Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21691 articles
Browse latest View live

ค้นหาคำตอบทำไม “Big Bike” ราคาหลักแสน ถึงเฉียดล้าน! ถึงเป็นดาวรุ่งมาแรงในตลาดมอเตอร์ไซค์

$
0
0

ในช่วง 5 ปีมานี้ ตลาดรถจักรยานยนต์ในไทย อยู่ในภาวะอิ่มตัว ไม่คึกคักเหมือนเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (50 – 250 cc.) ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของตลาด เหตุเพราะปัจจัยรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจ, กำลังซื้อชะลอตัวของกลุ่มแรงงานและเกษตรกร ที่เป็นผู้บริโภคกลุ่มหลักของจักรยานยนต์เซ็กเมนต์นี้, ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น และอัตราการครอบครอง (Penetration Rate) สูงกว่า 80% ของครัวเรือนในประเทศไทย

แต่ท่ามกลางสถานการณ์เติบโตลดลง…กลับพบว่ายังมีอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่กำลังเป็น “Sunrise” และนับวันจะขยายตัวขึ้น คือ “บิ๊กไบค์” (Big Bike) ที่เวลานี้ Major Player ทั้งผู้ผลิตในฝั่งยุโรป, อเมริกา และญี่ปุ่น ต่างหันมารุกตลาดนี้มากขึ้น

เจาะลึก 6 เหตุผลทำไม “บิ๊กไบค์” โตแรง

ตลาดรวม “บิ๊กไบค์” ในไทยเมื่อปี 2560 มียอดจดทะเบียนอยู่ที่กว่า 27,000 คัน และคาดการณ์กันว่าปีนี้จะทะยานไปอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 34,000 คัน แม้ยังเป็นสัดส่วนที่เล็ก เมื่อเทียบกับตลาดจักรยานยนต์ทั่วไป ทว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ตลาด “บิ๊กไบค์” บูม!!

1. พัฒนาการของตลาดมอเตอร์ไซค์ในไทย จากในอดีตมอเตอร์ไซค์ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะสำหรับขี่ไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ โดยมี Core Value คือ ความคล่องตัว โดยใน 1 ครัวเรือน มีมอเตอร์ไซค์เฉลี่ย 1 – 2 คัน ใช้กันทั้งครอบครัว

แต่ทุกวันนี้รถจักรยานยนต์ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะเท่านั้น แต่ยังเป็น “สินค้าไลฟ์สไตล์” ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเจ้าของ เป็นผลมาจากผู้ผลิตค่ายต่างๆ พัฒนาสินค้าให้ Sub-segment มากขึ้น เพื่อรองรับกับการใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง

ประกอบกับการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้เน้นเฉพาะ Functional Benefit แต่เน้น Emotional Value เพื่อสื่อให้เห็นว่ารถจักรยานยนต์ ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะที่ไปทำกิจวัตรประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนเพื่อนรู้ใจที่สามารถไปด้วยทุกหนแห่ง พร้อมกับการใช้ดีไซน์ทั้งจากโรงงานเอง และมี accessory เพื่อให้ผู้บริโภคไป Custom ในสไตล์ของตัวเอง ส่งผลให้ 1 ครัวเรือน สมาชิกในครอบครัวมีรถจักรยานยนต์ของตัวเอง ซึ่งผู้บริโภคบางคนที่เคยใช้รุ่นเล็ก อยาก Trade up มาใช้รุ่นใหญ่ขึ้น

2. พฤติกรรมผู้บริโภคขยับไปตลาดพรีเมียมมากขึ้น ปัจจัยข้อนี้เชื่อมโยงกับข้อ 1 ข้างต้น เพราะโดยธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ดังนั้น ผู้บริโภคที่ขี่รถจักรยานยนต์อยู่แล้ว ต้องการที่จะ Trade up จากรถรุ่นปกติ ขยับไปรุ่นใหญ่ขึ้น และหนึ่งในรถที่นักขี่อยากครอบครอง คือ “บิ๊กไบค์” เพราะตอบโจทย์ทั้งด้านดีไซน์ สมรรถนะเครื่องยนต์ การขี่ และภาพลักษณ์ที่ดูแล้วเท่ สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่

3. ศักยภาพของตลาดมอเตอร์ไซค์ในไทยเวลานี้อยู่ที่ “บิ๊กไบค์” ก่อนอื่นต้องมองภาพรวมตลาดมอเตอร์ไซค์ในไทย ทั้ง Supply และ Demand ของตลาดในไทย ส่วนใหญ่ยังคงเป็น “รถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก” ที่ปัจจุบัน Penetration Rate สูงกว่า 80% ของจำนวนครัวเรือนในไทยที่มี 22 – 23 ล้านครัวเรือน

ข้อมูลจาก “ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา” (Krungsri Research) ระบุว่า การผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยส่วนใหญ่ยังเป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก คิดเป็นสัดส่วน 85% ของจำนวนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดที่ผลิตในไทย เนื่องจากเป็นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ

ประกอบกับอัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์ของไทยที่อยู่ในระดับสูงอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีจำนวนครัวเรือนที่ครอบครอง หรือเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์สัดส่วนสูงกว่า 80% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด สะท้อนถึงตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว และอาจมีข้อจำกัดในการเติบโตระยะยาว

อีกทั้งในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก กลุ่มลูกค้าใหญ่ คือ กลุ่มแมส ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ชะลอการใช้จ่าย เพราะฉะนั้น ทางที่จะผลักดันให้ทั้งตลาดรวมเติบโตได้ คือ การสร้าง Demand ในตลาดใหม่ ในทีนี้คือ การขยายฐานตลาด “บิ๊กไบค์” ในไทยให้เติบโตขึ้น ซึ่งจะได้ในแง่ของ Value Growth และยังได้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ

4. ประเทศไทย เป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ของโลก และแบรนด์ “บิ๊กไบค์” รายหลักเข้ามาปักธงลงทุนตั้งโรงงานในไทย “ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา” (Krungsri Research) ฉายภาพว่า ไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์สำคัญอันดับ 5 ของโลก รองจากจีนอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม 1 ผลจากการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออกของค่ายรถจักรยานยนต์ระดับโลก

จากยุคแรกเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ (Completely Knock- Down: CKD) มาประกอบเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป ต่อมาส่งเสริมการผลิตรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้ารถจักรยานยนต์สำเร็จรูปและการนำเข้าชิ้นส่วนฯ รวมทั้งในปี 2543 มีการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) ทำให้อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในไทยเติบโตขึ้น

ในปี 2559 ประเทศไทยมีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ประมาณ 10 แห่ง ทำการผลิตรถจักรยานยนต์รวมทั้งสิ้น 12 แบรนด์ กำลังการผลิตราว 3.5 ล้านคันต่อปี

โดยผู้ผลิตรายใหญ่เป็นทุนสัญชาติญี่ปุ่น ได้แก่ Honda, Yamaha, Suzuki, Kawasaki มีการผลิตทั้งรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก และ Big Bike (ยกเว้น Yamaha ที่ไม่มีการลงทุน Big Bike และมีนโยบายนำเข้า Big Bike จากญี่ปุ่น โดยอาศัยประโยชน์จากความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ JTEPA )

นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตสัญชาติไต้หวัน (บริษัท เอ็มไบค์ มอเตอร์เซลล์ จำกัด) ที่ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กแบรนด์ SYM และผลิต Big Bike แบรนด์ Benelli และ KeeWAY

ส่วนผู้ผลิตที่เหลือแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์สัญชาติอื่นที่เน้นผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก 2 ราย คือ Ryuka (จีน) และ GPX (ไทย) / 2. ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ Big Bike จากยุโรป 3 ราย ประกอบด้วย Triumph (อังกฤษ), BMW (เยอรมนี) และ Ducati (อิตาลี)

นอกจากผู้ผลิตบิ๊กไบค์รายใหญ่ของโลกฝั่งยุโรป 3 รายแล้ว ข้อมูลจาก “BOI” รายงานว่า Harley-Davidson เลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งศูนย์การผลิตและประกอบจักรยานยนต์ เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทย อยูใจกลางภูมิภาคอาเซียน และยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินการ เช่น การสนับสนุนต่างๆ ที่ช่วยให้นักลงทุนดำเนินธุรกิจไดง่ายและมีอัตราภาษีที่จูงใจให้ลงทุน

การใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและประกอบ ทั้งเพื่อส่งออกไปประเทศต่างๆ และป้อนตลาดในประเทศ ย่อมทำให้ผู้บริโภคไทยได้ประโยชน์ในด้านราคาจำหน่ายที่ถูกลง ดังนั้นเมื่อราคาจับต้องได้ ก็เป็นการปลุกกระแส “บิ๊กไบค์” ให้บูมขึ้น

5. สถาบันการเงินแข่งเดือด “สินเชื่อบิ๊กไบค์” เพราะมองว่านับวัน Demand ในตลาดบิ๊กไบค์จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงิน ต่างปล่อยสินเชื่อบิ๊กไบค์ เพื่อเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ ทำให้เปลี่ยนภาพ “บิ๊กไบค์” จากในอดีตที่ดูเป็นของจับต้องยาก มีคนขี่เฉพาะกลุ่ม แต่ปัจจุบันกลายเป็นของที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การที่สถาบันการเงินเข้ามาแข่งผลิตภัณฑ์สินเชื่อในตลาดนี้ ช่วยกระตุ้นให้ตลาด “บิ๊กไบค์” ในไทยคึกคัก และขยายฐานคนขี่บิ๊กไบค์กว้างขึ้น

6. สื่อสารการตลาด – สร้างเครือข่ายช่องทางการขาย และการให้บริการ – สร้าง Engagement ด้วยกิจกรรม เวลานี้ทั้งแบรนด์บิ๊กไบค์ สัญชาติญี่ปุ่น และยุโรป รุกสื่อสารการตลาดมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขยายเครือข่ายดีลเลอร์ และเพิ่มศูนย์ให้บริการ ขณะเดียวกันเพื่อสร้าง Brand Engagement ในระยะยาว ได้จัดกิจกรรมรวมกลุ่มของผู้ขี่บิ๊กไบค์แบรนด์นั้นๆ เพื่อสร้าง Community ให้แข็งแกร่ง ซึ่งคนเหล่านี้ถือเป็นผู้ใช้จริง และเป็น Brand Ambassador ที่จะคอยบอกต่อ จนเกิดการขยายฐานแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ

กรณีศึกษา “ไทรอัมพ์” บิ๊กไบค์สัญชาติอังกฤษ ทำอย่างไรแจ้งเกิดในไทย ?!?

ท่ามกลางการแข่งขันของ “บิ๊กไบค์” หนึ่งในกลุ่มผู้เล่นที่น่าจับตามอง คือ เซ็กเมนต์พรีเมียมบิ๊กไบค์ สัญชาติยุโรป และอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดบนของบิ๊กไบค์ในไทย โดยในปี 2559 ยอดจดทะเบียนของพรีเมียมบิ๊กไบค์ กลุ่มยุโรป และอเมริกาอยู่ที่ราว 6,000 คัน ขณะที่ปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 6,434 คัน จากตลาดรวมบิ๊กไบค์กว่า 27,000 คัน ส่วนแนวโน้มปีนี้ คาดการณ์ว่าทั้งตลาดรวมบิ๊กไบค์ ที่รวมถึงกลุ่มพรีเมียมด้วยนั้น ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากปัจจัยบวกทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น

เมื่อเจาะลึกเฉพาะ “กลุ่มพรีเมียมบิ๊กไบค์ สัญชาติยุโรป และอเมริกา” ในไทยมี Major Player 4 – 5 แบรนด์ หนึ่งในนั้นคือ “ไทรอัมพ์” (Triumph) ซึ่งในวงการ “บิ๊กไบค์” ไม่มีใครไม่รู้จักบิ๊กไบค์สัญชาติอังกฤษแบรนด์นี้ เพราะเป็น Global Brand ที่อยู่ในตลาดมา 116 ปีแล้ว ปัจจุบันอยู่ภายใต้อาณาจักร “John Bloor” นักธุรกิจชาวอังกฤษ ที่ได้ซื้อกิจการไทรอัมพ์เมื่อปี 2533

นับจากนั้นมาได้ก้าวสู่ยุคใหม่ของ “ไทรอัมพ์” ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น “Private Business” และยังคงใช้ฐานการผลิตที่ฮิงค์ลีย์ เขตเลสเตอร์ไซร้ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแห่งแรกที่ถึงทุกวันนี้ เพื่อส่งออกไปหลายประเทศทั่วโลก

ต่อมา “ไทรอัมพ์” ต้องการขยายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับเพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตสามารถแข่งขันได้ จึงมองหาสถานที่ที่จะเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 2 ที่สามารถผลิตงานคุณภาพ ขณะเดียวกันสามารถแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตได้ ในที่สุดไทรอัมพ์ บริษัทแม่ที่อังกฤษ ตัดสินใจเลือกปักหมุดสร้างโรงงานที่นิคมอมตะนคร ประเทศไทยในปี 2542 โดยเริ่มจากผลิตชิ้นส่วน แล้วส่งกลับไปยังโรงงานที่อังกฤษ

จากนั้นในช่วง 10 ปีมานี้ ได้ขยายการเติบโตมาเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันฐานการผลิตในไทยแห่งที่ 2 นี้ ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ “ไทรอัมพ์” เป็นคันๆ เช่นเดียวกับโรงงานที่ฮิงค์ลีย์ เพื่อส่งออกไปทั่วโลก และป้อนให้ตลาดไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตทั้งโรงงานที่อังกฤษ และไทย รวมกันอยู่ที่ 67,000 คันต่อปี ในจำนวนนี้มาจากโรงงานไทย 55,000 – 56,000 คันต่อปี

ขณะที่การทำตลาดและการขายของ “ไทรอัมพ์” ในไทย เริ่มแรกยังเป็นผู้นำเข้าอิสระที่ซื้อมา-ขายไป กระทั่งเมื่อ 11 ปีที่แล้ว “บริษัท บริทไบค์ จำกัด” ของ “คุณดอม เหตระกูล” เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากมีตัวแทนจำหน่ายทางการ ยอดขาย “ไทรอัมพ์” เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปี 2008 จำหน่ายได้ 30 คัน ในปีต่อๆ มาเพิ่มเป็น 40 – 50 คัน และในปี 2557 เป็นปีที่ “บริทไบค์” สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 300 คัน

กลุ่มลูกค้าในยุคแรกๆ ก่อนที่บริษัทแม่เข้ามาทำตลาดเอง ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในวงการบิ๊กไบค์ และรู้จักไทรอัมพ์ยู่แล้ว

“ในช่วง 5 ปีมานี้ ตลาดบิ๊กไบค์ในไทยบูมขึ้นมา บริษัทแม่ที่อังกฤษมองเห็นว่าเมืองไทยมีศักยภาพ เพราะไทยมีฐานการผลิตไทรอัมพ์แล้ว และมี Free Zone จึงลองศึกษาตลาด ในที่สุดบริษัทแม่ได้ตัดสินใจเข้ามาทำเอง ทั้งในด้านการตลาดและเครือข่ายการจัดจำหน่าย โดยแตะมือกับ “บริทไบค์” ในช่วงเมษายน ปี 2558 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยปัจจุบันบริทไบท์ ยังคงเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายหลักให้กับไทรอัมพ์ ประเทศไทย” คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เล่าถึงที่มาของการที่บริษัทแม่เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย

พร้อมขยายความเพิ่มเติมว่า เมื่อบริษัทแม่มาทำตลาดเอง ทำให้ยอดจดทะเบียนในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 คัน จากปีก่อน 400 คัน จากนั้นในปี 2559 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ “ไทรอัมพ์” ในไทย เมื่อสามารถทำยอดขายได้ 2,400 คัน ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มพรีเมียมบิ๊กไบค์ แบรนด์ยุโรป และอเมริกา ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 40% ขณะที่ในปี 2560 ทำยอดขายได้ 2,832 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 44% โดยยังคงเป็นผู้นำตลาดกลุ่มนี้

กลยุทธ์ที่ “ไทรอัมพ์” ให้สำคัญอยู่บนหลัก 3 แกน คือ British / Premium / Lifestyle ทั้งโปรดักต์ ดีไซน์ บริการ การสื่อสารการตลาด กิจกรรมการตลาด และเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย ต้องอยู่ภายใต้ 3 แกนนี้ เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบ “Premium Riding Experience”

4 กลยุทธ์รักษาบัลลังค์แชมป์บิ๊กไบค์พรีเมียม

การแข่งขันตลาดบิ๊กไบค์ในไทย จะดุเดือดยิ่งขึ้น ดังนั้น “ไทรอัมพ์” ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมภายใน ด้วย 4 กลยุทธ์หลัก

1. ยังคงต่อเนื่องกับการนำเสนอ “Premium Riding Experience” ให้กับลูกค้า ผ่าน Customer Touch Point ต่างๆ ทั้งช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น Website และ Social Media เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร รายละเอียดสินค้า เพื่อให้ลูกค้าศึกษาข้อมูล ก่อนตัดสินใจซื้อ

2. การขยาย Network ดีลเลอร์ เพื่อตอบรับกับปริมาณการขายที่เติบโต โดยปัจจุบันมี 13 ดีลเลอร์ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 4 แห่ง และต่างจังหวัด 9 แห่ง ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 15 แห่ง

เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาช่องทางจำหน่าย คือ การพลิกโฉมโชว์รูมไทรอัมพ์ทั่วไป ให้เป็น “Triumph World” บรรยากาศองค์รวมเน้นความพรีเมียม ดูน่าเชื่อถือ แต่ยังอบอุ่น และเข้าถึงได้แบบสไตล์อังกฤษ ที่สำคัญในโชว์รูมมีรถไทรอัมพ์ทุกรุ่น เกือบทุกสี เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองนั่งได้ทุกคัน และดูว่ารุ่นไหน สีอะไรที่ชอบ และเหมาะกับตัวเอง

นอกจากนี้ยังมีรถ Demo ให้ทดลองขับขี่จริงทุกรุ่น เพื่อให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์จริง ขณะเดียวกันจะขยายกลุ่มสินค้า Accessory และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพความเป็น Premium Lifestyle เด่นชัดขึ้น

3. การฝึกอบรมพนักงาน เนื่องจากธุรกิจขยายตัว และมีดีลเลอร์มากขึ้น คนที่มีบทบาทในการนำเสนอ Premium Riding Experience คือ บุคลากรที่ให้บริการลูกค้า ดังนั้นปีนี้ “ไทรอัมพ์ ประเทศไทย” วางเป้าหมายโฟกัสการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อพัฒนาบริการหลังการขายให้ดีขึ้น

4. จัดคอร์สฝึกอบรมการขับขี่บิ๊กไบค์มากขึ้น เพื่อสร้าง Brand Engagement ทั้งกับลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับผู้บริโภคทั่วไปที่สนใจบิ๊กไบค์ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการให้โชว์รูมมีรถ Demo สำหรับให้ลูกค้าได้ทดลองขับขี่จริง

ที่ผ่านมาดีลเลอร์จัดคอร์สอบรมการขับขี่บิ๊กไบค์อยู่แล้ว แต่สำหับคนที่เป็นลูกค้าไทรอัมพ์เท่านั้น แต่ต่อไปจะเปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าไทรอัมพ์ แต่มีความสนใจอยากทดลองขับขี่บิ๊กไบค์ ได้เข้ามาร่วมคอร์สฝึกด้วยเช่นกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโมเดลว่าจะเป็นไทรอัมพ์จากส่วนกลางทำเอง หรือให้ดีลเลอร์แต่ละรายทำ

คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด

“การสร้างแบรนด์ไทรอัมพ์สำคัญ เราอยากสร้างความชัดเจนในความเป็นไทรอัมพ์ ในทุกการสื่อสารจะตอกย้ำ Motto “FOR THE RIDE” รถไทรอัมพ์ไม่ใช่รถเร็วที่สุดในตลาด ไม่ใช่รถที่มีแรงบิด แล้วพุ่งที่สุดในตลาด ไม่ใช่รถที่แรงเบรกดีที่สุดในตลาด แต่สิ่งที่เราเสนอคือ การขับขี่ที่มีความสุข เป็นรถที่ขี่ง่าย ปลอดภัย และมีดีไซน์สวยงาม ทำให้ผู้ขับขี่มีความภูมิใจ

ในที่สุดแล้วเราไม่ได้ต้องการแค่ให้ผู้บริโภครู้จักว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ไทรอัมพ์ และไม่ใช่แค่ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ แต่เราอยากให้คนรู้สึกว่าถ้าอยากจะมี Premium Riding Experience หรือประสบการณ์การขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบพรีเมียม ต้องนึกถึงไทรอัมพ์” คุณจักรพงษ์ สรุปทิ้งท้ายถึงเป้าหมายใหญ่ของไทรอัมพ์ ประเทศไทย

Source : Krungsri Research 

 

 

 


Volkswagen ไอเดียเด็ด ทำเคสโทรศัพท์มือถือจากรถที่เกิดอุบัติเหตุ กระตุ้นอย่าใช้โทรฯ ขณะขับ

$
0
0

อุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้น 23 เท่า เมื่อคุณขับรถพร้อมกับพิม์ข้อความ นี่คือความจริงที่ Nord DDB ค้นพบและต้องการสื่อสารไปยังผู้บริโภค เพื่อรณรงค์ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ จนเป็นที่มาของแคมเปญ ‘Crashed Cases’ ซึ่งรถยนต์ volkswagen ได้ทำเคสโทรศัพท์มือถือจำนวน 153 อัน ตามจำนวนอุบัติเหตุทางรถยนต์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศสวีเดน นับจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

“เราเชื่อว่าเคสโทรศัพท์ที่เราทำขึ้นจากรถยนต์ที่ถูกทำลายจากอุบัติเหตุ น่าจะเป็น คำเตือนที่ไม่ต้องออกเสียงออกมา เพื่อทำให้คนโฟกัสไปที่การขับรถและท้องถนน แล้วไม่ทำอะไรหลายอย่างในช่วงเวลาขับรถ” Johan Karlson brand manager ของ Volkswagen Stockholm กล่าว

ต้นทุนการผลิตเคสนี้อยู่ที่ 70 ดอลล่าร์สหรีฐ นับว่าแพงเอาการณ์ แต่ถ้าช่วยลดอุบัติเหตุได้จริง ก็นับว่าคุ่มค่า

 

Source

ล้ำได้อีก TOA บุกตลาดสีทาบ้าน ช่วยคำนวณ ”สีทาบ้าน” สีโทนไหนช่วยประหยัดค่าไฟมากที่สุด

$
0
0

มักมีคำกล่าวติดตลก(ร้าย) เกี่ยวกับสภาพอากาศประเทศไทย ที่มี 3 ฤดู คือ ร้อน ร้อนมาก ร้อนมากมว้าก! แต่นั่นสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับรู้ของผู้บริโภคที่เผชิญสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Pain point ข้อนี้หันมาผลิตสินค้านวัตกรรม อัพเกรดคุณสมบัตของโปรดักท์ให้ทนแดดทนร้อนได้ดียิ่งขึ้น

TOA” เป็แบรนด์ผลิตภัณฑ์สีทาบ้าน ทาอาคาร เบอร์ 1 ของประเทศ พ่วงตำแหน่งแบรนด์ “ผู้นำ” ในระดับภูมิภาค(Regional Brand) และบริษัทยังคงพัฒนาสินค้าและบริการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ผู้บริโภคอยู่เสมอ ตอกย้ำทั้งตำแหน่งผู้นำ และทำ “จุดแข็ง” ให้แกร่งยิ่งกว่าเดิม

การแก้โจทย์สภาพอากาศร้อนระอุในเมืองไทย ทำให้ “ทีโอเอ” ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานในอาคาร “คณะกรรมการพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ” ศึกษาการประหยัดพลังงานจากค่าการสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์(Solar reflectance) ที่แตกต่างกันของสีทาผนังอาคารที่พักอาศัย ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศ พร้อมเปรียบเทียบกับผลการประหยัดพลังงานที่เหมาะสมในการใช้งานขึ้น

ทีโอเอนำ “สีซุปเปอร์ชิลด์” หนึ่งในผลิตภัณฑ์เรือธงไปพิสูจน์ศักยภาพในการ “กันความร้อน”  ด้วยการสร้างแบบจำลองบ้านด้วยโปรแกรม  Energy Plus   ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนา และสนับสนุน โดยกระทรวงพลังงาน ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดรูปแบบการอยู่อาศัยและการใช้งาน บนพื้นฐาน อาคารที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มีจำนวน 4 ห้องนอน 2 ชั้นและมีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 220 ตารางเมตร โดยมีผู้พักอาศัยอยู่จำนวนทั้งสิ้น 4 คน และใช้เครื่องปรับอากาศที่มีการปรับอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส

แล้วนำค่าสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์จากผนังที่มีค่าสะท้อน  96.7 % และค่าสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์จากสีทาหลังคาที่มีค่าการสะท้อนรังสีดวงดาทิตย์ 97.3%   มาคำนวน ผลที่ได้จะสามารถช่วยให้บ้านเย็นลงได้ถึง 5.5 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับการทาด้วยเฉดสีทั่วไป

หากดีดลูกคิดรางแก้ว ยังพบว่าช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศลง 27.5% เซฟเงินในกระป๋าจากค่าแอร์ได้ถึง 9,445 บาทต่อปี

มีสินค้าดีต่อยอด เพราะ “ทีโอเอ” ต้องการให้ผู้บริโภค ผู้ใช้สี “ซุปเปอร์ชิลด์” สามารถคำนวนค่าไฟฟ้า การประหยัดพลังงานได้เองจึงมีการพัฒนา “เว็บไซต์” ที่ชื่อว่า “TOA SuperShield SAVE MONEY SAVE ENERGY”  สำหรับการใช้งาน บอกเลยว่าง่ายสุดๆ เพียงแค่เลือกสีหลังคาบ้าน จับคู่กับสีทาอาคาร แล้วกดคำนวณการใช้พลังงาน “ผลลัพธ์” ที่เห็นแล้วสบายเงินในกระเป๋าอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากตอบโจทย์เรื่อง “ฟังก์ชั่น” การประหยัดพลังงาน ยังสะท้อนให้เห็นการปรับตัวของแบรนด์เบอร์ 1 ที่นำเทคโนโลยีซึ่งส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องที่ยาก มีความซับซ้อน มาใช้ในการทำตลาด และทำให้ผู้บริโภคจับต้องได้ แถมง่ายมากๆ เพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือตลอดเวลาด้วย

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ : TOA SuperShield/Savemoney 

โปรดักท์ที่ใช่ แอปพลิเคชั่นที่พร้อมใช้งาน “ทีโอเอ” ยังงัดกลยุทธ์การตลาดเพื่อย้ำภาพโปรดักท์ช่วยกันความร้อนผ่านแคมเปญTOA SuperShield สีกันร้อน!” และดึง “หนุ่มกันต์ กันตถาวร” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ความฮอตของหนุ่มกันต์ ที่ดังจากการเป็นพิธีกรรายการเพลงจนถูกขนานนามเป็น “สามีแห่งชาติ” นอกจากจะช่วยสร้างแบรนด์ให้ทีโอเอได้มากขึ้น ชื่อ “กันต์” ยังช่วยให้เกิดการ Brand Remind กับสีทีโอเอซุปเปอร์ชิลด์ กันร้อนได้อยู่หมัด

นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่สีซุปเปอร์ชิลด์เป็นสีน้ำอะคริลิกแท้ 100% ช่วย “สารพัดกัน” ช่วยกันร้อน กันคราบ กันลอกแล้ว ยังทนจน “กันต์” กล้ารับประกันยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งทั้งหมดเพื่อ Recall ทั้งพรีเซ็นเตอร์ให้เชื่อมกับโปรดักท์

บทสรุปของเกมการทำตลาดของ “ผู้นำตลาดสีทาบ้าน” ระลอกนี้ เห็นชัดว่าแบรนด์ได้ดึง Insight ของผู้บริโภคมากำหนดโจทย์อย่างชัดเจน แล้วแบรนด์ “ตอบสนอง” ได้ตรงจุด และยังดึงเทคโนโลยี “แอปพลิเคชั่น” มาเชื่อมต่อกับผู้บริโภคให้ใกล้ชิดกันผ่านหน้าจอ

ออกหมัดครบเครื่องขนาดนี้ คาดว่าจะทำให้ “ทีโอเอ” ยังกอดตำแหน่งผู้นำตลาดได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยส่วนแบ่งการตลาดในประเทศประมาณ 50%

 

เปิดเหตุผล ทำไม Muji ไม่เคยบอกชื่อนักออกแบบสินค้า แม้บางครั้งจะเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดังก็ตาม

$
0
0


Muji แบรนด์จากญี่ปุ่นที่มีชื่อเต็มว่า Mujirushi Ryohin สำหรับแบรนด์นี้นิยามตัวเองว่าเป็นร้าน “No-brand” หรือ “สินค้าคุณภาพดีที่ไม่มียี่ห้อ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์แบบ minimalist ของพวกเขาโดยไม่ต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าใครเป็นผู้ออกแบบ

ซึ่งแนวคิดนี้ ตรงข้ามกับโลกที่ป้ายชื่อต่างๆ มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการซื้อ วิธีการ anti-namedrop แบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกที่หาได้ยาก ซึ่ง MUJI กล่าวว่าขณะนี้ทีมงานของพวกเขาทำงานร่วมกับนักออกแบบและแบรนด์ที่รู้จักกันดี แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยชื่อพวกเขา

ในการประชุม MarketingPulse ที่ฮ่องกง Kei Suzuki กรรมการและผู้บริหารของบริษัท Ryohin Keikaku ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Muji อธิบายเหตุผลของแนวคิดที่ไม่เคยเปิดเผยชื่อของดีไซน์เนอร์เอาไว้ว่า… ถ้าเราไม่ได้บอกลูกค้าว่าใครเป็นผู้ออกแบบสินค้าของพวกเขา พวกเขาจะสนใจที่ตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว

“เราทำงานร่วมกับนักออกแบบที่เข้าใจแนวคิดแบบ MUJI ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีที่จะร่วมงาน แต่ชื่อของพวกเขาจะไม่ถูกเปิดเผย” Keikaku กล่าว

“นักออกแบบบางคนมีชื่อเสียงมากเกินไป ดังนั้นถ้าเราขายสินค้าด้วยชื่อของพวกเขา ทุกคนก็จะซื้อมัน แต่ที่ MUJI เราไม่มีชื่อ … พวกเขาจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะคนจะตัดสินจากตัวสินค้าจริงๆ เท่านั้น

“และเราไม่ต้องการให้ผู้บริโภคหลงผิดเพียงเพราะเห็นชื่อบางชื่อเท่านั้น”

เขาเสริมว่าการสร้างสรรค์จากนักออกแบบที่มีชื่อเสียงหลายคนกลายเป็นสินค้าขายดีในขณะที่บางรุ่นก็ไม่เป็นที่นิยม เมื่อไม่มีโลโก้แล้ว สินค้าเหล่านี้อาจทำให้ผู้คนเสียศรัทธาต่อครีเอเตอร์บางคนของพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

Elon Musk ทวีตเผย “ผมนอนที่โรงงาน” หวังแก้ปัญาแลวร้ายของ Tesla ที่ทำหุ้นร่วง 20%

$
0
0

ดูท่าปีนี้จะเป็นปีชง ของมหาเศรษฐีหนุ่มคู่กัด 2 คน หลังจากที่ Mark Zuckerberg ก็งานเข้ารัวๆ ด้วยผลกระทบของเคส Cambridge Analytica ในขณะเดียวกัน Elon Musk ซีอีโอ Tesla ก็อ่วมไม่แพ้กัน ถึงขนาดเปิดเผยในทวีตเตอร์เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ถึงการตัดสินใจนอนที่โรงงานผลิตรถของเขาเอง เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดเป็นไปตามกำหนดเวลา

“ผมกลับไปนอนที่โรงงาน ธุรกิจรถนี่มันนรกชัดๆ” เขาเขียนลงทวีตสองวันหลังจากที่ Musk แชร์รูปภาพตัวเองพร้อมข้อความว่า “ถูกพบตัวสลบเหมือดพิงรถ Tesla Model 3 รายล้อมด้วยขวด ‘Teslaquilla’” เพื่อเล่นในวัน April Fool’s Day

นอกจากนั้นยังมีทวีตที่ Musk โพสต์ปกป้อง Doug Field รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมของบริษัท ในการตอบสนองต่อบทความที่ถูกโพสต์ในเว็บไซต์ The Information

บทความดังกล่าวบอกว่าการผลิต Tesla 3 มีปัญหาต่อเนื่องเรื้อรังและ Tesla เองก็พลาดเป้าในการผลิต Model 3 ตลอดหลายปีที่ผ่านมารวมถึงหลังจากที่ Field เข้ามาบริหารการผลิตแล้ว

“Doug ผู้ซึ่งผมถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บริหารด้านวิศวกรรมที่มีพรสวรรค์ที่สุดในโลก เขาถูกจับตามองในด้านของวิศวกรรมยานยนต์” Musk เขียนเพื่อปกป้องลูกน้องของเขา

“เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้วผมได้ขอให้ Doug มาช่วยจัดการทั้งด้านวิศวกรรมและการผลิต” เขาเสริม “เขาเห็นพ้องกันว่า Tesla จำเป็นต้องมีทั้งสองส่วนที่ทำงานร่วมกัน ดังนั้นเราจึงไม่ได้ออกแบบรถที่สร้างยากเย็นเกินไป”

Musk ได้รับรายงานล่าสุดของ Tesla หุ้นของบริษัทได้ร่วงลงประมาณ 20% ซึ่งเป็นผลมาจากอุบัติเหตุรถยนต์ในรุ่น Model X ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา รวมทั้งการผลิต Tesla Model 3 ก็ไม่เสร็จ ทำให้ส่งมอบตามที่คาดการณ์ไว้ไม่ได้ตามเป้า

หลังจากทุกข์ทรมานกับสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 15 ปีของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Musk ได้ใช้ Twitter เพื่อปกป้องการตัดสินใจของบริษัทในการปล่อยข้อมูลที่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับหนึ่งในระบบออโต้เมคเกอร์ที่ทำงานด้วยฟีเจอร์ Autopilot (แน่ละ ก็เขาลบแอคเคานท์ Facebook ของ Tesla และแบรนด์อื่นของตัวเองไปหมดแล้วนี่) 

ทวีตของเขาเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อรายงานจากวอชิงตันโพสต์ที่ชี้ให้เห็นว่าคณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) “ไม่พอใจ” กับการเปิดเผยข้อมูลของ Tesla เกี่ยวกับความผิดพลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้น ความท้าทายที่เกิดขึ้นนี้ นับว่าเป็นความยากลำบากที่มหาเศรษฐีหนุ่มรายนี้ต้องก้าวข้ามให้ได้ 

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

โรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA ล่าสุดแห่งนวัตกรรมภาพยนตร์ [PR]

$
0
0

 “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป” ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผนึกกำลัง “ซัมซุง” ผู้นำด้านเทคโนโลยีจอภาพ เปิดตัวโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA โรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นแห่งที่สองของโลกที่ใช้จอภาพ Samsung Cinema LED Screen เพื่อเติมเต็มประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้าในการรับชมภาพยนตร์

บุญเลิศ วิบูลย์เกียรติ รองประธานธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาคธุรกิจต่างๆมีการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซัมซุง ถือได้ว่าเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมตลาดโทรทัศน์และจอมอนิเตอร์ จนขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจอภาพของโลก ล่าสุด ซัมซุงได้หันมาพัฒนาจอภาพ Samsung Cinema LED Screen สำหรับตลาดโรงภาพยนตร์ขึ้น เป็นเทคโนโลยีจอภาพยนตร์แบบแอลอีดีครั้งแรกของโลกอันทันสมัยที่จะมาต่อยอดระบบฉายภาพยนตร์ด้วยโปรเจคเตอร์ นับว่าเป็นการปฏิวัติธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยที่จะให้ประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นิธิ พัฒนภักดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เราเป็นผู้นำด้านด้านไลฟ์สไตล์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ปัจจุบันเมเจอร์ได้ก้าวหน้าไปสู่ยุค 5.0 ด้วยการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า อย่าง ระบบการฉายภาพยนตร์เปลี่ยนจากระบบโปรเจคเตอร์มาเป็นระบบเลเซอร์ การนำเทคโนโลยีเสมือนจริง Virtual Reality (VR) มาต่อยอดธุรกิจโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อ IMAX VR หรือเกมในรูปแบบ VR และล่าสุดได้นำเทคโนโลยีจอภาพ Samsung Cinema LED Screen ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลกมาใช้ในโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA ซึ่งเทคโนโลยีจอภาพดังกล่าวจะมาแทนที่การฉายด้วยโปรเจคเตอร์แบบเดิมให้ความละเอียดคมชัดในทุกมุมมอง สีสันเต็มอิ่มสมจริงให้ผู้ชมรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในภาพยนตร์ อีกทั้งให้ความสว่างของภาพสม่ำเสมอสามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆในภาพได้อย่างครบถ้วน

สำหรับโรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA เป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นแห่งที่สองของโลกที่มีการติดตั้งจอภาพ Samsung Cinema LED Screen ที่มีจุดเด่นสำคัญและคุณสมบัติพิเศษ อาทิเช่น

  • ภาพละเอียดคมชัดระดับ 4K ด้วยมาตรฐานการแสดงผลภาพ และมีฟีเจอร์ High Dynamic Range (HDR) ที่จะช่วยปรับสมดุลความมืดความสว่างของภาพเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด ทำให้ได้ภาพที่คมชัด สีสันสมจริง ให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในภาพยนตร์
  • สีสันเต็มอิ่มสมจริง รองรับระดับความสว่างสูงสุด (Peak Brightness) ที่ปรับอัตโนมัติได้ถึง 146fL (foot-lambert) หรือ 500 nit ซึ่งมากกว่าหน้าจอภาพยนตร์ปกติถึง 10 เท่า ทำให้เห็นรายละเอียดได้มากกว่าทั้งในส่วนที่มืดที่สุดและสว่างที่สุด และให้สีสันเข้มข้นสมจริงแม้จะเพิ่มความสว่างหน้าจอสูงสุดก็ตาม หน้าจอสามารถปรับความสว่างอัตโนมัติได้สูงสุด 500 nit แต่ใช้ความสว่างในระหว่างฉายภาพยนตร์ปกติอยู่ที่ 48 nit เพื่อสร้างความสบายตาให้แก่ผู้ชม
  • ระดับความคอนทราสต์ของ Samsung Cinema LED Screen เป็น infinity : 1 ทำให้ได้สีขาวบริสุทธิ์ และสีดำที่ดำสนิท ในขณะเดียวกันก็สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆ ในภาพได้อย่าง ครบถ้วน เช่น ภาพยนตร์ที่มีฉากดำมืดตลอดเรื่อง ผู้ชมก็ยังเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน

ราคาบัตรชมภาพยนตร์ วันจันทร์-วันอังคาร เริ่มต้นที่ 250 บาท/คน/ที่นั่ง, วันพุธ เริ่มต้นที่ 170 บาท/คน/ที่นั่ง , วันพฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เริ่มต้นที่ 270 บาท/คน/ที่นั่ง และที่นั่ง VIP คู่ละ 1,000 บาท

สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ผ่านนวัตกรรมล่าสุดแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจอ Samsung Cinema LED Screen ได้แล้ววันนี้ที่ โรงภาพยนตร์ SAMSUNG LED CINEMA ชั้น 6 พารากอน ซีนีเพล็กซ์

The Worst Song In The World เพลงโฆษณายอดแย่ ที่สะท้อนอินไซท์คน Millennial

$
0
0

โฆษณาใหม่แนวตลกขบขันจาก Monoprix ห้างสรรพสินค้าของฝรั่งเศส ที่เล่าเรื่องให้เราอยากติดตามจนจบว่าทำไมผู้หญิงวัยรุ่นในหนังถึงต้องทนฟังเพลงแย่ๆ แทนที่จะกดข้ามไป คำตอบอยู่ที่ตอนจบของคลิป

โฆษณาที่เล่าเรื่องแบบมิวสิควิดีโอจากเอเจนซี่ในปารีส Rosapark และทีมผู้กำกับ Traktor เปิดเรื่องด้วยนางเอกของเราเดินเล่นอยู่บนถนนในหูฟังเพลงอินดี้แสนหวานตามสไตล์ เพลงบรรเลงไปตามเรื่องตามราวและเธอยิ้มเบาๆ เมื่อคอร์ดสุดท้ายถูกร่ายไปจนจบลง

ส่วนเพลงที่ตามมาน่ะเหรอ? กลับกลายเป็นเพลงร็อคยุค 80 ที่ตัดเล่าเรื่องสลับกับมิวสิควิดีโอที่ใส่อารมณ์รุนแรงแบบเพี้ยนๆ มีฉากหลังที่ถ่ายบนกรีนสกรีน มีรูปทรงเรขาคณิตสีนีออนลอยไปลอยมา ต้นปาล์มพาสเทล เครื่องปั้นดินเผา ดอกไม้ไฟและการขับรถจักรยานยนต์ปลอมผ่านทะเลทรายปลอม และแมวใส่แว่นกันแดด 8 บิต ทรงผมเชยๆ และการโซโลแซกโซโฟน

เพลงนี้ถูกตั้งชื่อว่า “เพลงที่เลวร้ายที่สุดในโลก” (The Worst song in the World) ซึ่งเป็นทั้งชื่อเพลงและเนื้อร้องในท่อนฮุคเบ็ดและย้ำให้รู้กันตั้งแต่ 20 วินาทีแรกและสร้างเอียร์เวิร์มเหมือนที่เพลงป๊อปชอบทำ และนางเอกของเราก็แสดงอาการหน้าเหยเกออกมาอย่างชัดเจน

ในที่สุดหญิงสาวก็ทนไม่ไหว หลังจากเธอเดินขึ้นบันไดเธอก็โยนถุงข้าวของในมือทิ้งหมด พร้อมกรีดร้องอย่างไม่ไหวจะเคลียร์ คนดูจึงได้รับการเฉลยว่าที่หญิงสาวไม่กดเปลี่ยนเพลงเพราะมือไม่ว่าง… จากนั้นข้อความเฉลยก็ตามมา

“เมื่อมือว่าง ทุกอย่างก็เปลี่ยน” ตามด้วยข้อความขายของ “เลือกซื้อของกับร้านที่ส่งให้คุณถึงบ้านดีกว่า”

นับว่าเป็นภาพที่น่าสนใจที่เอามาเล่าได้อย่างฉลาด(และบ้าบอ) แถมยังมาจากอินไซท์แท้ๆ ในความเข้าใจ Millennial อย่างแท้จริง เพราะคนวัยนี้ที่ไม่มีรถยนต์ก็จำเป็นต้องเจอกับสถานการณ์ในการช้อปปิ้งและต้องหอบหิ้วเต็มไม้เต็มมือ แบรนด์จึงหยิบเอามีช่วงเวลาแห่งความหายนะที่เชื่อว่าหลายคนมีเหมือนกันมาเล่าให้เข้ากับแบรนด์

“การสร้าง ‘the worst song in the world’ เราต้องค้นหาจักรวาลแห่งดนตรีซึ่งห่างไกลจากเพลงที่ปกติผู้หญิงสาวๆ คนหนึ่งจะเปิดฟัง” Gilles Fichteberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Rosapark กล่าว

“ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบอกผ่านเพลง เพลงเป็นตัวเล่าเรื่องและเป็นสิ่งตั้งต้นของเรื่องราว ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราในการเขียนเพลงคือการค้นหาความต่างอย่างสุดขั้ว ระหว่างจักรวาลของหญิงสาวกับจักรวาลของเพลงที่เราจะแต่ง เธอดูดีและอินเทรนด์ ฟังเพลงอินดี้ดีๆ และทันใดนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเพลงนี้ขึ้นมา มันคือการปะทะของวัฒนธรรม ของเทสที่ดีและไม่ดี เราต้องการวงดนตรีที่ผสมผสานวงอย่าง Van Halen, Europe and pop, วงคลื่นลูกใหม่เช่น Wham และ Duran Duran เข้าด้วยกัน”

เขากล่าวเสริมว่าเป้าหมายของเอเจนซีคือ “เขียนเพลงแบบที่คุณจะทั้งรักทั้งเกลียด”

 Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

 

เมื่อ IKEA เป็นมากกว่าเฟอร์นิเจอร์ แต่ลงลึกถึงไลฟ์สไตล์ เปิดตัว “สเก็ตบอร์ด”จากดีไซน์เนอร์แนวสตรีท

$
0
0

IKEA กำลังไปไกลกว่าแค่การขายเฟอร์นิเจอร์ พวกเขาพยายามแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น และไม่ใช่แค่ชีวิตประจำวันธรรมดา แต่เป็นชีวิตประจำวันที่เปี่ยมไปด้วยสไตล์ ล่าสุด IKEA ขายสเก็ตบอร์ดในราคา 90 เหรียญ พร้อมกับโต๊ะเปิดแผ่นสำหรับดีเจ ชั้นวางรองเท้าเพื่ออวดรองเท้ารุ่นลิมิเต็ด และเสื้อฮู้ดเพื่อให้ครบเซ็ตความฮิป ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่แค่คนขายเฟอร์นิเจอร์หรือแฟชั่นเท่านั้น มันคือ “ไลฟ์สไตล์”

สินค้าเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่นใหม่แบบลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่ออกแบบโดย Chris Stamp แฟชั่นดีไซเนอร์จากแอลเอ Dubbed Spänst ตัวแทนจาก IKEA กล่าวว่า “คอลเลกชั่นนี้ทำมาเพื่อคนหนุ่มสาวที่ใส่ใจในสุนทรียศาสตร์การอยู่อาศัยแบบใช้ชีวิตแอคทีฟตามสไตล์คนเมือง มันถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการแสดงออกถึงการใช้ชีวิตของพวกเขาผ่านทุกมุมในบ้าน”

เช่นเดียวกับดีไซเนอร์คอลเลกชั่นลิมิเต็ดอื่นๆ ของ IKEA ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่มันจะหน้าตาไม่เหมือนสินค้า IKEA สักเท่าไหร่ อย่างชั้นวางรองเท้าและสเก็ตบอร์ดสีดำ (70 เหรียญ) ถูกออกแบบด้วยการใช้เส้นที่ให้ความรู้สึกผสมผสานความ midcentury เข้ากับยุค Edo ในญี่ปุ่น

ชิ้นต่อมาเป็นกล่องรองเท้าอะครีลิคใส (20 เหรียญ) ทำให้รองเท้าคู่โปรดของคุณดูสดชื่นเหมือนเพิ่งซื้อ ห่วงบาสเก็ตบอลสีดำ (35 เหรียญ) อีกตัวที่น่าสนคือแท่งไฟ LED แบบชาร์จไฟ (20 เหรียญหรือ 40 เหรียญ) ที่ดูเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ซึ่งเรียงตัวกันอยู่บนผนังของคุณ พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีดำ (35 เหรียญ)

ดูรวมๆ แล้วถ้าซื้อทั้งคอลเลกชั่นแบบครบชุดนี่คงแต่งคอนโดให้เป็นสไตล์แรปเปอร์เท่ๆ ได้เลย โย่วๆ ยิ่งเมื่อบอกว่าเป็นการทำการตลาดในแอลเอด้วยแล้ว บางทีเราอาจต้องชม IKEA ว่ามาถูกทางจริงๆ

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM


10 เมืองยอดฮิต สำหรับพักผ่อน ‘วันหยุดแรงงาน’

$
0
0

แม้เทศกาลสงกรานต์จะเพิ่งสิ้นสุดไป แต่ช่วงเวลาของวันหยุดยังคงต่อเนื่องยาวไปถึงวันแรงงานที่กำลังจะมาถึง (1 พฤษภาคม) โดยผลสำรวจล่าสุดของผู้ให้บริการจองที่พักออนไลน์ทั่วโลกอย่าง Agoda  เผยว่าแม้โตเกียวจะครองอันดับ 1 ของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยที่เดินทางไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดเนื่องวันในวันแรงงาน แต่สถานที่ท่องเที่ยวถึง 5 แห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบชายทะเลในเมืองไทยก็ติดอันดับไม่แพ้กัน

เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯครองตำแหน่งสถานที่ยอดนิยมเป็นอันดับ 2 รองลงมาด้วย พัทยา (อันดับ 3)  หัวหิน (อันดับ 4) ภูเก็ต (อันดับ 5) และเชียงใหม่ (อันดับ 9) อันเป็นสถานที่พักผ่อนสุดเพอร์เฟคสำหรับช่วงวันหยุดที่ไม่ต้องเดินทางไกล

คนไทยมากมายถือโอกาสลางานในช่วงวันหยุดแรงงานเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งประเทศญี่ปุ่นครองใจนักท่องเที่ยวไทยโดยโตเกียว (อันดับ 1) และโอซาก้า (อันดับ 7) เป็นเมืองยอดนิยมแห่งการดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยอีกทั้งยังตรงกับช่วงเทศกาลวันหยุดยาวของประเทศญี่ปุ่น (Golden Week) โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงสัปดาห์นี้จะได้สัมผัสกับกิจกรรมและงานเทศกาล อาทิ เทศกาลอาหาร เทศกาลพื้นเมืองที่เรียกว่า เทศกาลมัตสึริ กิจกรรมดนตรีกลางแจ้ง และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย

 

 10 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยช่วงวันหยุดแรงงาน

อันดับ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
1 โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น
2 กรุงเทพฯ, ประเทศไทย
3 พัทยา, ประเทศไทย
4 หัวหิน, ประเทศไทย
5 ภูเก็ต, ประเทศไทย
6 โซล, ประเทศเกาหลีใต้
7 โอซาก้า, ประเทศญี่ปุ่น
8 ไทเป, ประเทศไต้หวัน
9 เชียงใหม่, ประเทศไทย
10 ฮ่องกง

 

 

เกี่ยวกับการสำรวจ

ข้อมูลการจองสถานที่ท่องเที่ยวได้รวบรวมขึ้นจากการจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ Agoda ในช่วงวันแรงงานในประเทศไทยประจำปี 2561

 

บางจากฯ เปิดเกมส์ ’61 เจาะตลาดพรีเมียม ส่ง FURiO น้ำมันหล่อลื่นมาตรฐานสนามแข่งรถระดับโลกสู่รถคุณ

$
0
0

 

บางจากฯ ลุยตลาดน้ำมันหล่อลื่นต้นปี ’61 เปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่เกรดพรีเมียม FURiO (ฟิวริโอ้) ชูจุดเด่นด้านการปกป้องเครื่องยนต์ด้วยโมเลกุลอัจฉริยะ ภายใต้นวัตกรรม Respoplex Technology  หลังผ่านการพิสูจน์จริงบนสนามแข่งรถระดับโลก หวังเจาะตลาดผู้รักรถและดันยอดขายกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นเดือนละ 3 ล้านลิตร

เริ่มต้นปี 2561 ตลาดน้ำมันหล่อลื่นก็คึกคัก  เมื่อผู้ประกอบการเริ่มทำตลาดกระตุ้นยอดขาย  เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดน้ำมันหล่อลื่น ที่ในปีนี้ประเมินว่าจะเติบโตในอัตรา 3-5% จากปีที่ผ่านมาตลาดติดลบไปประมาณ 5% หรือมีปริมาณการใช้งาน 800 ล้านลิตร การฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลจากการเติบโตโดยรวมของเศรษฐกิจประเทศ  ประกอบกับการเข้ามาทำตลาดของผู้ประกอบการต่างๆ  และหนึ่งในผู้นำอย่างบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ก็ได้ส่งสินค้าแบรนด์ใหม่ FURiO (ฟิวริโอ้)  ซึ่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียม  เพื่อมาสร้างการเติบโตในกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นในปีนี้  โดยชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์  จากการพัฒนาขึ้นด้วย Respoplex Technology ซึ่งเป็นโมเลกุลสุดอัจฉริยะที่จะมาเคลือบยึดและปกป้องผิวโลหะภายในเครื่องยนต์ทันทีที่สตาร์ท และไม่ว่าจะมีการขับรถด้วยระยะเวลานาน ด้วยสภาพการใช้งานอย่างทรหด หรือเครื่องยนต์มีอุณหภูมิร้อนขึ้น ก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี ซึ่งผลิตภัณฑ์ได้ถูกพิสูจน์จริงจากการใช้งานจริงในสนามแข่งรถยนต์ระดับโลก ที่มีระยะทางถึง 5,000 กิโลเมตร วิ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึง 24 ชั่วโมง ภายใต้การขับขี่ที่ทรหดมาแล้ว

นายชัยวัฒน์  โควาวิสารัช  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ​ ด้าน Evolving Greenovation ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง  จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ใหม่ FURiO (ฟิวริโอ้)  ที่เกิดจากความร่วมมือกับ Afton Chemical ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารเพิ่มคุณภาพชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา นำ Respoplex Technology  เทคโนโลยีของสารที่มีโมเลกุลอัจฉริยะมาไว้ในผลิตภัณฑ์  ทำให้ช่วยปกป้องเครื่องยนต์จากการสึกหรอและทนต่อการใช้งานในอุณหภูมิสูงได้อย่างดีเยี่ยม

“น้ำมันหล่อลื่นมีส่วนสำคัญมากต่อการทำงานของเครื่องยนต์ เพราะช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ขณะที่ทำงาน  เมื่อเราสตาร์ทรถเครื่องยนต์จะเริ่มทำงาน และชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์จะเกิดการเสียดสีกันขึ้น  จึงจำเป็นต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นช่วยในการหล่อลื่น ซึ่งน้ำมันหล่อลื่น FURiO  มี Respoplex Technology  เทคโนโลยีของสารที่มีโมเลกุลอัจฉริยะที่จะช่วยเคลือบผิวโลหะ  จึงช่วยลดการสึกหรอที่เกิดขึ้นภายในรถยนต์ และยังมีคุณสมบัติเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงของฟิล์มน้ำมัน ช่วยรองรับการขับรถยนต์ในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยาวนาน  และทนร้อนได้อย่างดี  เมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยได้มีการพิสูจน์จริงจากสนามแข่งรถระดับโลกเป็นระยะเวลานานถึง 24 ชั่วโมงระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตรมาแล้ว  ถือได้ว่าเป็นขีดสุดเทคโนโนโลยีการปกป้อง จากสนามแข่งสู่รถคุณ”

นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ของ  FURiO ยังได้ถูกพัฒนาให้มีความแตกต่างด้วยแนวคิดที่ว่า  น้ำมันหล่อลื่นเมื่อมีคุณภาพที่ดีแล้วต้องถูกส่งมอบให้ถึงภายในเครื่องยนต์อย่างไร้การปนเปื้อนของสิ่งสกปรกในขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่น  ซึ่งแกลลอนน้ำมันหล่อลื่น FURiO จะมีตัวกรวยเติมน้ำมันติดมาให้  เพื่อมอบความสะอาดและสะดวกขั้นสุดแก่ผู้บริโภค

โดยผลิตภัณฑ์ FURiO มีทั้งสูตรสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน  ประกอบด้วยสูตร F1 ที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์ 100%  และสูตร F2 ที่เป็นกึ่งสังเคราะห์

โดยปัจจุบันน้ำมันหล่อลื่นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะมีด้วยกัน 3 ประเภทให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้  ได้แก่  1. น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100% (Fully synthetic) เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยเสริมสมรรถนะเครื่องยนต์  ทนความร้อนได้ดี  และระเหยช้าใช้งานได้นานที่สุด เพราะมีกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายที่นานที่สุด โดยมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายประมาณ 10,000-15,000 กิโลเมตร  2. น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์​ (Semi-synthetic) มีคุณสมบัติที่พิเศษแต่เป็นรองน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์  กำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายปานกลาง โดยมีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นประมาณ 7,000-10,000 กิโลเมตร และ 3. น้ำมันหล่อลื่นธรรมดา (Mineral) เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน ผลิตจากน้ำมันดิบ มีราคาถูก มีระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายไม่นาน  ทำให้ต้องเปลี่ยนถ่ายบ่อยที่สุด

สำหรับการเปิดตัวทำตลาดน้ำมันหล่อลื่น FURiO ครั้งนี้  ทางบริษัทฯ​มั่นใจว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ภาพรวมปริมาณการจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของบริษัทฯ​ โดยเตรียมใช้งบเพื่อสื่อสารทางการตลาดกว่า 40 ล้านบาท สำหรับขับเคลื่อนทางการตลาด ผนวกกับช่องทางการตลาดและผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ โดยได้ตั้งเป้าหมายจะมียอดขายน้ำมันหล่อลื่นรวมทุกผลิตภัณฑ์ประมาณ 3 ล้านลิตรต่อเดือน จากปีที่ผ่านมามีปริมาณการจำหน่ายอยู่ ที่ 2.5 ล้านลิตรต่อเดือน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 7%  จากปริมาณการจำหน่ายของตลาดรวม 30 ล้านลิตรต่อเดือน

หาซื้อได้แล้วที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ร้านขายน้ำมันหล่อลื่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์  หรือจะหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อได้ที่ http://furio.bangchaklubricants.com/th/

ทำความรู้จัก KOI Thé ชาไข่มุกพรีเมียมจากไต้หวัน แบรนด์ดังที่แจ้งเกิดเพราะพลัง Review 

$
0
0

หลายคนคงเริ่มคุ้นเคยกับชื่อ KOI Thé หรือ โคอิ เตะ แบรนด์ชาพรีเมี่ยมจากไต้หวันกันมากขึ้น รวมทั้งบางคนอาจมีโอกาสได้ทดลองชิมรสขาติกันมาบ้างแล้ว โดยหนึ่งภาพที่หลายๆ คนคุ้นตากันดีสำหรับชาแบรนด์ดังรายนี้ก็คือ จำนวนคนสั่งออเดอร์หน้าเค้าน์เตอร์ที่ค่อนข้างมาก ทำให้บางคนแม้อยากจะทดลองดื่มแต่พอเห็นจำนวนคิวที่รอแล้ว ก็มีบางส่วนถึงกับถอดใจกันไปไม่น้อย

แม้ KOI Thé จะเป็นแบรนด์ชาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และมีการทำตลาดอยู่หลายๆ ประเทศในเอเชีย หลายคนคงจะนึกว่าแบรนด์เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว พอเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยก็เลยประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก

แต่ใครจะทราบว่า ก่อนจะขายดีจนแทบจะต้มชาไม่ทันแบบนี้ ช่วงเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยใหม่ๆ นั้น พนักงาน KOI Thé แทบจะนั่งตบยุง ชาที่ต้มไว้ก็ต้องเททิ้งมากกว่าขายเสียด้วยซ้ำ

ก่อนขายดีแบบนี้ ต้มชาทิ้งมาเกือบครึ่งปี

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก KOI Thé ว่าเป็นใคร มาจากไหน เกริ่นให้ฟังคร่าวๆ ได้ว่า โคอิเตะเป็นแบรนด์ชาจากประเทศไต้หวัน ก่อตั้งโดย มิสหม่า (Ms. Khloe Ma) ชาวไต้หวันที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ และมีแนวคิดอยากแนะนำเครื่องดื่มชาที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบไต้หวันแท้ๆ ให้ประเทศต่างๆ ได้รู้จัก จึงต่อยอดจากธุรกิจครอบครัวซึ่งเป็นร้านชาชื่อดังของไต้หวันอยู่แล้วคือ อู่สือหลาน (50 嵐) เพื่อเปิดธุรกิจชาของตัวเองภายใต้แบรนด์ KOI Thé พร้อมกับเปิดสาขาต้นแบบเป็นแห่งแรกในไต้หวัน เมื่อปี 2006 จนปัจจุบันมีสาขาอยู่ใน 12 ประเทศ อาทิ ไต้หวัน ซึ่งมีอยู่เพียง 2 แห่ง เพื่อทำเป็นสาขาต้นแบบเท่านั้น ก่อนจะขยายมาที่สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม กัมพูชา ไทย มาเลเซีย และพม่า เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศที่ 10 ที่โคอิ เตะ เลือกเข้ามาทำตลาด และเป็นหนึ่งประเทศที่มิสหม่ามองว่าเป็น Strategic Location ที่ต้องขยายเข้ามา เพราะเป็น Destination ของธุรกิจท่องเที่ยวในภูมิภาคที่คนทั่วโลกอยากเดินทางเข้ามา ประกอบกับแบรนด์อาหารดังๆ หลายแบรนด์ก็เลือกที่จะขยายสาขามาเปิดในประเทศไทย  ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2018 นี้ ก็จะครบรอบ 2 ปีที่โคอิ เตะ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย

อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า โคอิ เตะ ไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดตัวธุรกิจในไทย แม้จะมีชื่อเสียงในต่างประเทศ และมีคนไทยบางส่วนที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ อาจจะรู้จักแบรนด์อยู่บ้างก็ตาม โดยเฉพาะในสิงคโปร์ที่เป็นหนึ่งในประเทศ Top 3 ของ KOI Thé ร่วมกับจีนและเวียดนาม

เพราะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หลังเปิดสาขาแรกในเดือน ก.ค. 2016 ที่เซ็นทรัล บางนา กลับมีผลตอบรับไม่ค่อยดีนัก อาจจะด้วยความเป็นแบรนด์ใหม่ที่คนทั่วๆ ไปยังไม่ค่อยรู้จัก ประกอบกับที่ตั้งสาขาซึ่งออกไปในโซนที่ค่อนข้างไกล รวมทั้งในช่วงเริ่มต้น ทาง โคอิ เตะ ประเทศไทย ซึ่งได้รับการมอบหมายจากมิสหม่าให้ดูแลการดำเนินธุรกิจในไทย ยังไม่ได้เน้นทำการตลาดมากนัก เนื่องจากจำนวนสาขาที่ยังมีน้อย จึงเน้นที่การพัฒนาธุรกิจและเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตเป็นหลักก่อน

3 เดือนต่อมา โคอิ เตะ สาขาที่สอง จึงพร้อมเปิดให้บริการ โดยสาขานี้ได้พื้นที่ค่อนข้างดี เพราะอยู่ในสยามสแควร์วัน ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมือง เป็นทั้งแหล่งรวมวัยรุ่นและเป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากด้วย แต่เนื่องจากในขณะนั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงของความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ Mood & Tone ของคนทั่วทั้งประเทศจึงไม่พร้อมที่จะเปิดรับหรือสนใจเรื่องอื่นๆ มากนัก เรียกว่าอยู่ในช่วงที่ทุกอย่างแทบจะหยุดชะงักลงโดยอัตโนมัติ

ขณะที่โคอิ เตะ ก็เปิดร้านและขายของไปอย่างเงียบๆ โดยในเดือนต่อมาก็ได้ขยายสาขาที่ 3 เพิ่มอีกหนึ่งแห่งที่ เซ็นทรัล พระราม 9 ทำให้เริ่มมีสาขากระจายอยู่ในพื้นที่แต่ละจุดของ กทม. เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ยอดขายในช่วงเวลานั้นก็ยังคงไม่ค่อยดีมากนักเช่นเดิม

เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงปลายปี สถานการ์และความโศกเศร้าต่างๆ  ภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มได้รับอนุญาตให้กลับมาทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ ได้ตามปกติ ขณะที่โคอิ เตะ เลือกที่จะใช้วิธีทำตลาดอย่างเงียบๆ ด้วยการเชิญสื่อที่อยู่ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมาทำการรีวิวร้าน ซึ่งภายหลังทำการแนะนำร้านผ่านสื่อออกไป ก็เริ่มเห็นผลตอบรับที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่า จากที่เคยต้มชาแล้วต้องทิ้งมากกว่าได้ขาย ก็สามารถขายได้มากขึ้น ไปจนถึงในบางช่วงที่ต้มกันแทบไม่ทันเลยก็มี

ทุกอย่างคือความต่าง ตามสไตล์ Handmade Tea  

การที่โคอิ เตะ เลือกวิธีทำตลาดด้วยการให้สื่อมารีวิวที่ร้านแทนการทุ่มโฆษณาเพื่อให้คนรู้จักแบรนด์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็น Taiwanese’s Unique Tea ซึ่งจำเป็นต้องได้ทดลองสินค้าเพื่อให้ทราบว่าโคอิ เตะ นั้นแตกต่างจากชาทั่วๆ ไปที่มีอยู่ในตลาดอย่างไร รวมทั้งการใช้วัตถุดิบที่เน้นเรื่องคุณภาพ ซึ่งทุกอย่างจะเป็นมาตรฐานเดียวกับทุกๆ ประเทศ เพราะวัตถุดิบหลักทั้งหมดจะนำเข้ามาจากไต้หวัน

ความแตกต่างของโคอิ เตะ ยังอยู่ที่การเป็น Handmade Tea เพราะวัตถุดิบที่ใช้ทุกอย่างจะทำใหม่หมดแบบ On Site เพื่อให้แต่ละแก้วที่ลูกค้าได้ดื่มนั้น คงความเป็นชาไข่มุกแบบไต้หวันอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการต้มชา ที่การต้มแต่ละครั้งจะเก็บไว้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เช่นเดียวกับการต้มไข่มุกหรือ Golden Bubble ซึ่งต้องถือเป็น Signature ของโคอิเตะ เพราะเม็ดไข่มุกจะมีขนาดเล็กว่าทั่วไปและมีสีทอง ทำให้บางคนแปรียบเทียบเม็ดไข่มุกของโคอิ เตะ ว่าเหมือนกับไข่ปลาแซลมอน

ทั้งหมดนี้คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โคอิ เตะ วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไว้ในกลุ่มพรีเมี่ยม ซึ่งระดับราคาอาจจะสูงกว่าชานมไข่มุกทั่วไปแบบที่คนไทยคุ้นเคยมาก่อนหน้านี้ และต้องถือเป็นหนึ่งชาเลนจ์ของแบรนด์ที่ต้องทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความแตกต่างเหล่านี้ให้ได้

ปัจจุบันโคอิ เตะ ในประเทศไทยมีสาขารวม 12 แห่ง เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้ทดลองดื่มกันอย่างทั่วถึงให้มากที่สุด หลังจากให้บริการ 3 สาขาคือ บางนา สยามสแควร์วัน และพระราม 9 ในช่วงปีแรก ก็ขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปในพื้นที่ต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่ว กทม. มากขึ้น อาทิ สยามพารากอน คิงเพาเวอร์รางน้ำ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เดอะมอลล์บางกะปิ แฟชั่นไอส์แลนด์  โดยจะขยายสาขาต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีมีไม่ต่ำกว่า 18 สาขา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนธุรกิจในช่วง 3 ปีแรก จะต้องมีสาขาอย่างน้อย 20 สาขา

และด้วยจุดเด่นที่แม้จะเป็นแบรนด์ใหม่ อายุแค่ปีกว่าๆ ในไทย แต่เป็นแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่ในหลายๆ ประเทศมาก่อน จึงมีสถานะไม่ต่างจาก Regional Brand ทำให้โคอิ เตะ มองหาโอกาสที่จะขยายสาขาไปนอก กทม. โดยเน้นในจังหวัดท่องเที่ยวเป็นหลัก เพราะเชื่อว่านักท่องเที่ยวน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์ โดยพื้นที่ที่มีโอกาสขยายไปได้เร็วที่สุดน่าจะเป็นพัทยา ก่อนจะขยายไปพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต

“ก้อย- ข่อย- โคอิ เตะ” ถนัดชื่อไหน เรียกได้หมด  

ถือเป็นหนึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นกับชานมไข่มุกพรีเมี่ยมจากไต้หวันรายนี้ โดยเฉพาะในโลกโซเชียล ที่จะได้เห็นความสงสัยหรือเป็นที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับชื่อของแบรนด์ KOI Thé ให้ได้เห็นกันอยู่เสมอ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่เรียก KOI Thé ว่า โคอิ เตะ ขณะที่ประเทศอื่นๆ อีก 11 ประเทศที่ KOI Thé เข้าไปทำตลาดนั้นจะออกเสียงชื่อแบรนด์นี้ว่า “ข่อย” แต่ด้วยลักษณะน้ำเสียงของคำที่พอออกเสียงเป็นภาษาไทยแล้ว อาจจะฟังดูไม่ค่อยไพเราะ หรือไปพ้องกับคำในภาษาอีสานที่ความหมายอาจจะไม่ค่อยสุภาพนัก ทำให้ทางมิสหม่าและโคอิ เตะ ประเทศไทย ตัดสินใจใช้ชื่อแบรนด์ว่า โคอิ เตะ แทน

แม้จะเป็นประเทศเดียวที่เรียกชื่อแบรนด์ต่างจากประเทศอื่นๆ แต่คำว่า โคอิเตะ ก็มีความหมายที่ดีและเข้ากับธุรกิจชาเป็นอย่างดี เพราะคำว่า “โคอิ” (Koi) มีความหมายว่า เมล็ดถั่ว ส่วน เตะ (Thé) มาจากคำว่า Tea ในภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ หากนำคำว่า KOI ไปเขียนตามสไตล์ตัวอักษรจีน ก็จะได้คำว่า “โต้ว” ซึ่งมีความหมายว่า “ถั่ว” ด้วยเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ต่างก็มีต้นกำเนิดมาจากเมล็ดถั่วทั้งสิ้น

ส่วนคำว่า “ก้อย” น่าจะมาจากความคุ้นเคยตามการสะกดของคนไทย และเป็นชื่อที่คนไทยคุ้นเคย ทำให้เกิดการเรียกติดปากกันมาเรื่อยๆ  และกลายเป็นแบรนด์ที่มีชือเรียกหลากหลายมากที่สุดแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว หรือส่งผลเสียต่อแบรนด์ เพราะ สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเรียกชื่อแบรนด์นี้อย่างไร ร้านที่ผู้บริโภคเดินเข้าก็คือ KOI Thé นั่นเอง

ขณะที่ความท้าทายสำคัญที่ทางโคอิ เตะ มองว่าต้องเร่งสร้างการรับรู้มากที่สุดในขณะนี้ น่าจะเป็นเรื่องของการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจความแตกต่างของ KOI Thé กับ Perception ของผู้บริโภคที่มีต่อชานมไข่มุกแบบเดิมๆ เพื่อจะได้เข้าใจถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ

รวมไปถึงการผลักดันให้ตลาดชากลับมาคึกคักและเติบโตได้ไม่ต่างจากเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนที่ตลาดชาไข่มุกเริ่มเข้ามาในประเทศไทยใหม่ๆ ซึ่งต้องถือว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น จากการที่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ มีแบรนด์ชาใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในตลาดจำนวนมาก ขณะที่โอกาสในการบริโภคของคนไทยก็ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้มากขึ้นเช่นกัน หากพิจารณาจากการบริโภคชาของคนไทยที่ยังอยู่ในระดับไม่ถึง 1 กิโลกรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น โดยเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้คือ การผลักกันให้ชานมไข่มุกกลายเป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ที่สามารถดื่มได้ทุกๆ วัน ไม่ต่างจากการดื่มกาแฟนั่นเอง

Photo Credit : Facebook KOI Thé Thailand

Avengers: Infinity War ทุบสถิติ โกยรายได้ 200 ล้าน ภายใน 5 วัน

$
0
0

เฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปีของมาร์เวล สตูดิโอส์ ผู้สร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจชาวไทยหลายเรื่องอย่าง Iron Man, Captain America, Black Panther และ Guardians of The Galaxy กับการการันตีคุณภาพผ่านผลงานกว่า 18 เรื่องที่ครองใจคนทั่วทั้งโลกและล่าสุด มาร์เวล สตูดิโอส์ได้ส่ง Avengers: Infinity War
มหาสงครามล้างจักรวาล
ภาพยนตร์เรื่องที่ 19 ในจักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวล (Marvel Cinematic Universe)

ซึ่งหลังจากเข้าฉายเมื่อวันพุธที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ในไทยด้วยการทำรายได้เปิดตัววันแรกสูงถึง 55 ล้านบาท นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกและเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำเงินผ่านหลัก 50 ล้านบาทได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 วัน

Avengers: Infinity War ยังคงเดินหน้าทุบสถิติรายได้อย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างสถิติทำเงินผ่านหลัก 100 ล้านบาทได้เร็วที่สุดตลอดกาลด้วยรายได้ 3 วันสูงถึง 129 ล้านบาท (พุธที่ 25 เม.ย. – ศุกร์ที่ 27 เม.ย.) และทำรายได้สุดสัปดาห์ 5 วันสูงถึง 227 ล้านบาท โดยนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำเงินผ่านหลัก 200 ล้านบาทได้เร็วที่สุดตลอดกาลอีกด้วย (รายได้เฉพาะกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่)   

คุณสุภอร รัตนมงคลมาศ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดอะวอลท์ดิสนีย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Avengers: Infinity War ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากมาร์เวล สตูดิโอส์กำลังเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก ทั้งในด้านรายได้ที่กำลังเดินหน้าทำลายสถิติต่างๆอย่างมากมาย ด้านผลตอบรับจากตัวภาพยนตร์ที่ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย ส่งให้เกิดกระแสบอกต่อและอยากดูซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้ขยายไปสู่ด้านไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับคนไทยมากยิ่งขึ้น กับการที่เราได้เห็นสินค้าและผลิตภัณฑ์มากมายที่ได้ลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นเจ้าของเพื่อต้อนรับภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองไทย ทั้งยังสอดรับกับจุดยืนของแบรนด์มาร์เวล ที่เราต้องการส่งมอบการเล่าเรื่องราวเหนือจินตนาการที่สามารถเข้าถึงผู้คนทั่วไปได้ จึงขอขอบคุณแฟนๆมาร์เวล รวมทั้งพาร์ตเนอร์และผู้ถือลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปรากฏการณ์ #อเวนเจอร์สฟีเวอร์ มา ณ ที่นี้”

เอสซีจี เตรียมโชว์นวัตกรรมสินค้าและบริการเพื่อที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล ในงานสถาปนิก’61 ตั้งแต่ 1-6 พ.ค. นี้ [PR]

$
0
0

เอสซีจี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานสถาปนิก ’61 นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและเทคโนโลยีการอยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด Passion for Better Living” แรงผลักดัน…เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า เชิญคนรักบ้านมาสัมผัสสุดยอดนวัตกรรมที่ผ่านกระบวนการคิดและออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน

เพื่อตอบโจทย์เจ้าของบ้านแต่ละสไตล์ ตอบสนองทุกการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล ด้วยโซลูชั่นครบวงจร เพื่อคุณภาพชีวิต
การอยู่อาศัยที่ดียิ่งขึ้น สะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัยอย่างเหนือความคาดหมาย พบกับไฮไลท์พิเศษภายในงาน อาทิ สัมผัสนวัตกรรมบ้านเย็นอยู่สบาย จากเอสซีจี พร้อมร่วมกระทบไหล่ เดินชมบูธเอสซีจี ไปกับสารัช อยู่เย็น – กัปตันทีม เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด ในวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 12.00 น. และเปิดตัวหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ (ดินสอมินิ) ผู้ช่วยสำหรับการดูแลผู้สูงอายุที่เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือ ผู้สูงอายุติดเตียง ตอบโจทย์ครอบครัวดูแลผู้สูงอายุที่มีโรคเฉพาะทางได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมี Home Buddy Application และ Digital Lifestyle Center ที่จะช่วยให้ทุกการสร้างบ้านกลายเป็นเรื่องง่าย สะดวกสบาย ไร้กังวล พร้อมพบทีมผู้เชี่ยวชาญจาก SCG EXPERIENCE และ SCG HOME SOLUTION ที่มาให้คำปรึกษา ออกแบบ และประเมินราคาเรื่องบ้านอย่างเจาะลึก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และโปรโมชั่นสุดคุ้มจาก SCG Family รวมทั้งสิทธิพิเศษอีกมากมายจากสินค้าหลากหลายแบรนด์ของเอสซีจี แล้วมาพบกันได้ที่ บูธเอสซีจี ในงานสถาปนิก’ 61  ระหว่างวันที่ 1 – 6 พฤษภาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี หรือติดตามข่าวสารได้ที่ www.scgbuildingmaterials.com/th/ASA2018

เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดตัวแคมเปญ “52 WEEKS OF DESIGN” [PR]

$
0
0

นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ของเมืองไทย จัดงานแถลงแผนดำเนินงานปี 2561 พร้อมเปิดตัวแคมเปญ 52 WEEKS OF DESIGN by SB DESIGN SQUARE (ฟิฟตี้ ทู วีคส์ ออฟ ดีไซน์ บาย เอสบี ดีไซน์ สแควร์)

แชร์ไอเดียแต่งบ้านจากอินทีเรียดีไซน์เนอร์มืออาชีพ 52 คน สำหรับ 52 สัปดาห์ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่และสร้างแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านโดยมีอินทีเรียดีไซน์เนอร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์ คุณเบญญาภา ศิริโสภณ (ที่ 2 จากขวา) และ คุณวัฒนา โกวัฒนาภรณ์ (ที่ 2 จากซ้าย)มาร่วมงาน ณ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขา คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) ชั้น 1 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561

เดอะมอลล์ กรุ๊ป เสิร์ฟ Content Marketing เจาะกลุ่มเป้าหมาย ดึง แอน ทองประสม แจม “The Styler” [PR]

$
0
0

เมื่อกล่าวถึงเทรนด์การตลาดปี 2018 สิ่งที่เราจะได้ยินนอกเหนือไปจากการลงโฆษณาผ่านช่องทางดิจิตัลแล้วก็คือ การทำ Content Marketing ด้วยการใช้ Influencer หรือ ‘ผู้มีอิทธิพล’ เข้ามาเป็นตัวช่วยทำการตลาด เพื่อโน้มน้าวเหล่าผู้ติดตามของพวกเขาให้หันมาให้ความสนใจ โดยเน้นความกระชับและเข้าใจง่ายที่สุด

ล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ปรับวิธีการสื่อสารระหว่างนักช้อป ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่น เปิดตัวรายการ “The Styler” โดยดึงนักแสดงสาวแถวหน้าอย่าง “แอน  ทองประสม” ที่มีความโดดเด่นเรื่องไลฟ์สไตล์ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอผ่านไลฟ์สไตล์ กิน-เที่ยว–ช้อป ที่ ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ โดยมีการเริ่มปล่อยวิดีโอครั้งแรกผ่านเฟซบุ๊ก The Styler และช่องทางยูทูป The Mall Group เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เผยว่า “ปัจจุบันการทำการตลาดเชิงเนื้อหาบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม อย่างการใช้วิดีโอคอนเทนต์ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ในโลกยุคดิจิตอลปัจจุบัน จึงกลายเป็นโอกาสที่ดีที่จะสามารถเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ‘Content is The King’ ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างกระแสที่ได้ผลที่สุดบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะคอนเทนต์รูปแบบวิดีโอที่นำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของ Influencer ที่มีคาแร็คเตอร์โดดเด่น จะได้รับกระแสการชมและแชร์กันสูงมาก เราต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มผู้รับชมที่มีไลฟ์สไตล์การชมวิดีโอ และชอบตามติดเทรนด์ของสังคม ซึ่งเราพบว่า ทุกวันนี้ พฤติกรรมการดูวิดีโอของคนไทย ดูวิดีโอออนไลน์ทุกวัน สูงถึง 57% จากจำนวนคนไทยกว่า  51 ล้านคน ที่ใช้ Social Media และเนื่องจากจำนวนคนไทยใช้ช่องทางออนไลน์ในการค้นหาข้อมูลสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ Online Influencer มีอิทธิพลมาก เราจึงจำเป็นที่จะต้องเลือก Influencer ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และนำเสนอเนื้อหาที่กระชับ ไม่ Hard Sale หรือยัดเยียดเรื่องการขายสินค้ามากเกินไป รวมถึงนำเสนอในช่วงเวลาและความถี่ที่เหมาะสม ให้ตอบโจทย์ลูกค้า และ blend in ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์มากที่สุด”

“ในฐานะที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นผู้นำธุรกิจรีเทลด้านไลฟ์สไตล์ กิจกรรมและเทรนด์ต่างๆ ล่าสุด จึงได้เปิดตัวรายการ The Styler รายการออนไลน์รูปแบบใหม่ที่นำเสนอไลฟ์สไตล์คอนเทนต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แฟชั่น เทรนด์ รวมถึงอีเวนต์ต่างๆ  ภายใน ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ โดยได้  The Styler ท่านแรก คุณแอน ทองประสม นักแสดงสาวที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง ที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ เป็นนักแสดงที่มีฐานแฟนคลับ รวมถึงมียอด IG Followers กว่า 3.8 ล้านคน และยอด Facebook Follower กว่า 3.5 ล้านคน อีกทั้งยังเป็นไอดอลของสาวๆ ด้วยสไตล์การแต่งตัวที่ดูดีมีเอกลักษณ์ความเป็นตัวเอง รวมถึงไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่น่าสนใจ มาร่วมนำเสนอแนวทางในการเลือกของเสื้อผ้าของใช้ เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน และวิธีการดูแลตัวเองต่างๆ ในแบบของเธอ ที่ผู้ชมสามารถเลือกปฏิบัติตามได้ ซึ่งจะออกอากาศตอนละไม่เกิน 10 นาที เฉลี่ยเดือนละ1 – 2 ตอน และในบางตอนอาจจะมี Influencer มาร่วมสร้างสีสันและความน่าสนใจให้กับคอนเทนต์ โดยตั้งเป้าให้มียอด ผู้รับชม1 ล้านวิวขึ้นไปในแต่ละตอน และกระตุ้น Traffic และยอดขายของห้างฯ และศูนย์การค้าให้เพิ่มขึ้น สำหรับแผนการในอนาคตเราก็จะทำการเฟ้นหา The Styler ให้มีหลากหลายคาแรกเตอร์ ตรงตามแต่ละกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น”

ติดตามชมรายการ “The Styler” ผ่านไลฟ์สไตล์ กิน-เที่ยว-ช็อป ของ แอน ทองประสม ที่ ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ และ พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้แก่ Facebook (THE STYLER, EMPORIUM EMQUARTIER, PARAGON DEPARTMENT STORE และ ANN THONGPRASOM), Youtube (THE MALL GROUP: THE STYLER), Instagram (@EMPORIUM_EMQUARTIER, @PARAGONDEPARTMENTSTORE และ @annthong) และ Line (THE MALL GROUP)


“ซัมซุง” เปิดพื้นที่ไลฟ์สไตล์ “กาแลคซี่ สตูดิโอ” รวมกิจกรรมสุดตื่นเต้นและแรงบันดาลใจถูกรวมไว้ในที่เดียว [PR]

$
0
0

ซัมซุง เปิดตัว กาแลคซี่ สตูดิโอ ครั้งใหม่ล่าสุด โชว์เคสเทคโนโลยีสุดล้ำระดับโลก โดยครั้งนี้กลับมาพร้อมมิติใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ Where Innovation Meets Inspiration” ที่ซึ่งนวัตกรรมและแรงบันดาลใจถูกรวมไว้ในที่เดียว

ผ่านโซนกิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟต่างๆ พร้อมเปิดพื้นที่เอาใจเหล่ามิลเลนเนียลให้เข้ามามีส่วนร่วมและเติมเต็มพลังแห่งความสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร โดยโซนนวัตกรรมต่างๆ เป็นการนำเสนอความล้ำหน้าล่าสุด นำโดยฟีเจอร์สุดว้าวของสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด “ซัมซุง กาแลคซี่ เอส 9 และ เอส 9 พลัส” สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดภายใต้แนวคิด “กล้องไม่เหมือนใคร ทำอะไรไม่เหมือนเดิม ประกอบด้วยนวัตกรรมสุดล้ำหน้า อาทิ เทคโนโลยีวีอาร์ (VR), วิดีโอโหมด ซูเปอร์ สโลว์-โม (Super Slow-mo) และ เออาร์ อีโมจิ (AR Emoji) รวมถึงผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแอคเซสเซอรี่ที่โดดเด่นอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษ เวิร์คช็อป และโซนไลฟ์สไตล์เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างครบครัน โดย “กาแลคซี่ สตูดิโอ” เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่วันนี้ถึง 10 มิถุนายน 2561 เวลา 10:00 – 21:00 นาฬิกา ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ

มร. ซองฮวาน คิม ประธาน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบัน ผู้บริโภครุ่นใหม่กลุ่ม
มิลเลนเนียลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น และมีความต้องการที่แตกต่างจากผู้บริโภครุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะความต้องการที่จะมีพื้นที่แสดงความสร้างสรรค์ที่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนได้อย่างชัดเจนแบบไม่จำเจ ด้วยเหตุนี้ซัมซุงจึงอยากตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่โดยการมอบพื้นที่ที่สร้างสรรค์และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจผสานความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างครบครัน ณ กาแลคซี่ สตูดิโอ สุดพิเศษแห่งนี้ ซึ่งได้ทลายข้อจำกัดเดิมๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของซัมซุงที่มีกับทุกเสียงตอบรับของผู้บริโภค โดยซัมซุงยังมุ่งหวังอีกด้วยว่า กาแลคซี่ สตูดิโอแห่งนี้ จะไม่เป็นเพียงเป็นสถานที่โชว์เคสนวัตกรรมสุดล้ำใหม่ๆ จากซัมซุงเท่านั้น แต่สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลได้อย่างแท้จริง ผ่านการหล่อรวมนวัตกรรมสุดล้ำ ความฝัน และแรงบันดาลใจไว้ด้วยกันในที่เดียว”

นายวิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงมุ่งเน้นที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์บนความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยเฉพาะกาแลคซี่ สตูดิโอ ครั้งนี้นอกจากซัมซุงจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ จากฟีเจอร์เด่นของสมาร์ทโฟน ซัมซุงกาแลคซี่ เอส 9 และ เอส 9 พลัส มาจัดแสดงและสร้างเป็นโซนอินเตอร์แอคทีฟต่างๆ เช่น วิดีโอโหมด ซูเปอร์ สโลว์-โม (Super Slow-mo), เออาร์ อีโมจิ (AR Emoji), และเทคโนโลยีวีอาร์ (VR) ในรูปแบบไม่ซ้ำใคร นอกจากนี้ ซัมซุงยังเพิ่มพื้นที่จัดกิจกรรมพิเศษในโซนไลฟ์สไตล์ ‘กาแลคซี่ สตรีท’ (Galaxy Street) ที่จะเปลี่ยนธีมไปทุกอาทิตย์เพื่อเอาใจชาวมิลเลนเนียล โดยจัดพื้นที่แฮงก์เอ้าท์สุดฮิปไว้บริการ ทั้งคาเฟ่พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มเก๋ๆ, มุมถ่ายรูปสวยๆ เวิร์คสเตชั่นที่สามารถเข้ามาทำการบ้านอ่านหนังสือกันได้ พร้อมกันนี้ เรายังได้เตรียมกิจกรรมและเวิร์คช็อปที่จะมีแขกรับเชิญหมุนเวียนกันมาร่วมงานในทุกสัปดาห์ รวมถึง เหล่าดีเจที่จะมาสร้างสีสัน ซึ่งกาแลคซี่ สตูดิโอ ครั้งนี้ เรียกได้ว่าจัดเต็มและพิเศษกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือการเปิดพื้นที่เพื่อเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจ โดยการผสานนวัตกรรมและแรงบันดาลใจให้เข้ากันอย่างลงตัวอย่างแท้จริง”

โดยโซนต่างๆ ภายใน ‘ซัมซุง กาแลคซี่ สตูดิโอ’ ที่นำเสนอในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ ประกอบด้วย:

– Interactive Table โต๊ะแสดงฟีเจอร์การทำงานหลักของสมาร์ทโฟนสุดล้ำ “กาแลคซี่ เอส 9 และ เอส 9 พลัส” แบบอินเตอร์แอคทีฟ ด้วยการแสดงผลบนหน้าจอที่ฝังลงบนโต๊ะ

– Super Slow-mo สัมผัสมุมมองใหม่ของการบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบสโลว์สุดๆ ถึง 960 เฟรมต่อวินาที ให้ผู้บริโภคสามารถเก็บทุกรายละเอียด พร้อมพร็อบเพิ่มเติมสีสันต่างๆ โดยสามารถรับไฟล์วิดีโอและแชร์ได้ทันที

– AR Emoji Gallery เพลิดเพลินไปกับการสร้างเออาร์อิโมจิแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและจัดแสดงขึ้นบนหน้าจอ LED โดยผู้บริโภคสามารถรับไฟล์ Ar Emoji และแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ทันที

– Galaxy Fitness ท้าพิสูจน์ความฟิตของร่างกายด้วยกิจกรรมรูปแบบสกีใหม่ล่าสุดในธีม ‘Alpine Skiing’
ขณะสวม เกียร์ ฟิต 2 โปร เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงแสดงจำนวนแคลเลอรี่ที่สามารถเผาผลาญได้ในแบบเรียลไทม์

– 4D VR สัมผัสสุดยอดประสบการณ์การตะลุยดินแดนเหนือจินตนาการในเกมเสมือนจริง “Treasure Hunter” และ “Winter Ride” ผ่านเกียร์ วีอาร์ ที่ควบคุมโดยคอนโทรลเลอร์ พร้อมเพิ่มความตื่นเต้นสมจริงด้วย Sway Chair เก้าอี้ที่สามารถเคลื่อนไหวตามเนื้อหาภายในเกมให้สนุกเร้าใจเสมือนจริงยิ่งขึ้น

– Accessories Wall พื้นที่โชว์เคสสมาร์ทโฟนและแอคเซสเซอรี่ที่โดดเด่นอย่างครบครัน ให้ผู้บริโภคสามารถทดลองได้ทุกแบบทุกสีอย่างมีอิสระ

นอกจากนี้ ซัมซุงยังได้เพิ่มโซนไลฟ์สไตล์สุดพิเศษผ่าน ‘กาแลคซี่ สตรีท’ (Galaxy Street) แหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ ดิสเพลย์ที่ผสานงานอาร์ตแนวใหม่ มุมถ่ายภาพเก๋ๆ ไลฟ์ดีเจ และคาเฟ่พร้อมเมนูซิกเนเจอร์ ให้ผู้บริโภคเหล่ามิลเลนเนียลได้มีพื้นที่เติมเต็มความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบัลดาลใจ โดยทุกอาทิตย์จะมีกิจกรรมและเวิร์คช็อปสนุกๆ มากมาย ร่วมด้วยเซเลบริตี้และดีเจที่หมุนเวียนกันมาสร้างสีสันความบันเทิง  กาแลคซี่ สตูดิโอ เปิดให้บริการระหว่างเวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน ตั้งแต่วันนี้ – 10 มิ.ย. 2561

ไม่ใช่แค่โตให้ไว แต่ทำไมต้องโตให้ “ยกกำลัง” 6 ทรรศนะการเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Exponential Growth) จาก 6 กุนซือ

$
0
0

ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าการเติบโตทางเทคโนโลยีในแง่มุมต่างๆ นั้นเกินกว่าคำว่า “รวดเร็ว” เป็นอย่างมาก อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเชิงพาณิชย์ และการเข้าแข่งขันของผู้เล่นในตลาด ล้วนทำให้เทคโนโลยีเข้าสู่ชีวิตประจำวันของคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น ว่องไวขึ้น ในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เราเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์ไซไฟ เช่น AI เทคโนโลยีโลกเสมือน (AR และ VR) จึงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ในโลกที่กำลังวิ่งเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงนี้ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และภาครัฐต่างๆ จะต้องเตรียมรับมืออย่างไร จึงจะ “โตเกินไว” ทันเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดนี้

และนี่คือทรรศนะส่วนหนึ่งจาก 6 ผู้นำทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัวงาน “SingularityU Thailand Summit 2018” ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับการสัมมนาที่รวมกลุ่มผู้นำความคิดและนวัตกรรมระดับโลก โดยในงานเปิดตัว ได้มีผู้บริหารระดับแถวหน้าในแวดวงธุรกิจของไทย จาก อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, ธนาคารไทยพาณิชย์, ดีลอยท์ (Deloitte) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ให้เกียรติเข้าร่วมงาน และเสวนาเกี่ยวกับการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Exponential Growth) และการปรับตัวของภาคส่วนต่างๆ

  1. “เทคโนโลยีไม่มีเจ้าของ” (Technology serves all humans)

 “จุดประสงค์ของเทคโนโลยีคือการเกิดมาไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มใด แต่เพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์ทุกคน”

นาย ชานนท์ เรืองกฤตยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) กล่าว “การพัฒนาและการเข้าถึงของเทคโนโลยี หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอุปสงค์-อุปทานที่เปลี่ยนไป และความต้องการที่เปลี่ยนไปนี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจต่างๆ ไม่อาจอยู่นิ่งตามโมเดลเดิมของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว สำหรับจุดแข็งของภูมิภาคเรา อาจไม่ใช่เทคโนโลยีที่พัฒนาด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่สุด แต่เป็นการปรับใช้สิ่งที่มีให้กลายเป็นโซลูชั่นที่แก้ปัญหาตามนัยยะของแต่ละพื้นที่และวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม และสามารถขยายผลไปสูการพัฒนาในตลาดนานาชาติได้”

 2. “แปลงร่าง สร้างผลงาน” (Perform and transform)

 “จะตามเทคโนโลยีให้ทัน ภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนแปลงตนเองไปพร้อมๆ กันกับการสร้างผลงานให้ได้”

สำหรับอุตสาหกรรมที่กำลังก้าวสู่ยุคใหม่อย่างธนาคาร นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ บริษัทผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงการปรับตัวขององค์กรในก้าวสำคัญของวงการ “คุณไม่สามารถทำงานแบบเดิมได้อีกแล้ว ความคล่องตัว (Agility) ความเข้าใจและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis) และความรู้เรื่องระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้คุณอยู่ได้ เพราะไม่ว่าคุณจะเคยแข็งแกร่งแค่ไหน หากปรับตัวไม่ได้คุณก็จะหายไป”

  1. “จับมือไว้ โตไปด้วยกัน” (Kayaking through hyper-connected world)

 “เหมือนคุณจ้ำเรือคายัคในกระแสน้ำเชี่ยว ถ้าคุณไม่ระวัง เรือคุณก็จะคว่ำ”

ดร. แจนสัน แยป ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงระดับโลก และประธานฝ่าย Innovation Practice จาก ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงการอยู่รอดของภาคธุรกิจท่ามกลางการแข่งขัน “นอกเหนือจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สิ่งที่จะมีผลกระทบอย่างมากกับโลกแห่งการเชื่อมต่อของทุกสิ่งตลอดเวลา (Hyper-connected world) คือ ความร่วมมือกันในระบบนิเวศของแวดวงต่างๆ (Integration and ecosystem partnership) ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญและเป็นสิ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกธุรกิจกับเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน”

  1. “กระแสและโอกาส” (Trend and opportunities)

  “สำหรับภาครัฐ ความพยายามในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของ ‘กระแส’ และ ‘โอกาส’ ยังคงเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ ของเรา”

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวเกี่ยวกับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” และความท้าทายที่ภาครัฐกำลังเผชิญ “ทางรัฐเองกำลังมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม และเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโอกาสในการพัฒนาความเป็นอยู่ด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลไกสำคัญในการทำให้ประเทศไทย 4.0 เป็นจริง”

  1. “รับ ปรับ ขยับตัว” (Adopt, Adapt, Ahead)

“การเรียนรู้และปรับตัวเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เรายืนอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรากลับมีเวลาน้อยลงทุกทีในการทำเช่นนั้น”

ดร.จอห์น เลสลี่ มิลลาร์ จาก บริษัท เอกซ์โพเนนเชียล วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กล่าว เมื่อพูดถึงแนวโน้มการเติบโตที่ต้องทำไปควบคู่กันระหว่างธุรกิจและเทคโนโลยี

“สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียง 1 ใน 10 ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และเราไม่มีเวลามากเท่าที่เราเคยคิดอีกต่อไปแล้ว”

  1. “โตเกินไว โตแบบเลขยกกำลัง” (Not a linear growth, exponential growth)

 “การเติบโตแบบก้าวกระโดด (Exponential Growth) คือการที่เราต้องหยุดคิดถึงการเติบโตแบบเส้นตรง แต่คิดแบบเลขยกกำลัง ที่กระโดดขึ้นเป็นเท่าตัวตามเลขชี้กำลัง”

นายณัฐพล วิมลเฉลา SingularityU (SU) Bangkok Chapter อธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างของการเติบโตที่รวดเร็วแบบปกติ และการเติบโตแบบก้าวกระโดด “ที่เราเห็นว่าการเติบโตในช่วงหลังพลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือนั้น ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีเพิ่งได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในระยะหลัง แต่เป็นเพราะเราได้ผ่านช่วงยุคเริ่มต้นของดิจิทัล (Digitalization) มาแล้ว ทำให้ตลาดและผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่ และมีความต้องการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาคนวัตกรรมสามารถส่งเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ตรงความต้องการมากขึ้น การเติบโตต่อจากนี้จึงไม่ใช่เพียงการเติบโตที่รวดเร็ว แต่เป็นการเติบโตที่กระโดดข้ามความเป็นเท่าตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ”

งานสัมมนา “SingularityU Thailand Summit 2018” จะจัดขึ้นในวันที่ 19 – 20 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรม InterContinental Bangkok กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนาและการจำหน่ายบัตรเข้าร่วมงานสัมมนาได้ที่เว็บไซต์ของ SingularityU Thailand Summit 2018 http://www.singularityuthailandsummit.org/  หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ผ่านทางเฟซบุ๊คได้ที่ https://www.facebook.com/SingularityUThailandSummit/

MQDC เดินหน้าสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ จัดสัมมนา ทฤษฎีเกี่ยวกับสี (Color Communication) ให้ลูกบ้าน [PR]

$
0
0

บรรยายใต้ภาพ: คุณสุทธิศักดิ์ รตโนภาส (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดองค์กร MQDC จัด Whizdom Society กิจกรรมเฉพาะลูกบ้านโครงการวิสซ์ดอมและเดอะ มิวซ์ กับงานสัมมนาหัวข้อ “Color Communication” บรรยายโดย ดร. พงษ์รพี บูรณสมภพ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ พร้อมด้วยคุณป้อมเพชร สารพุทธิ (ที่ 1 จากซ้าย) โปรกอล์ฟชื่อดัง และคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม (ที่ 4 จากซ้าย) นักวิเคราะห์ และนักเขียนชื่อดัง ร่วมเป็นแขกรับเชิญพิเศษ ณ แมริออท เอ็กเซ็กคูทีพ สุขุมวิท พาร์ค

บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เดินหน้าสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน ด้วยการจัด Whizdom Society (วิสซ์ดอม โซไซตี้) กิจกรรมเฉพาะลูกบ้านโครงการ Whizdom (วิสซ์ดอม) และ The Muse (เดอะ มิวซ์) ล่าสุดจัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Color Communication” บรรยายโดย ดร. พงษ์รพี บูรณสมภพ ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ โดยลูกบ้านได้เรียนรู้ทฤษฏีสีของ Birkman ที่แบ่งตามลักษณะนิสัยออกเป็น 4 สี คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียวและสีน้ำเงิน เพื่อสร้างความเข้าใจในสีของตนเองและผู้อื่น และนำไปสู่การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ณ Marriott Executive Sukhumvit Park

นายสุทธิศักดิ์ รตโนภาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดองค์กร MQDC กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ MQDC เราให้ความสำคัญมากกว่าการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยเพียงอย่างเดียว เราจึงสร้างสรรค์ Whizdom Society (วิสซ์ดอม โซไซตี้) ให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปันอย่างแท้จริง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมและเพิ่มพูนศํกยภาพด้านต่าง ๆ รวมถึงสนับสนุนลูกบ้านของเราให้พร้อมรับกับความสำเร็จในชีวิต วัตถุประสงค์ของกิจกรรมในครั้งนี้เพื่อให้ลูกบ้านรู้จักและเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและนำไปสู่การใช้ชีวิตทั้งส่วนตัวและการทำงานอย่างมีความสุข”

“Color Communication คือการเรียนรู้ทฤษฎีสีของ Birkman ที่วัดศักยภาพและการมองโลกของคนโดยใช้หลักการสี ซึ่งมีอยู่ 4 สีหลักคือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีน้ำเงิน หากเรารู้แนวสีของตัวเองจะทำให้เราปูทางชีวิตได้ถูกต้อง และหากเราเข้าใจแนวสีอื่น ๆ เราจะสามารถปรับตนเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเราแบ่งลูกบ้านตามสีจะเห็นอากัปกิริยาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน รู้สึกยินดีที่ได้มาแบ่งปันความรู้กับกิจกรรม Whizdom Society (วิสซ์ดอม โซไซตี้) ในครั้งนี้และรู้สึกดีใจที่ได้เห็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใส่ใจลูกบ้านนอกเหนือจากแค่เรื่องที่อยู่อาศัยครับ” ดร. พงษ์รพี บูรณสมภพ ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์กล่าว

นายภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักวิเคราะห์และนักเขียนชื่อดัง แขกรับเชิญพิเศษกล่าวว่า “ วันนี้ผมมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากการเข้าใจสีของตนเองและสีอื่น ๆ  ซึ่งหากใครเข้าใจสีตัวเอง จะสามารถ ‘ค้นหาตัวเองได้เร็ว’ และจะทำทุกอย่างได้ดีและมีความสุข ซึ่งนั่นคือหัวใจความสำเร็จของคนในยุคนี้ กิจกรรม Whizdom Society (วิสซ์ดอม โซไซตี้) ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงการดูแลลูกบ้านอย่างดีเยี่ยมและเต็มที่ และครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการจัดกิจกรรมที่มีคุณค่าทั้งต่อผู้ฟังและผู้ที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ครับ”

“ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา” คอนเซ็ปต์ใหม่ซูเปอร์สปอร์ต รับ Shopping Journey ลูกค้าเปลี่ยน

$
0
0

หลังใช้งบ 62 ล้านบาท ปรับปรุงร้านแฟลกชิพสโตร์ให้เป็นต้นแบบของ New Concept Store เพื่อสะท้อนภาพ Innovative and Creative Store ให้เด่นชัดและตอบโจทย์ Customer Experience ในปัจจุบันได้มากที่สุด ทั้งการตกแต่งร้านและจัด Display สินค้าภายในร้านให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภคปัจจุบัน รวมทั้งการเพิ่ม Digital Experience ภายในร้าน เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง และเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างโอกาสจากการขายใหม่ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต  

ล่าสุดได้ฤกษ์เปิดตัวโฉมใหม่ของ New Concept Store สาขาแรก ซูเปอร์สปอร์ต สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ อย่างเป็นทางการ พร้อมแผนในการนำคอนเซ็ปต์ที่ใช้ในสาขานี้ไปพัฒนาแฟลกชิพสโตร์แห่งอื่นๆ โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในพื้นที่ Key City รวมทั้งสาขาใหม่ๆ ที่จะขยายเพิ่มจากนี้ให้เป็นคอนเซ็ปต์เดียวกันนี้

เมื่อ Shopping Journey ลูกค้าเปลี่ยน
คุณอัจฉรา ซุ่นโลกประเสิรฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารสินค้า บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต ผู้บริหารร้านซูเปอร์สปอร์ต ให้ข้อมูลว่า ซูเปอร์สปอร์ตคอนเซ็ปต์ใหม่นี้พัฒนาขึ้นตามข้อมูลที่ได้จากการสำรวจความต้องการและพฤติกรรมการช้อปปิ้ง รวมทั้งการเข้ามาใช้บริการภายในร้านซูเปอร์สปอร์ต เพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกและสอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบัน ที่มักจะตรงไปยังกลุ่มสินค้าที่ตัวเองมีความสนใจเป็นหลัก และชอบที่จะเปรียบเทียบสินค้าประเภทเดียวกันกับหลายๆ แบรนด์ นำมาสู่การปรับ Display ใหม่ของซูเปอร์สปอร์ต ที่จะแยกการจัดวางสินค้าตามกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งแยกตามหมวดหมู่สินค้าแต่ละประเภทอย่างชัดเจน

“ซูเปอร์สปอร์ตโฉมใหม่จะแบ่งโซนสินค้าสำหรับผู้ชายและผู้หญิงอย่างชัดเจน โดยสินค้าของผู้หญิงจะอยู่ในโซนสีชมพูทางด้านซ้ายของร้าน ส่วนของผู้ชายจะเป็นโซนสีฟ้าทางด้านขวามือ และในแต่ละโซนจะแยกหมวดหมู่สินค้าตาม Category สินค้าแต่ละประเภท เช่น Run, Golf, Exercise หรือบางหมวดที่อาจจะมีอยู่แค่โซนเดียว เช่น สินค้าในกลุ่มฟุตบอลที่จะอยู่ในโซนผู้ชาย โดยในแต่ละหมวดก็จะรวบรวมสินค้าประเภทเดียวกันจากหลายๆ แบรนด์มาไว้ด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าเปรียบเทียบกันได้ตามต้องการทั้งรูปแบบ ดีไซน์ หรือราคา จากที่ก่อนหน้านี้เคยจัดสินค้าในแบบ Shop in Shop ที่เน้นพรีเซ็นต์ผ่านความเป็นแบรนด์แต่ละแบรนด์ และจะรวบรวมสินค้าทุกๆ อย่างภายใต้แบรนด์เดียวกันมาไว้ด้วยกัน ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์ประสบการณ์ในการช้อปปิ้งของลูกค้าได้มากนัก”

การปรับ Display ใหม่นี้ ทางซูเปอร์สปอร์ตเชื่อว่าจะเอื้ออำนวยให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะทั้งการปรับปรุงร้าน ดีไซน์ หรือตกแต่งทำตามความคิดเห็นของลูกค้าที่มีการสำรวจมา โดยเฉพาะการรวบรวมสินค้าประเภทเดียวกันจากหลายๆ แบรนด์มาอยู่ด้วยกัน เพื่อสะดวกแก่การเปรียบเทียบและตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธรรมชาติของลูกค้า ประกอบกับ Customer Journey สำคัญของลูกค้าปัจจุบันคือ การหาข้อมูลสินค้าที่สนใจมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในร้าน ทำให้ส่วนใหญ่จะมีสินค้าที่ต้องการมาแล้ว เมื่อเข้ามาก็สามารถมาหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น จึงเป็นการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีและความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าได้มากขึ้น

เติม Digital Experience ลดโอกาสสูญเสียการขาย

นอกจากการจัดวางสินค้ารูปแบบใหม่แล้ว ยังเพิ่ม Digital Element ภายในร้านเพื่อสร้าง Engagement กับลูกค้าในแต่ละโซนได้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคน อาทิ Run Lab, Golf Lab, Interactive Wall, Shopping Online, Personalization Zone ซึ่งเป็นการสร้างความต่างและย้ำฐานะผู้นำใน Sport Retail Store ของซูเปอร์สปอร์ตได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันยังเป็นสาขาที่รองรับการให้บริการ Click & Collect โดยเป็นจุดสำหรับรับสินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์มาก่อน และสามารถเปลี่ยนไซส์ใหม่ในร้านได้ หากทดลองสินค้าที่ซื้อไว้แล้วใส่ไม่ได้ หรือในกรณีที่มาซื้อในร้านแล้วไม่มีเบอร์หรือสีที่ต้องการ ก็สามารถสั่งซื้อจากจอดิจิทัลที่อยู่ภายในร้านเพื่อสั่งสินค้าไว้ก่อนแล้วค่อยมารับสินค้าในโอกาสต่อไป เพื่อป้องกันการเสียโอกาสในการขาย และตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการในรูปแบบ Omnichannel

“การเติมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาในร้านจะช่วยเสริมทั้งประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง รวมทั้งช่วยเป็นอีกหนึ่งช่องทางขายด้วย เช่น ช่วยวิเคราะห์ช้อมูลและแนะนำสินค้าที่เหมาะกับสรีระหรือลักษณะการใช้งานของลูกค้าแต่ละคนพร้อมแนะนำสินค้าที่เหมาะสม อย่างในโซน Run Lab ลูกค้าสามารถมาทดสอบการวิ่งเพื่อดูลักษณะเท้า ลักษณะการวิ่ง การรับน้ำหนักในการวิ่ง เสร็จแล้วระบบจะแนะนำแบรนด์และรุ่นรองเท้าที่เหมาะสมให้เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ ขณะที่รายได้จากทุกๆ ช่องทางผ่านระบบออนไลน์ในปีนี้จะอยู่ที่ 300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 5%”

5 ปัจจัยบวกดันตลาด Sport Retail เติบโต

ซูเปอร์สปอร์ตเผยยอดขายในไตรมาสแรกที่ผ่านมาถือว่าเติบโตได้ดี โดยโตขึ้นกว่า 15% จึงเชื่อว่าจะสิ้นปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 15% เช่นเดียวกัน เนื่องจากปัจจัยบวกที่จะมาผลักดันการเติบโตในปีนี้ อาทิ

1. การเติบโตได้ดีของสินค้าในกลุ่มแฟชั่น ที่เด่นในเรื่องของสีสันและการตัดเย็บ เช่น กลุ่มรองเท้าและเสื้อผ้า จากอิทธิพลของเหล่า Influencer ที่แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้ ซึ่งมีคนติดตามและชื่นชอบ ทำให้มีการซื้อสินค้าแบบเดียว หรือแบรนด์เดียวกับที่คนเหล่านี้เป็นพรีเซ็นเตร์

2. แฟชั่นและดีไซน์ของเสื้อผ้าและรองท้าที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ทำให้สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใส่เพื่อเล่นกีฬาอย่างเดียว และมีส่วนช่วยผลักดันให้ตลาดขยายตัว

“ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างเห็นได้ชัดคือ การพัฒนาในเรื่องของดีไซน์และแฟชั่น รวมทั้งการมี Influencer มาเป็นต้นแบบทั้งในเรื่องของการเลานกีฬาและการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีกว่านี้ ที่จะเห็นการเติบโตของตลาดอย่างชัดเจน จากที่ก่อนหน้านี้ตลาดจะโตได้เพียงหลักเดียวเฉลี่ยประมาณ 5-7% แต่ช่วงที่เริ่มมีเรื่องของแฟชั่นเข้ามาช่วยทำให้ตลาดสามารถโตได้มากกว่า 10% โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่เป็นกลุ่มแฟชั่นโดยตรงที่เน้นสีสันสดใน หรือคัตติ้งต่างๆ เช่น รองเท้า เสื้อผ้า สามารถโตได้ดีถึงกว่า 20% เลยทีเดียว”

3. การออกสินค้าในกลุ่ม Limited Edition ทั้งของแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Exclusive รวมทั้งการทำคอลเล็กชั่นพิเศษร่วมกับทางซูเปอร์สปอร์ต ช่วยสร้างความเคลื่อนไหวในตลาดและผู้ที่ชื่นชอบสะสม

4. การมี Sport Event สำคัญๆ เกิดขึ้นในปีนี้ เช่น ฟุตบอลโลก ซึ่งปีนี้ประเทศเจ้าภาพอยู่ใกล้กับประเทศไทย ทำให้จะมีคนเดินทางไปร่วมมากขึ้น และช่วยกระตุ้นให้ตลาดสินค้าและอุปกรณ์กีฬาขยายตัวเพิ่มขึ้นได้

5. ในส่วนการเติบโตของซูเปอร์สปอร์ตเชื่อว่าการปรับ New Concept Store จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตได้ดีขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อนหน้าที่โตได้ 10% ขณะที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์เองคาดว่าหลังการปรับปรุงยอดขายจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 30%

“บริษัทมีแผนขยายสโตร์ในรูปแบบใหม่ต่อเนื่อง โดยปีนี้จะรีโนเวทจากสาขาเดิมเพิ่มอีก 5 แห่ง และเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมที่ชลบุรี รวมทั้งในปีหน้าจะปรับร้านเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่อีกประมาณ 10 สาขา ขณะที่จำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้านปัจจุบันสัดส่วนผู้ชายและผู้หญิงจะใกล้เคียงกันที่ 50% แต่ในส่วนของยอดการใช้จ่ายผู้ชายจะมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย โดยยอดขายมาจากกลุ่มลูกค้าผู้ชายประมาณ 55% ขณะที่มาจากผู้หญิง 45%” 

เทียบฟอร์มคู่แข่ง…ตลาดนี้วิ่งไม่มีหยุด  

จากสาขาแฟลกชิพซึ่งตั้งอยู่ที่ Central World นับว่าโลเคชั่นที่เป็นหัวใจของสังคมเมืองเช่นนี้ สะท้อนภาพการแข่งขันในตลาดที่ต้องการสร้าง Experience ให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ผู่บริโภคปัจจุบันต้องการทดลองสินค้าก่อนซื้อ ทำให้ก่อนหน้านี้ Adidas ก็เดินหน้าเปิดร้านที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เช่นกัน รวมทั้งเทรนด์รองเท้ากีฬาที่เติบโตขึ้น และกลายเป็นสินค้าที่ใส่ได้ทั้งเป็นแฟชั่นและฟังก์ชั่น จนเกิดการเติบโตของร้านรองเท้ากีฬา ไม่ว่าจะเป็นร้าน Atmos ที่เพิ่งเปิดตัวไปเร็วๆ นี้ รวมทั้งร้าน Sketchers ที่เพิ่งขยายล่าสุดก็เป็นแฟลกชิพ สโตร์เช่นกัน

ทำให้เมื่อมองภาพรวมของ Central World แล้วต้องบอกว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กำลังผันตัวไปเป็นศูนย์กลางของ Sport Lifestyle อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา และฟิตเนส ซึ่ง Fitness First คอนเซ็ปท์ใหม่กำลังจะเปิดตัวในต้นไตรมาส 4… เทรนด์การออกกำลังกาย คืบคลานเข้าใกล้ตัวผู้บริโภค จนยึดทำเลทองใจกลางกรุงเทพไปแล้ว…

5 ภารกิจใหญ่ “ยูนิลีเวอร์” ภายใต้แม่ทัพคนใหม่ “โรเบิร์ต แคนเดลิโน” ฝ่าด่านความท้าทายรอบด้าน

$
0
0

ถ้าพูดถึงบริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความผูกพันกับคนไทย คงต้องนึกถึง “ยูนิลีเวอร์” (Unilever) หนึ่งใน FMCG ยักษ์ใหญ่ทั้งในระดับโลก และในไทย ที่ไม่ว่าเราจะไปบ้านเพื่อน บ้านญาติพี่น้อง หรือแม้แต่ในบ้านของตัวเอง ก็จะเห็นผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์อย่างน้อย 2 – 3 อย่างอยู่ในครัวเรือนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นคนอร์, วอลล์, ซันซิล, วาสลีน, ซิตร้า, พอนด์ส, ซันไลท์, บรีส และอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ใกล้ตัวคนไทย โดยหลายแบรนด์เป็นผู้นำใน Category นั้นๆ

แต่ในความใหญ่ของธุรกิจ และความเป็นผู้นำตลาด ใช่ว่า “ยูนิลีเวอร์” จะไม่เผชิญกับความท้าทาย !! เพราะด้วยความที่สินค้าอุปโภคบริโภคเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ทำให้เป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว

ยิ่งในยุคดิจิทัล ทำให้จังหวะการหมุนของโลกเปลี่ยนเร็วขึ้น ทั้งวิถีชีวิตของคนที่ซับซ้อนขึ้น มี Demanding สูงขึ้น เกิดแบรนด์ใหม่เข้ามาแชร์ตลาด ขณะเดียวกันมิติของ Retail Landscape ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย อีกทั้งปัจจุบันสินค้าอุปโภคบริโภคหลายกลุ่มสินค้า มีอัตราการบริโภค (Penetration Rate) เต็มเกือบ 100% แล้ว

จึงเป็นความท้าทายไม่น้อยสำหรับ “มร.โรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย” แม่ทัพคนใหม่ของบริษัท FMCG ยักษ์ใหญ่ในไทยแห่งนี้

5 เรื่องที่เราจะฉายภาพต่อไปนี้ ถือเป็นภารกิจใหญ่ที่ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตในระยะยาว

1. “Product Innovation” ขยายการใช้มากขึ้น เมื่ออัตราการบริโภคเต็ม และสร้างพฤติกรรมการใช้/บริโภคในตลาดที่อัตราการบริโภคยังต่ำ

ความท้าทายของ “ยูนิลีเวอร์” ในฐานะผู้นำตลาด ไม่ได้มองแค่เพียงรักษาบัลลังค์แชมป์ได้อย่างไร แต่ยังต้องเพิ่มอัตราการบริโภคให้เติบโตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งในกลุ่มสินค้าที่ Penetration Rate เต็ม หรือเกือบเต็ม 100% แล้ว และกลุ่มสินค้าที่ Penetration Rate ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

“ยูนิลีเวอร์เป็นผู้นำตลาดใน 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจาน ผลิตภัณฑ์โจ๊ก ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย โดย 99% ของ 24.7 ล้านครัวเรือนในไทย ใช้ผลิตภัณฑ์ยูนิลีเวอร์ มีอัตราการซื้อซ้ำ 99% และใช้ผลิตภัณฑ์ยูนิลีเวอร์ 3 ครั้งต่อวัน ขณะเดียวกันใน 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังมีบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ Penetration Rate ไม่สูง

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ทำชิ้นเค้กของตลาดนั้นๆ ให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น นำเสนอคุณประโยชน์ใหม่ หรือมีกลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อทำให้แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Penetration Rate เต็ม หรือเกือบเต็ม 100% ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ Penetration Rate ยังน้อย ต้องทำให้คนไทยที่ยังไม่ใช้ หรือยังไม่ได้บริโภค ได้หันมาใช้ หรือบริโภคมากขึ้น”

การนำเสนอนวัตกรรม คุณภาพ หรือแม้แต่คุณประโยชน์ใหม่ เพื่อสร้าง Demand ใหม่ให้เกิดขึ้นในตลาด เวลานี้เทรนด์ Product Innovation ของสินค้า FMCG ทั่วโลก คือ การหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ หรือส่วนผสมธรรมชาติ เนื่องจากผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญกับ “Well-Being” ทั้งสุขภาพกาย และใจ ผู้บริโภคจึงพิถีพิถันกับอาหารการกิน และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ด้วยการบอกลา หรือลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใส่สารเคมี และหันไปใช้ หรือบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบ “ธรรมชาติ” เป็นส่วนผสม

นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไม “ยูนิลีเวอร์” ถึงได้ปั้น Product Portfolio กลุ่มสินค้า “Natural” เข้าไปอยู่ในหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น คอมฟอร์ท เนเชอรัล, ซันซิล เนเชอรัล, ซิตร้าสบู่ก้อน ทำมาจากสมุนไพร และสารสกัดธรรมชาติ, เคลียร์ เฮอร์บัลแคร์ และล่าสุดคนอร์ ซุปก้อน และคนอร์ โจ๊กคัพ สูตรเนเชอรัล

นอกจากสูตรธรรมชาติแล้ว ยังได้ใช้ “Product Innovation” สร้างเซ็กเมนต์ใหม่ในตลาด Penetration เต็มแล้ว เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผม “Lux Luminique” ชูจุดขายเรื่องความหอม เจาะตลาด “Premium Hair Care” ขณะเดียวกันเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับแบรนด์ “Lux” ให้เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย

ส่วนตลาด Penetration Rate ยังไม่สูง นอกจากใช้ “Product Innovation” ดึงผู้บริโภคให้ทดลองใช้แล้ว การทำ “แคมเปญกิจกรรมการตลาด” เจาะตรงเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการสร้างพฤติกรรมการใช้ หรือการบริโภคสินค้านั้นๆ

เช่น กรณีโจ๊กคนอร์ ที่ปัจจุบันอัตราการบริโภคโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปในไทย ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากคนไทยมีทางเลือกในการรับประทานมื้อเช้ามากมาย ทั้งร้านโจ๊กข้างทาง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวราดแกง ขนมปัง น้ำเต้าหู้ ฯลฯ

ทำให้ความท้าทายของตลาดโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป จึงอยู่ที่ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปแชร์ตลาดอาหารมื้อเช้าของคนไทย ด้วยเหตุนี้ “โจ๊กคนอร์” ได้จัดกิจกรรม School Program เจาะเข้าไปตามโรงเรียน เพื่อสร้าง Brand Engagement กับผู้บริโภคตั้งแต่วัยเด็ก และสร้างพฤติกรรมการบริโภคโจ๊กคนอร์เป็นเมนูมื้อเช้า โดยตั้งเป้าสร้างพฤติกรรมให้เด็กไทยมากกว่า 4 ล้านคนรับประทานอาหารเช้าทุกวันภายในสิ้นปี 2561 โดยมีนักเรียนเข้าร่วมโครงการแล้ว 3.4 ล้านคน

2. “Sustainable Brand” นำพาไปสู่การสร้าง “Brand Love”

ผลกำไร และส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นผู้นำตลาด สะท้อนความสำเร็จในฐานะเป็นแบรนด์ที่ได้การยอมรับจากผู้บริโภค แต่นั่นไม่ใช่ดัชนีชี้วัดความสำเร็จทั้งหมดของการดำเนินธุรกิจ เพราะการเป็นองค์กร และแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ผลกำไร และส่วนแบ่งการตลาด ต้องมาควบคู่กับความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ถึงจะเรียกว่าเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน และนำพาองค์กร – แบรนด์ เป็น “Brand Love” ในใจผู้บริโภค

คำว่า “Brand Love” หรือแบรนด์ที่ผู้บริโภครู้สึกผูกพัน รู้สึกรัก ย่อมมีความหมายลึกซึ้งกว่า “Brand Loyalty” เพราะแบรนด์ใดก็ตาม ที่สามารถทำให้ผู้บริโภครู้สึกรัก เชื่อมั่น หรือเชื่อใจได้ แบรนด์นั้นจะได้ฐาน “แฟนคลับ” หรือ “สาวก” พร้อมจะสนับสนุนในสิ่งต่างๆ ที่แบรนด์ทำ

เมื่อปี 2554 “ยูนิลีเวอร์” ระดับโลก ได้ประกาศยุทธศาสตร์ระยะยาวใน “Unilever Sustainable Living Plan : USLP” หรือ “แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของมนุษย์” ที่ประกอบด้วย Purpose 3 ด้าน คือ การพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนกว่า 1,000 ล้านคน, ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมลงครึ่งหนึ่ง และ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน โดย “ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย” รับนโยบายดังกล่าวมาและดำเนินการต่อเนื่อง

หนึ่งในตัวอย่างของการลงมือปฏิบัติภายใต้ยุทธศาสตร์ USLP ด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยูนิลีเวอร์ใช้วิธี “สร้างคุณค่าร่วม” ระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภคผ่านการนำเสนอโปรดักต์ที่ตอบโจทย์การลดใช้ทรัพยากรโลก เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม “คอมฟอร์ท อัลตร้า น้ำเดียว” เพื่อลดการใช้ทรัพยากรน้ำ รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์รีฟิลถุง Pouch สามารถทำไปรีไซเคิลได้

หรือในมิติของการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน “ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย” ริเริ่มทำโครงการ “พี่ติมวอลล์” หรือ “I’m Wall’s” เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนไทยที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมวอลล์ของตัวเอง ซึ่งโครงการนี้นอกจากสร้างอาชีพให้คนไทยแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการเพิ่ม “หน่วยรถไอศกรีมวอลล์” เพื่อกระจายเข้าถึงผู้บริโภคทั่วไทยได้มากขึ้น โดยปัจจุบันรถจำหน่ายไอศกรีมวอลล์ มีทั้งแบบรถเข็น รถสามล้อ และเรือ รวมทั้งมีแบบกล่องสำหรับใช้ขายตามเทศกาลต่างๆ

หลังจากยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เริ่มโครงการพี่ติมวอลล์ ได้กลายเป็น Success Case ที่ยูนิลีเวอร์ประเทศอื่นได้นำโมเดลจากไทยไปปรับใช้ในประเทศนั้นๆ

“เมื่อเราทำ Sustainable Living Plan สถิติออกมาชัดเจนว่าแบรนด์ที่มีเป้าหมาย (Purpose) สามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีเป้าหมายสูงถึง 50% และธุรกิจที่มีเป้าหมายชัดเจน จะเติบโตได้มากกว่าบริษัทที่ไม่มีเป้าหมาย เพราะฉะนั้นเป้าหมายเปรียบเหมือนดาวเหนือ ที่นำพาไปถึงจุดหมาย

ดังนั้น บริษัทที่มีเป้าหมายในการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากซื้อ อยากใช้สินค้าแบรนด์นั้นๆ เพราะเขารู้สึกดีกับตัวเอง และดีกับโลก ซึ่งแบรนด์ต่างๆ ของยูนิลีเวอร์ มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเป็น “Sustainable Living Brand” แต่ความยากของการดำเนินการ คือ การจะไปถึงจุดหมายที่วางไว้ ไม่ใช่มาจาก “ยูนิลีเวอร์” ฝ่ายเดียว แต่ต้องร่วมมือกันทั้ง Supply Chain”

3. สร้างความแข็งแกร่ง “ช่องทางจำหน่ายโชห่วย – โมเดิร์นเทรด – อีคอมเมิร์ซ” รับแนวโน้ม Fluid Consumer

ขึ้นชื่อว่าเป็น “สินค้าอุปโภคบริโภค” อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความพร้อมระบบจำหน่าย เพื่อผลักดันสินค้าเข้าไปอยู่ใกล้ตัวผู้บริโภคให้มากที่สุด เพราะฉะนั้น “Push Strategy” หรือการผลักดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางการขายต่างๆ มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสื่อสารแบรนด์ ซึ่งอยู่ในส่วนของฝั่ง “Pull Strategy”

“ช่องทางจำหน่าย” ถือเป็น Touch Point สำคัญในการเข้าถึงคนไทยทั่วประเทศ ยิ่งในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์แบบ Fluid หรือที่เรียกว่า “Fluid Consumer” นั่นคือ การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน เปรียบเสมือนเป็นน้ำ หรือของเหลวที่ไม่หยุดอยู่กับที่ แต่จะค้นหาประสบการณ์แปลกใหม่ให้ชีวิตเสมอ ขณะเดียวกันเชื่อมต่อระหว่างโลกออฟไลน์ กับออนไลน์ตลอดเวลา ส่งผลต่อ Customer Journey การซื้อสินค้าของแต่ละคนแตกต่าง และซับซ้อนกว่าในอดีตที่ทุกคนมีพฤติกรรม หรือรูปแบบการซื้อสินค้าคล้ายกัน

เพราะฉะนั้นเจ้าของแบรนด์ จึงต้องมีความพร้อมด้าน “ช่องทางจำหน่าย” ที่เข้าไปอยู่ในทุกๆ ที่ที่ผู้บริโภคอยู่ ไม่ว่าเวลาที่ผู้บริโภคอยู่ในโลกออฟไลน์ หรือยามที่อยู่ในโลกออนไลน์

ด้วยเหตุนี้เอง “ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย” ให้ความสำคัญกับ “ช่องทางจำหน่าย” ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านโชห่วย โดยยูนิลีเวอร์ทำโครงการ “ร้านติดดาว” นำความรู้การบริหารจัดการร้าน เช่น การจัดวางสินค้า การทำโปรโมชั่น ไปถ่ายทอดให้กับร้านโชห่วยที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ จำนวน 10,500 ร้าน และล่าสุดได้ต่อยอดโครงการดังกล่าว พัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ให้กับนักศึกษา ภายใต้โครงการ “เดอะ มาสเตอร์” ด้วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฎ เชียงใหม่ และราชภัฎเชียงราย

รวมถึงค้าปลีกสมัยใหม่ทุกเซ็กเมนต์ เพื่อกระจายสินค้าเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต รวมถึง Specialty Store ด้านสินค้าสุขภาพและความงาม

ขณะเดียวกันในปัจจุบัน Retail Landscape ไม่ได้มีแค่เพียง Physical Shop ยังมีช่องทาง “อีคอมเมิร์ซ” ที่แม้วันนี้ในไทยยังเป็นฐานที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับช่องทางค้าปลีกทั่วไป แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นช่องทางที่เติบโตเร็ว และนับวันจะมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นช่องทางซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่เวลานี้หลายคนเปลี่ยนหันไปใช้บริการสั่งซื้อสินค้าของกินของใช้ที่ซื้ออยู่เป็นประจำ ผ่านบริการออนไลน์มากขึ้น เพราะสะดวก และประหยัดเวลา

“ยูนิลีเวอร์” ใช้วิธีจับมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ เช่น LAZADA, Shopee เพื่อเป็นอีกช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค

4. สื่อสารการตลาด สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด

นอกจาก Push Strategy แล้ว อีกส่วนที่ต้องทำคู่กัน คือ “Pull Strategy” หนึ่งในนั้นคือ การสื่อสารการตลาดในรูปแบบต่างๆ เช่น โฆษณาผ่านสื่อ จัดอีเว้นท์ หรือกิจกรรมการตลาด ทำแคมเปญ เพื่อดันแบรนด์-สินค้าให้ติดตลาด เป็นที่รับรู้ และดึงความสนใจของผู้บริโภคให้เกิดความรู้สึกอยากทดลองใช้

ในทุกปี “ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้งบโฆษณาสูงสุด และครอบคลุมทั้งสื่อดั้งเดิม และสื่อออนไลน์ พัฒนาการของการสื่อสารแบรนด์สินค้าของยูนิลีเวอร์ ก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จากในอดีตเมื่อ 20 – 30 ปีก่อน เน้นขาย Functional Value ของตัวสินค้า ขณะที่ปัจจุบันสินค้าหลายตัว ปรับรูปแบบการนำเสนอ ด้วยการขาย “Attitude” ของแบรนด์ เพื่อทำให้แบรนด์นั้น มี “ความหมาย” ในใจผู้บริโภค ซึ่งการนำเสนอทัศนคติของแบรนด์ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจ “ตัวตน” หรือ “จุดยืน” ของแบรนด์ได้ชัดเจน นำไปสู่การจดจำแบรนด์นั้นๆ ได้ดีกว่าการขายแต่ Product Benefit

เช่น โฆษณาซันซิลสูตร Healthier and Long ไม่ได้โฟกัสที่ Product Benefit แต่เน้นสื่อสาร “Attitude” ของผลิตภัณฑ์นี้ ผ่านเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่ง ที่เดินตามความฝันของตัวเอง ด้วยความกล้า และความมั่นใจ ซึ่งรูปแบบการนำเสนอทัศนคติของแบรนด์ หรือตัวสินค้า แบรนด์แรกๆ ในเครือยูนิลีเวอร์ที่ทำ คือ “โดฟ” ที่ตอกย้ำ Brand Attitude “Real Beauty” มาโดยตลอด

“การสร้างแบรนด์ และการทำการตลาด เราต้องรู้ว่าแบรนด์ของเรา “Stand for” อะไร เพราะถ้าแบรนด์เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นเท่ากับว่าแบรนด์ไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นแบรนด์ต้องมีความชัดเจนที่จะเป็นอะไร แบรนด์ต้องมีมุมมอง มีเสียงของตัวเอง มีความคิดของตัวเอง และมีพลังที่จะส่งกลับไปยังสังคมอย่างมีความหมาย”

5. People Development ดึงทาเลนต์ร่วมงาน

การสร้างบุคลากร เป็นอีกความท้าทายใหญ่สำหรับ “ยูนิลีเวอร์” เพราะยุทธศาสตร์ และเป้าหมายที่วางไว้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ขณะที่ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีทางเลือกมากขึ้น และต้องการเป็นนายตัวเอง เพราะฉะนั้นองค์กรที่จะดึงดูดคนมีความสามารถเข้ามาร่วมงาน และผูกพันกับองค์กร นอกจากเบเนฟิตด้านผลตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ แล้ว ยังต้องมีโปรแกรมพัฒนาบุคลากร ที่จะทำให้พนักงานเห็นเป้าหมาย หรือเชื่อมโยงกับเป้าหมายการทำงานของพนักงานแต่ละคน

ที่ผ่านมา “ยูนิลีเวอร์” เน้นสร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อดึงดูดทาเลนต์จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาร่วมงาน ขณะเดียวกันทำโครงการนักศึกษาฝึกงาน (Unilever Leadership Internship Programme) โครงการพัฒนาผู้นำสำหรับบัณฑิตจบการศึกษาใหม่ (U-Fresh) และโครงการผู้นำในอนาคตของยูนิลีเวอร์ (Unilever Future Leaders Programme) รวมทั้งออกแบบแนวทางการพัฒนาตนเอง ผ่าน 3D โมเดล (Discover, Diagnose, Develop) ที่จะช่วยเชื่อมโยงเป้าหมายการทำงาน สิ่งจำเป็นต้องพัฒนา และนำไปสู่แผนการพัฒนารายบุคคล

“การจะส่งต่อความสุขทุกวันให้กับผู้บริโภค ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของเราได้นั้น ต้องเริ่มจากการสร้างความสุขให้กับคนในองค์กรก่อน ด้วยการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมของพนักงาน โดยมุ่งหวังให้เกิดทั้งความสุขในการทำงาน และความผูกพันกับองค์กรแบบยั่งยืน”

Viewing all 21691 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>