายดีหนักมาก มาดูว่านอกจาก ‘เงินสะพัด 24 ชม. 1 ล้านล้านบาท’แล้ว อาลีบาบายังทำสถิติอะไรอีกได้บ้างในปีนี้

$
0
0

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับแคมเปญช้อปปิ้งระดับโลกอย่าง 11.11 ที่เหล่านักช้อปจากทั่วโลกต่างเฝ้ารอดีลสุดพิเศษที่บรรดาแพลตฟอร์มต่างๆ จะนำเสนอให้ สร้างความคึกคักและกระตุ้นกำลังซื้อได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ายอดเงินสะพัดในวันนี้เพียงวันเดียว อาจมากกว่ายอดขายทั้งเดือนหรือทั้งปีของหลายๆ ที่รวมกันด้วยซ้ำ  

โดยเฉพาะต้นตำรับ ผู้ให้กำเนิดแคมเปญนี้อย่างอาลีบาบา กรุ๊ป ที่เริ่มจุดแคมเปญนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน ในปี 2552 ด้วยการมอบโปรโมชั่นผ่านส่วนลดสุดแสนพิเศษในวันคนโสดหรือ Single Day กับเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 รวมทั้งต้องการกระตุ้น สร้างความคุ้นเคยและเห็นคุณค่าของการช้อปปิ้งออนไลน์ให้มากขึ้น โดยมีร้านค้าที่เข้าร่วมในปีแรกเพียง 27 ราย แต่ก็สามารถสร้างผลตอบรับได้อย่างล้นหลาม จนทำให้มีการจัดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้แพลตฟอร์มอื่นๆ ต้องลุกขึ้นมามอบดีลพิเศษให้ลูกค้าเช่นกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ไม่ใช่เพียงแค่ E Commerce Platform เท่านั้นที่มีแคมเปญ 11.11 แต่ทุกภาคส่วนในธุรกิจ Retail ต่างก็ลุกออกมาจัดโปรโมชั่นในวันพิเศษนี้กันอย่างถ้วนหน้า

แต่แม้ว่าจะมีดีล มีโปรโมชั่นพืเศษจากทุกๆ แพลตฟอร์มให้เหล่านักช้อปเลือกซื้อได้มากมาย แต่อาลีบาบาก็ยังไม่คลายมนต์ขลัง เมื่อรายงานตัวเลขยอดขายจากเทศกาล 11.11 ในปีนี้ ยังคงเติบโตได้ถึง 27% โดยมียอดมูลค่าสินค้ารวมที่ขายได้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา สูงถึง 213,500 ล้านหยวน หรือหากตีมูลค่าเป็นเงินบาทแบบคร่าวๆ (1 หยวน เท่ากับ 5 บาท) จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

ทั้งนี้ อาลีบาบา กรุ๊ป โดย อาลีบาบา โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด (NYSE: BABA) ประกาศยอดมูลค่าสินค้ารวม (GMV) ระหว่างมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ของวันที่ 11 พฤศจิกายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา ด้วยตัวเลข 213,500 ล้านหยวน (ประมาณ 30,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งหากคิดกลับเป็นเงินบาทในอัตรา 1 หยวน = 5 บาท จะมียอดมูลค่าสินค้าที่ขายได้อยู่ที่ 1,067,5000 ล้านบาท 

สำหรับยอดรวมมูลค่าสินค้า (GMV) ในงานมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เป็นมูลค่ารวมที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มการค้าปลีกของอาลีบาบา ลาซาด้า และอาลีเอ็กซ์เพรส ในช่วง 24 ชั่วโมงของวันที่ 11 พฤศจิกายน และชำระผ่านอาลีเพย์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อ้างอิงเรียลไทม์และรวมค่าขนส่ง (ถ้ามี) ธุรกรรมเกี่ยวข้องกับแบรนด์ต่างประเทศ (แบรนด์ที่สร้างขึ้นนอกจีนแผ่นดินใหญ่) และข้อมูลผู้ใช้สำหรับทีมอลล์เท่านั้น

“วันนี้ เราได้เห็นความแข็งแกร่งและการเติบโตของเศรษฐกิจที่พึ่งพาการบริโภคของจีน จากการที่ผู้บริโภคมุ่งแสวงหาการยกระดับการใช้ชีวิตประจำวัน” นายแดเนียล จาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า “การที่ธุรกิจในระบบนิเวศทั้งหมดของอาลีบาบาได้เข้าร่วมในงานนี้ ทำให้แบรนด์และพันธมิตรร้านค้าต่าง ๆ สามารถสร้างการปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในอนาคต อาลีบาบาจะยังคงเป็นผู้นำวิวัฒนาการเพื่อก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ดิจิทัลในอนาคต”

 สำหรับไฮไลท์หลักๆ ที่เกิดขึ้นในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ในปี 2561 ที่อาลีบาบาทำได้ มีดังต่อไปนี้

– ยอดมูลค่ารวมสินค้าที่ชำระผ่านอาลีเพย์ 213,500 ล้านหยวน (30,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ในรอบ 24 ชั่วโมง มียอดการใช้จ่ายรวม 168,200 ล้านหยวนเกิดขึ้นในช่วง 24 ขั่วโมง 

– ไช่เหนียว เน็ตเวิร์ค ดูแลรับผิดชอบการส่งสินค้า 1,000 ล้านออเดอร์

– กว่า 180,000 แบรนด์ เข้าร่วมในเทศกาลในปีนี้ จากปีที่ผ่านมามีแบรนด์และร้านค้ากว่า 140,000 ราย ที่เข้าร่วมในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลกนี้ 

– ผู้บริโภคกว่า 40% ซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์ต่างชาติ

– มี 237 แบรนด์ที่มียอด GMV สูงกว่า 100 ล้านหยวน อาทิ Apple, Dyson, Kindle, Estée Lauder, L’Oréal, Nestlé, Gap, Nike and Adidas

– ประเทศที่ขายสินค้าให้กับจีนในงานนี้สูงสุดคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเยอรมนี

– 230 ประเทศ/เขต เกี่ยวข้องกับธุรกรรม

– ลาซาด้า เข้าร่วม11 ในฐานะหนึ่งในอีโคซิสเท็มของอาลีบาบา นำเสนองานเทศกาลนี้ให้กับผู้บริโภคในสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ส่ง “OMG ผีป่วนชวนมารัก” กวาดเรตติ้ง ครองเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1

$
0
0

บรรดาคอนเทนท์ต่างประเทศที่คนไทยชื่นชอบ หากได้ลองดูสักตอนจะต้องติดใจ จนต้องนั่งเฝ้าติดหน้าจอ ก็คงเป็นซีรีย์เกาหลีนี่แหละ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหรือจะมีคอนเทนท์จากชาติอื่นเข้ามาฉาย  ความเป็นเกาหลี หรือ K-pop ยังคงอยู่ในใจคนไทยเสมอๆ ดูทีไรก็ติดใจทุกที ด้วยเสน่ห์ความน่ารักของนักแสดง เนื้อหาของเรื่องหลากหลาย และบางเรื่องก็ยากที่จะคาดเดาตอนจบ ทำให้คนดูต้องลุ้น ต้องติดตามเรื่องไปตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่เพียงแต่ซีรีย์เกาหลีต้นฉบับออริจินัล  ถูกส่งตรงเข้ามาฉายในบ้านเราเท่านั้น แต่ซีรีย์ไทยนำเอาบทประพันธ์ต้นฉบับจากเกาหลี มาปรุงรสให้ถูกจริตคนดูชาวไทย หลายๆ เรื่องก็ได้รับความนิยมและกวาดเรตติ้งสูง  บางเรื่องแซงหน้าซีรีย์ของคนไทยด้วยซ้ำ เพราะด้วยเนื้อหาและบทอันเข้มข้น เดินเรื่องได้น่าติดตาม  ผนวกกับการปรุงแต่งอรรถรสอื่นๆ ให้เข้ากับรสนิยมและความชื่นชอบของคนไทย ยิ่งทำให้ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นด้วย

พื้นฐานจากแดนเกาหลี ปรุงรสแบบไทยๆ 

ด้วยสูตรความสำเร็จของการนำเอาบทประพันธ์จากเกาหลีที่ได้รับความนิยม  มาสร้างใหม่เป็นซีรีย์ไทย ทำให้บรรดาค่ายทีวีดิจิตอลมองเห็นเป็นโอกาส สำหรับทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ถือเป็นหนึ่งผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล  ที่ใช้สูตรสำเร็จนี้มาเป็นหนึ่งกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตและสร้างเรตติ้งให้กับทางช่อง ซึ่งแนวทางนี้ก็เป็นสีสันหนึ่งที่ช่วยสร้างการรับรู้และฐานแฟนให้กับทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 นอกเหนือจากคอนเทนท์ประเภทกีฬา ที่ทำได้ดีและสร้างชื่อให้กับทางช่องมาตลอด

โดยล่าสุดซีรี่ย์เรื่อง “OMG ผีป่วนชวนมารัก”  ก็เป็นหนึ่งในคอนเทนท์สร้างความสำเร็จอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสตอบรับจากโซเชียล  จนสามารถขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งต่อเนื่องทุกสัปดาห์  อีกทั้งยังสามารถไต่ระดับเรทติ้งได้เป็นที่น่าพอใจ  จนสามารถครองใจผู้ชมกลุ่มผู้หญิง 25+ ในกรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของคอนเทนท์นี้ จนสามารถไต่ระดับเรทติ้งไปถึง 0.765 ในกลุ่มนี้ และขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งต่อเนื่องหลายสัปดาห์  ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นการตอกย้ำให้ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านคอนเทนท์ฟอร์แมตจากเกาหลี  ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันของธุรกิจทีวีดิจิทัลที่รุนแรงและต้องจับตามอง

“ความสำเร็จของ OMG ผีป่วนชวนมารัก ถือเป็นสูตรสำเร็จฉบับใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเลือกสรรบทประพันธ์คุณภาพ และสามารถนำมาปรุงรสให้ถูกปากกับคนไทยมากยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนอาหารฟิวชั่นรสชาติดีที่มีการปรับสูตรและส่วนผสมต่างๆ ออกมาได้อย่างลงตัว” คุณอภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้จัดการ ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 กล่าว

ปรับนิด ผสมหน่อย ใส่ใจดีเทล

หากถอดรหัสความสำเร็จของซีรีย์ OHM-Oh My Ghost  สามารถครองตำแหน่งละครเรทติ้งสูงสุดของช่องในปี  2561 จะพบว่า เป็นเพราะเป็นซีรีส์ที่มีเนื้อหาสนุก ครบรส ชวนให้ติดตาม มีโปรดักชั่นที่ดี ทั้งเรื่องของแสง มุมกล้อง จังหวะต่างๆ รวมไปถึงการรักษามาตรฐานคุณภาพให้เทียบเท่ากับบทประพันธ์ต้นฉบับ แม้ว่าจะมีการปรับประพันธ์เล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทย

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทรูโฟร์ยูมั่นใจว่ามาในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะในครั้งนี้ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ได้คว้าผู้ผลิตหน้าใหม่แต่เก๋าประสบการณ์อย่าง ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ มาเสริมทัพ

“ซีรีส์เรื่อง OMG ผีป่วนชวนมารัก ที่ออกฉายครั้งนี้ ได้บริษัททรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ จำกัด  มาเป็นผู้ดูแลด้านการผลิต ซึ่งซีเจฯ เกิดจากการร่วมทุนกันระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ซีเจ อีเอ็นเอ็ม บริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของเกาหลี เจ้าของลิขสิทธิ์คอนเทนท์ดังระดับเอเชีย และยังมีทีมงานจากเกาหลีมาถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ อย่างใกล้ชิด กลายเป็นละครที่คว้าเรทติ้งสูงสุดของช่องในรอบปีนี้  ถือเป็นความสำเร็จที่ทำให้เรายิ่งเชื่อมั่น ว่าเรามาถูกทาง”

ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ยังคงเดินหน้าตามสูตรความสำเร็จนี้ต่อเนื่อง ด้วยการคัดสรรคอนเทนท์คุณภาพจากเกาหลี  แล้วนำมาปรุงรสใหม่ในแบบไทยๆ ล่าสุด  เตรียมส่งรายการเดตติ้งเกมโชว์เรตติ้งอันดับหนึ่งในเกาหลีอย่าง You Are My Fantasy มาผลิตในเวอร์ชั่นไทยภายใต้ชื่อ แฟนฉันเป็นซุปตาร์ รายการที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาว และบรรดาแฟนคลับจากทั่วประเทศที่ฝันอยากจะมีโอกาสได้ออกเดทกับดาราที่ชื่นชอบและซุปตาร์สุดฮอตของเมืองไทย พร้อมลงจอทุกวันจันทร์ เวลา 20.30 – 22.00 น. เริ่ม 19 พฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายหลากคอนเทนท์ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อม โดยทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ ซึ่งสูตรสำเร็จฉบับนี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่อาจพลิกชาตะให้ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 สามารถไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำของช่องทีวีดิจิทัลก็เป็นได้

Viewing all 21835 articles
Browse latest View live