Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 22280 articles
Browse latest View live

“สิงห์”สนใจตลาดเบียร์ซูเปอร์พรีเมียม –ปรับกลยุทธ์น้ำดื่ม ทวงคืนตำแหน่งผู้นำ

$
0
0

คุณภูริต ภิรมย์ภักดี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เผยรายได้บุญรอดเทรดดิ้ง (กลุ่ม Alcohol Beverage, Non-alcohol Beverage, Food-Snack) ปี 2560 ทำได้ 120,000 ล้านบาท โดยรายได้หลัก ยังเป็นเบียร์ ในสัดส่วน 80% ขณะที่อีก 20% เป็นกลุ่ม Non-alcohol และ Food-Snack 

เล็งตลาดเบียร์ซูเปอร์พรีเมียม รับดีมานด์คนไทยสนใจ Craft Beer มากขึ้น

สำหรับ”กลุ่มธุรกิจเบียร์” ของสิงห์ (Brand Portfolio ประกอบด้วยเบียร์ที่สิงห์เป็นเจ้าของแบรนด์ ได้แก่ สิงห์, สิงห์ ไลท์, ลีโอ, U Beer, Snowy Weisen by EST.33 และกลุ่มเบียร์ต่างประเทศ ได้แก่ Asahi, Carlsberg, Kronenbourg, Corona) ในปี 2560 มีส่วนแบ่งการตลาดโดยรวม 62% ยอดขายเบียร์ 1,320 ล้านลิตร รั้งอันดับหนึ่งตลาด เบียร์ไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 58.5% 

ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 65% ยอดผลิต 1,400 ล้านลิตร

โดยสถานการณ์ธุรกิจเบียร์ในภาพรวมของไทย พบว่าปัจจุบันคนไทยมองหา “เบียร์ทางเลือก” ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นเบียร์ระดับซูเปอร์พรีเมียม ทั้ง Craft Beer และเบียร์ต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ความแปลกใหม่ในการดื่มเบียร์ 

ดังนั้น แม้ขณะนี้ “เบียร์ซูเปอร์พรีเมียม” หรือเบียร์ทางเลือกใหม่ ยังมีฐานตลาดที่เล็ก แต่สำหรับในมุมมองของ “บุญรอดเทรดดิ้ง” ให้ความสนใจตลาดนี้ เพราะเป็นตลาดศักยภาพที่สามารถเติบโตได้อีกมาก 

ยอมรับถูกโค่นแชมป์น้ำดื่ม – เร่งปรับกลยุทธ์ทวงคืนตำแหน่งผู้นำ !!

ในส่วน “ธุรกิจน้ำดื่ม” ด้วยสถานการณ์การแข่งขันราคารุนแรง แต่สิงห์ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ราคาอย่างหนักหน่วง ซึ่งโดยพฤติกรรมการซื้อน้ำดื่มของผู้บริโภค ปัจจัยราคายังมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ 

ส่งผลให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งการตลาด “น้ำดื่มสิงห์” ตกลงนับตั้งแต่ปี 2558 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 27% จากนั้นในปี 2559 ลดลงมาอยู่ที่ 25% และเมื่อปี 2560 ลดลงมาเหลือ 20% หล่นจากตำแหน่งผู้นำตลาด มาเป็นเบอร์ 2 ส่วนในด้านรายได้ อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท

ด้วยเหตุนี้ ทำให้สิงห์ ต้องเร่งปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายครั้งใหญ่ ล่าสุดดึง “เจ้านาย” มาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อกระชากลุคแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น และขยายฐานไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากเดิมกลุ่มคนดื่มน้ำสิงห์หลัก เป็นคนอายุ 35 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามยังไม่ทิ้งความเป็นน้ำดื่มสำหรับทุกคนในครอบครัว 

นอกจากนี้จะปรับกลยุทธ์ในด้านอื่นๆ โดยที่ต้องตอบโจทย์ทั้งด้าน “ส่วนแบ่งการตลาด” ที่เพิ่มขึ้น และด้าน “ผลกำไร” ที่ต้องเติบโต โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดน้ำดื่มสิงห์ปี 2561 อยู่ที่ 23% 

ถ้าทำได้สำเร็จตามที่วางไว้ นั่นเท่าว่า “สิงห์” จะกลับมาเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มอีกครั้ง 

The post “สิงห์” สนใจตลาดเบียร์ซูเปอร์พรีเมียม – ปรับกลยุทธ์น้ำดื่ม ทวงคืนตำแหน่งผู้นำ appeared first on Brand Buffet.


“คิง เพาเวอร์” ตั้งเป้า TOP 5 Duty-Free ของโลก ดึงซุปตาร์จีน “ฟ่าน ปิงปิง” เป็น Global Brand Ambassador

$
0
0

หลังจากทุ่มงบกว่า 2,500 ล้านบาท ปรับปรุงครั้งใหญ่ ในที่สุด “คิง เพาเวอร์ รางน้ำ” ได้เผยโฉมใหม่สู่สายตาชาวโลก ได้เนรมิตเนื้อที่ 15 ไร่ ให้เป็น “ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์” ที่เป็นมากกว่าศูนย์รวมสินค้าปลอดภาษี ในระดับ World-class ภายใต้แนวคิด EXPLORE ENDLESSLY” ที่รวบรวมสุดยอดแห่งไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบ และประสบการณ์แปลกใหม่มาไว้ที่นี่ที่เดียว

เพื่อให้สมกับการเป็น “ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ระดับโลก” ที่ใจกลางกรุงเทพฯ “คิง เพาเวอร์” จึงได้ดึง “ฟ่าน ปิงปิง” ซุปเปอร์สตาร์หญิงชาวจีน มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ทั้งในเอเชีย และระดับโลก มาเป็น Global Brand Ambassador” เพื่อเป็นสื่อกลาง และสัญลักษณ์ของประสบการณ์สุดพิเศษจาก “อาณาจักรคิง เพาเวอร์” ให้เป็นที่รู้จัก และดังไกลไปทั่วโลก

อาณาจักรคิง เพาเวอร์ รางน้ำโฉมใหม่ ออกแบบอย่างพิถีพิถัน ทั้งภายนอกที่สวยเด่นสะดุดตาด้วยโครงสร้างอาคารร่วมสมัย ส่วนภายในเพิ่มพื้นที่ใช้สอยเอนกประสงค์มากขึ้น และพื้นที่ร้านสินค้า-บริการต่างๆ รวม 3 ชั้น ได้แก่

ชั้น 1 โซน World Luxury Boutiques และโซน Multi Brand Sunglasses

ชั้น 2 โซน Luxury Watches ,Multi Brand Watches ,Sports ,Gadgets และ The Beauty Club  สำหรับ โซนนี้จะคับคั่งไปด้วยนาฬิกาแบรนด์ระดับโลก และเครื่องสำอาง สกินแคร์ และน้ำหอมกว่า 100 แบรนด์ชั้นนำ

ชั้น 3 โซน THAI TASTE HUB และ Restaurants and Cafes เป็นโซน Dinning ที่รวบรวมร้านอาหารชั้นนำระดับอินเตอร์และศูนย์อาหาร “THAI TASTE HUB” ที่รวบรวมร้านดังสตรีทฟู้ดชื่อดังกว่า 17 ร้านมาไว้ที่นี่ที่เดียว

ไม่เพียงแต่สินค้าทั้งแบรนด์ระดับโลก และแบรนด์ไทยที่คัดสรรมาแล้ว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปกันอย่างจุใจ “คิง เพาเวอร์” โฉมใหม่ยังสร้างประสบการณ์ความบันเทิงให้กับผู้มาเยือน ด้วยการสร้างสรรค์ “ระบำสายน้ำ” อลังการทั้งแสง สี เสียง เสียง (The Dancing Fountain at The Fountain Square) ซึ่งจะมีน้ำพุที่มีความสูงได้ถึง 6 เมตร พร้อมด้วยจอ LED ที่เป็นพื้นหลัง ที่จัดแสดงให้ชมทุกวันฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังมีนิทรรศการชั้นนำจากทั่วโลก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาจัดกันตลอดทั้งปี

“ที่ผ่านมาคิง เพาเวอร์ รางน้ำ เป็นดิวตี้ฟรีคอมเพล็กซ์ที่อยู่ใจกลางเมืองมาอย่างยาวนาน รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ แต่ปัจจุบันยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการของลูกค้าที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้คิง เพาเวอร์ ไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งในการพัฒนา จึงได้ปรับโฉมใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งได้นำสินค้าใหม่ ๆ ที่มีความทันสมัยมากกว่าเดิมเข้ามาจำหน่าย เพื่อสร้างประสบการณ์ครบถ้วน  ให้กับนักเดินทางที่มาเยือน คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าวัตถุประสงค์ของการปรับโฉมสาขารางน้ำ

“ฟ่าน ปิงปิง” สื่อกลางส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยว

ปัจจุบัน “ภาคการท่องเที่ยว” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย โดยในปี 2560 ยอดนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 35 ล้านคน

ในจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนไทย มากถึง 70% เป็นคนจีน, คนจากประเทศเอเชียตะวันออก เช่น ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน และคนอาเซียน

ดังนั้น การดึง “ฟ่าน ปิงปิง” มาเป็น Global Brand Ambassador ระดับอินเตอร์คนแรกของ “คิง เพาเวอร์” จะช่วยสะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในการเดินทาง ค้นหาความสุขและประสบการณ์แปลกใหม่อยู่เสมอ พร้อมทั้งเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง “คิง เพาเวอร์” และ “ความเป็นไทย” กับ “ความเป็นสากล” ผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว และทำให้คิง เพาเวอร์กลายเป็น New Destination” สำหรับนักเดินทางทั่วโลก

“การพลิกโฉมสาขารางน้ำครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์แรกที่ขับเคลื่อนให้ “คิง เพาเวอร์” ก้าวขึ้นสู่ Top 5 ดิวตี้ฟรีของโลก เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในคิง เพาเวอร์ รางน้ำและได้รับความประทับใจในทุกมิติกลับไป” คุณอัยยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

เปิดประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสที่ไม่สิ้นสุดกันได้แล้ว ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 21.30 น. รับรองได้ว่าจะสนุกไปกับการช้อปปิ้ง อิ่มอร่อยกับอาหารมากมาย และตื่นตาตื่นใจกับกิจกรรมต่างๆ ที่นำมาแสดงที่นี่

The post “คิง เพาเวอร์” ตั้งเป้า TOP 5 Duty-Free ของโลก ดึงซุปตาร์จีน “ฟ่าน ปิงปิง” เป็น Global Brand Ambassador appeared first on Brand Buffet.

‘ดู เดย์ ดรีม’ ผนึกกำลัง ‘ซีโน-แปซิฟิค’ พาครีมหอยทากบุกตลาดต่างจังหวัด [PR]

$
0
0

(จากซ้ายไปขวา: คุณฤทธิไกร ธรรมรักษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, ดร. สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
จากบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด มหาชน และ คุณเศวต เศวตสมภพ กรรมการอาวุโส บริษัท ซีโน่-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด)

บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสเนลไวท์ (SNAILWHITE) จับมือ บริษัท ซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำในการขนส่งและกระจายสินค้าให้แก่แบรนด์ชั้นนำจากทุกมุมโลก นำผลิตภัณฑ์สเนลไวท์รุกตลาดร้านค้าดั้งเดิมทั่วประเทศ มั่นใจยอดขายสินค้าประเภทซอง (Sachet) จากร้านค้าดั้งเดิม จะช่วยเร่งการเติบโตของรายได้ปี 2561 อย่างมีนัยสำคัญ

ดร.สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนขยายฐานลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย จากการเพิ่มศักยภาพการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังร้านค้าดั้งเดิม (Traditional Trade) ทั่วประเทศ ผ่านการผนึกกำลังกับ ซีโน-แปซิฟิค ซึ่งเป็นผู้นำในการขนส่งและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าแบบดั้งเดิมทั่วประเทศไทย มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปีและได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำของโลกกว่า 70 แบรนด์ให้เป็นผู้กระจายสินค้าในประเทศไทย  นอกจากนี้ ยังจะมีการควบคุมดูแลคุณภาพสินค้าด้วยระบบการจัดเก็บและขนส่งที่มีมาตรฐาน พร้อมด้วยคลังสินค้ารวม 4 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองสำคัญของแต่ละภูมิภาคของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ส่งผลให้การบริหารจัดการสินค้าและการควบคุมต้นทุนการขนส่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“การร่วมมือกับ ซีโน-แปซิฟิค นับเป็นการเพิ่มขีดศักยภาพในการเข้าถึงร้านค้าดั้งเดิมซึ่งมีมากกว่า 440,000 ร้านทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่บริษัทฯ จำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าดั้งเดิมเพียง 1,300 ร้านค้า โดยมีสินค้าประเภทซอง (Sachet) เป็นผลิตภัณฑ์หลักในการรุกตลาดร้านค้าดั้งเดิม เนื่องจากมีขนาดเล็กและราคาเข้าถึงได้ง่ายเพียง 39 บาท ตอบรับต่อพฤติกรรมการซื้อและการใช้งานของผู้บริโภคได้อย่างคลอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อและร้านค้าดั้งเดิมอื่นๆ แม้ในปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ประเภทซองเพียง 1 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น คือ NAMU LIFE SNAILWHITE DAY CREAM ซึ่งเป็นสินค้าที่ครองตำแหน่งสินค้าที่ขายดีที่สุดอันดับที่ 4 หลังจากวางขายแบบเอ็กคลูซีฟในเซเว่นอีเลฟเว่นเพียงแค่ 2 เดือน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าอื่นๆ ในขนาดซองเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อคว้าโอกาสจากตลาด Sachet ในร้านค้าดั้งเดิม สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ที่มีขนาดใหญ่ถึง 95.3% ของตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ทั้งหมด” ดร.สราวุฒิ กล่าวเสริม

ปัจจุบัน ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยของดู เดย์ ดรีม ครอบคลุมทั้งร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านค้าดั้งเดิม (Traditional Trade) และการกระจายสินค้าผ่านตัวแทน (Distribution Partner)  โดยที่การกระจายสินค้าผ่านตัวแทนและร้านค้าสมัยใหม่ในขณะนี้คิดเป็นสัดส่วน 31.3% และ 28.4% ตามลำดับ ขณะที่รายได้จากการขายผ่านช่องทางร้านค้าดั้งเดิมคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.9% (ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560)   บริษัทฯ คาดว่าการเจาะกลุ่มตลาดร้านค้าดั้งเดิมผ่านเครือข่ายของ ซีโน-แปซิฟิค จะช่วยให้สามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายแบบดั้งเดิมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2561

นอกจากการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าอื่นๆ แล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเปิด NAMU LIFE Shop เพิ่มในอนาคต บนทำเลยุทธศาสตร์ในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย เช่น พัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ในจุดที่มีกลุ่มคนทำงานหรือนักศึกษาสัญจรไปมาอย่างหนาแน่น หรือเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสูง โดยใช้ NAMU LIFE Shop ทำหน้าที่เป็นทั้งป้ายโฆษณาที่สามารถสร้างยอดขายได้จริง อีกทั้งยังเป็นจุดแสดงสินค้า (Product Display) เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าที่สนใจเข้ามาทำความรู้จักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จาก NAMU LIFE Shop สาขาสถานีบีทีเอสสยามที่สามารถสามารทำยอดขายเฉลี่ยได้สูงราว 1 ล้านบาทต่อเดือน

Do Day Dream…Do to make every Day your Dream 

The post ‘ดู เดย์ ดรีม’ ผนึกกำลัง ‘ซีโน-แปซิฟิค’ พาครีมหอยทากบุกตลาดต่างจังหวัด [PR] appeared first on Brand Buffet.

อนันดาฯ จับมือ นาสเกต ยกทุกห้างมาไว้ที่ “ไอดีโอ” ง่ายๆแค่สแกนบาร์โค้ด [PR]

$
0
0

คุณชานนท์  เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย มุ่งส่งเสริมการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองในยุคดิจิตอล ตอกย้ำแนวคิด UrbanTech ล่าสุดประกาศความร่วมมือกับ คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัท นาสเกต รีเทล จำกัด เพื่อนำ “นาสเกต” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการสั่งซื้อสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ต และบริการที่อำนวยความสะดวกในห้องพักอาศัยเข้ามาให้บริการแก่ลูกบ้านของอนันดาฯ

อันเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นก้าวสู่ UrbanTech Ecosystem Support ในการส่งเสริมรูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองยุคใหม่ให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ครบ จบในเรื่องเดียว  เพียงแค่ “สแกนบาร์โค้ด” ทั้งการสั่งซื้อสินค้า และ บริการดูแลทำความสะอาด ซ่อมแซมบ้าน (โฮม เซอร์วิส) ตลอด 24 ชม. นอกจากนั้นยังมีบริการเสริมอีกมากมาย เพื่อให้ทันต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่งจะนำมาใช้กับ 2 โครงการ ได้แก่ ไอดีโอ คิว สยาม-ราชเทวี และ คิว ชิดลม-เพชรบุรี และตั้งเป้าจะนำไปใช้ในทุกโครงการของอนันดาฯในอนาคต

The post อนันดาฯ จับมือ นาสเกต ยกทุกห้างมาไว้ที่ “ไอดีโอ” ง่ายๆแค่สแกนบาร์โค้ด [PR] appeared first on Brand Buffet.

#ของมันต้องมี KBank ส่งเซอร์ไพรส์วาเลนไทน์ สั่ง “กุหลาบ”ออนไลน์ด้วยแอป K PLUS

$
0
0

ด้วยภารกิจในชีวิตประจำวันที่รัดตัว ทั้งต้องเข้าประชุมตั้งแต่เช้ายันค่ำ หรือติดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไป 3 – 4 ทุ่ม ร้านรวงต่างๆ ปิดหมดแล้ว…ทางเดียวที่พึ่งได้ คือ สั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เพราะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเสร็จจากประชุม หรือกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยดึกแค่ไหน กลับมาบ้าน หรือระหว่างเดินทางก็หาสินค้าผ่านทางออนไลน์ และกดสั่งซื้อได้ทันที

ล่าสุด “ธนาคารกสิกรไทย” ได้เปิดตัวบริการใหม่บนแอปพลิเคชัน K PLUS” เป็นตลาดนัดออนไลน์ขนาดใหญ่เต็มรูปแบบและครบวงจร เพื่อเชื่อมโยง “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์ให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน

ไม่เพียงแต่แพลตฟอร์มของ K PLUS” จะเป็นสื่อกลางระหว่าง “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” เท่านั้น ขณะเดียวกันบนแพลตฟอร์มดังกล่าว ยังได้นำเทคโนโลยี Machine Learning” มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลและซื้อสินค้าของลูกค้า เพื่อเลือกสรรร้านค้าและสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย

ในขณะที่ฝั่งผู้ขาย เทคโนโลยี Machine Learning” จะช่วยค้นหาลูกค้าที่มีแนวโน้มต้องการสินค้าของเรา อันจะนำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน (Personalization) รวมทั้งสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดแข็งสำคัญที่ “ธนาคารกสิกรไทย” มั่นใจว่าบริการช้อปปิ้งออนไลน์บน K PLUS จะประสบความสำเร็จ คือ ฐานผู้ใช้งาน K PLUS กว่า 7.5 ล้านราย อีกทั้งยังมีฐานลูกค้าธุรกิจผู้ประกอบการกว่า 1.5 ล้านราย และเป็นร้านค้าออนไลน์กว่า 200,000 ราย ด้วยฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทั้งฝั่งคนซื้อและคนขาย ทำให้ตลาดนัดออนไลน์แห่งนี้จะคึกคักแน่นอน

เพื่อส่งมอบประสบการณ์ซื้อขายที่น่าประทับใจ ก่อนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ธนาคารฯ ได้ทดลองให้บริการนี้ กับกลุ่มพนักงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 โดยให้พนักงานสั่งสินค้าบน K PLUS ในเทศกาลต่างๆ เช่น ขนมไหว้พระจันทร์ ดอกไม้ในเทศกาลวาเลนไทน์ รวมถึงสินค้าเกษตรกรจากโครงการพรวนฝัน

ล่าสุดในช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา “คุณสมคิด จิรานันตรัตน์” บอสใหญ่แห่งกสิกร บิสซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ได้ทดสอบบริการใหม่นี้อีกครั้ง ด้วยการสั่งดอกไม้จาก K PLUS ส่งถึง blogger และสื่อมวลชน เพื่อขอบคุณสื่อมวลชน ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ส่วนร้านค้าไหนที่ต้องการฝากร้านบน K PLUS ก็ต้องติดตามกันให้ดี

งานนี้ทำเอา blogger และสื่อมวลชนที่ได้รับดอกไม้ครั้งนี้ ถึงกับเซอร์ไพรส์ และเรียกรอยยิ้มรับเทศกาลวันแห่งความรักได้ไม่น้อยเลย

The post #ของมันต้องมี KBank ส่งเซอร์ไพรส์วาเลนไทน์ สั่ง “กุหลาบ” ออนไลน์ด้วยแอป K PLUS appeared first on Brand Buffet.

คนทำเว็บต้องรู้! หลัง 15 กุมภาฯ Google Chrome จะบล็อคโฆษณาที่มีลักษณะต่อไปนี้

$
0
0


สื่อออนไลน์ส่วนใหญ่ ไม่ว่ารูปแบบไหน จะขับเคลื่อนได้ก็ต้องอาศัยโฆษณา…  แต่ถ้ามาเยอะและมาแบบน่ารำคาญ  ผู้อ่านผู้ชมก็จะพาลเบื่อ  และเสียหายไปถึงทั้งสื่อและทั้งผู้ลงโฆษณาเอง

และตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาฯ 2018 นี้เป็นต้นไป บราวเซอร์ยอดนิยม Google Chrome จะบล็อคโฆษณา 6 แบบ ที่มีลักษณะ “น่ารำคาญ” โดยใช้เกณฑ์จากมาตรฐานกลาง “Coalition for Better Ads”  เช่น…

– โฆษณา pop-up บังเนื้อหาเว็บไว้ ต้องกดปิดก่อนจึงจะอ่านหรือดูเนื้อหาเว็บได้

– โฆษณาที่มีเสียงดังเองทั้งที่ผู้ใช้ไม่ได้กด หรือมีคลิปและมีเสียงทันทีที่เปิดหน้าเว็บนั้นๆ  โดยผู้ใช้ไม่ได้กด

– โฆษณาบังคับดู แล้วมีเวลานับถอยหลังถึงจะปิดกรอบตัวเอง  กดปิดก่อนไม่ได้

– โฆษณาที่ใหญ่เกินไป เช่นกินพื้นที่ครึ่งหน้าขึ้นไป

– หน้าเว็บที่มีโฆษณาหลายอย่างแน่นไปหมด รวมแล้วกินพื้นที่เกิน 30 %

– โฆษณาสำหรับเว็บมือถือ หรือแอพ ที่สร้างเป็น Flash Animation

โฆษณาไหนมีลักษณะตรงแค่อย่างเดียวใน 6 อย่างนี้ก็ถือว่าเข้าข่ายจะโดนบล็อกแล้ว   ซึ่งมาตรการนี้ถือว่ามาเร็วกว่ากำหนดเดิมคือสิ้นปี 2018  กลายเป็นหลังวาเลนไทน์นี้กันเลยทีเดียว

ฉะนั้นเว็บไหนที่อาศัยรายได้จากโฆษณา  ก็รีบทบทวน ad ทั้งหลายที่ปรากฏบนหน้าเว็บตัวเองด่วน   เพราะถ้าเข้าข่าย ก็จะกลายเป็นว่าแทบไม่มีคนเห็นโฆษณาเหล่านั้น  รายได้ย่อมหดหายไปแทบจะหมด

ส่วนฝ่ายเจ้าของโฆษณา ไม่ว่าจะฝ่ายเจ้าของแบรนด์หรือฝ่ายผู้ผลิตโฆษณาก็ต้องพิจารณางานของตัวเองให้ดีว่าเข้าข่ายข้อไหนหรือไม่ ?  ไม่อย่างนั้นลงทุนลงแรงทำ ad ไปก็ไร้ประโยชน์ถ้าถูกบล็อค

Source 

Source

แปลและเรียบเรียงโดย: Somkid Anektaweepon

The post คนทำเว็บต้องรู้! หลัง 15 กุมภาฯ Google Chrome จะบล็อคโฆษณาที่มีลักษณะต่อไปนี้ appeared first on Brand Buffet.

“แสนสิริ”มากกว่าแค่สร้างบ้านให้อยู่แต่ยังมีรถให้ใช้แบบไม่ต้องซื้อ ตอบโจทย์ Living Experience ขั้นสุด

$
0
0

Developer ทุกวันนี้ ไม่ได้มีหน้าที่แค่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ความสำคัญเพียงแค่เรื่องของการปลูกบ้านให้มีคุณภาพที่ดีตามมาตรฐาน ดีไซน์สวยงาม หรือการพัฒนานวัตกรรมในเรื่องของการก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญในการเติมเต็มประสบการณ์ให้กับผู้อยู่อาศัยได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Infrastructure ต่างๆ ภายในโครงการทั้งในรูปแบบของออฟไลน์หรือออนไลน์ รวมทั้งต้องสามารถตอบโจทย์ความสะดวกในการเดินทางซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

ที่ผ่านมาเราจึงเห็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ เลือกทำเลที่ตั้งให้อยู่ใกล้รถไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิต สามารถเดินทางได้อย่างครอบคลุมโดยไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์เป็นของตัวเอง แต่ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละวันทำให้บางครั้งยังมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์มาเป็นตัวช่วยในการเดินทาง ขณะที่บางคนอาจจะยังไม่ต้องการซื้อรถ ส่งผลให้เทรนด์ของ Sharing Economy เป็นอีกหนึ่งกระแสที่เติบโตและได้รับความนิยมในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

เปิดตัว Smart Move ตอบโจทย์ Experience ลูกบ้าน

ดร.ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อเติมเต็ม Living Experience ให้ลูกบ้านได้อย่างสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการศึกษาเพื่อให้เข้าใจ Consumer Insight ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่ากำลังมองหาหรือให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง เพื่อนำมาพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในปัจจุบันอย่างครบถ้วน (Complete Your Living Experience)

“คนรุ่นใหม่จะมองหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการเดินทางที่ต้องตอบโจทย์และมีความครบวงจรมากกว่าแค่การมีทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพราะในบางครั้งยังต้องมีการเดินทางไปในสถานที่ที่รถไฟฟ้าไปไม่ถึง หรือในชีวิตประจำวันที่อาจต้องการรถสำหรับใช้บรรทุกสัมภาระหรือสิ่งของที่ไปซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้รถยนต์ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในบางโอกาส บริษัทจึงได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Smart Move เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านด้วยบริการเช่ายานพาหนะอย่างครบวงจรที่มีอยู่ภายในโครงการของแสนสิริ”

สำหรับบริการ Smart Move เริ่มเปิดตัวครั้งแรกราวๆ ปลายปีที่ผ่านมา ด้วยบริการนำรถยนต์ไฟฟ้า BMWi3 มาให้ลูกบ้านภายในโครงการเช่าในรูปแบบของ Sharing Economy โดยเริ่มนำร่องที่โครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต และถือเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านด้วยการมีรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Fully Electric) มาให้เช่าในโครงการ โดยในปีนี้ได้ต่อยอดแพลตฟอร์มการให้บริการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้งานที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่ม Car Sharing เพื่อเพิ่มรูปแบบยานพาหนะสำหรับเช่าในโครงการให้มีความหลากหลายรองรับการใช้งานที่แตกต่าง ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถจักรยาน หรือบริการจากอูเบอร์ที่มีทั้งรถพร้อมคนขับเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง

ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม Smart Move จะถูกพัฒนาเข้าไปเป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นที่อยู่บน Sansiri Home Service Application ที่ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านในโครงการของแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับระบบ IoT เพื่อดูแลและจัดการกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องพัก หรือการแจ้งปัญหาต่างๆ ให้กับส่วนกลางทราบ รวมทั้งการใช้บริการเสริมต่างๆ จากพาร์ทเนอร์ เช่น บริการ Smart Move เป็นต้น

ผนึก 6 พันธมิตร สู่ยุค Car Free Living

ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่ติดอันดับการจราจรติดขัด โดยข้อมูลจากอูเบอร์ ระบุว่า คนไทยเสียเวลาไปกับการจราจรในแต่ละวันและการหาที่จอดรถวันละไม่ต่ำกว่า 72 นาที หรือปีหนึ่งๆ เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 24 วัน ขณะที่ข้อมูลจาก Haupcar ผู้ให้บริการ Car Sharing รายแรกของไทยพบว่า รถหนึ่งคันที่ถูกซื้อมาจะถูกขับใช้งานโดยเจ้าของเพียง 10% ที่เหลือจะเป็นการจอดทิ้งไว้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ระบบร่วมเดินทางและการเติบโตของ Sharing Economy จะเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งยังลดปริมาณการปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศให้น้อยลงได้ตามจำนวนรถที่วิ่งบนถนน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจจนกลายมาเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่เติบโตได้อย่างดี และสอดคล้องกับเหตุผลในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Smart Move ของแสนสิริเช่นกัน

การให้บริการ Smart Move ของแสนสิริได้ร่วมกับ 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งของไทยและระดับโลก ทำให้มียานพาหนะหลากหลายรูปแบบเพื่อให้บริการลูกบ้านได้ครบถ้วนในทุกการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงได้ โดยเฉพาะการเลือกรถในกลุ่มรถไฟฟ้ามาทำ Car Sharing ที่นอกจากจะลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย โดยทั้ง 6 พันธมิตร ที่เข้ามาร่วมให้บริการบนแพลตฟอร์ม Smart Move ประกอบด้วย

AP Honda ส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดร่วมให้บริการ เพื่อตอบสนองเทรนด์ Sharing Economy ในยุคปัจจุบัน

Uber มอบสิทธิพิเศษนั่งฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านโครงการใหม่  พร้อมด้วยส่วนลดและโปรโมชั่นให้กับลูกบ้านของแสนสิริ

ofo ผู้ให้บริการเช่าจักรยานผ่านทางแอปพลิเคชั่นมือถือ นำร่องให้บริการเช่ารถจักรยานใน 11 โครงการของแสนสิริ ทั้งใน กทม.และ ภูเก็ต และมีแผนขยายการให้บริการไปในทุกโครงการของแสนสิริในอนาคต

Haupcar (ฮอปคาร์) ร่วมกับแสนสิริให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ผ่านระบบเช่าในโครงการ โดยสามารถจองและปลดล็อครถผ่านมือถือได้ทันทีตลอด 24 ชม. สะดวกเหมือนมีรถส่วนตัว พร้อมแผนขยายบริการให้ครอบคลุมในทุกโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่ติดรถไฟฟ้า

รวมทั้ง SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในการบริหารแพลตฟอร์มอัจฉริยะนี้ และ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ที่จะติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใหม่พร้อมให้ชาร์จฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านแสนสิริ

“แสนสิริยังคงมุ่งเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกบ้านแสนสิริผ่านแพลตฟอร์ม Smart Move ให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยมีแผนจะขยายการให้บริการ Smart Move ในโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ ราชเทวี, เดอะ เบส การ์เดน  -พระราม9, เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา,  ทากะ เฮาส์, ฮาบิโตะคอมมูนิตี้มอลล์ใน T77  พร้อมทั้งเตรียมจับมือกับพันธมิตรระดับโลกเพิ่มเติม เพื่อให้บริการยานพาหนะระบบเช่าในรูปแบบที่หลากหลายขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเดินทางแบบ Car Free Living Trend ที่แตกต่างในอนาคต”

The post “แสนสิริ” มากกว่าแค่สร้างบ้านให้อยู่แต่ยังมีรถให้ใช้แบบไม่ต้องซื้อ ตอบโจทย์ Living Experience ขั้นสุด appeared first on Brand Buffet.

ต้อนรับตรุษจีน “โออิชิ” แจกซองแดง ! จัดหนักจัดเต็ม ส่วนลดและสิทธิพิเศษมากมาย ด่วน ! ภายในวันที่ 28 ก.พ. นี้ เท่านั้น [PR]

$
0
0

มั่งมี อิ่มสุข ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีนี้ “โออิชิ” เจ้าตำรับอาหารญี่ปุ่น จัดหนักจัดเต็ม แจกซองแดง อั่งเปาส่วนลด “โออิชิ” ที่อัดแน่นไปด้วยชุดคูปองอั่งเปาส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมายจากร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำในเครือโออิชิ อาทิ คูปองอั่งเปาส่วนลด “โออิชิ บุฟเฟต์” มูลค่า 200 บาท คูปอง  อั่งเปาส่วนลด “ชาบูชิ” มูลค่า 100 บาท และ คูปองอั่งเปาส่วนลด “โออิชิ ราเมน” มูลค่า 100 บาท เป็นต้น

พิเศษสำหรับคนรักอาหารญี่ปุ่น แฟน ๆ โออิชิ รับฟรีทันที ! อั่งเปาส่วนลด “โออิชิ” 1 ซองต่อ 1 ใบเสร็จ เมื่อใช้บริการที่ร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ แกรนด์, โออิชิ อีทเทอเรียม, โออิชิ บุฟเฟต์, นิกุยะ, ชาบูชิ, โออิชิ ราเมน และ คาคาชิ ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 (หรือจนกว่าจะหมด) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมคลิกแฟนเพจโออิชิฟู้ดสเตชั่น: www.facebook.com/OishiFoodStation

The post ต้อนรับตรุษจีน “โออิชิ” แจกซองแดง ! จัดหนักจัดเต็ม ส่วนลดและสิทธิพิเศษมากมาย ด่วน ! ภายในวันที่ 28 ก.พ. นี้ เท่านั้น [PR] appeared first on Brand Buffet.


จูงมือหวานใจ ฉลองเดือนแห่งความรัก กับเมนูสุดสวีท “เรดเวลเวท แอนด์ เลิฟเวอร์ สแปลชเชอร์” ที่ ไอฮ็อป [PR]

$
0
0

 

ไอฮ็อป (IHOP) ร้านแพนเค้กแบรนด์ดังระดับโลก ที่การันตีทั้งคุณภาพและรสชาติความอร่อยจนครองใจนักชิมทั่วโลกมายาวนานกว่า 58 ปี ครีเอทเมนูสุดพิเศษฉลองเดือนแห่งความรัก กับ “เรดเวลเวท แอนด์ เลิฟเวอร์ สแปลชเชอร์” (Red Velvet and Lovers Splasher) สวีทเว่อร์ด้วย 4 เมนูใหม่

เริ่มที่ เรดเวลเวท แพนเค้ก (Red Velvet Pancake) ราคา 195 บาท แพนเค้กเรดเวลเวท พร้อมสตรอว์เบอร์รี่สไลด์ เสิร์ฟกับวิปครีม และไอศกรีมวนิลา สวีทตี้ เลิฟ แพนเค้ก (Sweetie Love Pancake) ราคา 195 บาท แพนเค้กสตรอว์เบอร์รี่สไลด์ เสิร์ฟกับวิปครีม และครีมชีสฟิลลิ่ง เรดเวลเวท เครป (Red Velvet Crepe) ราคา 195 บาท เครปเรดเวลเวท เสิร์ฟกับครีมชีสฟิลลิ่ง และสตรอว์เบอร์รี่สไลด์ ราดด้วยวิปครีม และสวีทตี้ สตรอว์เบอร์รี่ เฟรนช์โทสต์ (Sweetie Strawberry French Toast) ราคา 220 บาท  เฟรนช์โทสต์วนิลาบริโอช ประกบความละมุนของครีมชีสฟิลลิ่ง และวิปครีม พร้อมสตรอว์เบอร์รี่สไลด์ และสตรอว์เบอร์รี่เกลซ ชวนหวานใจมาบอกรักด้วยความอร่อยกันได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม นี้เท่านั้น ณ ร้านไอฮ็อป ชั้น G ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ติดตามความเคลื่อนไหวพร้อมโปรโมชั่นพิเศษได้ที่ www.ihop.co.thwww.facebook.com/iHopTH และ Instargram : @IHOPthailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 0657281759

The post จูงมือหวานใจ ฉลองเดือนแห่งความรัก กับเมนูสุดสวีท “เรดเวลเวท แอนด์ เลิฟเวอร์ สแปลชเชอร์” ที่ ไอฮ็อป [PR] appeared first on Brand Buffet.

The Buffalo Amphawa เรื่องของ “ควายๆ”กลายเป็นงานศิลป์แบบ “คราฟต์ๆ”ได้

$
0
0

ปรัชญาการออกแบบ The Buffalo Amphawa (เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา) เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดสมุทรสงครามที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองสายน้ำสามเวลา” ที่มีความผูกพันกับสภาพน้ำ 3 รูปแบบ ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย ตลอดการใช้ชีวิตทั้ง 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ซึ่งชีวิตกับสายน้ำได้ผูกพันกันอย่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกลายเป็นอัตลักษณ์ของผู้คนในเมืองนี้

ทีมออกแบบจึงได้สร้างสรรค์ให้ The Buffalo Amphawa สะท้อนวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงครามที่มีวิถีชีวิตอยู่ริมคลองและผูกพันกับสายน้ำ ทั้งทางด้านโครงสร้าง งานศิลปะ และการตกแต่ง โดยเน้นงาน Craft ที่มีความประณีต และใช้ผลงานจากนักออกแบบที่เรียนจบแล้วกลับมาผลิตผลงานให้กับชุมชน

(ซ้าย) คุณปกรณ์ ธีระวรชาติ (คนกลาง) คุณนพพร เริ่มรวย (ขวา) คุณกรกต อารมย์ดี

สำหรับทีมออกแบบประกอบด้วยศิลปินและนักออกแบบหลายท่าน อาทิ คุณปกรณ์ ธีระวรชาติ, คุณนพพร เริ่มรวย และคุณอนุรักษ์ อ่วมธรรม โดยมี คุณกรกต อารมย์ดี เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งคุณกรกตนับเป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลทางด้านการออกแบบมาแล้วมากมายทั้งในและต่างประเทศ เช่น รางวัลศิลปาธร, ASEAN Selection 2017 จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ, Design for Asia Award 2008 จาก Hong Kong Design Award และ Good Design Award 2015 จาก Japan Industrial Design Promotion

ภายใต้ความร่มรื่นและเป็นธรรมชาติของ The Buffalo Amphawa ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ โรงแรม ร้านกาแฟ และร้านอาหาร

 

– The Buffalo Hotel ออกแบบในสไตล์ loft โดยคุณปกรณ์ ธีระวรชาติ มีลักษณะเป็น Boutique (Art) Hotel มีงานออกแบบและงานศิลปะที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงคราม ตกแต่งด้วย ว่าวจุฬาและปักเป้า สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น บรรยากาศภายในห้องพักเน้นความเรียบง่าย พร้อมรายละเอียดวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงครามที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ ยังตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมเสมือนจริง ฝีมือศิลปิน คุณชัยวุฒิ เทียมปาน ซึ่งมีการใช้ ไม้และไม้ไผ่ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ไม้ที่ใช้ทำประตูเป็นไม้สักที่ได้จากป่าปลูก ซึ่งเป็นกิจกรรมดั้งเดิมของเจ้าของกิจการ บานประตูมีความสูง 3 เมตร ทำให้ห้องพักมีความโปร่งสบาย

ทางเดินรอบห้องพักล้อมรอบด้วย บ่อน้ำ แสดงความเป็นเมืองที่มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ สระว่ายน้ำปูกระเบื้องสีเหลือง เมื่อสะท้อนกับแสงในยามค่ำคืนจะให้บรรยากาศเหมือนคลองในอัมพวาในวันพระจันทร์เต็มดวงที่มีความเหลืองอร่าม ในส่วนของ Bamboo Wall ลวดลายสายน้ำบริเวณ lobby ฝีมือการออกแบบของคุณกรกต อารมย์ดี

การออกแบบองค์ประกอบของสถานที่ ใช้ ต้นมะพร้าว ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมการทำน้ำตาลมะพร้าวในจังหวัด กำแพงเสาไม้สัก บริเวรณ Lobby สะท้อนการนำไม้สักจากป่าปลูก ประดับด้วย โอ่ง ที่มีการออกแบบลวดลายเป็นรูปควาย สัญลักษณ์ของโรงแรม ฝีมือการออกแบบของ เถ้าฮงไถ่ โรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่คู่เมืองราชบุรี

นอกจากนี้ โรงแรมยังตกแต่งด้วย ลูกยางนา ที่ทำจากโลหะ ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกตามคันนา และเป็นของเล่นของเด็กในสมัยก่อน พร้อมการตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ ปลาทูแม่กลอง สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรสงคราม โดยปลาทูจะว่ายวนในทิศที่พาแขกของโรงแรมเข้า
สู่ห้องพักจากบริเวณ lobby ลักษณะการว่ายเหมือนปลาทูว่ายวนไปวางไข่ในอ่าวไทยแล้วว่ายวนกลับมาที่บริเวณปากอ่าวแม่น้ำแม่กลองในช่วงโตเต็มวัย ในห้องประชุมออกแบบให้เป็นเพดานสายน้ำและโคมไฟปลาทู

 

– The Buffalo Café การออกแบบในส่วนของร้านกาแฟเน้นความเรียบง่าย บรรยากาศเหมาะกับการนั่งพักผ่อนและชมบรรยากาศริมคลองแม่กลอง รูปทรงของ The Buffalo Café หากมองจากมุมบนลงมาจะเห็นเป็นรูป หลังควาย ที่หมอบอยู่ในน้ำ โดยใช้ ไม้ไผ่ เป็นวัสดุหลัก ซึ่งไม้ไผ่นั้นเป็นตัวแทนของน้ำจืด สะท้อนวิถีชีวิตในรูปแบบหนึ่งของชาวสมุทรสงคราม

ตัวอักษรชื่อ The Buffalo Café เป็นงาน ลงรักปิดทองคำเปลว เคาน์เตอร์ในร้านสะท้อนภาพลายสายน้ำ เป็นงานช่างฝีมือ ดุนโลหะ (ทองเหลือง) บนโคลนด้วยค้อน เกิดเป็นลวดลายที่มีความอ่อนช้อยสวยงาม บนเพดานเป็นผลงานที่ทำจาก กระดาษว่าว สะท้อนการอนุรักษ์อุตสาหกรรมการทำว่าวของชาวสมุทรสงครามที่มีมาแต่ดั้งเดิม ลวดลายต่างๆ บนกระดาษว่าว เป็นลายไทยที่มีการประยุกต์มาจากภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดอัมพวันเจติยาราม ส่วนบริเวณที่นั่งด้านในเป็นงานไม้ไผ่ของคุณกรกต อารมย์ดี

งานมัดผูกไม้ไผ่ใน The Buffalo Café เป็นงานผูกมัดโดยใช้เงื่อน ยายจูงหลาน ซึ่งเป็นเงื่อนประมงท้องถิ่น พื้นหินขัดมีลวดลายสวยงาม ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพื้นหินขัดที่มีความสวยงามตามวัดต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดสมุทรสงคราม

แก้วกาแฟเครื่องปั้นดินเผาเป็นงานทำมือ ส่วนเมนูที่ไม่ควรพลาดสำหรับร้านกาแฟแห่งนี้ คือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชาไทย กาแฟ และนม ที่มีรสชาติกลมกล่อม

– The Buffalo Restaurant ตัวอาคารของร้านอาหาร The Rusty Rose ทำจากเหล็กที่ทำให้เกิดสนิมแล้วเคลือบ สะท้อนวิถีชีวิตการทำประมงของชาวสมุทรสงครามในบริเวณปากอ่าวแม่น้ำแม่กลอง ตกแต่งภายในอาคารด้วยรายละเอียดของงาน ไม้ไผ่ ฝีมือการออกแบบของคุณกรกต อารมย์ดี ร้านอาหารแห่งนี้พร้อมเสิร์ฟความอิ่มอร่อยด้วยเมนู อาหารไทยและฝรั่ง ที่ผสมผสานวัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น ปลาทู ลิ้นจี่ ฯลฯ สำหรับเมนูที่พลาดไม่ได้ คือ น้ำพริกไข่ฟูทานกับผักสดท้องถิ่น เนื้อปลาทูผัดพริกเกลือ บางเมนูสามารถซื้อกลับไปทำต่อเองที่บ้าน เป็นของติดไม้ติดมือจากจังหวัดสมุทรสงครามได้

นอกจากโรงแรม ร้านกาแฟ และร้านอาหารแล้ว The Buffalo Amphawa ยังมี The Buffalo Playground สำหรับจัดกิจกรรมปลูกข้าว ซึ่งเป็นกิจกรรมในสมัยก่อนของจังหวัดสมุทรสงคราม บริเวณนี้โดดเด่นด้วย หุ่นไล่การูปหนุมาน ตอนเกี้ยวพารานาสีนางสุพรรณมัจฉา สะท้อนศิลปะการแสดงโขนของจังหวัด และยังมี The Buffalo House ที่มีบ้านควายของควายแคระสองตัว คือ คุณกะลา ควายแคระสีดำ และ คุณกะทิ ควายแคระเผือกที่มีอยู่เพียง 4 ตัวในประเทศไทย ซึ่งทั้งสองตัวเป็นสัญลักษณ์และดาวเด่นของที่นี่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีกิจกรรมที่สามารถจัดได้ตามความต้องการของลูกค้า อาทิ การปั้นดินโคลน เวิร์คชอปทำว่าวและขนมไทย ตักบาตร และนั่งเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน รวมทั้งยังมีกิจกรรมพิเศษตามเทศกาลตลอดปี เช่น การทานข้าวในบรรยากาศโรแมนติกในวันวาเลนไทน์ที่ The Rusty Rose กิจกรรมทำขวัญข้าว และกิจกรรมเล่นน้ำสงกรานต์แบบไทย

The Buffalo Amphawa มีห้องพักให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ standard, superior, deluxe และ suites ในราคาเริ่มต้น 3,000 บาท มีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักท่องเที่ยว และองค์กรที่ต้องการจัดประชุมสัมมนา โดยห้องประชุมสามารถรองรับผู้เข้าประชุมได้ 120-150 คน

สำหรับการทำตลาดของ The Buffalo Amphawa นั้น จะมุ่งเน้นไปยังคนไทย 80% ชาวต่างชาติ 20% โดยตั้งเป้าอัตราการจองในช่วง weekend ไว้ที่ 70% ส่วน weekday เน้นไปที่กลุ่มองค์กร ซึ่ง The Buffalo Amphawa มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว จากการที่รัฐบาลมีนโยบาลส่งเสริมให้สมุทรสงครามเป็น ‘เมืองรอง’ ทางการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเลือกจังหวัดสมุทรสงครามเป็นหนึ่ง destination ทางเลือกในการเดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน

นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัสวิถีชีวิตเมืองสายน้ำสามเวลาที่ The Buffalo Amphawa สามารถจองห้องพักได้ที่ www.thebuffaloamphawa.com หรือจองผ่าน online travel agents ต่างๆ อาทิ Agoda, Booking, Expedia และติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทาง FB และ IG : Thebuffaloamphawa

The post The Buffalo Amphawa เรื่องของ “ควายๆ” กลายเป็นงานศิลป์แบบ “คราฟต์ๆ” ได้ appeared first on Brand Buffet.

ยกทีมแลตตาซอย บุกอีสาน “ทำบุญใหม่ 9 พระธาตุ” เสริมดวงรับปี 2018

$
0
0

เปิดศักราชรับปีจอด้วยกิจกรรมสร้างกุศลประจำปี “แลคตาซอย แชริตี้ 2018 (LACTASOY CHARITY 2018)” โดย แลคตาซอย จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 เพื่อเป็นสะพานบุญให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย และสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ในปีนี้แลคตาซอยได้พาคณะบุญกว่า 150 คน เดินทางไป “อิ่มบุญ…ดนโดน ณ สกลนคร-นครพนม” โดย นายสามารถ จิรพัฒนกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แลคตาซอย จำกัด ผู้สร้างสรรค์ทริปอิ่มบุญได้เล่าถึงกิจกรรมครั้งนี้ ว่า ตั้งใจพาสายบุญมาไหว้พระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบสักการะพระธาตุประจำวันเกิด เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้แก่ชีวิต โดยต้องขอบคุณผู้สนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้ที่ร่วมกันสมทบทุนรวมกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งแลคตาซอยเตรียมนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไปช่วยเหลือเด็กกำพร้า วัดดอนจั่น จ.เชียงใหม่

สำหรับการมาเยือนถิ่นอีสานครั้งนี้ แลคตาซอยได้เชิญไกด์ท้องถิ่น พิมพ์นารา ศุภจรัสพัฒน์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เล่าถึงพิธีกรรมไหว้พระธาตุตามคติความเชื่อของชาวอีสาน ว่า การบูชาพระธาตุถือเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ เพราะพระธาตุเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การไหว้พระธาตุจึงเปรียบเสมือนการกราบไหว้สิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า อันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่ผู้ที่บูชาด้วยจิตศรัทธา

ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่คณะบุญของแลคตาซอยได้มากราบไหว้บูชาพระธาตุถึง 9 องค์ เบิกฤกษ์มงคลด้วยการบวงสรวงพระธาตุเชิงชุม ปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนคร สร้างครอบรอยพระบาทพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ โดยคำว่า “เชิง” หมายถึง เทวดา ส่วน “ชุม” คือ การชุมนุม ดังนั้น พระธาตุเชิงชุม จึงเป็นแหล่งชุมนุมของเทวดา ซึ่งผู้ที่ไม่ทราบว่าตนเองเกิดวันใด สามารถมาไหว้พระธาตุเชิงชุมได้ เนื่องจากเชื่อว่ามีเทวดาประจำวันทั้งเจ็ดมาชุมนุมกันอยู่ ณ พระธาตุแห่งนี้แล้ว

ด้านความหมายของทิศในการไหว้พระธาตุ สื่อถึงความเชื่อที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ผู้คนจะกราบไหว้ประธาตุโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น จึงหมายถึงการเริ่มต้นสู่ความสว่างไสวของชีวิต เสริมให้ชีวิตมีทางออกที่ดี หากหันหน้าไปทางทิศเหนือ หมายถึง การมีอำนาจบารมีอยู่เหนือผู้อื่น หากหันหน้าไปทางทิศใต้ หมายถึง การเสริมบารมีส่งผลให้มีบริวารที่ดี เกื้อหนุนให้การงานก้าวหน้า และหากหันหน้าไปทางทิศตะวันตก หมายถึง การขอพรให้สิ่งชั่วร้ายหมดไปจากชีวิต ทิศนี้จึงเป็นทิศในเรื่องของการสะเดาะเคราะห์นั่นเอง

ส่วนตำนานการบูชาพระธาตุประจำวันเกิดนั้น หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย เป็นผู้ริเริ่มขึ้น ต่อมาช่วงปี 2546 อ.คฑา ชินบัญชร พร้อมด้วยปราชญ์ท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ได้มารับคำปรึกษาจากหลวงปู่เกี่ยวกับการกำหนดพระธาตุประจำวันเกิด ซึ่งจังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันเป็นองค์พระธาตุหลัก และมีพระธาตุบริวารล้อมรอบ โดยใช้ตำราตรวจดูเทพนพเคราะห์ประจำวันและทิศ จนสามารถกำหนดพระธาตุประจำวันเกิดได้ทั้ง 7 วัน 8 พระธาตุ ดังนี้

พระธาตุพนม สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระธาตุเก่าแก่มากที่สุดในแดนอีสาน และเป็นพระธาตุแห่งเดียวที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ หรือ กระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอีสาน รวมไปถึงพี่น้องชาวลาว โดยเชื่อกันว่าผู้ที่นมัสการพระธาตุพนมจะได้รับอานิสงส์มีบุญบารมี และมีคนให้ความเคารพนับถือ

พระธาตุเรณู สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดธาตุเรณู อำเภอเรณูนคร องค์พระธาตุมีลักษณะจำลองมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า ภายในบรรจุพระไตรปิฎก พระพุทธรูป และของมีค่าต่างๆ โดยเชื่อกันว่าผู้ที่ได้นมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีวรรณะงดงามผุดผ่องดังแสงจันทร์

พระธาตุศรีคุณ สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ประดิษฐานอยู่ที่วัดธาตุศรีคุณ อำเภอนาแก ลักษณะคล้ายองค์พระธาตุพนม ภายในบรรจุพระอรหันตสารีริกธาตุของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระสังกัจจายนะ เชื่อกันว่าผู้ที่ได้นมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีศักดิ์ศรีทวีคูณ เสริมพลังนักสู้ให้มีจิตใจเข้มแข็งขึ้น

พระธาตุมหาชัย สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน ประดิษฐานที่วัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตสารีริกธาตุของพระอัญญาโกณฑัญญะ พระภิกษุสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่าผู้ที่ได้นมัสการจะได้รับอานิสงส์ประสบแต่ชัยชนะในชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์

พระธาตุมรุกขนคร สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน เป็นพระธาตุบริวารของพระธาตุพนมองค์ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพระธาตุบริวารทั้งเจ็ดองค์ ประดิษฐานที่วัดมรุกขนคร อำเภอธาตุพนม ซึ่งเป็นวัดที่มีอายุเกือบสามร้อยปีมาแล้ว

พระธาตุประสิทธิ์ สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ประดิษฐาน อยู่ที่วัดธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตสารีริกธาตุรวม 7 องค์ พระพุทธรูปเก่าแก่ ดินจากสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย 4 แห่ง และพระพุทธบาทจำลองที่อัญเชิญมาจากกรุงเทพฯ เชื่อว่าผู้ที่ได้นมัสการพระธาตุประสิทธิ์ จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการงาน ก้าวหน้าสมดังประสงค์

พระธาตุท่าอุเทน สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน ภายในบรรจุพระพุทธสารีริกธาตุ ซึ่งอัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เชื่อกันว่าผู้ได้นมัสการพระธาตุแห่งนี้จะได้รับอานิสงส์ให้ชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ

พระธาตุนคร สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ประดิษฐาน อยู่ที่วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองนครพนม ภายในบรรจุพระอรหันตสารีริกธาตุ องค์พระพุทธรูปทองคำ และของมีค่าต่างๆ จากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เชื่อกันว่าผู้มาสักการะจะได้อานิสงส์ให้มีบุญบารมี และมีอำนาจวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

ปิดท้ายด้วยการไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดป่าสุทธาวาส พร้อมกราบสักการะหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ผู้เป็นแม่ทัพธรรมแห่งภาคอีสาน ถือเป็นการจบทริปที่สร้างความสุข อิ่มบุญอิ่มใจให้กับผู้ร่วมกิจกรรมทุกคน สำหรับผู้สนใจร่วมทำบุญสร้างกุศลกับแลคตาซอยในครั้งต่อไป สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเฟซบุ๊ก Lactasoy

The post ยกทีมแลตตาซอย บุกอีสาน “ทำบุญใหม่ 9 พระธาตุ” เสริมดวงรับปี 2018 appeared first on Brand Buffet.

ไทยพาณิชย์ เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “SCB EASY Gifts” เป็นอั่งเปาดิจิทัลเพื่อคุณ [PR]

$
0
0

ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์แบงก์กิ้ง ประเดิมต้นปีสร้างสีสันให้ตลาด ดึงกลยุทธ์ Seasonal Marketing ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ “SCB EASY Gifts” (ให้ของขวัญ) สิ่งเล็กๆ แต่แทนความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ ให้ผู้บริโภคส่งความสุขช่วงตรุษจีนด้วยอั่งเปาดิจิทัลแบบที่เงินสดไม่สามารถทำได้ ด้วย Gimmick ชุดตัวเลขมงคลที่เป็นจุดทศนิยม ความหมายดี เสริมโชครอบด้าน สามารถส่งความเฮงง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน SCB EASY รับเทศกาลมงคลนี้ คาดจะมียอดผู้ใช้งานผ่านฟีเจอร์ใหม่ SCB EASY Gift #เป็นอั่งเปาเพื่อคุณ กว่าแสนคน มั่นใจสามารถเพิ่มยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น SCB EASY ทะลุ 10 ล้านราย ภายในสิ้นปี 2561

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “หลังจากที่ธนาคารเปิดตัวแอปพลิเคชัน SCB EASY โฉมใหม่ไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2560 ที่ผ่านมา ทำให้มีลูกค้าดาวน์โหลดใช้แอปพลิเคชัน SCB EASY เพิ่มเป็น 6 ล้านราย ด้วยยอดผู้ใช้งานที่ Active กว่า 70% ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ แบงก์กิ้งจึงไม่หยุดที่จะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์มาให้ลูกค้าได้ใช้อย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์แบงก์กิ้ง ตั้งเป้าเข้าถึงความต้องการของลูกค้ายุค 4.0 พร้อมส่งฟีเจอร์ใหม่ “SCB EASY Gifts” (ให้ของขวัญ) สิ่งเล็กๆ แต่แทนความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เซอร์ไพรส์เพื่อน หรือคนพิเศษในทุกช่วงเวลาสำคัญ ด้วยการส่งของขวัญหรือโอนเงินเพื่อมอบความพิเศษในวันดีๆ ดึงเอา Seasonal Marketing อย่างวันตรุษจีน ที่คนนิยมส่งความสุขด้วยอั่งเปากัน เมื่อรวมกับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศไทย ธนาคารจึงได้คิด Gimmick อั่งเปาจิทัลแบบที่เงินสดไม่สามารถทำได้ ด้วยชุดตัวเลขมงคลที่เป็นจุดทศนิยม ความหมายดี เล่นกับ insight ผู้บริโภคที่มีความเชื่อในตัวเลข และเชื่อว่าการได้รับเลขมงคลจะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตมีแต่ความสุขรับปีใหม่จีน คาดจะมียอดผู้ใช้งานผ่านฟีเจอร์ใหม่นี้ได้กว่าแสนคน ธนาคารมั่นใจว่าการทำตลาดอย่างต่อเนี่องจะสามารถเพิ่มยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน SCB EASY ทะลุ 10 ล้านราย ภายในสิ้นปี 2561 ได้อย่างแน่นอน”

สามารถสัมผัสและทดลองส่งความสุขผ่านฟีเจอร์ใหม่  “SCB EASY Gifts” (ให้ของขวัญ) ได้แล้ววันนี้ เพียงเข้าไปที่หน้าแอปพลิเคชัน SCB EASY แล้วกด Gifts (ให้ของขวัญ) เลือกรูปแบบการให้เงิน โดยกดปุ่ม เงินอั่งเปา จากนั้นเลือกผู้รับของขวัญ กดจำนวนเงินที่ต้องการส่งให้ พร้อมส่งข้อความที่จะส่งไปพร้อมกับของขวัญ เพื่อส่งความสุขเสริมความเฮงได้ง่ายๆ ด้วยชุดเลขมงคล อาทิ 545.45 บาท มีปัญญา เจริญรุ่งเรือง, 565.65 ให้โชคลาภ ร้วยรวย, 595.95 บาท ให้แข็งแรง สุขภาพดี, 999.99 ชีวิตก้าวหน้า บารมีเยอะ, 2424 บาท ให้ค้าขายคล่องๆ

#SCBEASY #เป็นอั่งเปาเพื่อคุณ #เป็นความสุขเล็กๆเพื่อคุณ

 

The post ไทยพาณิชย์ เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “SCB EASY Gifts” เป็นอั่งเปาดิจิทัลเพื่อคุณ [PR] appeared first on Brand Buffet.

ไทยยังติด Top 3 ประเทศปลายทางยอดฮิต FIT จีน “ไป่ตู้”แนะแบรนด์ไทยเลือกสื่อสารให้ถูกช่อง [PR]   

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอด  4-5 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนและผลักดันตลาดการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมไปถึงมีส่วนในการผลักดันเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้จากภาคธุรกิจท่องเที่ยวด้วยสัดส่วนประมาณ 20% จากรายได้รวมของทั้งประเทศ

จึงกลายเป็นโอกาสทั้งสำหรับภาครัฐและเอกชนที่ให้ความสนใจในการทำตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน และเตรียมกลยุทธ์การตลาดรองรับไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะสามารถสร้างรายได้ทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการณ์ที่ปรับตัวได้เร็ว รวมทั้งสามารถเลือกช่องทางในการเข้าหาลูกค้าได้อย่างเหมาะสม

คุณพัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ ประเทศไทย กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามา ท่องเที่ยวในประเทศไทยในปี 2560 ที่ผ่านมา มีอยู่ราว 9 ล้านคน สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้กว่า 400 ล้านบาท ขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีน เริ่มนิยมเดินทางแบบอิสระ หรือการท่องเที่ยวแบบ FIT (Free and Independent Traveler) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางออกนอกประเทศทั้งหมด ซึ่งนักท่องเที่ยวในกลุ่ม FIT นี้จะมีพฤติกรรมเด่นๆ คือ มักจะมีการค้นหาข้อมูลและวางแผนการเดินทางด้วยตนเองจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ก่อนเดินทางอยู่เสมอ

ขณะเดียวกัน ไป่ตู้ แอคเซส คาดการณ์ว่า ในปีนี้สถานการณ์การท่องเที่ยวแบบ FIT ของกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน จะมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น และตามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มักจะเลือกเก็บประสบการณ์และค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความแตกต่าง   รวมทั้งชอบเผยแพร่เรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อสังคมออนไลน์

“ข้อมูลสำคัญคือ ประเทศไทยยังคงติด Top 3 ในการเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงเป็นโอกาสของแบรนด์หรือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าไปเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ด้วยการเลือกใช้สื่อในการเผยแพร่ข้อมูลหรือทำตลาดที่สามารถเข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายคนจีนและนักท่องเที่ยวแบบ FIT เพื่อสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และกระตุ้นให้เกิดดีมานด์ได้อย่างเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ”

โดยเฉพาะการเลือกใช้สื่อเพื่อสร้างโอกาสของแบรนด์ในการทำตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวรวมทั้งชาวจีนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่กว่า 731 ล้านคน จากประชากรทั้งสิ้นราว 1,389 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่มาก รวมทั้งช่องทางการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นเวปไซต์ แอพลิเคชั่น หรือการใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียง จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์เหล่านั้นได้มากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแบบ FIT ที่ต้องการข้อมูลจากการค้นหาเพื่อเปรียบเทียบ และข้อมูลการสื่อสารผ่านช่องทางในกลุ่มสังคมออนไลน์

เพราะลักษณะการใช้สื่อโซเชียลของชาวจีนจะมีช่องทางที่ค่อนข้างเฉพาะตัว โดยจะเลือกใช้ช่องทางซึ่งเป็นที่นิยมใช้เฉพาะในหมู่คนจีน มากกว่าการใช้สื่อโซเชียลซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป การทำตลาดผ่าน International Top Platform ทั่วๆ ไป จึงอาจไม่ได้ผลในการกระตุ้นการรับรู้หรือสร้างแบรนด์ได้มากนัก แต่ต้องใช้ช่องทางที่คนจีนนิยมใช้ อาทิ Youku (YouTube), RenRen (Facebook), Weibo (Twitter), Wechat (Line) รวมทั้งเซิร์ชเอนจิ้นที่ชาวจีนนิยมคือ Baidu (Google), Mafengwo Qyer (Tripadvisor), Ctrip (Expedia) ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยควรที่จะได้ศึกษาข้อมูลในเรื่องการใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจก็จะถือเป็นข้อได้เปรียบมากกว่า  พร้อมทั้งความกระตือรือร้นในการปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ภาพเปิด :  NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

The post ไทยยังติด Top 3 ประเทศปลายทางยอดฮิต FIT จีน “ไป่ตู้” แนะแบรนด์ไทยเลือกสื่อสารให้ถูกช่อง [PR]    appeared first on Brand Buffet.

จับ Insight คนกรุงปวดฉี่ยามรถติด! พลิกสู่ไอเดียธุรกิจ “ห้องน้ำพกพา” นวัตกรรมแก้ปัญหาอั้นฉี่

$
0
0

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

“กรุงเทพมหานคร” นอกจากขึ้นชื่ออาหารการกิน ที่มีตั้งแต่ร้านหรู จนถึงสตรีทฟู้ด และสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับเมืองหลวงประเทศไทยมาตลอดทุกยุคสมัย คือ “ปัญหารถติด” ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วน ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงติดอยู่บนถนน

“TomTom” ผู้ผลิตและให้บริการ GPS เผยผลสำรวจการจราจรใน 390 เมือง 48 ประเทศทั่วโลก ผลปรากฏว่า “กรุงเทพมหานคร” ติดอันดับ 1 เมืองที่มีการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนมากที่สุดในโลก !! รองลงมาคือ เม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก, เมืองบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย, จากาตาร์ อินโดนีเซีย, มอสโก รัสเซีย

ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ขับรถต้องเจอกับตัวเอง หรือแม้แต่คนรอบข้างอยู่บ่อยครั้ง คือ “ปวดปัสสาวะ” เป็นความทรมานเกินบรรยาย หลายคนใช้วิธีอั้น และอีกหลายคนใช้แก้วกาแฟ ขวดน้ำ หรือถุงพลาสติก

จาก Pain Point ของคนขับรถในเมือง กลายเป็นไอเดียที่ถูกนำไปต่อยอดพัฒนานวัตกรรม “ห้องน้ำพกพา WC PEEC” ผลิตภัณฑ์ของ “WC PLUS+” เหมาะสำหรับการใช้งานบนรถ แคมป์ปิ้ง เดินทางไปยังต่างประเทศที่ห้องน้ำไม่สะดวกสบายในการใช้

เรียนรู้ Pain Point คนใกล้ตัว สร้างไอเดียปั้นธุรกิจ

จุดเริ่มต้นของธุรกิจ “WC PLUS+” นวัตกรรมห้องน้ำ เริ่มต้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย “คุณสุธินี กิตติภัทรากุล” ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอบริษัท ฟิตโมลด์ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งในเวลานั้นเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง ได้สังเกตเห็น Pain Point ของคนใกล้ตัวที่เวลาอยู่นอกบ้าน ไม่ยอมเข้าห้องน้ำสาธารณะ เพราะกังวลเรื่องความสกปรก จึงยอมอั้นปัสสาวะ แล้วกลับไปเข้าที่บ้าน

คุณสุธินี ได้จุดประกายไอเดียจากปัญหาที่คนใกล้ตัวเจอบ่อยๆ นำไปสู่การริเริ่มพัฒนานวัตกรรมสำหรับสุขอนามัยการเข้าห้องน้ำ ในที่สุดได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก “กรวยยืนปัสสาวะ” แบบใช้แล้วทิ้ง ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องนั่งบนโถชักโครก โดยเจาะตลาดผู้หญิง และผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะมีปัญหาปวดเข่า ทำให้ลุก-นั่งลำบาก

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

ต่อมาด้วยความที่ครอบครัวของสามีคุณสุธินี ทำธุรกิจโรงงานผลิตแม่พิมพ์พลาสติกป้อนให้กับอุตสาหกรรม ต่างๆ อยู่แล้ว คุณสุธินีและสามี จึงมีแนวคิดต่อยอดสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการพัฒนานวัตกรรม “ห้องน้ำพกพา WC PEEC” ซึ่งมาจากคำว่า Pee in Car

“กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องรถติดมากเป็นอันดับ 1 ของโลก เรารู้ว่าคนขับรถ จะมีปัญหาปวดปัสสาวะ อยากหาห้องน้ำ แต่ด้วยความที่ติดอยู่กลางถนน ก็หาห้องน้ำไม่ได้ ทำให้บางคนใช้วิธีอั้น โดยเฉพาะผู้หญิง นานวันเข้ากลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และบางคนอั้นมากๆ ลามไปเป็นกรวยไตอักเสบ จากปัญหาดังกล่าว นำมาสู่การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ห้องน้ำพกพา” เพื่อแก้ปัญหาที่คนในกรุงเทพฯ ประสบอยู่” คุณสุธินี เล่าที่มาของไอเดียธุรกิจห้องน้ำพกพา

ใน 1 กล่อง ประกอบด้วย ถุงรองรับปัสสาวะ (WE PEEC) 5 ชิ้น, ทิชชู่, แผ่นแอลกอฮอล์ สำหรับเช็ดปากถุง, ถุงสำหรับทิ้ง โดยตรงส่วนที่จับพลาสติกบริเวณปากถุง ผลิตจากโรงงานแม่พิมพ์พลาสติกของครอบครัว ทำมาจากพลาสติก Biomat ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และออกแบบให้ใช้ง่าย ป้องกันการหกเลอะเทอะ ซึ่งปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรแล้ว ขณะที่ตัวถุงพลาสติก ว่าจ้างโรงงานอื่นผลิตให้

1 ถุง สามารถบรรจุของเหลว 1 ลิตร และในกรณีที่ยังใช้ไม่เต็ม 1 ลิตร สามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ แต่ไม่ควรเก็บเกิน 1 อาทิตย์ ขณะที่ภายในถุง มีสาร Liquiddrop นวัตกรรมเปลี่ยนของเหลว ให้กลายเป็นเจล ภายใน 30 วินาที พร้อมทั้งล็อคกลิ่น เพื่อป้องกันการหกรั่วซึม และไม่ให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ เมื่อใช้เสร็จในแต่ละครั้ง ให้ปิดซิปล็อคด้านบนถุง และด้านข้างถุง มีแถบวัดระดับของเหลว

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

นอกจากนี้ได้พัฒนา “ผ้าคลุม” คล้ายกับผ้าคลุมตัดผม เพื่อให้ใช้ WC PEEC ได้อย่างสบายใจ สำหรับคนที่กังวลว่าจะโป๊

ปัจจุบันกำลังการผลิต “ห้องน้ำพกพา WC PEEC” อยู่ที่ 5,000 กล่องต่อเดือน มียอดขาย 500 กล่องต่อเดือน หรือประมาณ 200,000 – 300,000 บาทต่อเดือน โดย 1 กล่อง ราคา 590 บาท สามารถเก็บได้นาน 5 ปี ขณะที่ผ้าคลุม จำหน่ายในราคา 390 บาท ซื้อครั้งเดียว ใช้ไปได้ตลอด โดยสินค้าวางจำหน่ายที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ, ร้าน SE-ED และช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook และเว็บไซต์ WC PLUS+

Photo Credit : YouTube WC Plus

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

เดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์-วิธีการใช้ พร้อมตั้งเป้าเป็น Item รถทุกคันมีติดไว้

ด้วยความที่เป็นแบรนด์ใหม่ และสินค้าแนวคิดใหม่สำหรับตลาดไทย ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงยังไม่คุ้นเคย ดังนั้น การสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ และวิธีการใช้ จึงสำคัญมาก

คุณสุธินี เล่าว่า ลูกค้า 90% เป็นกลุ่มผู้หญิง ทั้งซื้อให้ตัวเอง และซื้อให้คนอื่น เช่น แม่ซื้อให้ลูก ซื้อให้ผู้สูงอายุ ซื้อให้แฟน หรือสามี และได้ฐานลูกค้าผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากคนท้องจะปัสสาวะบ่อย รวมถึงผู้หญิงซื้อไปใช้เวลาไปตั้งแคมป์ เพื่อตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องออกจากที่พักมาเข้าห้องน้ำ

อย่างไรก็ตาม ความที่เป็นสินค้าใหม่ ยังต้อง Educate วิธีการใช้ให้กับผู้บริโภค เพราะฉะนั้นการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยปีนี้จะปรับการสื่อสารให้ดีขึ้น ทำภาพให้สื่อเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพื่อให้คนรู้จักสินค้านี้มากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้หญิง และผู้ชาย โดยสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากกำหนดงบประมาณได้ และต้นทุนน้อยกว่าสื่อประเภทอื่น

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

“เราอยากทำให้คนรู้สึกไม่อายที่จะใช้ “ห้องน้ำพกพา” เพราะที่ผ่านมาเราเจอ Consumer Insight ของลูกค้าหลายคนที่เห็นแล้ว ไม่กล้าใช้ ขนาดเราออกแบบมาดี รัดกุม เขาก็ยังไม่กล้าใช้ เพราะฉะนั้นความท้าทายของการทำตลาดนี้ จึงอยู่ที่การเปลี่ยนพฤติกรรมคนที่ไม่เคยใช้มาก่อน ให้เปิดใจลองใช้

แต่ขณะเดียวกันเราพบว่าคนรุ่นใหม่เปิดใจยอมรับมากขึ้น และคนที่มีปัญหากับการปวดปัสสาวะและการเข้าห้องน้ำมากๆ ผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่กลัวที่จะใช้สินค้าของเรา เพราะเขารู้ว่าความทรมานจากการปวดปัสสาวะ และลามไปสู่กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และกรวยไตอักเสบ หนักกว่า”

ขณะที่คู่แข่งในตลาด “ห้องน้ำพกพา” คุณสุธินี ฉายภาพว่า สินค้าห้องน้ำพกพาที่วางจำหน่ายในตลาดเวลานี้ ส่วนใหญ่เป็นของจีน ซึ่งการออกแบบปากถุงใช้งานยากกว่า เพราะถ้าออกแบบไม่ดี จะทำให้เลอะเทอะ และสินค้าของจีน แค่เปลี่ยนของเหลว ให้เป็นเจลเท่านั้น ไม่ได้มีเทคโนโลยีล็อคกลิ่น ขณะที่ของ WC PEEC ได้จดสิทธิบัตรการออกแบบปากถุง และมีเทคโนโลยีล็อคทั้งของเหลว และกลิ่น

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

“ในปีนี้ จะเปิดตัว “ห้องน้ำพกพา” สำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพราะพบว่าเด็กๆ มีปัญหาปวดปัสสาวะบ่อย โดยปรับถุงบรรจุของเหลวให้สั้นลง พร้อมทั้งตั้งเป้าสร้างการเติบโตด้านยอดขาย ให้แตะระดับ 500,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ในอนาคตวางแผนขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยมองประเทศที่เผชิญปัญหารถติด เช่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศที่ชอบ Outdoor Activity ขณะที่เป้าหมายใหญ่ที่อยากเห็นคือ อยากให้คนที่ใช้รถ มีสินค้าเราติดไว้บนรถคันละ 1 กล่อง” คุณสุธินี กล่าวทิ้งท้าย

นวัตกรรม Liquiddrop เปลี่ยนของเหลว ให้กลายเป็นเจล / Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

แม้ “ห้องน้ำพกพา” ในไทย ยังเป็นตลาดเล็กมาก แต่ผลจากการสังเกต “Pain Point” ของคนใกล้ตัวอย่างเรื่องการปวดปัสสาวะเวลารถติด และความยากลำบากในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งก็เป็นปัญหาในชีวิตของหลายคนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน กลายเป็นไอเดียปั้นธุรกิจขึ้นมาได้สำเร็จ

สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสธุรกิจอยู่รอบตัวเราเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะสังเกตเห็น หรือจะมองข้ามไป ?!?

Photo Credit : Facebook WC Plus+ นวัตกรรม ห้องน้ำ สำหรับทุกคน

Credit Photo (ภาพรถติด) : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

The post จับ Insight คนกรุงปวดฉี่ยามรถติด! พลิกสู่ไอเดียธุรกิจ “ห้องน้ำพกพา” นวัตกรรมแก้ปัญหาอั้นฉี่ appeared first on Brand Buffet.

สานต่อ “ศาสตร์พระราชา”เอสซีจีต่อยอดจัดการน้ำทั้งห่วงโซ่ผ่าน “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที”

$
0
0

รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” เป็นการสานต่อโครงการรักษ์น้ำเพื่ออนาคต ที่ทำมากว่า 10 ปี ด้วยการขยายผลความสำเร็จของการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ จากความร่วมมือร่วมใจของ  3 ฝ่าย ทั้งจากภาคเอกชน คือ เอสซีจี หน่วยงานราชการที่ดูแลพื้นที่ในแต่ละชุมชน รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากคนในชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างความอุดมสมบูรณ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ นำมาสู่การสร้างความแข็งแรงให้ชุมชนด้วยการสร้างอาชีพ เพื่อสามารถอยู่ได้ด้วยความเข้มแข็งและยั่งยืน

สำหรับแนวทางในการดำเนินการนั้น เอสซีจีได้น้อมนำพระราชดำริ จากภูผา สู่มหานที มาต่อยอดแนวทางในการบริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเป็นไปตามหลักของการใช้ธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนทุกๆ พื้นที่ เพื่อให้เข้าใจหลักการในการสร้างสมดุลธรรมชาติผ่านการจัดการน้ำในพื้นที่ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม เกิดเป็นห่วงโซ่ที่ยั่งยืนตลอดเส้นทางน้ำ ตั้งแต่การสร้างต้นน้ำที่ดีจากป่าต้นน้ำในภาคเหนือของประเทศไปจนถึงสุดปลายทางน้ำคือชายฝั่งทะเล เพื่อเป็นส่วนผลักดันให้เกิดความสมดุลอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นให้กับประเทศไทย

ต่อยอดการสร้างสมดุลตลอดห่วงโซ่

คุณชลณัฐ ญาณารณพ รองผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า ได้น้อมนำพระราชดำริพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชากาลที่ 9 มาต่อยอดโครงการรักษ์น้ำเพื่ออนาคต ที่เอสซีจีสานต่อมากว่า 10 ปี สู่โครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” เพื่อขยายผลการดูแลจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตลอดเส้นทางน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์ตลอดห่วงโซ่ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากคนในแต่ละพื้นที่ เพื่อความเข้าใจสภาพแวดล้อมและปัญหาในแต่ละพื้นที่ นำมาสู่ความร่วมมือกับชุมชนในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เคยมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ให้กลายเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งเชื่อมโยงการพัฒนาให้ครบทั้งกระบวนการในการจัดการน้ำ ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งการนำองค์ความรู้ที่ได้ไปขยายพื้นที่การพัฒนาให้ครอบคลุมพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต

“เอสซีจีได้เชื่อมโยงโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลบริหารจัดการน้ำตั้งแต่การดูแลความสมบูรณ์ของป่าต้นน้ำ การบริหารน้ำสำหรับใช้ในการทำการเกษตรอย่างพอเพียงในพื้นที่พื้นราบ รวมทั้งการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำ โดยเฉพาะความสำเร็จในการสร้างฝายชะลอน้ำที่ทำมาตลอดสิบปี สามารถสร้างฝายไปได้มากกว่า 75,500 ฝาย ในแหล่งป่าต้นน้ำ และเห็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาไฟป่าที่เคยเกิดไม่ต่ำกว่า 200-300 ครั้งในแต่ละปี ที่ลดจำนวนลงหายไปเกือบหมด รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ที่เห็นได่ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดี ลดปัญหาและผลกระทบจากน้ำป่า น้าท่วม และการพังทลายของหน้าดินในชุมชนภาคเหนือได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความสำเร็จจากหมู่บ้านนำร่องที่ จ. ลำปาง ทำให้เกิดการขยายองค์ความรู้ไปสู่พื้นที่อื่นๆ ตามมา”

สำหรับแนวทางในการบริหารจัดการน้ำตลอดห่วงโซ่  จะใช้วิธีการสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อคืนสมดุลสู่ระบบนิเวศ และแก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจับต้องได้และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยเอสซีจีได้ร่วมกับชุมชน จิตอาสา ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเดินหน้าสร้างฝายชะลอน้ำเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายการสร้างฝายชะลอน้ำให้ครบ  1 แสนฝาย ภายในปี 2020  นี้

ในส่วนกลางน้ำ จะสร้างสระพวงเพื่อกักเก็บน้ำร่วมกับชุมชนที่มีพื้นที่เหมาะสม เพื่อขยายพื้นที่การบริหารจัดการน้ำชุมชนในพื้นราบด้วยระบบแก้มลิง เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน และขยายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศด้วยนวัตกรรมบ้านปลาในพื้นที่ปลายน้ำ เพื่อให้ครอบคลุมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และขยายการดำเนินงานไปสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลธรรมชาติจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ชุมชนพัฒนาสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนความยั่งยืนให้ประเทศต่อไป

ใช้นวัตกรรมช่วยขับเคลื่อนโครงการ  

นอกจากความสำเร็จในการสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศตลอดห่วงโซ่ของน้ำแล้ว เอสซีจียังได้นำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีอยู่ไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับโครงการได้มากขึ้น อาทิ การนำ “นวัตกรรมผ้าใบคอนกรีต”  ที่ผสมผสานเทคโนโลยีซีเมนต์และเทคโนโลยีใยสังเคราะห์ซึ่งมีความแข็งแรง และสามารถปรับรูปแบบได้ตามความต้องการใช้งาน มาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยกักเก็บน้ำในสระพวง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพดินเป็นดินทรายที่ไม่อุ้มน้ำ เช่น ในพื้นที่บ้านสาแพะ จ.ลำปาง หรือในพื้นที่อื่นๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกันก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างสะดวก เพราะใช้งานง่าย ขนส่งสะดวก และประหยัดกำลังคนมากกว่าการเทคอนกรีตเพื่อทำสระในวิธีเดิมๆ

ขณะที่ในพื้นที่ปลายน้ำ ได้นำ “ท่อ PE 100” เป็นโครงสร้างสำคัญในการสร้างบ้านปลา ด้วยอายุการใช้งานนานหลายสิบปี มีความแข็งแรงคงทน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะแตกหักเสียหาย กลายเป็นปัญหาต่อระบบนิเวศน์ในทะเลตามมา เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการในการผลิตเม็ดพลาสติกที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยสำหรับการขนส่งน้ำ โดยได้นำมาออกแบบเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ จ.ระยอง รวมทั้งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำ ให้มีที่หลบภัยและเพาะพันธุ์จนมีสายพันธ์เพิ่มมากขึ้นกว่า 120 ชนิด สร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของกลุ่มประมงในพื้นที่ รวมทั้งเป็นต้นแบบในการอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลระหว่างภาคอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนไว้ได้ด้วย

The post สานต่อ “ศาสตร์พระราชา” เอสซีจีต่อยอดจัดการน้ำทั้งห่วงโซ่ผ่าน “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” appeared first on Brand Buffet.


ปรับรับความท้าทายของธุรกิจ AIS ทุ่ม 680 ล้าน พลิกโฉม Serenade Club ตรึงใจผ่าน 5 ประสาทสัมผัส

$
0
0

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ที่มาพร้อมกับพัฒนาการของเทคโนโลยี วันนี้ลูกค้าที่ใช้บริการพื้นฐาน เช่น จ่ายบิลค่าโทรศัพท์ สอบถามโปรโมชั่นเบื้องต้น สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน, เครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ และโซเชียล มีเดียอื่นๆ นั่นทำให้บทบาทของสาขาหรือช็อป มีความสำคัญลดน้อยลงไป แต่ AIS กลับคิดต่าง ด้วยการทุ่มเงินถึง 680 ล้านบาท เพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มเซเรเนด โดยขยาย Serenade Club เป็น 20 สาขาในปีนี้

ทำไม AIS ถึงมองว่าการสร้างประสบการณ์และการให้บริการด้วยช่องทางนี้จึงยังสำคัญอยู่ แล้วลุยหนักในทุกแง่มุม ไปเจาะลึกวิธีคิดจากเบอร์ 1 ของโทรคมนาคมไทย ร่วมกัน…

จากจำนวนลูกค้าทั้งหมด 40 .1 ล้านเลขหมาย มีลูกค้าเซเรเนดทุกเซกเมนต์รวม 4.5 ล้านราย คิดเป็น 10% กว่าๆ แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ กลับสร้างรายได้ให้กับ AIS ถึงเกือบ 30% และคาดว่าภายในปี 2018 นี้ ลูกค้าเซเรเนดจะเพิ่มขึ้นอีก 40% เป็น 6.3 ล้านราย ด้วย 3 เหตุผล คือ 1. มีบริการใหม่ๆ ที่มาช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าเซเรเนดได้มากยิ่งขึ้น เช่น บริการเน็ตบ้าน AIS Fibre 2. ให้ลูกค้าที่มีเบอร์ของเอไอเอสหลายเลขหมาย สามารถรวมเบอร์ เพื่อรับสิทธิ์เซเรเนด ภายใต้ชื่อคนจดทะเบียนเดียวกันได้  3. โปรโมชั่นที่ลูกค้าสมัครแล้ว จะได้รับสิทธิ์เซเรเนดในทันที

ในส่วนของความต้องการของลูกค้า  AIS ได้รวบรวมความคิดเห็นของลูกค้าพบว่า พฤติกรรมของลูกค้า
เซเรเนด ต้องการข้อมูลเรื่องดีไวซ์ที่เป็นรุ่น Flagship อีกทั้ง มีความต้องการใช้บริการอื่นๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น หากแบรนด์สามารถตอบสนองความต้องการได้ ก็จะกลายเป็นลูกค้าที่ให้การสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้อยู่กับ AIS ไปนานๆ สิ่งที่ AIS ต้องทำก็คือ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน ทั้ง Service, Privilege, Activity และ Touch Point จนเป็นที่มาของการพลิกโฉม Serenade Club ใหม่ ประเดิมที่ 2 สาขา คือ เอ็มควอเทียร์ กับ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ภายใต้แนวคิด The Ultimate Service Experience – ที่สุดของบริการเหนือระดับ” ด้วย 5-Sense Experience ประกอบด้วย

1.SEE ดีไซน์ใหม่ การออกแบบที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยดีไซน์ที่มีระดับแต่เรียบง่าย โดย PIA Interior บริษัทออกแบบภายในชั้นนำของเมืองไทย หลักคิดการออกแบบก็คือ Seneration มาจาก Serenade และ Next Generation มีความเรียบ โก้ Sophisticate แต่แฝงไปด้วยพลัง ในส่วนของสีทองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเซเรเนด ก็ใช้โทนสีอ่อนลง แต่วาวมากขึ้น เรียกว่าสีทองแชมเปญ และที่สะดุดตามากยิ่งขึ้นกับ Façade ที่ออกแบบให้เห็นเส้นสายสีทองแสดงการเชื่อมโยง นอกจากนี้ ยังมีโซน Lounge ให้ความหรูหราแต่เรียบง่ายนั่งสบาย และ Digital Bar ที่พร้อมให้คำปรึกษา และบริการลูกค้า โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากเอไอเอส คอยให้คำแนะนำในทุกคำถาม

2.SAVOR รสชาติ สัมผัสความอร่อยไปกับของว่างจากวัตถุดิบชั้นดี อย่างในวันเปิดตัว Serenade Club โฉมใหม่ ก็ได้ลิ้มรสชาติ มาการองสูตรพิเศษ แมนดาริน โอเรียลเต็ล จากโรงแรมหรู ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว แถมมาการองยังมีสีม่วง ทอง ของความเป็นเซเรเนดออกมาปรากฏโฉม ถือเป็นเมนูของว่างที่ถูกนำมาจัดวางในเทศกาลพิเศษต่างๆ และจะมีเมนูพิเศษๆ มาให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกันตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังมีขวดน้ำดื่มใน Packaging ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย Cerebrum Design บริษัทออกแบบชื่อดังของคนไทย ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลก RED DOT Design Award มาแล้ว โดยรางวัลนี้เทียบได้กับรางวัลออสการ์ของนักออกแบบเลยทีเดียว ทำให้ขวดน้ำของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่แรกเห็น

3.SCENT กลิ่น ความหอมที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ กับกลิ่น “Serendipity” ที่ทาง PANPURI แบรนด์เครื่องหอมออร์แกนิค ระดับลัคชัวรี่ชั้นนำของเมืองไทย ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อใช้ใน Serenade Club เท่านั้น โดยผสานความสดชื่นของผลไม้ และความผ่อนคลายจากต้นไม้ใบหญ้า ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นกลิ่นที่มอบความสดชื่น รื่นรมย์ และมีพลัง

4.SOUND เสียง สร้างสรรค์บรรยากาศให้ความรู้สึกผ่อนคลายด้วยดนตรีสไตล์ Groove Jazz จาก Hitman Jazz ค่ายเพลงแจ๊สรายแรกของประเทศไทย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุค Next Generation

5.SERVICE บริการ ที่สุดของการบริการจาก Serenade Ambassador ที่ได้รับการอบรมด้วยหลักสูตรคัดเฉพาะ เพื่อคุณภาพงานบริการสูงสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น หลักสูตรด้านงานบริการ, หลักสูตรด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ, หลักสูตรด้านการพัฒนาทัศนคติเพื่องานบริการที่ดี สู่การเป็นที่สุดของผู้ให้บริการ พร้อมเปลี่ยนโฉมยูนิฟอร์มใหม่ที่มีการออกแบบเฉพาะตัว เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ และให้เกิดความคล่องตัวระหว่างการให้บริการลูกค้า เช่น รองเท้าที่ต้องใส่อยู่ตลอดวัน สอดแทรกกิมมิคเล็กๆ ที่ผ้าพันคอของพนักงานหญิง และ“Pocket Square” ของพนักงานชายเป็นลาย Serenade Monogram จากแบรนด์ “VATANIKA”

 

และนอกจาก 2 สาขาที่กล่าวมาแล้ว โมเดลการให้บริการในมาตรฐานเดียวกันนี้ จะถูกขยายไปทั้งหมด 20 แห่ง เพื่อรองรับพื้นที่การใช้งานของลูกค้าเซเรเนดในกรุงเทพ รวมถึงพื้นที่หัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง และหาดใหญ่  ภายในปีนี้

คุณบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บริษัท แอดวานซ์
อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการขยายเซเรเนด คลับ เอาไว้ว่า “เอไอเอส ต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราในทุกๆ ด้าน เซเรเนดเป็นสิ่งที่เราทำมาอย่างต่อเนื่องตลอด 14 ปี ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ก็เชื่อว่าผู้บริโภคมีความชื่นชอบในบริการของเรา ที่ผ่านมา จากการศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจของลูกค้ายุคปัจจุบัน โดยการวัด Customer Satisfaction Index (CSI) ได้คะแนนถึง 89% แต่ปัจจุบัน
เทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่ต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง ยืนยันได้จากคะแนนความพึงพอใจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมผ่านตู้อัตโนมัติที่ได้คะแนนสูงถึง 96% โดยสามารถทำเสร็จได้ภายใน 2 นาที เพราะฉะนั้น ฟังก์ชั่นของ Serenade Club นับจากนี้ก็ต้องเป็น Premium Service Center”

“ที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามว่าในช่วงที่เราอยู่ระหว่าง Digital Transformation หรือ Digital Disruptive เอไอเอสมีนโยบายปิดสาขาเหมือนอย่างอุตสาหกรรมอื่นหรือไม่ ต้องอธิบายว่า มีความแตกต่างกันมากอย่างธุรกิจธนาคาร ที่มีจำนวนสาขานับพันแห่ง แต่ของเอไอเอส หากไม่นับร้าน Telewiz ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา จะมีสาขาอยู่ประมาณ 140-150 สาขาเท่านั้น และบริการที่ลูกค้าต้องการจากเราก็ต่างจากบริการจากแบงก์ ลูกค้ายังต้องการมาหยิบจับ มาอัพเดทเทรนด์ และทดลองใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ หมุนเวียนกันมาอยู่ตลอดทั้งวัน ดังนั้น เอไอเอสยืนยันว่าไม่มีการปิดสาขา แต่เราจะยิ่งต้องเพิ่ม และเพิ่มประสิทธิภาพของงานบริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย”

The post ปรับรับความท้าทายของธุรกิจ AIS ทุ่ม 680 ล้าน พลิกโฉม Serenade Club ตรึงใจผ่าน 5 ประสาทสัมผัส appeared first on Brand Buffet.

The Buffalo Amphawa เรื่องของ “ควาย” กลายเป็นงานศิลป์แบบ “คราฟต์ๆ”

$
0
0

ปรัชญาการออกแบบ The Buffalo Amphawa (เดอะ บัฟฟาโล อัมพวา) เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดสมุทรสงครามที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองสายน้ำสามเวลา” ที่มีความผูกพันกับสภาพน้ำ 3 รูปแบบ ทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย ตลอดการใช้ชีวิตทั้ง 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ซึ่งชีวิตกับสายน้ำได้ผูกพันกันอย่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกลายเป็นอัตลักษณ์ของผู้คนในเมืองนี้

ทีมออกแบบจึงได้สร้างสรรค์ให้ The Buffalo Amphawa สะท้อนวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงครามที่มีวิถีชีวิตอยู่ริมคลองและผูกพันกับสายน้ำ ทั้งทางด้านโครงสร้าง งานศิลปะ และการตกแต่ง โดยเน้นงาน Craft ที่มีความประณีต และใช้ผลงานจากนักออกแบบที่เรียนจบแล้วกลับมาผลิตผลงานให้กับชุมชน

(ซ้าย) คุณปกรณ์ ธีระวรชาติ (คนกลาง) คุณนพพร เริ่มรวย (ขวา) คุณกรกต อารมย์ดี

สำหรับทีมออกแบบประกอบด้วยศิลปินและนักออกแบบหลายท่าน อาทิ คุณปกรณ์ ธีระวรชาติ, คุณนพพร เริ่มรวย และคุณอนุรักษ์ อ่วมธรรม โดยมี คุณกรกต อารมย์ดี เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งคุณกรกตนับเป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลทางด้านการออกแบบมาแล้วมากมายทั้งในและต่างประเทศ เช่น รางวัลศิลปาธร, ASEAN Selection 2017 จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ, Design for Asia Award 2008 จาก Hong Kong Design Award และ Good Design Award 2015 จาก Japan Industrial Design Promotion

ภายใต้ความร่มรื่นและเป็นธรรมชาติของ The Buffalo Amphawa ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ โรงแรม ร้านกาแฟ และร้านอาหาร

 

– The Buffalo Hotel ออกแบบในสไตล์ loft โดยคุณปกรณ์ ธีระวรชาติ มีลักษณะเป็น Boutique (Art) Hotel มีงานออกแบบและงานศิลปะที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงคราม ตกแต่งด้วย ว่าวจุฬาและปักเป้าสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น บรรยากาศภายในห้องพักเน้นความเรียบง่าย พร้อมรายละเอียดวิถีชีวิตของชาวสมุทรสงครามที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ ยังตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมเสมือนจริง ฝีมือศิลปิน คุณชัยวุฒิ เทียมปาน ซึ่งมีการใช้ ไม้และไม้ไผ่ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ไม้ที่ใช้ทำประตูเป็นไม้สักที่ได้จากป่าปลูก ซึ่งเป็นกิจกรรมดั้งเดิมของเจ้าของกิจการ บานประตูมีความสูง 3 เมตร ทำให้ห้องพักมีความโปร่งสบาย

ทางเดินรอบห้องพักล้อมรอบด้วย บ่อน้ำ แสดงความเป็นเมืองที่มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ สระว่ายน้ำปูกระเบื้องสีเหลือง เมื่อสะท้อนกับแสงในยามค่ำคืนจะให้บรรยากาศเหมือนคลองในอัมพวาในวันพระจันทร์เต็มดวงที่มีความเหลืองอร่าม ในส่วนของ Bamboo Wall ลวดลายสายน้ำบริเวณ lobby ฝีมือการออกแบบของคุณกรกต อารมย์ดี

การออกแบบองค์ประกอบของสถานที่ ใช้ ต้นมะพร้าว ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมการทำน้ำตาลมะพร้าวในจังหวัด กำแพงเสาไม้สัก บริเวรณ Lobby สะท้อนการนำไม้สักจากป่าปลูก ประดับด้วย โอ่ง ที่มีการออกแบบลวดลายเป็นรูปควาย สัญลักษณ์ของโรงแรม ฝีมือการออกแบบของ เถ้าฮงไถ่ โรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่คู่เมืองราชบุรี

นอกจากนี้ โรงแรมยังตกแต่งด้วย ลูกยางนา ที่ทำจากโลหะ ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกตามคันนา และเป็นของเล่นของเด็กในสมัยก่อน พร้อมการตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ ปลาทูแม่กลอง สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรสงคราม โดยปลาทูจะว่ายวนในทิศที่พาแขกของโรงแรมเข้า
สู่ห้องพักจากบริเวณ lobby ลักษณะการว่ายเหมือนปลาทูว่ายวนไปวางไข่ในอ่าวไทยแล้วว่ายวนกลับมาที่บริเวณปากอ่าวแม่น้ำแม่กลองในช่วงโตเต็มวัย ในห้องประชุมออกแบบให้เป็นเพดานสายน้ำและโคมไฟปลาทู

 

– The Buffalo Café การออกแบบในส่วนของร้านกาแฟเน้นความเรียบง่าย บรรยากาศเหมาะกับการนั่งพักผ่อนและชมบรรยากาศริมคลองแม่กลอง รูปทรงของ The Buffalo Café หากมองจากมุมบนลงมาจะเห็นเป็นรูป หลังควาย ที่หมอบอยู่ในน้ำ โดยใช้ ไม้ไผ่ เป็นวัสดุหลัก ซึ่งไม้ไผ่นั้นเป็นตัวแทนของน้ำจืด สะท้อนวิถีชีวิตในรูปแบบหนึ่งของชาวสมุทรสงคราม

ตัวอักษรชื่อ The Buffalo Café เป็นงาน ลงรักปิดทองคำเปลว เคาน์เตอร์ในร้านสะท้อนภาพลายสายน้ำ เป็นงานช่างฝีมือ ดุนโลหะ (ทองเหลือง) บนโคลนด้วยค้อน เกิดเป็นลวดลายที่มีความอ่อนช้อยสวยงาม บนเพดานเป็นผลงานที่ทำจาก กระดาษว่าว สะท้อนการอนุรักษ์อุตสาหกรรมการทำว่าวของชาวสมุทรสงครามที่มีมาแต่ดั้งเดิม ลวดลายต่างๆ บนกระดาษว่าว เป็นลายไทยที่มีการประยุกต์มาจากภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดอัมพวันเจติยาราม ส่วนบริเวณที่นั่งด้านในเป็นงานไม้ไผ่ของคุณกรกต อารมย์ดี

งานมัดผูกไม้ไผ่ใน The Buffalo Café เป็นงานผูกมัดโดยใช้เงื่อน ยายจูงหลาน ซึ่งเป็นเงื่อนประมงท้องถิ่น พื้นหินขัดมีลวดลายสวยงาม ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพื้นหินขัดที่มีความสวยงามตามวัดต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในจังหวัดสมุทรสงคราม

แก้วกาแฟเครื่องปั้นดินเผาเป็นงานทำมือ ส่วนเมนูที่ไม่ควรพลาดสำหรับร้านกาแฟแห่งนี้ คือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชาไทย กาแฟ และนม ที่มีรสชาติกลมกล่อม

– The Buffalo Restaurant ตัวอาคารของร้านอาหาร The Rusty Rose ทำจากเหล็กที่ทำให้เกิดสนิมแล้วเคลือบ สะท้อนวิถีชีวิตการทำประมงของชาวสมุทรสงครามในบริเวณปากอ่าวแม่น้ำแม่กลอง ตกแต่งภายในอาคารด้วยรายละเอียดของงาน ไม้ไผ่ ฝีมือการออกแบบของคุณกรกต อารมย์ดี ร้านอาหารแห่งนี้พร้อมเสิร์ฟความอิ่มอร่อยด้วยเมนู อาหารไทยและฝรั่ง ที่ผสมผสานวัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น ปลาทู ลิ้นจี่ ฯลฯ สำหรับเมนูที่พลาดไม่ได้ คือ น้ำพริกไข่ฟูทานกับผักสดท้องถิ่น เนื้อปลาทูผัดพริกเกลือ บางเมนูสามารถซื้อกลับไปทำต่อเองที่บ้าน เป็นของติดไม้ติดมือจากจังหวัดสมุทรสงครามได้

นอกจากโรงแรม ร้านกาแฟ และร้านอาหารแล้ว The Buffalo Amphawa ยังมี The Buffalo Playground สำหรับจัดกิจกรรมปลูกข้าว ซึ่งเป็นกิจกรรมในสมัยก่อนของจังหวัดสมุทรสงคราม บริเวณนี้โดดเด่นด้วย หุ่นไล่การูปหนุมาน ตอนเกี้ยวพารานาสีนางสุพรรณมัจฉา สะท้อนศิลปะการแสดงโขนของจังหวัด และยังมี The Buffalo House ที่มีบ้านควายของควายแคระสองตัว คือ คุณกะลา ควายแคระสีดำ และ คุณกะทิ ควายแคระเผือกที่มีอยู่เพียง 4 ตัวในประเทศไทย ซึ่งทั้งสองตัวเป็นสัญลักษณ์และดาวเด่นของที่นี่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีกิจกรรมที่สามารถจัดได้ตามความต้องการของลูกค้า อาทิ การปั้นดินโคลน เวิร์คชอปทำว่าวและขนมไทย ตักบาตร และนั่งเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน รวมทั้งยังมีกิจกรรมพิเศษตามเทศกาลตลอดปี เช่น การทานข้าวในบรรยากาศโรแมนติกในวันวาเลนไทน์ที่ The Rusty Rose กิจกรรมทำขวัญข้าว และกิจกรรมเล่นน้ำสงกรานต์แบบไทย

The Buffalo Amphawa มีห้องพักให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ standard, superior, deluxe และ suites ในราคาเริ่มต้น 3,000 บาท มีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักท่องเที่ยว และองค์กรที่ต้องการจัดประชุมสัมมนา โดยห้องประชุมสามารถรองรับผู้เข้าประชุมได้ 120-150 คน

สำหรับการทำตลาดของ The Buffalo Amphawa นั้น จะมุ่งเน้นไปยังคนไทย 80% ชาวต่างชาติ 20% โดยตั้งเป้าอัตราการจองในช่วง weekend ไว้ที่ 70% ส่วน weekday เน้นไปที่กลุ่มองค์กร ซึ่ง The Buffalo Amphawa มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว จากการที่รัฐบาลมีนโยบาลส่งเสริมให้สมุทรสงครามเป็น ‘เมืองรอง’ ทางการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเลือกจังหวัดสมุทรสงครามเป็นหนึ่ง destination ทางเลือกในการเดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน

นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัสวิถีชีวิตเมืองสายน้ำสามเวลาที่ The Buffalo Amphawa สามารถจองห้องพักได้ที่ www.thebuffaloamphawa.com หรือจองผ่าน online travel agents ต่างๆ อาทิ Agoda, Booking, Expedia และติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทาง FB และ IG : Thebuffaloamphawa

The post The Buffalo Amphawa เรื่องของ “ควาย” กลายเป็นงานศิลป์แบบ “คราฟต์ๆ” appeared first on Brand Buffet.

นิสสันเปิดตัวโชว์รูมแนวคิดใหม่ NREDI แห่งแรกในประเทศไทย [PR]

$
0
0

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ก้าวสู่อีกขั้นของการขยายเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและมอบการบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ด้วยการเปิดตัวโชว์รูม Nissan Retail Environmental Design Initiative หรือ NREDI ที่จังหวัดกาญจนบุรี

โชว์รูมแนวคิดใหม่แห่งแรกในประเทศไทยนี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ กาญจนบุรี จำกัด

“นิสสันกำลังเดินหน้าปรับปรุงและนำเสนอโชว์รูมและศูนย์บริการภายใต้แนวคิดใหม่นี้ทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการโชว์รูมและศูนย์บริการของนิสสันตั้งแต่การขายไปจนถึงการบริการ โดยไม่เพียงมุ่งตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าเท่านั้น แต่เพื่อให้เกินความคาดหวังของลูกค้าด้วย” คุณอันตวน  บาร์เตส ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว ณ งานเปิดตัวโชว์รูมแนวคิดใหม่ NREDI

จุดมุ่งหมายของการออกแบบมาตรฐานใหม่นี้ คือ การนำเสนอโชว์รูมที่เชื่อมให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงทุกการบริการอย่างครบครัน ไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาเพื่อซื้อรถใหม่หรือนำรถมาเข้ารับบริการ โชว์รูมมาตรฐานใหม่นำเสนอสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่สะดวกสบาย เพื่อให้ผู้แทนจำหน่ายสามารถมอบบริการให้แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

บริเวณทางเข้าต้อนรับของโชว์รูมโดดเด่นด้วยสีแดงเอกลักษณ์เฉพาะของนิสสัน ซึ่งให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวสะดุดตาและแสดงถึงความโดดเด่นของแบรนด์ตั้งแต่แรกเห็น ในส่วนพื้นที่โชว์รถยนต์รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำให้ลูกค้าได้สัมผัสและตื่นตาตื่นใจไปกับรถยนต์ ในขณะเดียวกันลูกค้ายังสามารถเดินชมรถยนต์รุ่นต่างๆ และส่วนอื่นๆ ในโชว์รูมได้ตามต้องการอีกด้วย

“นิสสันมุ่งมั่นในการใส่ใจลูกค้าชาวไทยและยึดลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการลงทุนและพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของผู้แทนจำหน่ายด้วย วันนี้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จและความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ของ ช.เอราวัณ ที่ทำให้เกิดโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานใหม่ NREDI แห่งแรกขึ้นในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นวันที่เราได้ตอบแทนลูกค้าและเฉลิมฉลองกับแนวทางการดำเนินงานใหม่ๆ  ของเรา ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้แก่ลูกค้าในการเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนิสสัน” คุณอันตวน กล่าวเสริม

คุณวิวัฒน์ จันทร์วาววาม ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ กาญจนบุรี จำกัด เปิดเผยว่า ช.เอราวัณรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับนิสสันตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และเรามีความมั่นใจว่าแบรนด์นิสสันจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในประเทศไทย

“โชว์รูมภายใต้มาตรฐานใหม่นี้จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ผมเชื่อมั่นว่าความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแค่สร้างความตื่นเต้นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าของเราเท่านั้น แต่ยังทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น ด้วยการบริการที่ดีที่สุด พนักงานที่เป็นมิตร ช่างเทคนิคที่มีความชำนาญ รวมถึงการจัดแสดงรถยนต์นิสสันทุกรุ่นได้อย่างโดดเด่น” คุณวิวัฒน์  จันทร์วาววาม กล่าว

ช.เอราวัณ และคุณวิวัฒน์ มีความสัมพันธ์อันยาวนานและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มั่นคงของนิสสันมาตลอด ระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างนิสสันและ ช.เอราวัณที่กำลังจะเติบโตไปในอีก 20 ปีข้างหน้า” คุณอันตวน กล่าวปิดท้าย

คุณวิวัฒน์ จันทร์วาววาม (คนที่ 7 จากซ้าย) ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ กาญจนบุรี จำกัด และคุณอันตวน บาร์เตส (คนที่ 6 จากซ้าย) ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมเปิดตัวโชว์รูมแนวคิดใหม่ NREDI แห่งแรกในประเทศไทย

โชว์รูมใหม่ของ ช.เอราวัณ มีพื้นที่ทั้งหมด 8,800 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่ส่วนการขายและการบริการ ตั้งอยู่บนถนนแสงชูโต บริเวณตัวเมืองของจังหวัดกาญจนบุรี โชว์รูมแนวคิด NREDI ของ ช.เอราวัณมีพื้นที่แสดงรถยนต์ทั้งหมด 9 คัน มีพนักงานที่ปรึกษาการขายที่มีความเชี่ยวชาญทั้งหมด 10 คน เปิดให้บริการ    ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.00 น. ส่วนงานบริการหลังการขาย ได้แก่ งานดูแลรักษารถยนต์ และบริการซ่อมสีและตัวถัง เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8.00 – 17.00 น.

สำหรับวิดีโอเกี่ยวกับโชว์รูม NREDI สามารถดาวโหลดได้ ที่นี่

The post นิสสันเปิดตัวโชว์รูมแนวคิดใหม่ NREDI แห่งแรกในประเทศไทย [PR] appeared first on Brand Buffet.

Moto Z2 Force สมาร์ทโฟนสุดอึด เปิดตัวด้วยเทคโนโลยี ShatterShield™ ในงาน Thailand Mobile Expo 2018 [PR]

$
0
0

เมื่อเร็วๆนี้ โมโตโรล่าเปิดตัว Moto Z2 Force สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยี ShatterShield™ ระบบรักษาแรงกระแทกหน้าจอที่ออกแบบโดยการป้องกันถึง 5 ชั้น อย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Thailand Mobile Expo 2018

Moto Z2 Force สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD P-OLED โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีล็อกแรงกระแทกหน้าจอจากการพัฒนาเอกสิทธ์เฉพาะโมโตโรล่าอย่าง ShatterShield™ ที่ถูกออกแบบด้วยการประกอบอย่างพิถีพิถันถึง 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นโครงสร้างพื้นฐานความทนทาน (Aluminum Chassis) ชั้นหน้าจอแสดงผล (Stunning P-OLED display) ชั้นรักษาหน้าจอสัมผัส (Dual touch layer) ชั้นเลนส์ความคมชัด (Interior lens) และ ชั้นป้องกันการขีดข่วนภายนอก (Exterior protective lens)

โดยภายในงานได้มีการทดสอบประสิทธิภาพการป้องกันของเทคโนโลยี ShatterShield™ ด้วยการปล่อยเครื่อง Moto Z2 Force จากความสูงกว่า 1.5 เมตร ลงพื้นเพื่อเป็นการยืนยันคุณสมบัติความทนทานเหนือระดับ

คุณศิวกร ดำรงภัทร ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน เลอโนโว กล่าวว่า
“เรามีความยินดีเป็นยิ่งที่ได้นำสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมนวัตกรรมล่าสุดจากโมโตโรล่าอย่างShatterShield™ มาวางจำหน่ายในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียน และเรามุ่งมั่นในการพัฒนาสมาร์ทโฟนเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างและเหนือชั้นยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ Moto Z2 Force ยังโฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์ผลิตอย่างประณีตจาก Aluminum series 7000 อะลูมิเนียมคุณภาพสูงเพียงชิ้นเดียว และนวัตกรรมกล้องแบบคู่ที่ทั้งสองกล้องมาพร้อมความละเอียดถึง 12MP พร้อมกล้องหน้ามุมกว้างความละเอียด 5MP และแฟลช LED อัดแน่นการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย ชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon™ 835 processor – 2.35 GHz Octa-Core CPU ที่จะทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุด รองรับระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat  พื้นที่หน่วยความจำภายในสูงถึง 64 GB เพิ่มความจุผ่าน Micro SD ได้สูงสุดถึง 2TB และ RAM ความจุสูงถึง 6GB  ขุมพลังแห่งแบตเตอรี่ที่มาพร้อมความจุถึง 2,730 mAh เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน เติมพลังได้รวดเร็วด้วยอุปกรณ์ชาร์จ TurboPower™ พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

สำหรับ Moto Z2 Force มาพร้อมสี  Super Black ในราคาเริ่มต้นที่ 19,990 บาท พิเศษสุดเมื่อซื้อในงาน Thailand Mobile Expo 2018 ราคาพิเศษเพียง 17,990 บาท พร้อมรับฟรีทันที! ฟิล์มกันรอย การ์ดหน่วยความจำ Micro SD ความจุ 32 GB  และกระเป๋าโมโตโรล่า นอกจากนี้สำหรับ 300 ท่านแรก ที่ซื้อ Moto Z2 Force ยังรับฟรีฝาหลัง Style Shell หรือ moto flip cover อีกด้วย

**ของสมนาคุณมีจำนวนจำกัดโปรโมชั่นเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดจากเลอโนโว

The post Moto Z2 Force สมาร์ทโฟนสุดอึด เปิดตัวด้วยเทคโนโลยี ShatterShield™ ในงาน Thailand Mobile Expo 2018 [PR] appeared first on Brand Buffet.

เมกาบางนา แจกโชคใหญ่รถยนต์ Honda Accord [PR]

$
0
0

เมื่อเร็วๆ นี้ – ปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา (กลาง) และ ปราณี วีรพร (ซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท บางพลี ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด มอบรถยนต์ Honda Accord รุ่น 2.0 EL มูลค่า 1,453,000 บาท ให้แก่ ภวิศณัฎฐ์ ธนากรจิราเจตน์ (ขวา) ผู้โชคดีจากแคมเปญ “เมกา วิช 2017” (Mega Wish) ที่จัดขึ้นเพื่อแทนขอบคุณและมอบความสุขให้กับลูกค้าส่งท้ายปีที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

The post เมกาบางนา แจกโชคใหญ่รถยนต์ Honda Accord [PR] appeared first on Brand Buffet.

Viewing all 22280 articles
Browse latest View live
<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>