Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21835 articles
Browse latest View live

“ไปรษณีย์ไทย” กลัวที่ไหน 7-11 รับ-ส่งพัสดุ เตรียมเช่าเหมาลำเครื่องบินการบินไทย ส่งในวันเดียวทั่วไทยและเอเชีย

$
0
0

การเข้ามาในธุรกิจโลจิสติกส์ ของผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งต่างชาติและชาติเดียวกันเอง อาทิ เคอร์รี่ เอ็กซ์เพรส (Kerry Express) เอสซีจี เอ็กซ์เพรส (SCG Express) นิ่มซี่เส็ง ดีเอชแอล และเอ็กซ์เพรส (DHL Express) หรือแม้แต่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ล้วนแต่เป็นคู่แข่งสำคัญเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของไปรษณีย์ไทย ซึ่งทำให้จากที่เคยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกือบ 100% ในอดีต (ในช่วงเวลานั้นมียอดขายกว่าเ 10,000 ล้านบาท) ลดลงมาเหลือประมาณ 50% ในปัจจุบัน ไม่ได้ทำให้ไปรษณีย์ไทยหวาดกลัวหรือกังวลใจ เพราะยอดขายยังเติบโตต่อเนื่อง ปีที่แล้วมียอดขายมากกว่า 27,000 ล้านบาท  ปีนี้น่าจะปิดตัวเลขที่ 30,000 ล้านบาท ทำกำไรอีกกว่า 4,500-4,600 ล้านบาท

และแม้ว่า คุณสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) จะยอมรับว่าการแข่งขันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของธุรกิจในโลกตลาดเสรี ที่ไม่สามารถไปปิดกั้นการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ได้ และแม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของไปรษณีย์จะลดลง  ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร  เพราะตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น  ผลประกอบการและรายได้ของไปรษณีย์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และที่สำคัญ ไปรษณีย์เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นแสวงหากำไรเป็นหลัก  แต่เน้นการบริการอย่างดีที่สุดให้กับลูกค้า เมื่อบริการดีแล้ว ลูกค้าก็จะเลือกใช้บริการของไปรษณีย์ไทยเอง

“การเข้ามาของเซเว่น เฉยๆ นะ เซเว่นจะเปิดมา 2 ปีที่แล้วแต่ไม่เวิร์ค เพราะเขาไม่รู้ระบบ เขาเปิดเราก็ทำของเราให้ดีที่สุด เราจะไปห้ามไม่ให้เปิด มันทำไม่ได้ เราไม่ต้องไปคิด แต่รู้ไหมรู้ เราต้องรู้เขารู้เรา เราไม่ต้องกังวล เราต้องทำตัวเองให้ดี เป็นจุดยืนของไปรษณีย์ไทย  ถ้าเป็นหน่วยงานธุรกิจเขาจะมองกำไรสูงสุด มาร์เก็ตแชร์สูงสุด เอาลูกค้าให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ใช่ไปรษณีย์ไทย เรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลาย เราต้องขยายตัวและสนับสนุนการเติบโตของลูกค้า ถ้าลูกค้าโต เราก็โตมีความยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน”

เมื่อต้องตั้งรับกับการแข่งขัน  พร้อมกับเสริมศักยภาพการบริการ ไปรษณีย์ไทยจึงเตรียมแผนงานและการความพร้อมในการดำเนินธุรกิจในหลายๆ เรื่อง

1.จัดตั้งศูนย์ไปรษณีย์ควบคุม ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

ก่อนหน้านี้ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO (The International Civil Aviation Organization) ได้ปักธงแดงกับสายการบินไทยเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในช่วงปี 2548 ส่งผลให้พัสดุไปรษณีย์ไม่สามารถจัดส่งทางเครื่องบินได้  แต่ล่าสุดไปรษณีย์ไทยได้จัดทำแผนรักษาความปลอดภัยการขนส่งทางอากาศ  และการแผนการฝึกอบรมเรื่องการขนส่ง ซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.)ให้ดำเนินการขนส่งพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศได้แล้ว จึงลงทุน 60 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์ไปรษณีย์ควบคุม  แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการ  เนื่องจากรอใบประกาศรับรองในช่วงเดือนธันวาคมนี้อีกครั้ง ซึ่งหลังจากนี้จะทำให้ไปรษณีย์ไทยสามารถให้บริการจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ได้ภายในวันเดียวหรือภายในวันถัดไปด้วย

ในปีหน้าทางไปรษณีย์ไทยยังมีแผนขยายศูนย์การไปรษณีย์ควบคุมอีก 5 สนามบิน คือ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงราย และอุดรธานี  เพื่อใช้เป็นศูนย์จัดส่งพัสดุไปรษณีย์ทั่วประเทศภายในวันเดียว และส่งต่อไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเอเชียในบางประเทศ  เช่น ญี่ปุ่น โดยส่งออกจากสนามบินนานาชาติในแต่ละภูมิภาคที่มีเที่ยวบินไปยังต่างประเทศได้เลย จากก่อนหน้าที่ต้องขนส่งมาลงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างเดียว

บริการที่เหนือกว่านั้น ไปรษณีย์ไทยจะเช่าเหมาลำเครื่องบิน  เพื่อจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ไปยังต่างจังหวัด  เพราะที่ผ่านมายังมีปัญหาว่าการจัดส่งล่าช้า อย่างพัสดุไปรษณีย์ EMS หากเกินรัศมี 400 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ​ จะไม่ได้รับภายใน 1 วันหรือในวันถัดไป แต่หากมีการจัดส่งทางอากาศก็จะทำให้ผู้รับ สามารถรับได้ภายในวันเดียวกัน หรือวันถัดไปเป็นอย่างช้า เบื้องต้นกำลังเจรจากับการบินไทย  เพื่อเช่าเหมาลำเครื่องบิน ซึ่งจะมีเส้นทางการบินจาก กรุงเทพฯ -เชียงใหม่- อุดร-กรุงเทพฯ และ กรุงเทพฯ -หาดใหญ่ -ภูเก็ต -กรุงเทพฯ

นอกจากได้ความสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัยแล้ว อัตราค่าบริการจะถูกลงด้วย  แถมไปรษณีย์ไทยยังจะมีรายได้เพิ่มจากบริการคาร์โก และการตรวจสอบความปลอดภัยของพัสดุไปรษณีย์จากสายการบินอื่นๆ ด้วยในอัตรากิโลกรัมละ 23 บาท เพราะทุกสายการบินที่ขนส่งพัสดุไปรษณีย์  ต้องผ่านการตรวจสอบจากศูนย์ไปรษณีย์ควบคุม ประเมินคร่าวๆ เฉพาะศูนย์ไปรษณีย์ควบคุม สนามบินสุวรรณภูมิ จะมีรายได้เบื้องต้นปีละ 30 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้มีการจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ด่วนทางอากาศประมาณ ​35 ล้านชิ้นต่อเดือน

2.ลงทุน 10,000 ล้านเพิ่มประสิทธิภาพบริการ

ในแต่ละปีไปรษณีย์ไทย จะลงทุนพัฒนาระบบการบริการ การขยายศูนย์ไปรษณีย์ การรีโนเวตไปรษณีย์เก่า การจัดซื้อที่ดินรองรับกับการขยายที่ทำการไปรษณีย์ หรือเตรียมไว้เพื่อขยายพื้นที่บริการ และยังมีการลงทุนพัฒนาระบบไอที เทคโนโลยี รวมถึงการทำตลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่องทุกปี  ปีที่แล้วมีงบลงทุน 7,000 กว่าล้านบาท ปีนี้ก็ใช้เงินกว่า 10,000 ล้านบาท ปีหน้าก็คงใช้ในวงเงินกว่า 10,000 ล้านบาทเช่นกัน การพัฒนาประสิทธิภาพการบริการที่สำคัญของไปรษณีย์ไทย อาทิ การติดตั้งเครื่องคัดแยกจดหมายและพัสดุอัตโนมัติ ซึ่งติดตั้งแล้วที่ศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชา นครราชสีมา และศูนย์อีเอ็มเอส  หลักสี่  ภายในปี 2564-2565 จะให้ติดตั้งครบ 19 แห่งทั่วประเทศ

3.เพิ่มบริการใหม่ Flexible Delivery – IBOX

จากการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าปัจจุบัน พบว่าสิ่งที่ต้องการได้รับจากไปรษณีย์ไทยมากที่สุด คือ เรื่องความสะดวกสบาย ไปรษณีย์ไทยจึงได้เพิ่มบริการ Flexible Delivery ด้วยบริการจัดส่งไปรษณีย์ตามที่ลูกค้าแจ้งที่ใดก็ได้  ปัจจุบันให้บริการกับลูกค้ารายใหญ่ ปีหน้าจะเพิ่มบริการสำหรับรายย่อยด้วย

การบริการตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะ (IBOX) ให้ลูกค้ารับพัสดุไปรษณีย์ได้ตลอด 24 เป็นตู้อัจฉริยะอำนวยความสะดวก หลังจากที่ทำการไปรษณีย์ปิดให้บริการแล้ว ปัจจุบันทดลองติดตั้งที่ทำการไปรษณีย์ 50 แห่ง  ปีหน้าจะเพิ่มให้มากขึ้น แต่รอประเมินผลการให้บริการในปีแรกก่อน

นอกจากนี้ ยังมีการเสริมบริการต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพการให้บริการ ด้วย อาทิ การเก็บเงินปลายทาง (COD) พร้อมนำส่งเข้าระบบ e-Wallet ของไปรษณีย์ไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซบริหารเงินใน e-Wallet ได้ทันที จะเริ่มให้บริการได้ในเดือนธันวาคมนี้  การบริการรับพัสดุไปรษณีย์ที่สถานที่ของลูกค้าต้องการ และการให้บริการ 24 ชั่วโมง ศูนย์อีเอ็มเอส หลักสี่  การพัฒนาเว็บไซต์ thailandpost.co.th เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขายสินค้าให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น

4.จัดแคมเปญ “ไปรษณีย์ไทย…ดี๊ดี” ขยายฐาน Gen X-Z

ไปรษณีย์ไทย ตั้งมากว่า 135 ปี และเป็นรัฐวิสาหกิจมาสู่ปีที่ 16 ตลอดระยะเวลา 10 ปีไม่เคยจัดทำแคมเปญใหญ่และการทำภาพยนตร์โฆษณา ขณะที่สภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไป  กลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen X-Z เข้ามาทำธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเพิ่มมากขึ้น ต้องมีการส่งสินค้า แต่อาจจะไม่รู้จักไปรษณีย์ไทยดีพอ หรืออาจจะรู้จักแต่ไม่รู้ว่ามีบริการอะไรบ้าง แคมเปญ “ไปรษณีย์ไทย…ดี๊ดี” จึงมีขึ้นมาเพื่อการสร้างรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่และขยายฐานให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้นด้วย

ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซถือเป็นฐานลูกค้าสำคัญของไปรษณีย์ไทยกลุ่มหนึ่ง มีสัดส่วนถึง 50% ของรายได้ทั้งหมด  และตลาดก็มีขนาดใหญ่ถึง 30,000 ล้านบาทด้วย เติบโตปีละ 20%  ซึ่งแต่ละวันไปรษณีย์ไทยให้บริการจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ทั้งหมดกว่า 8 ล้านชิ้น โดยแคมเปญนอกจากจะมีการสื่อสารทางการตลาดแล้ว  ยังมีแคมเปญการลดราคาต่างๆ อาทิ ลดราคาบริการ EMS ในประเทศตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป ส่วนลดกล่องและซองฟอร์คอมเมิร์ซ 3-5% และส่วนลดค่าบริการส่งต่างประเทศ ​200 บาท เป็นต้น


Influencer Marketing กลยุทธ์น้ำดื่มสิงห์ สร้างทั้ง High Engagement-High Loyalty ในทุกทาร์เก็ต

$
0
0

ยังคงเดินหน้าสร้าง Engagement ระหว่างแบรนด์น้ำดื่มสิงห์และผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งเด็กและวัยรุ่น ซึ่งทางสิงห์มองว่าอาจจะมีความผูกพันธ์และใกล้ชิดกับแบรนด์น้อยกว่ากลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างกลุ่มครอบครัวที่แบรนด์สิงห์ค่อนข้างเข้าถึงได้มากกว่า เพราะด้วยอายุของแบรนด์ที่ทำตลาดมานานกว่า 30 ปี ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์น้ำสิงห์ในความรู้สึกของคนรุ่นใหม่จะดูว่ามีอายุมากและไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองมากเท่าไหร่นัก  

ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นการทำตลาดอย่างเข้มข้นและรุกหนักของน้ำดื่มสิงห์ โดยเฉพาะการทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว 5 Brand Influencer เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ได้แก่ วี วิโอเล็ต วอเทียร์, ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์, เบเบ้ ธันย์ชนก ฤทธินาคา และ 2 หนุ่มแรปเปอร์แห่งวงเซาท์ไซด์ อย่างโต้ง ทูพี พิทวัส พฤกษกิจ และดีเจต๊อบ ณภัทร เหล่าพลายนาค

จนมาถึงเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา กับกระแสฮือฮาในการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์อย่างเป็นทางการของแบรนด์น้ำสิงห์ในรอบ 30 ปี อย่าง เจ้านาย จิณเจษฎ์ วรรธนะสิน ที่เริ่มด้วยการปล่อย Viral Marketing เพื่อสร้างกระแสในโลกออนไลน์ก่อนจะตามด้วย TVC ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี ทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงและเข้าใกล้คนรุ่นใหม่มากขึ้น นำมาสู่การต่อยอดการใช้ Influencer Marketing ต่อเนื่องในปลายปีนี้ โดยคนที่จะมาเป็น Brand Influencer คนต่อไปก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เพราะน้ำดื่มสิงห์เลือก เจ้าขุน จักรภัทร วรรธนะสิน น้องชายของเจ้านายนั่นเอง

Music Marketing ถูกกลุ่ม ถูกเวลา  

คุณธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจนอนแอลกอฮอลล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการตลาดโค้งสุดท้ายของน้ำดื่มสิงห์ในปีนี้ผ่านงบการตลาด 50 ล้าน เพื่อเพิ่ม Bonding ของแบรนด์สิงห์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากการเปิดตัวเจ้าขุนในฐานะ Brand Influencer คนล่าสุด ยังเลือกวิธีที่จะใช้ในการสื่อสารแบรนด์ในรูปแบบที่จะเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดีผ่านเสียงเพลง และใช้เจ้าขุนเป็นผู้แสดงนำใน MV เพลง “ใกล้” (Closer) ของศิลปินวงสครับที่นำมา Cover ใหม่โดยโต้ง ทูพี ซึ่งเป็นหนึ่งใน Brand Influencer ของน้ำสิงห์อยู่แล้ว ซึ่งนอกจากจะมาขับร้องแล้วยังได้มาร่วมแต่งท่อนแร็พเพิ่มเติม และถือเป็นครั้งแรกของโต้ง ทูพี ในการร้องเพลงสไตล์ป๊อป เป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่ที่น้ำสิงห์มอบให้กับตลาดอีกด้วย

“หนึ่งเหตุผลในการเลือกเจ้าขุนเป็นแบรนด์อินฟลูเอนเซอร์ครั้งนี้  ต่อยอดมาจากผลตอบรับจากแคมเปญก่อนหน้าที่ใช้เจ้านายและมีแฟนๆ ถามหาเจ้าขุน ซึ่งทั้งสองคนมีแฟนคลับในกลุ่มวัยรุ่นที่มากใกล้เคียงกัน โดยเจ้าขุนมีผู้ติดตามใน IG มากกว่า 1.6 ล้านคน ประกอบกับเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนที่ทั้งทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ชอบเล่นกีฬา และมีคาแร็กเตอร์ที่สดใส ทำให้ภาพของแบรนด์เชื่อมโยงไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดี และยังรวมไปถึงกลุ่มครอบครัว ทั้งภาพลักษณ์ของครอบครัววรรธนะสิน รวมทั้งบางกลุ่มที่ชื่นชอบและเป็นแฟนคลับติดตามมาตั้งแต่คุณเจ เจตริน คุณพ่อของเจ้าขุนอีกด้วย”

ส่วนการเลือกใช้ MV เป็นรูปแบบในการสื่อสาร ก็สอดคล้องกับ Insight ของกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นที่ชอบฟังเพลง โดยเฉพาะถ้าเพลงเพราะ นักร้องดี นักแสดงดี โอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มทาร์เก็ตจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต่างกับการทำโฆษณาทั่วไป ที่จะเข้าถึงได้ยากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกระแสหรือคนชอบมากแค่ไหน ยอดวิวที่เป็นโฆษณาก็ Reach Out ได้ไม่เกิน 10 ล้านView แต่หากใช้เพลงที่คนชอบมากกว่า รวมทั้งโต้ง ทูพี ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น มีคนติดตามใน IG เป็นหลักล้านเช่นกัน รวมทั้งการมาร้องเพลงสไตล์ใหม่ที่คนยังไม่เคยเห็นมาก่อน เชื่อว่าจะทำให้เป็นอีกหนึ่งคอนเทนต์ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย โดยคาดว่าภายในเดือนแรกที่ปล่อย MV เพลงใกล้ ออกไปจะมี Reach ได้ที่ประมาณ 20 ล้าน View

ที่สำคัญ Timing ในการเปิดตัวยังเข้าสู่ช่วงปลายปีซึ่งเป็นจังหวะที่สีสันในการตลาดค่อนข้างคึกคัก เข้าสู่ช่วงเทศกาลของการเฉลิมฉลอง ซึ่ง Music Marketing เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักที่สำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว การผูกแบรนด์น้ำดื่มสิงห์ไปกับดนตรีจึงทำให้เข้าใกล้ผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นในทุกๆ วัน

เจาะกลุ่มเด็ก เพิ่ม Brand Loyalty  

นอกจากต่อยอดกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่แล้ว อีกหนึ่งตลาดที่น้ำดื่มสิงห์จะให้น้ำหนักในการทำตลาดมากขึ้น คือกลุ่มเด็ก ซึ่งลักษณะเด่นของกลุ่มเป้าหมายนี้คือ High Loyalty เพราะในช่วงวัยเด็กๆ ถ้าคุ้นเคยกับสินค้าหรือแบรนด์ใดๆ ก็จะผูกพันธ์และชื่นชอบแบรนด์เดิมๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง หากน้ำสิงห์สามารถเข้ามาจับตลาดกลุ่มนี้ได้ โอกาสที่จะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ขึ้นเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดที่ชัดเจนก็มีโอกาสสูงด้วยเช่นกัน

สิ่งที่น้ำสิงห์จะใช้เป็นตัวแทนในการเข้ามาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก คือ การทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างบริษัท ฮาสโบร อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ เจ้าของลิขสิทธิ์การ์ตูนดังระดับโลก มาย ลิตเติล โพนี่ (My Little Pony) ด้วยการนำภาพการ์ตูนมาใช้ในกิจกรรมการตลาด และออกเป็นฉลากผลิตภัณฑ์ของน้ำดื่มสิงห์ ขนาด 330 มิลลิลิตร รวม 8 แบบ ได้แก่ ทไวไลท์ สปาร์คเคิล, เรนโบว์แดช, พิ้งกี้ พาย, ราริตี้, แอปเปิ้ลแจ็ค, ฟลัตเตอร์ชาย และมาย ลิตเติ้ล โพนี่ เพื่อจำหน่ายในทุกช่องทางทั้ง Modern Trade  ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าทั่วประเทศ  รวมทั้ง www.singhaonlineshop.com ด้วย

ทางสิงห์มองว่า ตัวการ์ตูนมาย ลิตเติล โพนี่ ไม่เพียงแค่เด็กๆ เท่านั้นที่ชื่นชอบ แต่ยังเป็นหนึ่งในการ์ตูนยอดนิยมของคนทั่วไป ทำให้นอกจากได้กลุ่มเด็กแล้ว ยังขยายฐานมาสู่กลุ่มครอบครัวซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักของน้ำดื่มสิงห์ด้วย ซึ่งนอกจากนำมาทำลวดลายบนแพกเกจแล้ว ยังมีการต่อยอดไปสู่กิจกรรมต่างๆ ทั้งใน กทม. รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วย เริ่มด้วย Ponyville in town @Parc Paragon ในวันที่ 2-4 พ.ย. กับกิจกรรมหลากหลายทั้งกิจกรรมเพ้นท์หน้าลายโพนี่, DIY คุ๊กกี้โพนี่ รวมถึงถ่ายรูปภาพในงานและแชร์บนโลกออนไลน์พร้อมติดแฮชแท็ก #SINGHAWATER รับฟรีภาพขนาดเล็กคนละ 1 ใบด้วย

ส่วนในต่างจังหวัดจะยก Ponyville ไปทุกภาคทั่วไทย เริ่มที่ The Mall  โคราช ในวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2561 รวมทั้งมีแผนทำ Schools Roadshow เพื่อจัดกิจกรรมลักษณะดังกล่าวไปยังโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กๆ ได้สัมผัสตัวการ์ตูนโพนี่ที่น่ารักแบบได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น

การ Approach กับกลุ่มเด็กๆ หนีไม่พ้นการใช้การ์ตูน ซึ่งลิตเติล โพนี่เป็นการ์ตูนที่มีคนรู้จักและชื่นชอบ รวมมาถึงกลุ่มคนทั่วไป และกลุ่มครอบครัวด้วย และเมื่อไปอยู่บนแพกเกจน้ำดื่ม ก็จะทำให้น้ำดื่มสิงห์โดดเด่นขึ้นมาจากเชลฟ์ที่ส่วนใหญ่จะไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งการเปลี่ยนแพกเกจใหม่รวมทั้งการขับเคลื่นกิจกรรมต่างๆ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายขนาดบรรจุภัณฑ์นี้ให้เติบโตได้มากกว่าเท่าตัว จากปัจจุบันน้ำดื่มขนาด 330 มิลลิลิตร ของสิงห์มีสัดส่วนราว 10% จากยอดขายโดยรวม”

ปูกลยุทธ์ทุก Segment รักษาตำแหน่งผู้นำ

ไม่เพียงแค่กลุ่มเด็ก หรือวัยรุ่น คนรุ่นใหม่เท่านั้นที่สิงห์จะให้ความสำคัญ เพราะในส่วน Mass Target ทางน้ำสิงห์ก็ยังคงขับเคลื่อนโปแกรม CRM ที่แข็งแรงอย่างสิงห์รีวอร์ดอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดแอดไลน์ Singha Reward กว่า 7 ล้านคน โดยมียอดแอคทีฟจากการสะสมแต้มสูงเป็นหลักล้าน ขณะที่มียอดการนำแต้มไปแลกเป็นของรางวัลก็มีสัดส่วนสูงถึง 80% เช่นกัน

“สิงห์ รีวอร์ดเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่ม  Loyalty ให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น จากปกติที่คนทั่วไปมักจะซื้อน้ำดื่มหลายๆ ยี่ห้อ ทั้งจากโปรโมชั่น หรือแบรนด์ที่มีขายอยู่ขณะนั้น แต่การมีสิงห์รีวอร์ดจะทำให้น้ำสิงห์เป็นแบรนด์อันดับแรกที่ผู้บริโภคจะเลือก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่น้ำสิงห์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงน้ำแร่เพอร์ร่าที่ให้คะแนนสะสมมากกว่า 2 เท่า ทำให้เห็นส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจนจาก 12-13% ในช่วงต้นๆ ปี แต่ปัจจุบันนำแร่เพอร์ร่ามีแชร์ในตลาดขยับขึ้นมาเป็น 18-19% เป็นอันดับ 2 คู่กับออร่า ตามหลังมิเนเร่ที่มีแชร์ในตลาดที่ประมาณ 30% จากมูลค่าตลาดน้ำแร่รวมราวๆ 2 พันล้านบาท เติบโตต่อปีประมาณ 15%”

สำหรับน้ำสิงห์ปัจจุบันยังคงเป็นผู้นำในตลาดน้ำดื่ม มีส่วนแบ่งตลาดราวๆ 21% คู่กับทางคริสตัล ซึ่งเป็นการช่วงชิงสลับตำแหน่งผู้นำตลาดกันแบบผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ชนิดที่ต้องดูกันแบบเดือนต่อเดือน ขณะที่เนสท์เล่ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่ง 15% ตามมาด้วยน้ำทิพย์ 4% และช้าง 2% ขณะที่มูลค่าตลาดน้ำดื่มของไทยในสิ้นปี  2561 นี้ จะมีมูลค่าที่ประมาณ 46,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนลิตรที่ราว 49,000 ล้านลิตร มีอัตราการเติบโตที่ 6.8%

จะเห็นได้ว่าน้ำดื่มสิงห์มี Movement ในการขับเคลื่อนตลาดอย่างต่อเนื่องและรุกหนักมาตลอดทั้งปี รวมถึงหลายๆ ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะในแง่ของการเพิ่มช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น อย่างการเจาะกลุ่มโรงเรียน ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งกลุ่มเป้าหมายใหม่และกลุ่มที่มีลอยัลตี้สูงในเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นผลดีต่อแบรนด์ในระยะยาว รวมทั้งการโหมตลาดสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการทำตลาดที่แตกต่างด้วย Emotional Marketing เพื่อทำให้สามารถใกล้ชิดและจับต้องแบรนด์ได้มากขึ้น รวมถึงโปรแกรม CRM ที่แข็งแรงและนำมาซึ่งการเพิ่มยอดขายได้จริง ทำให้น้ำสิงห์เชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับขึ้นเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแรงและชัดเจนด้วยส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 25% ภายในสิ้นปีหน้าได้อย่างแน่นอน

 

7 รสชาติแปลก Lay’s เจาะอินไซต์ลูกค้ายุคใหม่ เปิดตัวรสชาติ ‘ทุเรียน-ไข่เค็ม’

$
0
0

ไอเดียการทำตลาดที่ผุดมาจากความคิดสร้างสรรค์ของผู้คิดค้นในหลายๆครั้งก็มาจากความชื่นชอบส่วนตัวจนนำไปสู่การสร้างสิ่งที่ตนเองชื่นชอบให้ติดตลาด และบางครั้งก็ผุดขึ้นมาจากการสังเกตุพฤติกรรม ความชื่นชอบของกลุ่มลูกค้าจนนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาให้เกิดสินค้าที่แปลกใหม่แหวกความจำเจในตลาดนั้นๆ

เป็นที่รู้กันดีว่า คนจีนจำนวนไม่น้อยชื่นชอบทุเรียนอย่างมาก เห็นได้จากการสั่งซื้อทุเรียนถึงหน้าสวน ทั้งในตลาดไทยและมาเลเซีย รวมถึงปรากฏการณ์สั่งซื้อทุเรียนออนไลน์ด้วยยอดขายถล่มทลาย 1 นาที 8 หมื่นลูก ผ่านเว็บไซต์“อาลีบาบา”ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ล่าสุด มันฝรั่งทอดกรอบ Lay’s (เลย์) จากค่ายฟริโต-เลย์ ก็ได้ส่งรสชาติใหม่ทั้งรสทุเรียน และรสไข่เค็ม ทำตลาดในจีน เอาใจคนจีนผู้ชื่นชอบขนมขบเคี้ยวที่มีวัตถุดิบอย่างทุเรียน และไข่เค็มเป็นส่วนประกอบ

เลย์รสทุเรียน

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวจากทีม BrandBuffet หลังจากได้ทดลอง “เลย์”ทั้ง 2 รสชาติแล้วพบว่า เลย์รสทุเรียนเมื่อทานไปเรื่อยๆจะคล้ายกับว่ากำลังทานทุเรียนแผ่นทอดกรอบ มีความมัน กลิ่นของทุเรียนไม่แรงจนเกินไป ใครที่ทานทุเรียนแผ่นทอดกรอบในไทยได้ ก็สามารถทานเลย์รสนี้ได้เช่นกัน ส่วนเลย์รสไข่เค็มนั้น มีไข่เค็มผสมเล็กน้อย ยังไม่ถือว่าเข้มข้นมากนัก แต่ก็ถือว่าเหมาะสมกับราคาที่วางขาย โดยราคาขายตามร้านสะดวกซื้อที่จีนแบบขนาด 65 กรัม อยู่ที่ ห่อละ 7 หยวน อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ใจว่าเลย์รสดังกล่าวจะเข้ามาทำตลาดที่ไทยด้วยหรือไม่ หากใครอยากชิมรสชาตินี้ก็ลองฝากคนรู้จักที่มาจีนซื้อไปลองกัน ทั้งนี้ ในจีนยังมีเลย์รสชาติอื่นๆที่แปลกตาและยังไม่เห็นเข้ามาวางขายในไทย ตามการสำรวจจากร้านค้าทั่วไป ดังนี้

เลย์รสมะนาว
เลย์รสแตงกวา
เลย์รสเกลือทะเลและพริกไทยดำ
เลย์รสไก่-มะเขือเทศเม็กซิกัน
เลย์รสไก่-มะเขือเทศสไตล์เม็กซิกัน

 

Cr. ภาพประกอบจาก Taobao

SC Asset ขยี้ Pain point ชาวกรุงฯ ส่งโครงการ Neighbourhood บางกะดี เพราะ #ทนไหวไม่ใช่ทางออก

$
0
0

การเลือกซื้อที่อยู่อาศัย มักเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนต้องพบเจอ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นการพิจารณาโครงการที่จะซื้อให้รอบคอบจากองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก โดยเฉพาะการให้ความเชื่อมั่นกับดีเวลลอปเปอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์   รู้ลึกซึ้งถึงปัญหาจากการรับฟังเสียงของคนในชุมชน พร้อมนำเสนอทางออกหรือโซโลชั่นเพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อสร้างสรรค์ชุมชนแห่งอนาคตที่ทุกคนล้วนปรารถนา

สำหรับโครงการ The Neighbourhood by SC Asset นับว่าเป็นโครงการที่มีจุดเริ่มต้นที่ดีและใส่ใจผู้บริโภคเป็นหลัก เพราะพัฒนาตามแนวคิด “Human Centric”  จากการที่แบรนด์จะรับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่ และได้ทำการลงพื้นที่วิจัยอย่างจริงจัง โดยร่วมกับศูนย์บริการวิจัยและออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (REDEK) เพื่อนำผลลัพธ์มาใช้ในการพัฒนาและออกแบบ ซึ่งแบ่งออกเป็นพื้นที่ในโครงการและพื้นที่สาธารณะนอกโครงการ เริ่มต้นที่พื้นที่ย่านบางกะดี จ.ปทุมธานี

เพื่อให้เห็นภาพเบื้องหลังการกลั่นกรองแนวคิดเพื่อปลุกปั่นโครงการนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น จึงถ่ายทอดเรื่องราวผ่านคลิปโฆษณาที่มีเนื้อหาเสียดสีคนกรุงเทพฯ  โดยกะเทาะเปลือก Pain point ของผู้บริโภคคนเมืองที่ต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความจำทนกับสารพัดเรื่องต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาเพียงเพราะต้อง”อยู่ให้ไหว” ผ่านชีวิตของคนเมืองที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องปรับตัวและรู้สึกชินกับวินมอเตอร์ไซต์ที่วิ่งไปมาบนฟุตบาท, ชายหนุ่มที่ผันตัวมาเป็นดีเจออนไลน์ เพราะบ้านอยู่ระหว่างร้านคาราโอเกะ และผับที่มักมีเสียงเพลงและเสียงดนตรีอึกทึกครึกโครมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน, ครูที่ต้องสอนหนังสือในโรงเรียนที่อยู่ในเส้นทางการขึ้นลงของเครื่องบิน การเปล่งเสียงสู้กับเสียงดังจากเครื่องบินที่มาตามนัดเป็นประจำ คือปัญหาที่ต้องทนอยู่กับมันให้ได้, ชายวัยกลางคนที่ต้องเล่นฟุตบอลกลางถนนหน้าบ้านกับลูกชาย และหนุ่มวีลแชร์ที่ถือโอกาสฝึกกล้ามเนื้อแขนเวลายกวีลแชร์ขึ้นลงฟุตบาทที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อผู้บกพร่องทางร่างกาย

ตัวอย่างของชีวิตคนหลากหลายอาชีพนี้ คือ การใช้ชีวิตในสภาวะจำยอม โดยที่ปัญหาไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่เคียงข้างเหมือนโรคประจำตัวที่ไม่มีวันรักษาหายขาด ต่อให้เลวร้ายเพียงใด ก็หน้าชื่นอกตรม ต้องกัดฟันยิ้มสู้ เพื่อผ่านชีวิตในแต่ละวันไปให้ได้อยู่ดี แน่นอนว่าสภาวะการอยู่ให้ไหวนี้ นำไปสู่การบ่อนทำลายสุขภาพกายและใจ ตลอดจนลดทอนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สโลแกนสวยหรูที่ว่า “กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” จึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ฟังแล้วรู้สึกคาใจ เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนเมือง และเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงที่เจ็บปวดออกไปทุกที

จริงอยู่ตามที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวิน ที่ว่า “สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยต่างๆ ได้มากกว่าก็มีโอกาสที่จะอยู่รอด” แต่คำถามคือ เรามีทางเลือกมากกว่าที่จะจมจ่อมอยู่กับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายไหม เรามีทางเลือกมากกว่าการอยู่รอดไปวัน ๆ หรือไม่ คำตอบคือ เพียงเพราะเราปรับตัวให้อยู่กับปัญหาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหานั้นไม่สมควรจะได้รับการแก้ไข ทุกปัญหาย่อมมีทางออก  ปัญหาเหล่านี้ก็เช่นกัน สามารถแก้ไขได้  ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง และเรามีทางเลือกที่ดีกว่าการปล่อยมันไปตามเรื่องตามราวแน่นอน

Neighbourhood Bangkadi (เนเบอร์ฮูด บางกะดี)  

คือโมเดลที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองในอนาคต ซึ่งเริ่มต้นบนโครงการที่ดินใหญ่แห่งแรกขนาดกว่า 240 ไร่ ในย่าน บางกะดี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศักยภาพ และมีความเป็น community และมีโครงสร้างที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เช่น สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ บวกกับความเป็นสวนอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรมชั้นนำในเขตเทศบาล กว่า 60 แห่ง, เป็นต้นทางของการขนส่งสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี (EEC) ประกอบกับความเข้มแข็งของอีก 17 ชุมชนที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และร่วมกันพัฒนาท้องถิ่น ทำให้เกิดทำเลที่มีศักยภาพโดดเด่นขึ้น และพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต

ความตั้งใจในการพัฒนา Neighbourhood บางกะดี นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบรับการเติบโตของครอบครัวและความต้องการของการอยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆในอนาคตบนพื้นที่กว่า 200 ไร่ในโครงการแล้ว ยังทำให้เกิดพื้นที่สาธารณะ หรืองานออกแบบ ขนาด 6 ไร่ ด้านหน้าสุดของโครงการ ให้เป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการ และชุมชนในย่าน โดยดึงหลักการ Human-Centric เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยในเมืองมาปรับใช้อย่างจริงจัง สำหรับขั้นตอนการทำวิจัย SC Asset และ Redek นั้นเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้รับฟังความคิดเห็นจากคนในชุมชนหรือคนในพื้นที่อย่างเอาใจใส่ และเก็บทุกรายละเอียดมาออกแบบพื้นที่เพื่อช่วยลด pain point ให้ได้มากที่สุด

สิ่งที่ Neighbourhood บางกะดี ได้รับฟังเสียงจากคนในชุมชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยความใส่ใจจริง ๆ เห็นได้จากเรื่องราวที่ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณา ที่เผยให้เห็นกล่องขนาดประมาณ 4×4 ม. ข้างในมีไมค์และกล้องติดไว้ให้ผู้คนในชุมชนได้บอกกล่าวเล่าความในใจถึงปัญหาที่พวกเขาประสบพบเจอ  และอะไรคือสิ่งที่พวกเขาอยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในชุมชน ซึ่งเมื่อพวกเขาพูดเสร็จ จะมีการถ่ายภาพของแต่ละคนเอาไว้ โดยใส่หมวกนิรภัยและปริ้นท์ลงบนในรั้วที่กั้นรอบตึกชั่วคราวเมื่อมีการก่อสร้างหรือซ่อมแซมตึก(hoarding) ขนาดยาวประมาณ 52 ม. เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของคนในชุมชนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม และแสดงให้เห็นว่าเสียง และความคิดของพวกเขามีความหมายและเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบชุมชนแห่งอนาคต เป็นการร่วมกันออกความคิดเห็น ร่วมกันออกแบบ เพื่อใช้ประโยชน์และดูแลพื้นที่ร่วมกันอย่างยั่งยืน สร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของ (Sense of belonging) และนำไปสู่ความหวงแหนและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นไป

โดยกรอบการวิจัย (Methodology) ในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1. การศึกษาแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต (Future Living Trends) เช่น แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุ แนวโน้มด้านการดูแลสุขภาพ แนวโน้มด้านเทคโนโลยี แนวโน้มด้านการทำงานที่เทคโนโลยียุคใหม่เอื้อให้คนทำงานอยู่บ้านมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัดไปทำงานทุกวัน ตลอดจนแนวโน้มด้านสังคม (Homelife Neighbourhood)
2. การศึกษาพื้นที่และคนที่อยู่ในพื้นที่ย่านนั้นๆ (Site & Program Analysis) เพื่อทราบถึงตัวตนและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยทำแบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึก
3. การศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภค (User Behaviour Analysis) โดยใช้หลักการของกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อศึกษากลุ่มเป้าหมายที่จะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแบบบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมในอนาคต

โดยข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการออกแบบผังของชุมชน รูปแบบสถาปัตยกรรม รวมถึงการบริการต่าง ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนในชุมชนอย่างแท้จริง

สำหรับบางส่วนของงานวิจัยได้เริ่มมีเป็นไอเดียเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วในพื้นที่ในโครงการ เช่น ความต้องการในการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จึงเป็นที่มาของ Sport Complex ที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่กว่า 5 ไร่ เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางในการทำกิจกรรมต่างๆ

ภาพ Draft จำลองของ Sport Complex

โดยคำนึงถึงกิจกรรมหลากหลายประเภทตามไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง (Introvert) อยากจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งคนเดียว หรือคนที่ชอบสังสรรค์และอยากจะเรียกเหงื่อด้วยการเรียนโยคะพร้อมกันกับเพื่อนบ้านตามสไตล์สาวสังคม (Extrovert) หรือแม้แต่การนัดเพื่อนมาปั้นโปรเจคท์ Start Up ด้วยกัน ด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายแต่สวยงาม ทำให้ตัวอาคารกลายเป็นแลนด์มาร์ค สำคัญของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีเลนจักรยานสำหรับนักปั่นอีกด้วย

ปัจจุบันโครงการ Neighbourhood  บางกะดี ได้แบ่งพื้นที่ที่จะถูกพัฒนาออกเป็น 7 ส่วน ซึ่งในปัจจุบันได้เปิดขายแล้ว  2 โครงการคุณภาพ ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต และโครงการบ้านเดี่ยว เวนิว ติวานนท์-รังสิต

ทำความรู้จักกับ Neighbourhood บางกะดี มากขึ้นได้ที่: www.scasset.com/TheNeighbourhood

 

SC ASSET ดึงพลัง “พนักงาน” ปั้นวัฒนธรรมองค์กรใหม่ตอบโจทย์ธุรกิจ Living Solutions Provider

$
0
0

ทุกการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความท้าทายเสมอ เช่นเดียวกับที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET ประกาศการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ในรอบสิบปี ให้สอดคล้องวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร เพื่อก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ตามที่ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เอสซี แอสเสท ได้วางไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

โจทย์เปลี่ยน สู่ Living Solutions Provider

หากย้อนกลับไปในช่วงสิบปีก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าบริษัทเอสซี แอสเสท เอง ก็มีวัฒนธรรมองค์กรเดิมอยู่แล้ว ภายใต้แนวคิด “2C 2A” ประกอบด้วย ช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ผลงาน (Create), ใส่ใจลูกค้า (Care), ตอบสนองต่อความต้องการอย่างรวดเร็ว มีความกระตือรือร้น (Active) และ มีความเป็นมืออาชีพ (Ability)

ที่ “คน SC ASSET” ใช้เป็น หลัก ในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร และกับพาร์ทเนอร์มาโดยตลอด แต่เมื่อองค์กร กำลังเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ และเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกๆด้านมากขึ้น ดังนั้น “พนักงาน” จะต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่ตามมาด้วย

โดยเฉพาะ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Living Solutions Provider จากบทบาทเดิมเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ เอสซี แอสเสท วางตำแหน่งเป็น Real Estate Developer ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งคุณภาพในทุกด้านเท่านั้น

สำหรับการเป็น Living Solutions Provider  คือ การประสานนวัตกรรมเข้ากับอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้า โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และทำงานร่วมกับ Partners ที่หลากหลายใน ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น

วัฒนธรรมองค์กรต้องร่วมกันออกแบบ

สำหรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในครั้งนี้ เอสซีฯ ยังได้ สลิงชอท กรุ๊ป (Slingshot Group) ที่ปรึกษาการวางกลยุทธ์การพัฒนาผู้นำและองค์กรชั้นนำระดับประเทศไทย ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญต่อการรวาง Strategy ทั้งยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคล(HR) และการวางแผนการสื่อสารร่วมกับพนักงานทั้งหมด เพื่อผลักดันให้พนักงานเอสซีฯ เข้าใจ และตระหนักถึงวิสัยทัศน์ใหม่องค์กรฯ ร่วมกัน

ปฎิบัติการสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่เอสซีครั้งนี้ วางระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 และกำหนดให้วันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นวัน “คิก ออฟ” แคมเปญการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ พร้อมสื่อสารไปยังพนักงานทั้งหมด

ภายในงานมี 4 เรื่องหลัก ที่นำมาพูดคุยกับพนักงาน คือ

  • การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (Change)
  • การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง (Re-Culture)
  • สำรวจความคิดเห็นของพนักงาน (Survey)
  • สร้างการมีส่วนร่วมผ่านพนักงานทุกระดับ เพื่อเป็นตัวแทน (Culture Agents)

เริ่มตั้งแต่ ทำอย่างไรให้พนักงานตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง โดยไม่รู้สึกถูกบีบบังคับ การดูแลตั้งแต่ระดับความคิดและความรู้สึกของพนักงานอย่างเป็นเหตุเป็นผล สร้างการมีส่วนร่วมการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยความเต็มใจ และนำร่องตัวแทนผู้นำกลุ่มเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร

เพื่อให้ได้ข้อสรุปทั้ง Core Value และ วัฒนธรรมองค์กรตามที่พนักงานมีส่วน “ร่วมออกแบบ” วัฒนธรรมองค์กรใหม่ และบรรลุเป้าหมายสู่การพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการสร้างนวัตกรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ Living Solutions Provider

โมเดล ค็อทเตอร์ ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

นอกจากนี้ สลิงชอท กรุ๊ป ยังได้นำ 8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จแห่งการเปลี่ยนแปลงของ ค็อทเตอร์ (The 8-Steps for Leading Change – Kotter) ใช้เป็น Methodology สำคัญในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวในครั้งนี้

เริ่มตั้งแต่การสร้างแพล็ตฟอร์มธุรกิจขององค์กร (SC ASSET) ที่เติบโต ปลุกให้พนักงานลุกขึ้นสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สร้างกลุ่มผู้นำโดยใช้วิธีรับสมัครจากพนักงานเพื่อเป็นตัวแทน และร่วมกำหนดนิยามของค่านิยมใหม่ (Core Value) ร่วมกัน

ข้อมูลจาก: https://www.kotterinc.com/8-steps-process-for-leading-change/

พร้อมดำเนินการสัมภาษณ์กลุ่มระดับผู้บริหาร และกลุ่มลูกค้า(ลูกบ้าน)เอสซีฯ ในมุมความคิดเห็นที่ว่า พนักงานแบบใดสามารถทำงานตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เดินคู่ไปกับการสำรวจความคิดเห็นพนักงานทั้งหมด โดยผลดำเนินการทั้งหมดจะนำมากลั่นกรองเพื่อให้ได้ Core Value ใหม่ ซึ่งจะต้องแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

คุณอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ( Partner / Founder  Slingshot Group )

ต่อจากนั้น ตัวแทนผู้นำกลุ่มของพนักงานที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ จะเป็นผู้สื่อสารถ่ายทอดค่านิยมองค์กรใหม่ออกไปยังวงกว้าง เพื่อให้พนักงานทั้งหมดรับรู้และมีส่วนร่วม จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการฉลองความสำเร็จในช่วงแรก เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับพนักงานก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป และเข้าสู่กระบวนการสุดท้าย คือ ปรับใช้จริงจนเป็นกิจวัตร และกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่องค์กรของเอสซีฯ ในที่สุด

ทุกคนเป็น SC Team Robin

จาก Action Plan ดังกล่าว เอสซีฯ มองว่าสิ่งท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขององค์กรในครั้งนี้ คือ การสร้างวิธีการให้คน “Buy In” เพื่อสร้างการเติบโตองค์กรแบบยั่งยืนร่วมกันในอนาคต ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างบรรยากาศการทำงาน การพัฒนาระบบคุณภาพชีวิตภายใต้โปรแกรมต่างๆ

โดยในเร็วๆนี้ เอสซีฯ เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชั่น เอสซีอินวัน สำหรับพนักงานให้สามารถทำกิจกรรมส่วนตัวและกิจกรรมระหว่างองค์กรต่างๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ HR Digital Platform ในอนาคตอย่างแท้จริง

แอปพลิเคชั่น เอสซีอินวัน

นอกจากนี้ เอสซีฯ ยังเห็นว่าเจเนอเรชัน ความแตกต่างระหว่างรุ่นของพนักงานองค์กร นั้นไม่ใช่ปัญหาหลักต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรในครั้งนี้ ด้วยปัจจุบันมีพนักงานคนรุ่นใหม่ หรือ เจน วาย สัดส่วนเกือบ 70%  เจน เอ็กซ์ ราว 30%  ส่วน เบบี บูมเมอร์ มีสัดส่วนที่น้อยลงราว 3% และกำลังมีคนรุ่นใหม่ กลุ่ม Gen Z เข้ามาร่วมงานมากขึ้นในอนาคต

กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ จะเป็นพนักงานที่จะเข้ามามีบทบาทและขับเคลื่อนองค์กรต่อไป โดยฝ่าย HR ของเอสซีฯเองยังได้พัฒนาโปรแกรมนำร่องสร้างกลุ่มพนักงานที่เรียกว่า SC Team Robin เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก จำนวน 50-60 คน โดยทำหน้าที่บอกเล่า ความเคลื่อนไหวต่างๆขององค์กรที่เกิดขึ้น เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ไม่ให้พลาดทุกข่าวสารองค์กรที่ต้องการสื่อสารกับพนักงาน และยังปฏิบัติงานได้อย่างน่าประทับใจ พร้อมวางเป้าหมายภายใน 5 ปีนับจากนี้ พนักงานทุกคนของเอสซีฯ จะสามารถเป็น SC Team Robin ได้ทั้งหมด ด้วยเชื่อมั่นว่า หากคนเอสซีฯร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่เกิดขึ้นได้แล้ว การสร้างสรรค์ นวัตกรรมใหม่ๆ ภายในองค์กรก็จะตามมา และบรรลุสู่วิสัยทัศน์องค์กรที่วางไว้ได้ในที่สุด

การขยับใหญ่ของของเอสซีฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะสะเทือนถึงธุรกิจในตลาดเดียวกันแล้ว เชื่อว่าจะยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังอุตสาหกรรมอื่นที่จับตาดูอยู่เช่นกัน

ติดตามความคืบหน้าของการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ได้ที่: www.facebook.com/scasset

 

ในช้อปปี้ๆๆๆ มีแบมแบมๆๆ JYP เปิด Official Shop ประเดิมแคมเปญ 11.11 กระทบไหล่ แบมแบม GOT7

$
0
0

เลือกไทม์มิ่งช่วง Prime Time ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างวันคนโสด หรือ 11.11 สร้างกระแสให้กับแพลตฟอร์มของตัวเองได้ค่อนข้างดี สำหรับช้อปปี้ (Shopee) เพราะถือเป็นแคมเปญที่ทั่วทั้งภูมิภาคต่างรอคอย รวมทั้งในประเทศไทยที่ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทำให้คนไทยเริ่มคุ้นเคยและเฝ้ารอดีลสุดพิเศษจากแพลตฟอร์มต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน 

ทุ่มงบอัดโปรโมชั่นใหญ่สุดในรอบ 3 ปี

โดยปีนี้ช้อปปี้ทุ่มงบจัดแคมเปญยิ่งใหญ่มากกว่าทุกปี นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากว่า 3 ปี หลังจากเดือนพฤศจิกายนในปลายปี 2014 เป็นต้นมา ภายใต้แคมเปญ Shopee 11.11 Big Sale ลดอลัง ปังทุกดีล ในรูปแบบ Non Stop โดยเริ่มเปิดแคมเปญมาตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. ยาวไปจนถึง 11 พ.ย. 2561 ที่นอกจากดีลเด็ดๆ จากสินค้ากว่าพันแบรนด์ทั้งไทยและโกลบอลแบรนด์ เช่น Unilever, P&G, Olay, Mamypoko, Sabina, Wacoal, 3M, ASUS, Guy Laroche และอื่นๆ อีกมากมาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 11 บาท โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยผลตอบรับของการจัดแคมเปญของช้อปปีในปีที่ผ่านมา มียอดสั่งซื้อจากทั้ง 7 ประเทศ รวมกันมากกว่า 2.5 ล้านออเดอร์ และมีจำนวนสินค้าที่ขายได้ในแคมเปญนี้มากกว่า 7 ล้านชิ้น

ส่วนความพิเศษในปีนี้นอกจากดีลที่ดึงดูดใจแล้ว ช้อปปี้ยังให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่แตกต่าง เพิ่มการสร้าง Engagement บนแพลตฟอร์มผ่านการจัดแคมเปญไฮไลท์ร่วมกับ Strategic Partner เช่น Shopee 11.11 Creative Award ด้วยการให้แบรนด์ดีไซน์โลโก้ช้อปปี้เข้ากับ Brand Identity ของตัวเองและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ร่วมโหวตผลงานผ่านแอปฯช้อปปี้ อาทิ Olay, Hasbro, Bifesta, Grab, iflix, P&G, Honestbee  หรือกิจกรรมพิเศษร่วมกับแบรนด์ เช่น ลูกค้า 11 รายแรกที่โชว์หน้าแอปพลิเคชั่นช้อปปี้ ที่ร้าน Pizza Hut ในแต่ละสาขากว่า 130 สาขาทั่วประเทศ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน รับพิซซ่าได้ฟรี หรือผู้โดยสาร Grab ที่ใช้บริการในวันที่ 9 พฤศจิกายน และทำรายการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะได้รับคูปองแทนเงินสดมูลค่า 100 บาท เพื่อซื้อสินค้าในช้อปปี้ เป็นต้น

ทั้งนี้ แคมเปญ Shopee 11.11 Big Sale ของช้อปปี้ในปีนี้ ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกและเทรนด์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Facebook และช้อปปี้ ทำให้ได้เห็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมนักช้อปทั่วทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Mobile Commerce ที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นในช่วงวันคนโสด ซึ่งตามข้อมูลของ Facebook พบว่า ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ทั้ง 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีอัตราการจับจ่ายซื้อสินค้าสูงขึ้นกว่า 1.3 เท่า เมื่อเทียบกับวันที่ 11 ของเดือนอื่นๆ ขณะที่อัตราส่วนของการจับจ่ายผ่านสมาร์ทโฟนสูงขึ้นถึงกว่า 76% ในช่วงเทศกาลวันหยุด

ส่วนในประเทศไทย พบว่า มากกว่า 1 ใน 4 มีแนวโน้มที่จะจับจ่ายในวันคนโสด ด้วยงบประมาณสูงกว่า 8,000 บาท สำหรับการช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดยาว โดยนักช้อป 23% มีแนวโน้มที่จะจับจ่ายในงบประมาณที่ใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังพบว่า การช้อปปิ้งออนไลน์ในปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ยุคของโมบายและโซเชียล โดย 69% ของชาวไทยมักใช้โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางหลักในการเปรียบเทียบราคาสินค้าและหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อ

เปิดตัวแอมบาสเดอร์ แบมแบม GOT7

นอกจากจัดเต็มสินค้าโปรโมชั่นชุดใหญ่แล้ว ช้อปปี้ยังประกาศเปิดตัว Campaign Ambassador อย่าง แบมแบม – กันต์พิมุกต์ ภูวกุล หรือ แบมแบม GOT7 ศิลปินเคป๊อบสายเลือดไทย จากค่ายเจวายพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ของเกาหลีใต้ ซึ่งทางต้นสังกัดของแบมแบม ได้เข้ามาเปิด Official Shop อยู่บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ไทยแลนด์ ตั้งแต่วันเริ่มแคมเปญคือ 25 ตุลาคม 2561 นำมาซึ่งการเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับแคมเปญในครั้งนี้ของแบมแบม

คุณอากาธา โซห์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Shopee กล่าวว่า เจวายพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เข้ามาเปิด Official Shop แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับทางช้อปปี้ ไทยแลนด์เท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มแฟนคลับศิลปินของทางค่ายสามารถสั่งซื้อสินค้าหลากหลายคอลเลคชั่นและถูกลิขสิทธิ์จากทางค่ายได้โดยตรงจากช้อปปี้เพียงที่เดียว โดยเบื้องต้นจะมีสินค้าลิขสิทธิ์ทั้งของศิลปินวง GOT7 (ก็อตเซเว่น), Stray Kids (สเตรย์คิดส์), DAY6 (เดย์ซิกส์) และ TWICE (ทไวซ์) เช่น อัลบั้มซีดี และแท่งไฟ  ซึ่งในอนาคตจะมีสินค้าเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ

ส่วนการเลือกแบมแบม GOT7 มาเป็นแคมเปญแอมบาสเดอร์นั้น ทางช้อปปี้มองว่า เพราะแบมแบมเป็นคนไทย และมีความสามารถจนประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล บวกกับบุคลิกที่มีความกระฉับกระเฉงและเป็นกันเองทำให้ได้รับความชื่นชอบจากแฟนๆ ในวงกว้าง ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ช้อปปี้ด้วย รวมทั้งตัวของแบมแบมเองและศิลปินวง GOT7 ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในประเทศไทยอย่างมาก

“ตลาดฐานแฟนคลับเคป๊อปในประเทศไทยมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่ที่ผ่านมาการซื้อสินค้าของศิลปินเกาหลีที่ชื่นชอบจะต้องใช้วิธีฝากหิ้วจากคนที่ไปเกาหลี หรือไม่ก็ซื้อผ่านแพลตฟอร์มของช็อปในเกาหลี ซึ่งนอกจากไม่สะดวกแล้วยังมีค่าใช้จ่ายจากภาษีนำเข้าต่างๆ ทำให้ต้องซื้อในราคาแพง ขณะที่นโยบายของช้อปปี้จะให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจตลาดและกลุ่มเป้าหมายในแต่ละเซ็กเม้นต์ เพื่อให้ช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถตอบสนองผู้ใช้งานทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม รวมทั้งยังเป็นการสร้างความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ เนื่องจากเป็นการเข้ามาในตลาดที่ยังไม่เคยมีใครเข้ามาก่อน จึงเป็นโอกาสในการขยายฐานผู้ใช้งานไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่กว้างมากยิ่งขึ้น”

โดยการเปิด Official Shop ของ JYP  ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้บรรดาแฟนคลับให้มีช่องทางในการซื้อสินค้าพรีเมี่ยมต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้นแล้ว การซื้ออัลบั้มผ่าน official Shop ในช้อปปี้ ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการช่วยสนับสนุนศิลปินซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บรรดาแฟนคลับชาวไทยให้ความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากการจัดอันดับความนิยมหรือ Billboard ต่างๆ ของทางเกาหลีจะนับรวมยอดการสั่งซื้อซีดี บวกกับการโหวตหรือคะแนนรวมกับช่องทางอื่นๆ ทำให้ยอดการสั่งซื้อจะถูกรวมไปกับการเก็บคะแนนความนิยมของศิลปินแต่ละราย จึงช่วยเพิ่มช่องทางให้แฟนคลับสามารถสนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบได้มากขึ้น สะท้อนถึงการทำความเข้าใจกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง เพื่อให้ช้อปปี้สามารถเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าใจความต้องการในแต่ละเซ็กเม้นต์ได้อย่างถ่องแท้ และในอนาคตจะพยายามเพิ่มเติมการตอบโจทย์ในเซ็กเม้นต์ใหม่ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น

เดินเกม Localization

นอกจากเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับแคมเปญแล้ว ทางช้อปปี้ยังได้จัดกิจกรรมฉลองการเปิดตัวด้วย Shopee X Bambam Fanmeet ในวันที่ 10 พ.ย. 2561 ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ด้วยการเลือก 200 ผู้โชคดีจากการสั่งซื้ออัลบั้ม Present You ของศิลปิน GOT7 และสินค้าอื่นๆ ผ่าน JYP Official Shop บนแอปช้อปปี้ จนถึงวันที่ 6 พ.ย. 2561 ซึ่งเป็นอีกวิธีการกระตุ้นยอดการซื้อได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน

คุณอากาธาห์ เล่าถึงฟีดแบ็คหลังเปิดตัวแบมแบม พร้อม JYP Official Shop เมื่อวันที่ 25 ต.ค. หรือเพียงแค่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้ามาติดตามช็อปของเจวายพีบนแพลตฟอร์มเกือบ 3 หมื่นคนแล้ว ขณะที่ยอดจำหน่ายสินค้าแค่เพียง 1-2 วันแรกก็ทำยอดขายได้หลายพันชิ้น นอกจากนี้ Twitter @ShopeeTH ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ที่ช้อปปี้ได้เริ่มนำมาใช้ในการสื่อสารเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพิ่มเติมจากแคมเปญนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น Younger Audience และเพียงแค่ในช่วง 1-2 วันที่เริ่มทำแคมเปญก็สามารถสร้างยอดรีทวีตได้มากกว่า 4 หมื่นรีทวีต รวมทั้งยังสามารถขยับขึ้นไปติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์ในขณะนั้นได้ด้วย

การเปิด JYP Official Shop เป็นหนึ่งตัวอย่างในการศึกษาและพยายามตอบสนองตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ หรือการทำกลยุทธ์แบบ Localization ซึ่งในทั้ง 7 ประเทศที่ช้อปปี้เข้าไปทำตลาด ก็จะมีความแตกต่างทั้งพฤติกรรม ความชอบ หรือลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยประเทศไทยมีขนาดของกลุ่มแฟนคลับที่ค่อนข้างใหญ่ ทั้งคนที่ชื่นชอบศิลปินไทยหรือต่างประเทศ ซึ่งนอกจาก JYP Official Shop ที่เข้ามาเปิดช็อปอยู่ในพื้นที่ Shopee Mall ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับให้แบรนด์ต่างๆ มาเปิด Official Shop เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายของตัวเองผ่าน Mobile Commerce Platform โดยในปัจจุบันมีแบรนด์ชั้นนำทั้งของไทยและอินเตอร์แบรนด์มากกว่าพันร้าน และในอนาคตทางช้อปปี้จะพยายามดึง Global Brand ต่างๆ เข้ามาให้บริการเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่สำหรับศิลปินดาราเซเลบริตี้คนไทย ที่นิยมทำแบรนด์ของตัวเองก็จะใช้แพลตฟอร์มช้อปปี้เป็นอีกหนึ่งช่องทางทำตลาด เช่น โอปอล หรือ BNK48 เป็นต้น

หรือแม้แต่การพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ที่อยู่ภายในแอปฯ ที่ช้อปปี้ก็พยายาม Localize ให้เข้ากับพฤติกรรมคนไทย ที่ชื่อชอบการใช้งานโซเชียล ชอบมีปฏิสัมพันธ์ คอมเม้นต์ แชท เช่น การมีฟีเจอร์ Voting ภายในแอปฯ สำหรับใช้ในการจัดแคมเปญ หรือร่วมกิจกรรมกับการทำรายการต่างๆ ที่จะทำให้สามารถเห็นฟีดแบ็คและการตอบรับต่างๆ จากผู้ชมได้เป็นอย่างดี

ตลาด Mobile Commerce ยังโตได้อีก

สำหรับโอกาสของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยคาดว่ายังเติบโตได้อีกมากทั้งจากความคุ้นเคยและมั่นใจของผู้บริโภคในการซื้อสินค้ามากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นระบบเพย์เม้นต์ หรือระบบลอจิสติกส์ต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี รวมทั้งการเห็นคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการมองเห็นโอกาสที่มีอยู่อีกมากในตลาดประเทศไทย

โดยเฉพาะในกลุ่ม Mobile Commerce ที่ตอนนี้ยังมีสัดส่วนอยู่ราว 10% ของตลาดเท่านั้น ทำให้ยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับการเติบโตของช้อปปี้ที่กว่า 3 ปีในการเข้ามาทำตลาด ถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างเร็ว โดยสามารถเติบโตได้มากกว่า 2 หลักในทุกๆ ปี เนื่องจากความสามารถในการเข้าใจตลาด และวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น เช่น เริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าผู้ชายเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นราว 20-30% จากก่อนหน้าที่ผู้ช้อปส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง โดยทางช้อปปี้จะพยายามนำสินค้าและทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นลูกค้าในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับกลุ่มผู้หญิง ขณะที่สินค้าที่ได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ได้แก่ สินค้าในกลุ่มสุขภาพและความงาม ตามมาด้วยกลุ่มไอทีและแก็ดเจ็ท รวมทั้งกลุ่มของเล่นและสินค้าเด็กตามลำดับ

นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังให้ความสำคัญทั้งการขับเคลื่อนการทำตลาด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ การพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับการใช้งานทั้งในฝั่งของผู้ซื้อ และผู้ขาย รวมทั้งการทำโปรโมชั่นที่ทำอย่างเหมาะสมและตรงกลุ่มทาร์เก็ต ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรให้รองรับกับการพัฒนาของตลาด โดยเฉพาะการมี Local Talent กว่า 700 คน ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

“ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน Strategic Market ของช้อปปี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับอินโดนีเซียที่มีประชากรสูงถึงเกือบ 200 ล้านคน แต่ก็มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะหากเทียบกับตลาดที่อีคอมเมิร์ซพัฒนาไปมากแล้วอย่างไต้หวัน จะเห็นสัดส่วนการช้อปออนไลน์ของคนในประเทศที่มีสัดส่วนราวๆ 30% ของการจับจ่ายของผู้คน ขณะที่ไทยหรือเวียดนามนับเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนการช้อปปิ้งออนไลน์ไม่ถึง 10% จึงยังมีโอกาสที่ตลาดจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว ขณะที่ผู้ค้าบนแพลตฟอร์มของช้อปปี้ขณะนี้มีรวมทั้งสิ้นกว่า 8 แสนราย โดยมีทั้งกลุ่มที่เป็น SME หรือกลุ่มโอทอปผลิตภัณฑ์ชุมชนราวๆ 3 พันราย รวมทั้ง Official Shop จากแบรนด์ต่างๆ กว่า 1 พันแบรนด์ ซึ่งในอนาคตจะพยายามเพิ่มความหลากหลายของสินค้าบนแพลตฟอร์มให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน”

ช้อปปี้วางเป้าหมายสำคัญสำหรับการทำตลาดในประเทศไทยคือ การเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยนึกถึงเมื่อต้องการช้อปออนไลน์ ไม่ว่าจะในฐานะผู้ซื้อ หรือผู้ขาย หรือสามารถก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้บริโภคคนไทย โดยเฉพาะการเลือกช้อปปี้เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชั่นหลักที่อยู่บนหน้าจอสามร์ทโฟนของคนไทย ซึ่งการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนได้ว่าเป็นอย่างดีว่าการขับเคลื่อนต่างๆ ของช้อปปี้นั้นมาได้ถูกทางแล้ว

พลิกคัมภีร์การสร้างแบรนด์ Huawei สู่มือถือแถวหน้าของโลก

$
0
0

บนโลกมีแบรนด์สินค้าเกิดขึ้นมากมาย แต่จะมีสักกี่แบรนด์ที่สามารถก่อร่างสร้างชื่่อให้คนรู้จักได้ภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งยังจดจำได้ทั่วโลก ยิ่งสนามรบธุรกิจ “มือถือ” (สมาร์ทโฟน) ที่ขับเคี่ยวกันดุเดือด  ถ้าแบรนด์ไม่ปังจริง การยืนหยัดในตลาดคงทำได้ยากในปัจจุบัน

หากพูดถึงการสร้างแบรนด์ กรณีศึกษาที่หยิบยกมาเล่ากีทียังคงมีความน่าสนใจเสมอ อาจต้องยกให้แบรนด์สมาร์ทโฟนแดนมังกร “หัวเว่ย”(Huawei) เพราะในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคได้เห็น “เบอร์รอง” ไล่ตามแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก Apple และ Samsung จนสามารถ “โค่น” ตำแหน่งและขึ้นไปแทนที่อันดับ 2 ในด้านรายได้สำเร็จแล้ว

ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้บริโภค” ใครๆย่อมต้องการของดี มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ  จึงไม่แปลกใจหนึ่งในกลยุทธ์ที่ “หัวเว่ย” ให้ความสำคัญมากคือการโฟกัสไปที่ “ผลิตภัณฑ์” หรือ Product ซึ่งเป็น P ตัวแรกของส่วนประสมทางการตลาด(4Ps) ที่ทางผู้ผลิตทุ่มเททั้งสรรพกำลังเงินเพื่อวิจัยและพัฒนา(R&D)สินค้าด้วยงบประมาณ 10-15% ต่อปี แถมยังขึ้นชื่อเป็นบริษัทที่ทุ่มทุนด้าน R&D จนคิด Top 5 ของโลกมาแล้วเมื่อปี 2559 นั่นเอง

เมื่อพิจารณาแล้วปีที่ผ่านมาหัวเว่ยใช้เงินมากถึง 14.9% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 4.56 แสนล้านบาท สำหรับคิดค้น วิจัยและพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพทั้งภายในคือ เทคโนโลยี ซอฟท์แวร์ ของสมาร์ทโฟนให้ล้ำนำสมัยเสมอ  ส่วนภายนอกเห็นแล้วต้องว้าว! ดีไซน์ต้องสวย โดดเด่น ฟังก์ชั่นการใช้งานครบเครื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในทุกด้าน

ขุมพลังของการวิจัยและพัฒนาสมาร์ทโฟนของ “หัวเว่ย” ก็ไม่ธรรมดา เพราะปัจจุบันมีศูนย์วิจัยและพัฒนามากกว่า 17 แห่งทั่วโลก รวมถึงศูนย์ร่วมนวัตกรรมอีกไม่ต่ำกว่า 36 แห่ง ยิ่งกว่านั้นพนักงานที่มีร่วมแสนคนทั่วโลก สัดส่วนประมาณกึ่งหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

ยิ่งถ้าได้สัมผัสศูนย์วิจัยและพัฒนาของ “หัวเว่ย” ที่ประเทศจีน อาจต้องตะลึง เพราะกระบวนการผลิตและทดสอบสินค้านั้น เกิดขึ้นตลอดเวลา ซ้ำๆ ต่อเนื่อง ทั้งทดสอบสายชาร์จ การตกกระทบของสมาร์ทโฟน ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ การทนต่ออุณหภูมิต่างๆของสมาร์ทโฟน เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่จะไปถึงมือผู้บริโภค “ดีจริง”

จุดแข็งด้านสินค้าไม่หมดเท่านั้น เพราะตลาดมือถือ สมาร์ทโฟนมีหลายเซ็กเมนต์ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อแตกต่างกัน “หัวเว่ย” จึงมีการเติมพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่หลากหลาย เพื่อเอาใจผู้บริโภคทุกระดับตั้งแต่กลุ่ม Entry Market ราคา 3,000-5,000 บาท กลุ่ม  Mass Segment ราคาจับต้องได้สบายกระเป๋า 5,000-15,000 บาท และกลุ่ม Premium Segment ราคาสูงกว่า 15,000 บาทขึ้นไป โดยเฉพาะเรือธงทั้ง P series และ Mate series มักมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาเขย่าตลาดอยู่เรื่อยๆ  พร้อมกับแคมเปญสร้างสรรค์ต่างๆที่ทำให้อยากได้เป็นเจ้าของสักเครื่อง

นอกจากนี้การสร้างแบรนด์ให้เกิดเพียงรายเดียวอาจไม่พอ แต่ยังต้องมีการ Collaboration กับพันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลก เพื่อให้มีอิมแพ็คมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับกล้อง “Leica” และ “Porsche Design” ถือเป็น “กุญแจ” สำคัญของ “หัวเว่ย” เพราะนอกจากจะช่วย “อัพเกรด” ภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์แดนมังกรสู่การเป็น Global Brand แล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เกื้อกูลการเติบโตซึ่งกันและกันได้อย่างดี เพราะแต่ละแบรนด์ดังเหล่านั้นมักมี “สาวก” ที่พร้อมเทใจมาเป็นลูกค้าได้ด้วย

ความสำเร็จที่ผ่านมาของ “หัวเว่ย” จึงไม่ใช่มังกรธรรมดา แต่เปรียบเหมือนมังกรที่เตรียมพ่นไฟอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเห็นได้จากแนวทางการทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่องควบคู่การวิจัยและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องในปีๆนึง

หัวเว่ย จึงกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ Global ได้อย่างรวดเร็ว  พร้อมกับการดึงพลังของคนดังระดับโลกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ Lionel messi นักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา อาศัยพลังของ Gal Gadot นางเอกฮอลลีวู้ดจากภาพยนตร์  Wonder Woman ฯ มาเสริมแกร่งให้แบรนด์ยิ่งกว่าเดิม

 

เบื้องหลังทุกแก้วกาแฟ Café Amazon สู่ ทุกรอยยิ้มของ “บ้านปางขอน”

$
0
0

คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) นอกจากทำธุรกิจเชนร้านกาแฟในประเทศไทยอย่างเข้มข้นสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆแล้ว  อีกมุมนึงยังเดินหน้าให้ความสำคัญต่อการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชน โดยได้ร่วมกับบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด จัดทำโครงการ “จัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน” (Community Coffee Sourcing) นำร่องจับมือกับ “วิสาหกิจชุมชนกาแฟปางขอน” และ “วิสาหกิจชุมชนกาแฟอาข่าปางขอน” จ.เชียงราย สร้างรายได้โดยรับซื้อกาแฟอราบิก้าจากชุมชน  

ทำไมต้อง “บ้านปางขอน”

เพราะ “บ้านปางขอน” นับเป็นชุมชน ชาวเขา ที่ตั้งอยู่ในบนดอยสูงในพื้นที่ ต.ห้วยชมภู  อ.เมือง จ.เชียงราย  ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า ละหู เย้า ลีซู ตามลำดับ นับเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและมีธรรมชาติอันงดงาม โดยมี “โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านปางขอน มีดอกนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่งให้ชมกันในเดือนมกราคม และ “ไร่กาแฟ” ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรบนที่สูง

ที่ผ่านมาชาวบ้านปางขอน ต้องประสบปัญหาการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง และในบางครั้งก็ไม่มีคนรับซื้อกาแฟ ชาวบ้านจึงต้องเดินทางไกลเพื่อนำเมล็ดกาแฟไปขายเอง ซึ่งขายได้บ้างไม่ได้บ้าง แม้ในช่วงตลาดกาแฟดีขึ้น พ่อค้ากลับมาซื้อ แต่ก็โดนกดราคาอยู่ดี ทำให้ชาวบ้านหลายคนล้มเลิกความตั้งใจที่จะปลูกกาแฟ

หลังจาก คาเฟ่อเมซอน และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เข้ามาจัดทำโครงการฯ โดยสนับสนุนและพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชน และรับซื้อเมล็ดกาแฟกะลา นำไปสู่การพูดคุยเรื่องแนวทางการพัฒนาคุณภาพกาแฟ และราคาที่เป็นธรรมในการซื้อขายกาแฟอราบิก้าร่วมกัน เพื่อให้ชาวบ้านกลับมามีกำลังใจในการปลูกกาแฟที่มีคุณภาพดี สอดคล้องความต้องการของตลาด พร้อมให้ความมั่นใจว่ามีตลาดรองรับแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า พร้อมสร้างการรับรู้ว่ากาแฟของพวกเขา ได้ส่งถึงมือผู้บริโภคทุกคนภายในร้าน “คาเฟ่อเมซอน”

ทั้งนี้ การเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหากาแฟดังกล่าว นอกจากเป็นการพัฒนาศักยภาพและทักษะอาชีพให้เกษตรกรสามารถปลูกและผลิตเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐานแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟกะลาที่แน่นอน ผ่านการรวมกลุ่มของเกษตรกรในชุมชน และมีรายได้ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากระบบราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังเป็นส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟภายใต้ระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยได้ประสานงานร่วมกับโครงการในพระราชดำริฯ เพื่อจัดหาพันธุ์ไม้ร่มเงาตามความต้องการของเกษตรกร โดยในปี 2561 ได้ดำเนินการแจกแก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 1,500 ต้น ครอบครัวละ 50 ต้น พร้อมมีการใช้แรงงานและการจ้างงานอย่างเป็นธรรม รวมถึงมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย

ปัจจุบัน มีการรับซื้อกาแฟกะลาจากชาวบ้านปางขอนทั้งสิ้น 58.5 ตัน ถูกนำไปแปรรูปเป็นกาแฟสารแล้ว 43.6 ตัน  ไม่เพียงแค่ชุมชนบ้านปางขอนเท่านั้น คาเฟ่อเมซอนและบริษัท สานพลังฯ ยังสนับสนุนในการรับซื้อเมล็ดกาแฟกะลาจากชุมชนในพื้นที่อื่นๆ ใน 3 พื้นที่ จ.เชียงราย ได้แก่ บ้านห้วยแม่เลี่ยม, บ้านห้วยหมาก และบ้านผาลั้ง โดยรับซื้อทั้งสิ้น 69.4 ตัน พร้อมขยายความร่วมมือ สู่เกษตรกรกลุ่มใหม่อีก 8 กลุ่ม ใน จ. เชียงราย รวมถึงเดินหน้าหาความเป็นไปได้ในการขยายองค์ความรู้ของโครงการฯ ในการส่งเสริมการปลูกกาแฟโรบัสต้าคุณภาพสู่บ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการตามแผน เพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ มาจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยโดยตรง รวมถึงช่วยแก้ไขปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อมและยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป

เชื่อมโยง “ผู้ผลิต-ผู้บริโภค”

ล่าสุด ชาวบ้านปางขอนอยากส่งต่อความสุขของพวกเขามาเป็นกาแฟแก้วโปรดให้กับคอกาแฟทุกคน เพียงสแกน QR Code ข้างแก้ว และรับชม Music VDO “ขอบคุณ” ซึ่งแต่งและร้องโดย กอล์ฟ-ฟักกลิ้ง ฮีโร่

ความพิเศษของ Music VDO ถูกจัดทำขึ้นโดยฝีมือการถ่ายของชาวบ้านปางขอน ที่ตั้งใจถ่ายทอดความสุขแทนคำขอบคุณ ส่งตรงถึงคอกาแฟทุกคน เพราะทุกแก้วกาแฟมีส่วนช่วยให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 


‘Smart Pay: Smart Life’มิติใหม่แห่งวงการ Hospital and Health care โรงพยาบาลเวชธานี [PR]

$
0
0

ดร.นพ.ตุลวรรธน์ (ซ้าย) และนางสาวสศิรา อภิรัชเหมภาส (ขวา)

ครั้งแรกในไทย กับ‘Smart Pay: Smart Life’ มิติใหม่แห่งวงการ Hospital and Health care โรงพยาบาลเวชธานี โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทย จับมือกับ GB Prime Pay (FinTechที่กำลังเป็นที่จับตามอง)   เปิดบริการ QR Cash Payment ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพียงสแกนจ่ายจบ กลับบ้านได้ทันที พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันนี้

ดร.นพ.ตุลวรรธน์ พัชราภา ผู้อำนวยการปฏิบัติการ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ทางโรงพยาบาล มีความพร้อมในการรองรับผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มุ่งมั่นพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพด้วยคุณภาพสูงสุด มีการเลือกสรรเทคโนโลยีต่างๆที่จะมาช่วยสนับสนุนให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการแจ้งพิกัดคนไข้ฉุกเฉินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อที่รถโรงพยาบาลสามารถเข้าไปรับคนไข้ได้รวดเร็วในภาวะฉุกเฉิน โดยญาติไม่ต้องบอกทางแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล นอกจากนี้  ทางโรงพยาบาลฯ ได้เล็งเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่นิยมการชำระค่าบริการและสินค้าด้วย QR Code มากขึ้น จึงร่วมมือกับ GB Prime Pay เปิดบริการรับชำระเงินรูปแบบ Smart Pay สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าแก่ผู้ใช้บริการ เพิ่มความสะดวก ลดขั้นตอน ประหยัดเวลา โดยชำระเงินรูปแบบ  QR ที่สามารถชำระค่าบริการได้ทันที ณ จุดให้บริการ หลังเสร็จสิ้นการรักษา หรือรับคำปรึกษา ไม่ต้องติดต่อจุดบริการรับชำระเงินรูปแบบเดิมอีกต่อไป

โดยการชำระเงินผ่าน QR Code นี้ เป็นการชำระเงินผ่านทาง Thai QR  ซึ่งตัว QR นี้ เป็นไปตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย มีความน่าเชื่อถือ ผู้ใช้บริการสามารถชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านแอพพลิเคชั่นของสถาบันการเงินหลักของไทย อาทิเช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรี ธนาคารออมสิน ธนาคารธนชาติ และธนาคารทหารไทย หากผู้ใช้บริการต้องการรับใบเสร็จการชำระเงินฉบับเต็ม สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อขอรับเพิ่มเติมได้ โดยโรงพยาบาลจะจัดส่งในช่องทางที่ผู้ใช้บริการสะดวก ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ หรือทางไปรษณีย์ เป็นต้น โดยในเบื้องต้นศูนย์ที่เปิดบริการระบบ Smart Pay รับชำระค่าบริการด้วย QR Code นั้น ประกอบด้วย ศูนย์ตรวจสุขภาพ ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และศูนย์ผิวหนังเลเซอร์และความงาม เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการที่มารับคำปรึกษาและกลับบ้านได้ทันที และมีแผนในการพัฒนาต่อยอดเปิดบริการ Smart Pay ในศูนย์อื่นๆต่อไปในอนาคต

ด้านนางสาวสศิรา อภิรัชเหมภาส กรรมการบริหารบริษัทโกลบอล ไพรม์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางการใช้ช่องทางการชำระเงินออนไลน์มากขึ้น ผ่านช่องทางต่างๆ  อาทิ การสแกน QR cash payment หรือชำระด้วยบัตรเครดิตออนไลน์ บนมือถือ สังคมไทยมีแนวโน้มที่ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้  ทำให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ทางทีมผู้บริหารโรงพยาบาลฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภค จึงร่วมมือกับ GB Prime Pay เปิดให้บริการระบบ Smart Pay รับชำระเงินด้วย QR Payment เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องสมัคร หรือ ดาวน์โหลด แอพพิเคชั่นใดๆเพิ่มเติม เพียงใช้ Mobile Banking ที่ผู้ใช้บริการมีอยู่แล้วบนมือถือ และนำแอปพิเคชั่นของธนาคารชั้นนำ สแกน QR เพื่อชำระเงินค่าบริการได้ทันที

โดยการทำรายการผ่านทาง QR Payment ทุกอย่างจะถูกแจ้งเตือนหรือยืนยันด้วยระบบอิเล็กทอร์นิกส์แทนทั้งหมด โรงพยาบาลจะรับทราบทันที หลังจากการชำระเงิน โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องแสดงหลักฐานแก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล  และจะได้รับหลักฐานการชำระเงินจากธนาคารเจ้าของบัญชีที่ใช้ในการสแกน QR  เพื่อยืนยันรายการชำระเงินดังกล่าว ขณะเดียวกันหลักฐานการชำระเงินจะแสดงการแจ้งเตือนว่าผู้ใช้บริการได้ชำระเงินให้แก่ GB Prime Pay เรียบร้อยแล้ว  นอกจากนี้ ในปีหน้า  GB Prime Pay มีแผนเตรียมเปิดการให้บริการรูปแบบใหม่ล่าสุดการชำระเงินด้วย QR CREDIT CARD PAYMENT เป็นการชำระเงินโดยสแกนจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตได้โดยที่ไม่ต้องพกบัตรเครดิตอีกต่อไป

ทั้งนี้โรงพยาบาลเวชธานี เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ให้บริการดูแลสุขภาพขั้นตติยภูมิ ตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว มีเตียงผู้ป่วยมาตรฐาน 263 เตียง โดยมุ่งมั่นมอบบริการนวัตกรรมด้านสุขภาพด้วยมาตรฐานสากล ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI (Joint Commission International) แสดงถึงมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยอันเป็นเลิศและเป็นสากล มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของแนวทางการรักษาล่าสุดในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังได้รับการรับรองคุณภาพการรักษารายโรค CCPC (Critical Care Program Certificate) จากสหรัฐอเมริกา ใน 5 รายโรคด้วยกัน ได้แก่ 1.) การรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 2.) การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม 3.) การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว 4.) ไวรัสตับอักเสบบี 5.) การผ่าตัดกระดูดสันหลัง Lumbar Spine สำหรับข้อมูลอื่น ๆ สามารถดูได้ที่ www.vejthani.com

น้ำตาลลิน สานฝันคนไทย ส่งตัวแทนคว้ารางวัลชนะเลิศ งานประกวดเค้กโลก 2018

$
0
0

คนไทยได้เฮลั่นอีกครั้ง เมื่อกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ผู้ผลิตน้ำตาลลินและน้ำตาลปั้นตกแต่งเค้กเจ้าแรกของประเทศไทย ส่งสุดยอดตัวแทนเค้กดีไซเนอร์ คุณโอปอ ลิปปกร ปรียาภาบุลกิต ไปคว้าแชมป์ Best of Gold รางวัลอันทรงเกียรติในงาน Cake International 2018 งานประกวดเค้กระดับโลกที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2-4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เอาชนะผู้เข้าแข่งขันจากหลากหลายประเทศ ที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 2,000 ชิ้น ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้ง หลังจากส่งตัวแทนคนไทยคว้าแชมป์ภายใต้คอนเซ็ปต์งานวัด ไปเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งช่วยตอกย้ำว่าฝีมือของคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากเหล่าเค้กดีไซเนอร์ทั่วโลก ถึงความคิดสร้างสรรค์ เทคนิค และฝีมือการปั้นอย่างประณีตที่คนไทยสามารถเอาชนะใจกรรมการในเวทีงานประกวดระดับโลก ผ่านการนำเสนอด้วยเอกลักษณ์ความเป็นไทย ผ่านผลงานชื่อ The Spirit of Thailand และ The Devine Mother

  • รางวัลชนะเลิศเหรียญทอง 1st Place (Best of gold)

ประเภท Decorative Exhibit (L Class)

ชื่อผลงาน The Devine Mother

คอนเซ็ปท์ พระแม่อุมาเทวี ที่เน้นโชว์เทคนิคการปั้นครบทุกด้าน รวมถึงองค์ประกอบสี เทคนิคการเลือกใช้สีที่เสริมให้องค์พระแม่อุมาเทวีดูโดดเด่น การเพ้นท์สีสิงโตให้สื่ออารณ์ถึงความดุดัน ตัดอารมณ์ด้วยความอ่อนช้อยพลิ้วไหวของอาภรณ์ที่พระแม่อุมาสวมใส่ ทำให้งานชิ้นนี้แตกต่างและโดดเด่นด้วยเทคนิคต่างๆบวกกับความละเอียดประณีต

  • รางวัลชนะเลิศเหรียญทอง

ประเภท Decorative Exhibit (L Class)

ชื่อผลงาน The Spirit of Thailand

ผลงานที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ภายใต้คอนเซ็ปท์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นำเสนอเชิงสัญลักษณ์ โดย เมล็ดข้าวและการแสดงโขน สื่อถึงชาติ พระพุทธรูป สื่อถึงศาสนา พันธุ์ไม้ในพระนามาภิไธยของราชินี และช้างเผือก สัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่รักของชาวไทยทุกคน

นอกจากนี้น้ำตาลลินยังได้ส่งผู้ชนะเลิศการแข่งขันในงาน Lin Thailand Sweet Creation 2017 เข้าร่วมส่งผลงานประกวดในงานนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงยังมีศิลปินเค้กดีไซเนอร์ชาวไทยอีกหลายคน ที่เดินทางไปโชว์ศักยภาพและคว้ารางวัลมาได้เช่นกัน ได้แก่

  • รางวัลชนะเลิศเหรียญทอง (2nd Place)

ประเภท Decorative Exhibit (L Class)

วริษฐ์ จันทวิชานุวงษ์

ชื่อผลงาน : The Truth behind Todsakan’s Love

ผลงานที่นำเสนออีกมุมมองความรักของทศกัณฐ์ที่มีต่อนางสีดาโดยที่ไม่รู้เลยว่านางสีดาเป็นลูกแท้ๆของตน และแม้ทศกัณฐ์จะเป็นฝ่ายร้ายในเรื่อง แต่ก็มีส่วนที่ดีมีคุณธรรมด้วยเช่นกัน ในชิ้นงานจะแสดงออกถึงความจริงของนางสีดาอย่างชัดเจนว่าเป็นลูกครึ่งยักษ์และมนุษย์ และนางยังเป็นสาเหตุสำคัญของสงครามระหว่างยักษ์และมนุษย์ รวมถึงภูมิหลังที่ถูกทศกัณฐ์ลอยน้ำไปตอนเกิด และความลับความเป็นอมตะของทศกัณฐ์ที่อยู่หลังชิ้นงาน สื่อผ่านการตกแต่งเค้กให้ต่างชาติได้รับทราบเรื่องราว

  • รางวัลเหรียญเงิน

ประเภท Celebration Cake 25th Anniversary Show (A Class) โดย ภูมิ พิพัฒน์พงศ์กุล

  • รางวัลเหรียญทองแดง

ประเภท Cupcake (J Class) โดย ภูมิ พิพัฒน์พงศ์กุล

  • รางวัลเหรียญทองแดง

ประเภท Decorated Cookies For Santa (H Class) โดย วรรษชล วิเศษนอก

  • รางวัลเหรียญทองแดง

ประเภท Small Decorative Exhibit (M Class) โดย วันทนีย์ เอกอุดม

  • รางวัลเหรียญทองแดง

ประเภท Absolutely Beginner (O Class) โดย จินตนา​ ทวีหันต์

สำหรับใครที่ชื่นชอบงานศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะการปั้นน้ำตาล ทางน้ำตาลลินก็ได้นำชิ้นงานจริงกลับมาให้คนไทยชื่นชมกัน ในงาน Lin Thailand Sweet Creation ปี 2019 ซึ่งจัดขึ้นปีหน้า ติดตามข่าวสารรายละเอียดงานได้ที่ www.linthailandsweetcreation.com   และwww.facebook.com/linsugarsweetcreation

 

SCG ตอกย้ำการเป็นองค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืน ด้วยรางวัลเกียรติยศ “SET Sustainability Awards 2018” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 [PR]

$
0
0

 

เอสซีจี โดย นายยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง และนายนำพล ลิ้มประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาอย่างยั่งยืนรับรางวัล “SET Sustainability Awards 2018” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ โดยได้รับรางวัล ประเภท ได้แก่ รางวัลเกียรติยศบริษัทจดทะเบียนด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) ซึ่งมอบให้กับบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านความยั่งยืนยอดเยี่ยมติดต่อกันตั้งแต่ ปีขึ้นไป และรางวัลหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment) ซึ่งมอบให้กับบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับธุรกิจในตลาดทุนไทย

รางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเอสซีจีในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ยึดหลักบรรษัทภิบาล ควบคู่กับการสร้างสมดุลและประโยชน์แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและบรรลุถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก โดยการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของลูกค้า รวมทั้งการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง อันเป็นรากฐานสำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ รวมถึงเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว

ระเบิดศึก Craft เบียร์ ครั้งใหม่ “เบียร์หมาป่า”และ “เบียร์มังกร”ไล่ขย้ำ “เบียร์หมี”ค่ายสิงห์

$
0
0

ตลาดเบียร์เมืองไทยช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวให้ลูกค้าได้เห็น และลิ้มรสชาติเบียร์ใหม่กันหลายแบรนด์ นับตั้งแต่ค่ายสิงห์ ปล่อย U Beer ออกมาทำตลาดช่วงปลายปี 2559  ปีที่ผ่านมาออกเบียร์แบรนด์ใหม่ Snowy Weizen by EST 33. (สิงห์ซุ่มเงียบ…อ่านต่อ) และช่วงกลางปีนี้ยังออก Kopper by EST 33. อีกแบรนด์ หลังปล่อยให้ค่ายสิงห์บุกตลาดอยู่พักนึงแล้ว  และล่าสุดในเพจวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างแชร์กันให้กระหน่ำ รูปของ 2 แบรนด์ใหม่ ฮันทส์แมน (Huntsman) ในสัญลักษณ์ “หมาป่า” และแบรนด์แบล็ค ดราก้อน (Black Dragon) ในกลุ่มคราฟท์เบียร์ ที่จะมาไล่ล่ากับ เบียร์หมี Snowy Weizen

ตลาด Craft Beer โตแรง 

เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ออกสินค้าใหม่กลุ่มคราฟท์เบียร์  เป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาตลาดเซกเมนต์นี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 5-7% ต่อปี ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าเพียง 500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่ารวมของตลาด 200,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ แต่หากเทียบกับเบียร์กลุ่มเมนสตรีม ซึ่งอยู่ในอาการทรงตัวจากปัจจัยเรื่องกำลังซื้อ ภาระหนี้สินภาคครัวเรือน และนโยบายภาครัฐรณรงค์การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สิ่งที่ “สิงห์-ช้าง” มองเห็นไม่ใช่แค่การเติบโตสูงของกลุ่มคราฟท์เบียร์เท่านั้น  แต่มองเห็นเทรนด์การบริโภคของคนทั่วโลกและไทย ในกลุ่มคนมีการศึกษา มีรสนิยม และรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ หันมาเลือกดื่มเบียร์ซึ่งมีรสชาติหลากหลาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นที่ความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักค้นคว้าหาข้อมูล และการเดินทางที่ง่ายช่วยย่อดลกทำให้การทดอลงอะไรใหม่ๆ เป็นเรื่องง่าย ส่งผลให้มีการนำเข้ากลุ่มเบียร์คราฟท์จำนวนมาก และตีตลาดแย่งส่วนแบ่งจาก 2 ยักษ์ใหญ่แบบเงียบๆ  ทำยักษ์ใหญ่ทั้งเบียร์ “สิงห์-ช้าง” คงอยู่เฉยไม่ได้ รวมถึงธุรกิจหากจะต้องรักษาการเติบโต  ต้องออกไปหาพื้นที่ทางการตลาดใหม่ๆ  จะมาหวังเจาะตลาดแมสเหมือนเดิมคงไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนทั่วโลกกำลังหันมาให้ความสนใจกลับเบียร์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นวีทเบียร์  ดาร์กเบียร์  ฟรุ๊ตเบียร์​ หรือเบียร์​ 0% ฯลฯ

ซึ่งมีการประเมินกันว่าภายในอีก 2 ปีข้างหน้าตลาด Craft Beer จะขยายตัวจนมีสัดส่วนถึง 1% หรือมีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จากความนิยมของผู้บริโภคและจำนวนแบรนด์ที่มีการนำเข้ามาทำตลาดจากต่างประเทศอยู่กว่า 50 แบรนด์ และยังมีแบรนด์ของคนไทยผลิตและจำหน่ายอีกกว่า 10 แบรนด์

ดื่มง่ายขึ้น – กลิ่นหอม เสน่ห์มาตรฐาน Craft Beer 

ทำความรู้จักกับ 2 เบียร์แบรนด์ใหม่

  • ฮันทส์เมน (HuntsmanCloudy Wheat Beer สไตส์ Belgian

เบียร์นุ่มต้องล่า แบรนด์นี้เป็น Cloudy Wheat Beer จุดเด่นที่มีความหอม นุ่ม และดื่มง่าย ในสไตล์ Belgian ที่มีปริมาณแอลกอฮอลล์ 4% มีลักษณะเฉพาะ คือ ฟองที่ฟูนุ่ม สีน้ำเบียร์มีความขุ่น จากการใช้ Wheat Malt เป็นส่วนผสมในการหมักนอกเหนือจาก Barley Malt ยังมีเรื่องของ “กลิ่น” จาก Lemon, กล้วย และ Clove  ซึ่งเกิดจากกรรมวิธี Dry Hopping แล้วใช้ Aroma Hop ลงไปในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะบรรจุ  ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮันทส์แมน กระป๋องมีผิวสัมผัสด้าน ทำให้เพิ่มอรรถรสในการดื่ม

  • แบล็ค ดราก้อน (Black Dragon) เบียร์แดงจากลมหายใจมังกร

เบียร์แดง รสชาติหวานหอมของมอลต์คั่ว  ดื่มง่าย มีความนุ่มลื่น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 4%  เป็นเบียร์ในประเภท Amber Ale ซึ่งมีสีเข้มกว่า Lager ทั่วไป ความพิเศษ คือ ใช้ Caramel Malt และ Crystal Malt (มอลต์ที่ผ่านการคั่วจนมีสีเข้ม) ซึ่งทำให้เกิดสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของ Hops ทันทีที่จิบ ตามด้วยกลิ่นคาราเมล และมีกลิ่นหอมของลิ้นจี่เพิ่มความสดชื่นด้วย

 

7-11 สนามทดลองสินค้า อยู่หรือไป

ทั้ง 2 แบรนด์เลือกใช้ 7-11 เป็นพื้นที่ทดสอบกระแสตอบรับ โดยกำหนดระยะเวลาจาก 7-11 โดยตั้งราคาขายอยู่ที่ 55 บาท ในขนาดบรรจุภัณฑ์ 490 มิลิลิตร ทรงสูง เป็นขณะที่เบียร์หมี Snowy Weizen by EST 33. จะอยู่ที่ราคา 60 บาทในร้านสะดวกซื้อ หรืออาจจะขาย 50-55 บาท ในร้านโชว์ห่วยบางร้าน ถือว่าเป็นการตั้งราคาให้ท้าชน ในเซกเมนต์เดียวกันเต็มๆ

สงครามน้ำเมามูลค่า 200,000 ล้าน ในช่วง 2-3 ปีหลัง ถึงแม้ว่าตลาดภาพรวมจะไม่อู้ฟู่เท่าใดนัก แต่ในแง่ของสินค้าใหม่ๆ ที่ถูกนำมาสร้างสีสันให้กับตลาด คงถูกอกถูกใจนักดื่มรุ่นใหม่ ที่มีรสนิยมการดื่มที่แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ในส่วนของผู้ผลิตก็ต้องเดินหน้ามองหาวิธีการจับความต้องการของตลาดให้ได้ ความท้าทายในตลาดนี้นอกจากจะอยู่ที่การสร้างสรรค์สินค้าใหม่ให้โดนใจแล้ว เรื่องของแบรนด์และภาพลักษณ์ของการดื่ม ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

สปอร์ต สปอต อินทีเกรชั่น ปั้นแบรนด์ “ซอกส์ (ZOGGS)” ก้าวสู่เบอร์ 1 ชุดว่ายน้ำเด็กและครอบครัวในไทย [PR]

$
0
0

บริษัท สปอร์ต สปอต อินทีเกรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ซอกส์ (ZOGGS) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เดินหน้าปั้นแบรนด์ “ซอกส์” ขึ้นแท่นผู้นำตลาดด้านชุดว่ายน้ำสำหรับครอบครัว ชูจุดขายสินค้าระดับพรีเมียมบวกกับเทคโนโลยีชั้นสูง เน้นเจาะกลุ่มเด็กและครอบครัวที่มีกำลังซื้อสูง ตั้งเป้าหมายยอด 10% ของมูลค่าตลาด ที่ 3,000 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่ม CLMV ผ่านการเป็นตัวแทนจำหน่าย

มร. โรเบิร์ต เดวี่ส์ ผู้จัดการทั่วไป ซอกส์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า “แบรนด์ซอกส์ (ZOGGS) เป็นแบรนด์กีฬาระดับพรีเมียม ได้แรงจูงใจจากการว่ายน้ำอยากให้คนทั่วไปเข้าถึงการว่ายน้ำมากขึ้น และอยากช่วยให้นักว่ายน้ำใหม่ๆ ได้เรียนรู้เทคนิคพร้อมทั้งพัฒนาฝีมือการว่ายน้ำได้ดียิ่งขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่สวมใส่ที่มีคุณภาพ จึงได้คิดค้นแว่นตาว่ายน้ำ, ชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์ช่วยในการฝึกว่ายน้ำขึ้นมา รวมทั้งอุปกรณ์เล่นเกมส์ เพื่อให้คนที่รักการว่ายหรือว่ายน้ำเพื่อสุขภาพสนุกกับการว่ายน้ำในทุกๆวัน ซึ่งปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก

สปอร์ต สปอต อินทีเกรชั่น จำกัด และแบรนด์ซอกส์ (ZOGGS) มีแนวทางร่วมกันในการสร้างแบรนด์และเป็นพันธมิตรร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์ได้ในแถบ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเหตุผลที่เล็งเห็นความสำคัญของการเจาะตลาดในประเทศไทยนั้น เพราะเราเล็งเห็นการเติบโตจากกลุ่มเด็กและครอบครัวในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง” มร. โรเบิร์ต เดวี่ส์ กล่าว

อิทธิ นานา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สปอร์ต สปอต อินทีเกรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ทางบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ซอกส์ (ZOGGS) มาในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา 8 ปี และสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และขยายตลาดมาโดยตลอดด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 30% ต่อปี ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านสินค้ากลุ่มกีฬาว่ายน้ำคุณภาพจากเมืองนอกภายใต้สโลแกน “The Leading Family Swimming Brand in Thailand” ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากสำหรับกลุ่มเด็กและครอบครัวที่ว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกายในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทั้ง เวียดนาม , เมียนมา , ลาว และ กัมพูชา อีกด้วย ซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศที่เรากำลังเจาะตลาดอย่างต่อเนื่อง”

ปัจจุบัน ซอกส์ (ZOGGS) มีร้านค้าอยู่หลายแห่ง ได้แก่ ดิเอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ สยามพารากอน , เซ็นทรัลเวิลด์, เมกาบางนา, เดอะมอลล์ บางกะปิ, จังซีลอน ภูเก็ต และSBR –Swim Bike Run Stores

“ 7 WONDERS 7 LIFESTYLES” แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน 2 Limited Luxury Condominiums by SC Asset เริ่มเพียง 15.5 ล้าน เฉพาะ 10-11 พ.ย.นี้! [PR]

$
0
0

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เปิดประสบการณ์ที่แตกต่างด้วยห้อง 7 แบบ ภายใต้แคมเปญ “ 7 WONDERS 7 LIFESTYLES”  ที่ออกแบบตกแต่งด้วยดีไซน์เนอร์ทั้ง 7 ห้อง ในสไตล์แตกต่างกัน เพื่อ 7 Lifestyles ที่สะท้อนตัวตนลูกค้าแต่ละแบบ ด้วยขนาดห้องแบบ 1 ห้องนอน กว้าง 57 ตรม. พร้อม Branded Furniture นำเข้า อาทิ Less is more , Bolier , Bernhardt , Wendelbo, Arper, Glas Italia ฯลฯ ในราคาสุดพิเศษ เริ่มต้น 15.5 ล้านบาท กับ 2 โครงการ Limited Luxury Condominiums ที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ได้แก่ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) และ BEATNIQ (บีทนิค)

คอนโดฯ SALADAENG ONE ( ศาลาแดง วัน) อยู่ใจกลาง Financial District ในขณะเดียวกันก็ห่างจากสวนลุมพินีเพียง 120 เมตร ซึ่งในอนาคตนั้นการหาที่ดิน Free hold บนทำเลนี้มาพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นไปได้ยาก
และยิ่งเป็นทำเลที่ตั้งบนถนนศาลาแดงซอย1 ที่สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทางทั้งถนนพระราม 4 สาทรและสีลมได้อย่างสะดวก อีกทั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินีและสีลม และสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง ซึ่งห้องในแคมเปญ 7 Wonders มีด้วยกัน 4  ห้อง โดยนำเสนอรูปแบบสะท้อนไลฟ์สไตล์แบบ CALM, FAST PACED, PERFECTIONIST และ ACTIVE

ส่วนอีกโครงการคือ คอนโดฯ BEATNIQ (บีทนิค) ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท Bangkok’s Best Location ถือเป็นทำเลศักยภาพด้านธุรกิจและการอยู่อาศัยที่มีสไตล์ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ใกล้สถานีทองหล่อเพียง 250 เมตร เชื่อมต่อไปยังถนนหลายสายไม่ว่าจะเป็น ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนพระราม 9 ถนนพระราม 4 หรือจะเดินทางด้วยทางด่วนรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเป็นสถานที่ที่เป็นที่นิยมในการรวมตัวกันของคนยุคใหม่หรือคนมีสไตล์ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยความเป็นทำเลศักยภาพผสานกับความลงตัวของดีไซน์ทำให้  BEATNIQ
มีความโดดเด่นและมีสไตล์บนถนนเส้นนี้และจะหาโครงการระดับนี้อีกไม่ได้ แล้วในอนาคต ห้องในแคมเปญ 7 Wonders มีอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง โดยนำเสนอการใช้ชีวิตในแบบ ADAPTIVE, HEALTY และ FUN

ร่วมเปิดประสบการณ์ที่แตกต่างในแคมเปญ “7 WONDERS 7 LIFESTYLES” กับ 7 ห้องแต่งครบสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ราคาเริ่มเพียง 15.5 ล้านบาท พิเศษเฉพาะวันที่ 10-11 พ.ย.นี้ ณ โครงการ SALADAENG ONE และ BEATNIQ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ http://bit.ly/2NH2hNhSaladaengOneXBeatniq  ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ www.scasset.com

แบงก์กรุงเทพเปิดตัวบัตรเดบิต ‘บีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด’ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักช้อปรุ่นใหม่ [PR]

$
0
0

ธนาคารกรุงเทพเปิดตัวบัตรเดบิต ‘บีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด’ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ช้อปออนไลน์ ขานรับนโยบายสังคมไร้เงินสด อุ่นใจเมื่อใช้จ่ายด้วยเทคโนโลยีป้องกันเต็มที่ พร้อมฟรี SMS เตือนเมื่อใช้จ่ายตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป มั่นใจรักษาตำแหน่งผู้นำฐานบัตรเดบิตมากที่สุดในไทย

นายโชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดตัวบัตรเดบิตบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Thai Payment Network (TPN) และมาสเตอร์การ์ด พัฒนาบริการด้านการชำระเงินรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สามารถใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เงินสด กับร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ TPN หรือเครือข่ายของมาสเตอร์การ์ด รวมถึงการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศได้สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังรองรับระบบการชำระเงินแบบ Contactless เพียงแค่แตะบัตรกับเครื่องรับชำระเงินที่รองรับระบบนี้ก็สามารถชำระเงินได้โดยไม่ต้องเสียบบัตร

บัตรเดบิตบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างรอบด้าน โดยบัตรเป็นระบบชิปการ์ดซึ่งป้องกันการลักลอบปลอมแปลงข้อมูลและทำบัตรปลอม จึงสามารถทำธุรกรรมที่เครื่องเอทีเอ็มและเครื่องรับบัตร (EDC) ได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับขั้นตอนยืนยันการทำรายการด้วยระบบ PIN 6 หลัก นอกจากนี้ ยังอุ่นใจยิ่งขึ้นด้วยบริการส่ง SMS แจ้งเตือนฟรี ทุกครั้งที่ใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้า ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป ผู้ถือบัตรจึงสามารถติดตามการใช้งานได้ตลอดเวลา

“พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนมาก โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และถือเงินสดน้อยลง โดยหันมาทำธุรกรรมด้วยช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ที่ผ่านมาในปี 2560 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งสิ้น 2,812,592.03 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2561 นี้จะมีการซื้อขายแตะ 3 ล้านล้านบาท ( ข้อมูล ณ.วันที่ 24 ก.ค.61 จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเลคทรอนิคส์ (องค์กรมหาชน) หรือ ETDA ดังนั้น ธนาคารจึงร่วมกับพันธมิตรพัฒนาและนำเสนอบัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด เพื่อให้ผู้ถือบัตรสามารถใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้อย่างปลอดภัย โดยนำระบบ CHIP&PIN มาใช้งาน พร้อมกับมี TPN เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินในประเทศ และมาสเตอร์การ์ดบริการเครือข่ายชำระเงินในต่างประเทศ จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ทั้งยังสอดรับกับนโยบาย “สังคมไร้เงินสด” ที่ภาครัฐกำลังผลักดันเช่นกัน”

เพื่อเป็นการโปรโมทบัตรดังกล่าว ธนาคารได้จัดทำโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตรนี้ โดยมีสิทธิประโยชน์ ชมภาพยนตร์ในเครือ SF ราคา 88 บาท/ที่นั่ง , รับส่วนลดจาก Grab สูงสุด 50% และรับส่วนลดสูงสุด 30% จาก GuavaPass

นางสาววิภาวรรณ ยงวิกุล ผู้จัดการทั่วไป Thai Payment Network (TPN) เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งขยายเครือข่ายการชำระเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการใช้บัตรเดบิตเพื่อซื้อสินค้าตามร้านค้าต่างๆ  รวมทั้งขยายความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ที่เป็นเครือข่ายบัตรระดับโลกอย่าง Mastercard เพื่อเปิดตัวบัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด นี้ขึ้น โดยบัตรใบนี้จะมีจุดเด่นคือสามารถใช้ได้ทั้งแบบเสียบบัตร (Contact) และ แบบแตะบัตร (Contactless) เมื่อนำไปใช้กับเครื่องรับบัตรที่รองรับระบบ Contactless ทำให้การทำธุรกรรมง่ายและรวดเร็วกว่าเดิม

TPN เป็นบริษัทที่ให้บริการระบบเครือข่ายบัตรเดบิตในประเทศ เป็นรายแรกในไทย ที่ใช้ชิปการ์ดตามมาตรฐานชิปการ์ดของไทย โดยเป็นระบบ Chip and PIN 6 หลัก ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยสูง โดยเริ่มให้บริการในปี พ.ศ. 2559  บริษัทได้ขยายเครือข่ายชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นสถาบันการเงิน และบริษัทที่ให้บริการทางการเงินอื่นๆ รวมกว่า 16 แห่ง และได้ขยายเครือข่ายร้านค้ารับบัตรเพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยบริษัทเชื่อมั่นว่า การออกบัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด ร่วมกับธนาคารกรุงเทพในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานบัตรเดบิตไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบายด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล แต่ยังคงมีความปลอดภัยสูง

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนงานที่จะขยายขีดความสามารถในการให้บริการ  โดยการเพิ่มช่องทางการชำระเงินด้วยระบบ Mobile Payment และ QR code ต่อไปในเร็วๆนี้

นายโดนัลด์ ออง ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า มาสเตอร์การ์ดยินดีที่ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพและทีพีเอ็นเพื่อเปิดตัวบัตรเดบิตบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด บัตรเดบิตร่วม ซึ่งช่วยให้ผู้ถือบัตรสามารถจับจ่ายใช้สอยสินค้าจากเครือข่ายร้านค้าของมาสเตอร์การ์ดกว่า 44.4 ล้านแห่งทั่วโลก นอกจากที่ผู้ถือบัตรจะได้รับประโยชน์จากการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกสบายแล้ว ยังสามารถอุ่นใจด้วยเทคโนโลยี EMV Chip และ 3D Secure ที่ช่วยให้การทำธุรกรรมออนไลน์ปลอดภัย พร้อมรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ โปรโมชั่นพิเศษมากมายจากร้านค้าที่เป็นพันธมิตรกับมาสเตอร์การ์ดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก บัตรเดบิตบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น มาสเตอร์การ์ด คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมาสเตอร์การ์ดที่จะนำเสนอนวัตกรรมการชำระเงินที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสด


“Delta Central Inverters” ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ ขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย [PR]

$
0
0

เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ อินเดีย ดำเนินการติดตั้งเซ็นทรัล อินเวอร์เตอร์ รุ่น DelCEN1000 ขนาด 1 เมกกะวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทเกรตเตอร์ วิศาขาปัตตนัม สมาร์ท ซิตี้ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (GVSCCL) ซึ่งเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจที่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2559 เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ตามแผนงานด้านเมืองอัจฉริยะที่จะพัฒนาเมืองวิศาขาปัตตนัมตามวิสัยทัศน์

“A Resilient and Healthy Metropolis for People”ทั้งนี้นายจันทราบาบู ไนดู มุขมนตรีรัฐอานธรประเทศ ได้เปิดตัวโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำแบบกริด-คอนเน็กเต็ด ขนาด2 เมกกะวัตต์ ซึ่งมีพื้นที่โครงการกว่า 4.5 เอเคอร์ในอ่างเก็บน้ำมูดาสาร์โลวา

การดำเนินโครงการด้านพลังงานสะอาดนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2561 ต่อมาในเดือนกันยายนที่ผ่านมาGVSCCL ตั้งเป้าผลิตกระแสไฟฟ้าประมาณ 3,100,000 หน่วยต่อปี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 28,000 ตัน เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 131,000 ต้นทุกปี นอกจากนี้ยังสามารถลดอัตราการระเหยของน้ำในอ่างเก็บน้ำได้ถึงร้อยละ20 จึงช่วยคงความอุดมสมบูรณ์ของพรรณพืชและสัตว์ในพื้นที่ดังกล่าว อนึ่ง โครงการดังกล่าวมีมูลค่า120 ล้านรูปี (ประมาณ 1.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และประหยัดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าได้ถึง18,6000,000 รูปี ต่อปี

ในช่วง5 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและประสิทธิภาพของแผงโซลาร์และอินเวอร์เตอร์ช่วยลดต้นทุนการติดตั้งโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึงร้อยละ50 โดยอินเวอร์เตอร์ของเดลต้ามีประสิทธิภาพเยี่ยมระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรมด้วยการรับประกันระยะเวลาการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงช่วยลดระยะเวลาการคืนทุนและเพิ่มการจัดเก็บพลังงานได้มากยิ่งขึ้น

เดลต้าได้ทำการติดตั้งเครื่องอินเวอร์เตอร์สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งแบบสตริงและเซ็นทรัลที่ยึดกับกริดในอินเดียแล้วกว่า 1.5 กิกะวัตต์ อันเป็นการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการอยู่อาศัยสำหรับทุกชีวิต ทั้งนี้การติดตามแนวโน้มใหม่ๆ และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เดลต้าสามารถนำเสนอโซลูชั่นด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดีที่สุดเพื่อช่วยลูกค้าประหยัดได้สูงสุด

ทั้งนี้ เดลต้ายังคงมุ่งมั่นผลักดันนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด อันเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของบริษัทที่จะนำเสนอโซลูชั่นที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมที่สะอาดและมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

SC ASSET ดึงพลัง “พนักงาน” ปั้นวัฒนธรรมองค์กรใหม่ตอบโจทย์ธุรกิจ Living Solutions Provider

$
0
0

ทุกการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความท้าทายเสมอ เช่นเดียวกับที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET ประกาศการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ในรอบสิบปี ให้สอดคล้องวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร เพื่อก้าวสู่การเป็น Living Solutions Provider ตามที่ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เอสซี แอสเสท ได้วางไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

โจทย์เปลี่ยน สู่ Living Solutions Provider

หากย้อนกลับไปในช่วงสิบปีก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าบริษัทเอสซี แอสเสท เอง ก็มีวัฒนธรรมองค์กรเดิมอยู่แล้ว ภายใต้แนวคิด “2C 2A” ประกอบด้วย ช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ผลงาน (Create), ใส่ใจลูกค้า (Care), ตอบสนองต่อความต้องการอย่างรวดเร็ว มีความกระตือรือร้น (Active) และ มีความเป็นมืออาชีพ (Ability)

ที่ “คน SC ASSET” ใช้เป็น หลัก ในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร และกับพาร์ทเนอร์มาโดยตลอด แต่เมื่อองค์กร กำลังเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ และเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกๆด้านมากขึ้น ดังนั้น “พนักงาน” จะต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่ตามมาด้วย

โดยเฉพาะ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Living Solutions Provider จากบทบาทเดิมเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ เอสซี แอสเสท วางตำแหน่งเป็น Real Estate Developer ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งคุณภาพในทุกด้านเท่านั้น

สำหรับการเป็น Living Solutions Provider  คือ การประสานนวัตกรรมเข้ากับอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้า โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และทำงานร่วมกับ Partners ที่หลากหลายใน ecosystem เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น

วัฒนธรรมองค์กรต้องร่วมกันออกแบบ

สำหรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในครั้งนี้ เอสซีฯ ยังได้ สลิงชอท กรุ๊ป (Slingshot Group) ที่ปรึกษาการวางกลยุทธ์การพัฒนาผู้นำและองค์กรชั้นนำระดับประเทศไทย ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญต่อการวาง Strategy ทั้งยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคล(HR) และการวางแผนการสื่อสารร่วมกับพนักงานทั้งหมด เพื่อผลักดันให้พนักงานเอสซีฯ เข้าใจ และตระหนักถึงวิสัยทัศน์ใหม่องค์กรฯ ร่วมกัน

ปฎิบัติการสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่เอสซีครั้งนี้ วางระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 และกำหนดให้วันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นวัน “คิก ออฟ” แคมเปญการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ พร้อมสื่อสารไปยังพนักงานทั้งหมด

ภายในงานมี 4 เรื่องหลัก ที่นำมาพูดคุยกับพนักงาน คือ

  • การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (Change)
  • การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง (Re-Culture)
  • สำรวจความคิดเห็นของพนักงาน (Survey)
  • สร้างการมีส่วนร่วมผ่านพนักงานทุกระดับ เพื่อเป็นตัวแทน (Culture Agents)

เริ่มตั้งแต่ ทำอย่างไรให้พนักงานตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง โดยไม่รู้สึกถูกบีบบังคับ การดูแลตั้งแต่ระดับความคิดและความรู้สึกของพนักงานอย่างเป็นเหตุเป็นผล สร้างการมีส่วนร่วมการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วยความเต็มใจ และนำร่องตัวแทนผู้นำกลุ่มเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร

เพื่อให้ได้ข้อสรุปทั้ง Core Value และ วัฒนธรรมองค์กรตามที่พนักงานมีส่วน “ร่วมออกแบบ” วัฒนธรรมองค์กรใหม่ และบรรลุเป้าหมายสู่การพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการสร้างนวัตกรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ Living Solutions Provider

โมเดล ค็อทเตอร์ ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

นอกจากนี้ สลิงชอท กรุ๊ป ยังได้นำ 8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จแห่งการเปลี่ยนแปลงของ ค็อทเตอร์ (The 8-Steps for Leading Change – Kotter) ใช้เป็น Methodology สำคัญในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวในครั้งนี้

เริ่มตั้งแต่การสร้างแพล็ตฟอร์มธุรกิจขององค์กร (SC ASSET) ที่เติบโต ปลุกให้พนักงานลุกขึ้นสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สร้างกลุ่มผู้นำโดยใช้วิธีรับสมัครจากพนักงานเพื่อเป็นตัวแทน และร่วมกำหนดนิยามของค่านิยมใหม่ (Core Value) ร่วมกัน

ข้อมูลจาก: https://www.kotterinc.com/8-steps-process-for-leading-change/

พร้อมดำเนินการสัมภาษณ์กลุ่มระดับผู้บริหาร และกลุ่มลูกค้า (ลูกบ้าน) เอสซีฯ ในมุมความคิดเห็นที่ว่า พนักงานแบบใดสามารถทำงานตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เดินคู่ไปกับการสำรวจความคิดเห็นพนักงานทั้งหมด โดยผลดำเนินการทั้งหมดจะนำมากลั่นกรองเพื่อให้ได้ Core Value ใหม่ ซึ่งจะต้องแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

คุณอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ( Partner / Founder  Slingshot Group )

ต่อจากนั้น ตัวแทนผู้นำกลุ่มของพนักงานที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ จะเป็นผู้สื่อสารถ่ายทอดค่านิยมองค์กรใหม่ออกไปยังวงกว้าง เพื่อให้พนักงานทั้งหมดรับรู้และมีส่วนร่วม จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการฉลองความสำเร็จในช่วงแรก เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับพนักงานก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป และเข้าสู่กระบวนการสุดท้าย คือ ปรับใช้จริงจนเป็นกิจวัตร และกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่องค์กรของเอสซีฯ ในที่สุด

ทุกคนเป็น SC Team Robin

จาก Action Plan ดังกล่าว เอสซีฯ มองว่าสิ่งท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขององค์กรในครั้งนี้ คือ การสร้างวิธีการให้คน “Buy In” เพื่อสร้างการเติบโตองค์กรแบบยั่งยืนร่วมกันในอนาคต ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างบรรยากาศการทำงาน การพัฒนาระบบคุณภาพชีวิตภายใต้โปรแกรมต่างๆ

โดยในเร็วๆนี้ เอสซีฯ เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชั่น เอสซีอินวัน สำหรับพนักงานให้สามารถทำกิจกรรมส่วนตัวและกิจกรรมระหว่างองค์กรต่างๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ HR Digital Platform ในอนาคตอย่างแท้จริง

แอปพลิเคชั่น เอสซีอินวัน

นอกจากนี้ เอสซีฯ ยังเห็นว่าเจเนอเรชัน ความแตกต่างระหว่างรุ่นของพนักงานองค์กร นั้นไม่ใช่ปัญหาหลักต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรในครั้งนี้ ด้วยปัจจุบันมีพนักงานคนรุ่นใหม่ หรือ เจน วาย สัดส่วนเกือบ 70%  เจน เอ็กซ์ ราว 30%  ส่วน เบบี บูมเมอร์ มีสัดส่วนที่น้อยลงราว 3% และกำลังมีคนรุ่นใหม่ กลุ่ม Gen Z เข้ามาร่วมงานมากขึ้นในอนาคต

กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ จะเป็นพนักงานที่จะเข้ามามีบทบาทและขับเคลื่อนองค์กรต่อไป โดยฝ่าย HR ของเอสซีฯเองยังได้พัฒนาโปรแกรมนำร่องสร้างกลุ่มพนักงานที่เรียกว่า SC Team Robin เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก จำนวน 50-60 คน โดยทำหน้าที่บอกเล่า ความเคลื่อนไหวต่างๆขององค์กรที่เกิดขึ้น เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ไม่ให้พลาดทุกข่าวสารองค์กรที่ต้องการสื่อสารกับพนักงาน และยังปฏิบัติงานได้อย่างน่าประทับใจ พร้อมวางเป้าหมายภายใน 5 ปีนับจากนี้ พนักงานทุกคนของเอสซีฯ จะสามารถเป็น SC Team Robin ได้ทั้งหมด ด้วยเชื่อมั่นว่า หากคนเอสซีฯร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่เกิดขึ้นได้แล้ว การสร้างสรรค์ นวัตกรรมใหม่ๆ ภายในองค์กรก็จะตามมา และบรรลุสู่วิสัยทัศน์องค์กรที่วางไว้ได้ในที่สุด

การขยับครั้งใหญ่ของของเอสซีฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะสะเทือนถึงธุรกิจในตลาดเดียวกันแล้ว เชื่อว่าจะยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังอุตสาหกรรมอื่นที่จับตาดูอยู่เช่นกัน

ติดตามความคืบหน้าของการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ได้ที่: www.facebook.com/scasset

 

อนันดาฯ อวดเพชรเม็ดงาม ASHTON SILOM คอนโด Luxury ครบเครื่องทั้งที่อยู่อาศัยและการลงทุน

$
0
0

นานทีหลายปีหนเราจึงจะเห็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ผุดขึ้นติดริมถนนสีลมสายหลัก โดยล่าสุด บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN คว้าที่ดินในทำเลเด่นนี้ ปักหมุดเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ “แอชตัน สีลม” (ASHTON SILOM) มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,034 ล้านบาท ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ 100%  พร้อมเปิดให้เข้าชมและจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้น 8.9 ล้าน* เพื่อมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการใช้ชีวิตเหนือระดับทำเลที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงล่าสุดมียอดขายโครงการสูงถึง 70% สะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองยังคงเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง

ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แอชตัน สีลมถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอสังหาฯ บนที่ดินแปลงงามบนถนนสีลมสายหลัก บริเวณปากซอยสีลม 12 ใกล้โรงแรมพูลแมน สีลมและเพียง 350 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เชื่อมต่อกับ CBD ชั้นในของกรุงเทพฯ ทั้งสาทร และ สีลม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษบนถนนสีลมเส้นหลักนี้ และด้วยการสร้างสรรค์ตัวอาคารด้วย “New Sculpture Building”  ครั้งแรกกับการเปิดมุมมองของที่อยู่อาศัยในรูปทรงอาคารสูง โดดเด่น ทันสมัย สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้ครอบครองได้อย่างลงตัว ด้วยนวัตกรรมใหม่ “Vertical Interlocking” นำเสนอยูนิตพิเศษโดยการเล่นระดับระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอน ทำให้ได้ความสูงของเพดานที่ต่างกันเป็นพิเศษสูงสุดถึง3.4-3.6 เมตร สำหรับห้องในแบบ 2 ห้องนอน และความสูงถึง 3.0 เมตร สำหรับ 1 ห้องนอน  ทำให้พื้นที่การใช้งานภายในห้องพักมีมิติความกว้าง ความยาว และความสูงที่เหนือกว่ามาตรฐาน เพิ่มความรู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบาย  แอชตัน สีลมได้รับการตอบรับจากลูกค้าไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี  ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน เพราะคุ้มค่าทุกตารางเมตร จะขายต่อก็ได้ราคาดี จะปล่อยเช่าก็ได้ราคางาม”

แอชตัน สีลม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมใต้ร่ม “แอชตัน” แบรนด์ที่หรูหรูหราที่สุดของอนันดา ตั้งอยู่ในทำเลติดถนนใหญ่สีลม ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลทองยอดนิยมที่สะดวกสบายใจกลางเมือง ใกล้อาคารสำนักงาน สถาบันการเงิน และสถานศึกษาชั้นนำ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งมากมาย และยังตอบโจทย์นักลงทุน โดยกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทยและมีรายได้สูงที่เน้นเก็งกำไรปล่อยเช่ากลุ่มชาวต่างชาติระดับบนซึ่งส่วนใหญ่มองหาคอนโดมิเนียมในโซน CBD ชั้นในที่ใกล้รถไฟฟ้าโดยสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราสูง ซึ่งคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 6.5 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 30,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี

 

แม้ทำเลสีลม-สาทร จะเป็นโซนที่มีดินสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจำกัด แต่ก็ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง และมีอัตราการเติบโตของคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง โดยมีราคาขายเฉลี่ยในระดับสูง และยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการใหม่ที่อยู่ใกล้ถนนหลัก หรือใกล้แนวรถไฟฟ้า มีราคาอยู่ในช่วง 200,000 – 300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี  โดยข้อมูลจากกรมธนารักษ์ที่ได้ดำเนินการจัดทำบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างในรอบบัญชีปี2559-2562 พบว่า สีลมก็ยังคงรักษาแชมป์เอาไว้ได้ด้วยราคาที่ดินถูกปรับขึ้น 4.1% หรือ 1 ล้านบาทต่อตารางวา แต่ราคาประเมินกับราคาซื้อขายจริงนั้นมีความแตกต่างค่อนข้างมาก โดยราคาตลาดที่ดินทำเลสีลมปี 2559 เฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ 1.65 ล้านบาทต่อตารางวา หรือมากกว่าราคาที่กรมธนารักษ์ประเมินถึง 65%เลยทีเดียว

แอชตัน สีลม ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงบนถนนสีลม ใกล้กับบีทีเอสสถานีช่องนนนทรี เพียง 350 ม. อีกทั้งยังมีทั้งสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟใต้ดินเอ็มอาร์ทีที่อยู่ใกล้เคียงอีก  3 สถานี ได้แก่ บีทีเอสสถานีสุรศักดิ์, ศาลาแดง  และเอ็มอาร์ทีสีลม ทำให้การเดินทางนั้นสะดวกสบายได้ด้วยรถไฟฟ้า หรือแม้แต่เดินทางด้วยรถยนต์ก็เดินทางสะดวกเพราะใกล้กับทางด่วนงามวงศ์วาน-แจ้งวัฒนะ  เป็นโครงการ High Rise สูง 48ชั้น จำนวน 428 ยูนิต  มียูนิตต่อชั้นสูงสุด14 ยูนิตเท่านั้น ประกอบด้วยห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 31-49.5 ตรม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 71.50 – 86.50 ตรม. มูลค่าโครงการรวม 6,034 ล้านบาท ความพิเศษของห้องพักมีเพียงแค่ 14 ยูนิตต่อชั้น เหนือระดับกับความเป็นส่วนตัวเสมือนได้อยู่บ้านอย่างแท้จริง ด้วยแนวคิดการออกแบบสไตล์ Luxury Neo Industrial


เพื่อให้สมกับเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่จากอนันดา แอชตัน สีลมจึงเลือกใช้สถาปนิกชั้นนำของประเทศ โดยสถาปัตยกรรมออกแบบโดยสถาปนิก  A49 แลนด์สเคปออกแบบโดย TRO P ภายใต้คอนเซ็ปต์คือ The Pioneer หมายถึง ผู้ค้นพบ-ผู้บุกเบิก-ผู้ริเริ่ม เพื่อสะท้อนถึงการเป็นผู้ค้นพบและบุกเบิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมบนถนนสีลม
เมื่อเดินเข้าไปในโครงการ จะพบกับความโอ่อ่าตั้งแต่ก้าวแรก โดยชั้นล่างสุดเปิดต้อนรับผู้อยู่อาศัย ด้วยสะพานทางข้ามที่ถูกประสานเข้าด้วยกัน เผยให้เห็น Alfresco Living Plazaและนำไปสู่สวนเขียวขจีกลางแจ้ง บริเวณล็อบบี้ออกแบบเสมือนห้องแสดงงานศิลปะชิ้นมาสเตอร์พีซ ตกแต่งอย่างหรูหรา ใช้เส้นสายสีทองอันอ่อนช้อยในส่วนต่างๆ สะท้อนรสนิยมความเป็นหนึ่งบนทำเลศักยภาพ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้พักอาศัย รวมถึงตอกย้ำไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ

บนชั้น 34และ ชั้น 34M  ที่ The Blue Haven แห่งนี้ มอบประสบการณ์พักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัวท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสาธารณูปโภคที่หรูหราและครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำไร้ขอบ (Infinity-edge pool) และสระว่ายน้ำเด็ก ออนเซ็น จากุซชี่ ห้องสตรีมและห้องซาวน่าที่เปิดรับวิวแบบพาโนรามา ห้องออกกำลังกายที่พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ครบครัน ห้องนวด ห้องสมุด โซเชี่ยล คลับและโบตานิก้า เล้าจน์ ห้องชมภาพยนตร์ และเล้าจน์ธุรกิจ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะที่ ชั้น 46 และ ชั้น 48  The Sky Saloon เผยให้เห็นวิวอันงดงามของกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาทั้งวิวเมืองและวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมจัดสรรพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โซเชี่ยล สกาย บาร์ โบตานิค เล้าจน์ ซีเครท การ์เด้น บาร์บีคิว ลอน ริเวอร์ เดค และซิตี้ เดค

นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญรอบโครงการ อาทิ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ มาบุญครอง และ สวนลุมพินี สวนสาธารณะ ซึ่งถือเป็นปอดขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งยังใกล้โรงเรียนเอกชนชั้นนำระดับประเทศ เช่น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ เป็นต้น รวมถึงเมกะโปรเจ็คใหม่ๆ ที่กำลังเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงานในช่วงเย็น  ชานนท์ เรืองกฤตยา  กล่าวเปิดงานต้อนรับเหล่าบรรดาผู้มีเกียรติ และขอบคุณในการสนับสนุน พร้อมกับให้ความสนใจในการเปิดโครงการ  แอชตัน สีลม อย่างเป็นทางการ โดยมีเหล่าเซเลบริตี้มากมาย ร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของโครงการในครั้งนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจ และอิ่มเอมกับทั้งแฟชั่นโชว์สุดพิเศษที่รังสรรค์โดยโว้ค เพนดูลัม และวิคธีร์รัฐ ปิดท้ายด้วยบทเพลงเพราะ ๆ จากการขับกล่อมของนักร้องหนุ่มมาดเท่อย่าง บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ananda.co.th/th/condominium/ashton-silom

Cashless Society เต็มรูปแบบในจีน จ่ายค่าปรับจราจรในปักกิ่ง ยังใช้ Alipay และ WeChat ได้แล้ว

$
0
0

สำนักบริหารจราจรปักกิ่งประกาศเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาว่าได้เพิ่มช่องทางการจ่ายค่าปรับผ่าน Alipay และ WeChat ผ่านช่องทางออนไลน์ของหน่วยงานจราจรดังกล่าว ตอกย้ำความเข้าในพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ 

ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม ประชาชนปักกิ่งใน 7 เขต จะสามารถจ่ายค่าปรับผ่านการสแกน QR Code เพื่อแก้ปัญหาแถวจ่ายค่าปรับที่ยาวเหยียดที่โรงพัก ธนาคาร หรือ ต้องผ่านแอปฯ ธนาคารที่มีความยุ่งยาก ซึ่งก่อนที่จะเปิดช่องทางใหม่นี้ช่องทางออฟไลน์มีอัตราส่วนอยู่ที่มากกว่า 68.2%

ในการจ่ายเงินผ่าน QR Code จะทำได้หลังจากที่ออกใบสั่งมาแล้วภายใน 4 ชั่วโมง และ QR Code ที่ถูก Generate ออกมา สำหรับใบสั่งนั้นๆ จะถูกยกเลิกทันทีหลังจากที่มีการจ่ายเงินเสร็จ ในขณะเดียวกันการจ่ายเงินด้วยวิธีการปกติก็ยังใช้วิธีการเดิมได้ด้วย 

การจ่ายเงินผ่าน QR Code ของจีนนั้นได้เข้าไปแทรกแทรงการใช้เงินของธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในตอนนี้เองหน่วยงานราชการก็พยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ ช่องทางการชำระเงินผ่าน QR Code ก็สามารถใช้ได้แล้วในโรงพยาบาลและการซื้อตั๋วรถไฟ

การจ่ายเงินผ่านมือถือสำหรับหน่วยงานราชการเป็นส่วนหนึ่งของแผนช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลสำหรับบริการของราชการ และทั้ง Alipay และ WeChat ก็ทำการเริ่มเปลี่ยนสภาพสังคมด้วยไปในตัว Alipay ที่เริ่มโปรเจ็กท์ร่วมกับหน่วยงานราชการจัดทำทะเบียนสมรสดิจิทัลและการระบุตัวตนดิจิทัลแล้วในหังโจว ซูโจว และ ฟูโจว ขณะที่ Tencent กำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ปักกิ่งสร้างบัตรสุขภาพสำหรับแพทย์ฝึกหัด เช่นเดียวกับ WeChat e-pass ที่ตั้งใจเชื่อมโยงการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่

เห็นความตั้งใจของหน่วยงานราชการที่จะปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบนี้แล้ว ย้อนหันมามอง Thailand 4.0 ของเรา ก็ได้แต่บอกว่า #ประเทศกูมี

Source

คนโสดทั้งหลาย ตัวช่วยมาแล้ว! Facebook เปิดตัวฟีเจอร์ Dating ในไทย ที่แรกในเอเชีย

$
0
0

หลังจากเปิดตัว Facebook Dating มาตั้งแต่ Facebook F8 2018 ถึงบริการใหม่ที่จะช่วยให้คนโสดได้มีโอกาสหาคู่มากขึ้น วันนี้ Facebook Dating ใช้ได้แล้วในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดย Facebook ระบุว่า ฟีเจอร์ใหม่ในแอพพลิเคชั่น Facebook นี้ ได้ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ผู้คนสามารถควบคุม ประสบการณ์การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายด้วยตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถจับคู่กับบุคคลที่ มีความชื่นชอบและความสนใจคล้ายกันผ่านหน้าโปรไฟล์ Dating ซึ่งตอนนี้อยู่ในแอพ Facebook บนแอนดรอยด์เท่านั้น ส่วน iOS จะเปิดตัวตามมาติดๆ เร็วๆ นี้

นาธาน ชาร์ป ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Facebook Dating กล่าวว่า “มีผู้คนมากกว่า 200 ล้านคนบน Facebook ที่ระบุสถานะโสด เรามองว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราจะช่วยให้ผู้คนได้สร้างความสัมพันธ์ที่มี ความหมายบน Facebook โดยเป้าหมายของเราคือการสร้าง Facebook ให้เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดบน โลกออนไลน์ สำหรับการสร้างความสัมพันธ์ ปัจจุบัน ผู้คนในประเทศไทยใช้ Facebook สำหรับการเชื่อมต่อ เราจึงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้นำเสนอช่องทางใหม่ๆ ในการใช้งานทางด้านนี้”

วิธีการจับคู่ของ Facebook Dating ถูกออกแบบ ด้วย 4 องค์ประกอบหลัก:

  1. จับคู่จากสิ่งที่สนใจตรงกัน: คุณจะเห็นรายชื่อแนะนำซึ่งคัดเลือกมาจากความชอบและความสนใจของคุณ รวมถึงกิจกรรมของคุณบน Facebook ซึ่งจะช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับผู้อื่นที่มีความสนใจ ตรงกันกับคุณ
  2. เลือกคนที่จะเห็นโปรไฟล์ Dating ของคุณได้: ภายในฟีเจอร์ Facebook Dating จะมีเพียง ผู้ที่อยู่ในรายชื่อแนะนำของคุณและผู้ที่มีคุณอยู่ในรายชื่อแนะนำเท่านั้น ที่สามารถเข้าดูโปรไฟล์ Dating ของคุณ เราจะไม่แนะนำเพื่อนปัจจุบันที่อยู่บน Facebook ของคุณและคนที่คุณบล็อคบน Facebook ให้แก่คุณ
  3. เลือกเข้าร่วม Events หรือ Groups เพื่อดูบุคคลที่ใช้งาน Facebook Dating คนอื่นๆ (ซึ่งเลือกเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้): คุณสามารถเลือกเข้าดูโปรไฟล์ Facebook Dating ของผู้อื่น ซึ่งมีความสนใจในกิจกรรม (Events) เดียวกันหรือเข้าร่วมกลุ่มต่างๆ (Groups) เหมือนกัน และเมื่อ คุณเลือกที่จะดูว่ามีใครอยู่ในกิจกรรมหรือกลุ่มเหล่านี้ พวกเขาก็จะสามารถมองเห็นคุณได้เช่นกัน
  4. ควบคุมความเป็นส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น: คุณสามารถเลือกที่จะให้ระบบแสดงหรือซ่อนเพื่อนของ
    เพื่อนจากรายชื่อแนะนำได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถรายงานหรือบล็อคโปรไฟล์อื่นๆ ได้ทุกเมื่อ หากคุณรู้สึกไม่สบายใจ

การทำงานของฟีเจอร์
สามารถเลือกเปิดใช้งาน Facebook Dating ได้ ซึ่งมีอยู่ในแอพพลิเคชั่น Facebook ปกติ และเป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย

การสร้างโปรไฟล์ Dating

เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Facebook เวอร์ชั่นล่าสุด จากนั้นไปที่เมนู “ดูเพิ่มเติม” (More) และมองหา เครื่องหมายรูปหัวใจ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Facebook Dating ในลิสต์ “สำรวจ” (Explore) และเริ่มสร้าง โปรไฟล์ของคุณด้วยการเพิ่มรูป เลือกความต้องการในการมองหาคู่เดทของคุณ และอื่นๆ อีกมากมาย

จัดการโปรไฟล์และความเป็นส่วนตัวได้อย่างง่ายดาย:

ฟีเจอร์ดังกล่าวได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ผู้คนได้สร้างบทสนทนาและพูดคุยกันได้
อย่างเป็นตัวของตัวเองและอยู่บนพื้นฐานของความน่าเชื่อถือมากที่สุด ด้วยเหตุนี้โปรไฟล์ของ Dating และ Facebook จึงเชื่อมโยงกัน แต่เพื่อความเป็นส่วนตัว เราจะไม่แนะนำเพื่อนปัจจุบันและบุคคลที่คุณบล็อคบน Facebook แก่คุณ นอกจากนี้Facebook Dating ยังออกแบบมาเพื่อให้คุณสามารถตั้งค่าการควบคุมได้ดี มากกว่าเดิม รวมถึงการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวโดยสามารถเลือกให้เห็นเฉพาะรายชื่อบุคคลที่คุณไม่ได้มี เพื่อนร่วมกันเท่านั้น หากคุณรู้สึกไม่สบายใจ คุณสามารถรายงานหรือบล็อกคู่สนทนาได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับ การใช้งานบน Facebook ปกติ

เริ่มบทสนทนา

ผู้คนสามารถเริ่มบทสนทนากับบุคคลที่สนใจบน Dating ด้วยการแตะที่ปุ่ม ‘สนใจ’ (Interested) เพื่อส่ง ข้อความ โดยจะสามารถส่งได้เพียงหนึ่งข้อความเท่านั้นในการเริ่มบทสนทนา เมื่อคู่สนทนาตอบข้อความ กลับมา ทั้งคู่จะสามารถพูดคุยกันต่อได้ผ่านทางกล่องข้อความ หากไม่สนใจบุคคลในรายชื่อแนะนำ

คุณสามารถกดปุ่ม ‘ผ่าน’ (Pass) และโปรไฟล์ของบุคคลนั้นจะไม่ปรากฏในรายชื่อแนะนำอีก

ฟีเจอร์ Dating เริ่มเปิดให้ใช้งานบนระบบ Android ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน นี้ และจะทยอยติดตั้งบนระบบ iOS โดยฟีเจอร์นี้จำกัดให้สามารถใช้งานได้สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น

Viewing all 21835 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>