Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 22280 articles
Browse latest View live

เติมความหวานให้เต็มหัวใจ ในเทศกาลแห่งความรัก ด้วย คริสปี้ ครีม วาเลนไทน์ส์ โดนัท [PR]

$
0
0

คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) โดนัทสูตรลิขสิทธิ์อันดับ 1 ที่ครองใจคนทั่วโลก ชวนคุณสื่อความในใจในเดือนแห่งความรักด้วยโดนัทที่จะทำให้ผู้รับหัวใจพองโต กับ วาเลนไทน์ส์ โดนัท (Valentine’s Doughnut) ด้วย 3 รสชาติ สุดคิ้วท์โดนใจ เริ่มกันที่ โอรีโอ คุกกี้ แอนด์ สตรอว์เบอร์รี่ ฮาร์ท (Oreo Cookies & Strawberry Heart) โดนัทรูปหัวใจสอดไส้สตรอว์เบอร์รี่ หน้าครีมชีส โรยด้วยโอรีโอคุกกี้ และเรดช็อคโกแลต ต่อด้วย สปริงเคิลส์ ฮาร์ท (Spring Heart) โดนัทรูปหัวใจ ชุ่มฉ่ำด้วยไส้คาราเมล เคลือบด้วยไวท์ช็อคโกแลต โรยความหวานให้เต็มหัวใจด้วยชูการ์แคนดี้ และ แฮปปี้ ฮาร์ท (Happy Heart) โดนัทหัวใจหน้ายิ้ม สอดไส้บัทเทอร์ชีสหอมหวาน เคลือบด้วยช็อคโกแลตที่ยังต้องกลายเป็นสีชมพู

สื่อรักด้วย วาเลนไทน์ส์ โดนัท ในราคาเพียงชิ้นละ 35 บาท หรือแบบเซ็ทในราคา 315 บาท (ราคาดังกล่าวยกเว้นสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง) ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2018 เท่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ คริสปี้ ครีม โดนัทสุดโปรดของคุณได้ที่ www.krispykreme.co.th หรือ www.facebook.com/krispykremethailandfanpage หรือInstagram : KrispyKremeThailand และ #Krispykremethailand

The post เติมความหวานให้เต็มหัวใจ ในเทศกาลแห่งความรัก ด้วย คริสปี้ ครีม วาเลนไทน์ส์ โดนัท [PR] appeared first on Brand Buffet.


“เมกาบางนา” ยกระดับเป็น “เมกาซิตี้” ปั้น 400 ไร่เป็น “เมืองกรุงเทพตะวันออก” ดูดคน 47 ล้าน

$
0
0

ทิศทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในวันนี้ ต้องสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับที่ดินให้ได้มากที่สุด นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมในช่วง 3 – 5 ปีมานี้ แนวทางของ Developer รายใหญ่ในไทย หันมาสร้างอาณาจักรในรูปแบบ “Mixed-use Development” เพื่อปั้นให้เป็น Landmark ในทำเลนั้นๆ

แนวคิดของการพัฒนา Mixed-use Development จะประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ส่งเสริมกัน ถ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่ จะครบวงจรมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และสถาบันการศึกษา ขณะที่โครงการขนาดย่อมลงมา อาจมีศูนย์การค้า เปิดคู่กับอาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย หรือบางโครงการ ภายในมีศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย

ดังเช่นกรณีศึกษา “เมกาบางนา” ศูนย์การค้าย่านบางนาของ “เอสเอฟ ดีเวลลอปเมนท์” ที่เปิดให้บริการถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว หากทว่าเป้าหมายใหญ่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การเป็นโครงการศูนย์การค้าเท่านั้น แต่บนที่ดินกว่า 400 ไร่แห่งนี้ กำลังถูกพัฒนาให้เป็น “เมกาซิตี้” เพื่อสร้างให้เป็น “เมืองแห่งกรุงเทพตะวันออก” ที่ภายในครบองค์ประกอบของการเป็น Mixed-use Project ขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งศูนย์การค้าเมกาบางนา, สถาบันการศึกษา, คอนโดมิเนียม, โรงแรม, ศูนย์รวมความบันเทิงและความรู้, สวนสาธารณะ

กระจายความเสี่ยง – เพิ่มช่องทางสร้างรายได้

ก่อนที่จะไปเจาะลึกการสร้างอาณาจักร “เมกาซิตี้” มาค้นหาคำตอบกันก่อนว่าทำไมในช่วง 3 – 5 ปีมานี้ Developer ยักษ์ใหญ่หลายราย ถึงสนใจปั้นโครงการในรูปแบบ Mixed-use โดย Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำรายงานการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ “Mixed-use Concept” ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนที่หอมหวาน ทำให้โครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้มากกว่าการพัฒนาโครงการรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่มีราคาแพง จากการผสมผสานการใช้ประโยชน์ที่ดินและอาคารด้วยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องทั้งจากการขายกรรมสิทธิ์และสัญญาเช่า อีกทั้งการพัฒนาในรูปแบบดังกล่าวยังสร้างมูลค่าเพิ่มแก่โครงการ จึงส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงกว่าโครงการรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งถึงราว 1.5 เท่า

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ ทั้งด้านการบริหารเงินทุน การสรรหาที่ดินขนาดใหญ่ที่อยู่ในทำเลศักยภาพ และการวางแผนผสมผสานอาคารเพื่อการอยู่อาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชยกรรมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและส่งเสริมกัน

ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีแนวโน้มจับมือกันเพื่อพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและมีมูลค่าสูงขึ้น ด้วยแนวโน้มความต้องการของคนเมืองสมัยใหม่ที่นิยมความสะดวกสบายด้านการดำเนินชีวิต ทำงาน และจับจ่ายใช้สอย รวมถึงที่ดินศักยภาพที่มีจำกัด ทำให้การพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ได้รับความนิยม

อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่หลากหลายจึงส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหันมาจับมือกันเพื่อพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในแต่ละทำเล

ศูนย์การค้าอย่างเดียวไม่พอ! “เมกาบางนา” พัฒนาสู่ “เมกาซิตี้” เมืองแห่งกรุงเทพตะวันออก

“เนื่องจากพื้นที่บางนา เป็นพื้นที่ชานเมืองที่ได้รับความสนใจ จากทั้งนักลงทุนและลูกค้าทั่วไปมากที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยกำลังซื้อของคนในพื้นที่ สถานศึกษา และระยะทางที่ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติ และโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งระบบขนส่งมวลชนในอนาคต ทั้งรถไฟฟ้า MRT และรถโมโนเรล

ดังนั้น เราตั้งเป้าหมายให้เมกาบางนา เป็นศูนย์กลางชุมชนที่ทันสมัย และเป็นเมืองที่คนสามารถทำงาน และอาศัย รวมทั้งช้อปปิ้ง รับประทานอาหาร พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และใช้เวลากับครอบครัว โดยเราแบ่งการพัฒนาเป็นหลายเฟส

ในที่สุดแล้วเราต้องการพัฒนาที่ดินกว่า 400 ไร่แห่งนี้ ให้เป็นโครงการ “เมกาซิตี้” เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย และสวนพักผ่อน ที่สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่า 250,000 คนต่อวัน ตามรูปแบบการพัฒนาแบบยั่งยืนในระดับเมือง” คุณคริสเตียน โอลอฟสัน ผู้อำนวยการศูนย์การค้าและโครงการมิกซ์ยูส อิเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉายภาพศักยภาพทำเลกรุงเทพตะวันออก และการสร้างเมือง “เมกาซิตี้”

เส้นทางการพัฒนาสู่การเป็น “เมกาซิตี้” ให้สมบูรณ์ครบทุกองค์ประกอบตามแผนที่กำหนดไว้ จะใช้เวลาภายใน 14 ปี (นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป) โดยเมื่อปีที่แล้วเริ่มดำเนินการเฟสแรก ด้วยการสร้างส่วนต่อขยาย “Mega Food Walk” พร้อมด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ และ “อาคารจอดรถ 7 ชั้น” ทำให้ปัจจุบันทั้งโครงการมีพื้นที่จอดรถรองรับได้ 10,000 คัน

เนื่องจาก Consumer Insight ของการทำค้าปลีกยุคนี้ ผู้บริโภคมาศูนย์การค้าเพื่อมารับประทานอาหารมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการบริหารพื้นที่โครงการศูนย์การค้าต่างๆ หันมาเพิ่มพื้นที่ “โซนร้านอาหาร” มากขึ้น

ดังนั้น การสร้าง Mega Food Walk ที่เพิ่มร้านอาหารใหม่เข้าไปอีก 29 ร้าน ทำให้ทั้งโครงการมีร้านอาหารโดยรวม 166 ร้าน พร้อมทั้งขยายพื้นที่จอดรถ เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์ที่มากขึ้น ทำให้ยอดลูกค้าที่เข้ามาพักผ่อนและใช้จ่ายใน “เมกาบางนา” เมื่อเดือนธันวาคมที่เปิดตัวโซนใหม่นี้ เพิ่มขึ้น 15% โดยตลอดทั้งปี 2560 จำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการภายในโครงการ อยู่ที่ 42 ล้านคน

ขณะที่ปีนี้เข้าสู่เฟส 2 เตรียมเปิดสองโครงการใหญ่ของพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่

1. “The Marvel Experience” แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้การบริหารของ “บริษัท ฮีโร่ เวนเจอร์” จากสหรัฐอเมริกา และ “บริษัท ฮีโร่ เอ็กซ์พีเรียนซ์” ของไทย ร่วมกันนำ The Marvel Experience จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาเปิดในไทย เพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งบันเทิงแบบ Interactive ซึ่งถือเป็นผู้เช่าพื้นที่รายใหญ่ของเมกาซิตี้ ที่จะเป็นอีกหนึ่งในแม่เหล็กสำคัญในการดึงลูกค้า ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ เข้ามาใช้ชีวิตที่นี่ โดยจะเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคมนี้

2. “โรงเรียนประถมศึกษานานาชาติดิษยะศริน กรุงเทพ” ในเครือเดียวกับโรงเรียน The American School of Bangkok ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมกาซิตี้ สร้างเสร็จเดือนพฤษภาคมนี้ พร้อมเปิดเรียนปีการศึกษาแรกในเดือนสิงหาคม

จากการสร้างส่วนต่อขยาย Mega Food Walk และสร้างซูเปอร์มาร์เก็ตให้ใหญ่ขึ้น มีผลต่อเนื่องมาถึงปี 2561 ด้วยเช่นกัน และเมื่อรวมกับการเปิดตัวอีก 2 โครงการของพันธมิตรธุรกิจ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้ จำนวนลูกค้าจะเติบโตขึ้น 10% หรืออยู่ที่ 46 – 47 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนต่อขยายเพื่อเพิ่มพื้นที่กิจกรรมความบันเทิงกึ่งความรู้ (Indoor Family Entertainment Complex) ซึ่งเชื่อมต่อกับพื้นที่ Mega Kids โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปีนี้ และพร้อมเปิดให้บริการในปี 2562

“เราตั้งใจทำเมกาบางนา ให้เป็นสถาที่พบปะ (Meeting Place) ที่เป็นมากกว่าที่ช้อปปิ้ง และในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะมี The Marvel Experience และโรงเรียนประถมศึกษานานาชาติดิษยะศริน กรุงเทพ ถือเป็นก้าวสำคัญภายใต้เป้าหมายของการพัฒนาโครงการเมกาซิตี้” คุณปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การค้าเมกาบางนา ขยายความเพิ่มเติม

สเต็ปต่อไป สร้าง “คอนโด – โรงแรม – อาคารสำนักงาน”

สำหรับแผนการพัฒนา “เมกาซิตี้” ถัดจากปี 2561 เป็นต้นไป จะเข้าสู่เฟสต่อไป เพื่อทยอยสร้างโครงการคอนโดมิเนียม, โรงแรม และอาคารสำนักงาน

ขณะนี้ในส่วนที่อยู่อาศัยได้พันธมิตรคือ “อารียา พรอพเพอร์ตี้” มาเป็นผู้ลงทุนสร้าง “คอนโดมิเนียม” ในเมกาซิตี้ ส่วนโครงการ “โรงแรม” และ “อาคารสำนักงาน” ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลธุรกิจ และเฟ้นหาพันธมิตร โดย “เอสเอฟ ดีเวลลอปเมนท์” ยึดหลักความยืดหยุ่นทั้งระยะเวลาการก่อสร้าง และนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และความต้องการของตลาด ณ ช่วงเวลานั้นๆ

The post “เมกาบางนา” ยกระดับเป็น “เมกาซิตี้” ปั้น 400 ไร่เป็น “เมืองกรุงเทพตะวันออก” ดูดคน 47 ล้าน appeared first on Brand Buffet.

นอติลุส ไลท์ (Nautilus Lite) ตอกย้ำเทรนด์สุขภาพผ่านกิจกรรม “Run for Lite” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Start Now! [PR]

$
0
0

กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด (PFG) หนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารชั้นนำระดับประเทศ ภายใต้จุดยืนขององค์กร “Go for Goodness” พัทยาฟู้ด ได้ตระหนักถึงวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่เร่งรีบ ส่งผลให้ละเลยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายที่เพียงพอ Nautilus Lite จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนให้หันมาเริ่มดูแลสุขภาพตัวเอง ด้วยการเริ่มต้นรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเริ่มต้นการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Start Now เริ่มต้นสุขภาพดีกับ Nautilus Lite” จึงได้จัดกิจกรรม Run for Lite เวิร์กชอปการรักษาสุขภาพดีอย่างถูกวิธี ผ่านการวิ่งซึ่งกำลังอยู่ในกระแสนิยมขณะนี้

โดยงานจัดขึ้นที่สวนวชิรเบญจทัศน์ (สวนรถไฟ) เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งในกิจกรรมนี้จัดขึ้นสำหรับนักวิ่งมือใหม่ เป็นการวิ่งพร้อมเรียนรู้ตามฐานเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องในการเริ่มต้นวิ่ง การสร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และคำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง พร้อมทั้งเมนูสุขภาพง่ายๆที่สามารถไปทำต่อได้เอง จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ได้แก่ คุณทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ แขกรับเชิญที่จะมาให้คำแนะนำผ่านหัวข้อ “จากแรงบันดาลใจ สู่แรงบันดาลกาย”, คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ และคุณแม้ด พิมพ์อร โมกขะสมิต Blogger ชื่อดัง เจ้าของเพจ CU.FitGirl ที่จะมาส่งต่อเรื่องการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย พร้อมทั้งคุณแป๊บ ปธิกร จารุโกศล นักวิ่งเซเลบในกลุ่ม GPS Runner Group ที่จะแนะนำเรื่องการวัด Heart rate “วิ่งตามหัวใจ” ภายใต้คอนเซ็ป “Start Now” โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจให้ทุกคนเริ่มต้นดูแลสุขภาพตัวเองด้วยวิธีง่ายๆอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

สำหรับกิจกรรม Run for Lite เป็นการต่อยอดแนวความคิดแผนการตลาดในปี 2560 ที่ผ่านมา พัทยาฟู้ดได้นำเสนอสินค้าเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และส่งเสริมสุขภาพของคนยุคใหม่ 2 ตัว ภายใต้แบรนด์ Nautilus Lite ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม

– โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผานมา นอติลุส ไลท์ ถือเป็นผู้ริเริ่มเทรนด์การบริโภคอาหารพร้อมทานเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย “นอติลุส ไลท์ เทรนดิ คัพ” ภายใต้คอนเซ็ป อร่อย สุขภาพดี ทุกเวลา โดยพัฒนาแนวคิดจากกระแสสังคมในปัจจุบันที่คนต่างชีวิตเร่งรีบ ทำให้ละเลยเรื่องการกิน นอติลุส ไลท์ เองเล็งเห็นความสำคัญนี้ และอยากให้คนไทยมีสุขภาพดี และตอบโจทย์สไตล์ของทุกคนในปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นอติลุส ไลท์ เทรนดิ คัพ ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ

– ทั้งนี้เรายังมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอติลุส ไลท์ ได้ออกสินค้าภายใต้คอนเซ็ป “Nautilus Lite 30% Low Sodium” หรือที่เป็นที่รู้จักกันดี และถูกกล่าวถึงกันอย่างหนาหูคือแคมเปญ “สวยไม่บวมเป็นปลาทอง” ถึงว่าเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องสุขภาพ ตลอดจนได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้เกิดกระแสสังคมและถูกกล่าวขานขึ้นในโลกดิจิตอล จนเกิดเป็นการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ รวมถึงทางแบรนด์ นอติลุส ไลท์ ได้ทำการตลาดอย่างครบวงจรเพื่อประชาสัมพันธ์แคมเปญดังกล่าวเช่นกัน

และเพื่อตอกย้ำความสำเร็จของแบรนด์ นอติลุส ไลท์ เรายังคงมุ่งให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่พอเพียงภายใต้คอนเซ็ปต์ “Eat Lite & Start Exercise” ด้วยความมุ่งหวังที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตและเติมเต็มสิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ด้วยการสร้างสรรค์ทั้งคุณค่าให้กับอาหารทุกมื้อ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มที่สำคัญที่แบรนด์มุ่งหวังให้ผู้บริโภคมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี และ นอติลุส ไลท์ จะเป็นแบรนด์ที่จะช่วยพลักดันเรื่องสุขภาพ (Healthy Trend) ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์เรื่องคุณประโยชน์ หรือสารอาหารคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ  รวมทั้งกิจกรรมทางการตลาดที่มุ่งเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพ โดยเป้าหมายเพื่อก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคอย่างแน่นอน

The post นอติลุส ไลท์ (Nautilus Lite) ตอกย้ำเทรนด์สุขภาพผ่านกิจกรรม “Run for Lite” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Start Now! [PR] appeared first on Brand Buffet.

“Mastercard Love Index” ชี้ คู่รักให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์สุดประทับใจ” มากกว่า “สิ่งของ”

$
0
0

ผลสำรวจ “ดัชนีความรักของมาสเตอร์การ์ด”  หรือ “Mastercard Love Index” ข้อมูลล่าสุดชี้ชัดว่า ในช่วงวันวาเลนไทน์ คู่รักให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ มากกว่าสิ่งของ โดยยอดการใช้จ่ายเกี่ยวกับสิ่งของที่มีผลด้านจิตใจตั้งแต่ปี 2558-2560 เพิ่มสูงขึ้นราว 6% คิดเป็นจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นถึง 17%

ทั้งนี้ผลสำรวจ ดัชนีความรักของมาสเตอร์การ์ด หรือ Mastercard Love Index ถูกจัดทำขึ้นทุกปี เพื่อวิเคราะห์ธุรกรรมการเงินบัตรเครดิต เดบิต และพรีเพดในช่วงวันวาเลนไทน์ตลอดสามปีที่ผ่านมา (11 – 14 กุมภาพันธ์ 2558 – 2560)

ความสุขแท้จริงของคู่รัก คือ สร้างประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืม

ดัชนีความรักของมาสเตอร์การ์ด เผยว่า สุดยอดของวิธีโปรยเสน่ห์ คือ ความรื่นรมย์ผ่านมื้ออาหาร และในปีที่ผ่านมา (2560) ผู้คนนิยมพาคนรักของตนออกมาดินเนอร์ในช่วงวาเลนไทน์ คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึง 40% เมื่อดูจากยอดการใช้จ่าย หรือ 75% เมื่อดูจากจำนวนธุรกรรม

นอกจากนี้ การพาคนรักท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์น่าประทับใจ (ด้วยเครื่องบินหรือรถไฟ) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาอันสุดแสนจะโรแมนติกของปี

โดยในปี 2560 มีจำนวนธุรกรรมด้านนี้เพิ่มขึ้นถึง 23% คิดเป็น 22% ของยอดการใช้จ่ายรวมทั้งหมด ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนบรรยากาศด้วยห้องพักในโรงแรมยังได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอด้วยสัดส่วน 27% ของยอดการใช้จ่าย

ข้อมูลนี้สนับสนุนแนวคิด “เศรษฐกิจแห่งประสบการณ์” หรือ experience economy ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ความสุขนั้นแท้จริงแล้วได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์ที่จะประทับใจไม่รู้ลืม (หรืออย่างน้อยก็ควรค่าพอสำหรับการแชร์ในโลกโซเชียล) ไม่ใช่การสะสมสิ่งของ

เทคโนโลยีการจ่ายเงินด้วยระบบ contactless payments ของมาสเตอร์การ์ด สามารถช่วยขจัดความอึดอัดใจได้เมื่อบิลเก็บเงินมาที่โต๊ะอาหาร ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ธุรกรรมประเภทนี้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมหาศาลถึง 311% คิดเป็นจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับปี 2558 อันที่จริงแล้ว มูลค่าของการใช้จ่ายผ่านเทคโนโลยีไร้สัมผัสนั้นเพิ่มสูงขึ้นในทุกหมวดหมู่ โดยในหมวดที่เพิ่มมากที่สุดคือ การเดินทางทางเครื่องบินและรถไฟ (1,064%) เครื่องประดับและอัญมณี (453%) และดอกไม้ (446%)

ซื้อของขวัญให้คู่รัก กลับลดลง

ในทางกลับกัน มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์แบบเดิมๆ อาทิ ดอกไม้ นั้นลดลงราว 3% แม้ว่าจำนวนของธุรกรรมจะเพิ่มขึ้นราว 14% แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าดอกไม้จะยังคงเป็นตัวแทนสื่อรักที่ดี แต่กุหลาบเพียงดอกเดียวกลับมีความหมายมากกว่าการมอบช่อดอกไม้ เช่นเดียวกับการมอบเครื่องประดับและอัญมณี ที่มีมูลค่าลดลง 9% แต่กลับมีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นราว 10% (เมื่อเทียบกับปี 2558)

คู่รักส่วนใหญ่ วางแผนล่วงซื้อของขวัญล่วงหน้า

งานวิจัยที่ได้รวบรวมและวิเคราะห์พฤติกรรมของนักช็อปกว่า 200 เขตแดนทั่วโลกนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงเบื้องลึกของรูปแบบและแนวทางในการจับจ่ายใช้สอยอีกด้วย

คำถามก็คือ เมื่อเป็นเรื่องของหัวใจแล้ว เราเป็นนักช็อปจอมวางแผน หรือเป็นแบบตัดสินใจซื้อฉับพลัน ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่วางแผนซื้อของขวัญล่วงหน้า และจะไม่รอจนนาทีสุดท้าย

โดยคู่รักวาเลนไทน์ส่วนมาก (30%) จะซื้อของขวัญเตรียมไว้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ (คิดเป็นจำนวนธุรกรรม 48.8 ล้านครั้งทั่วโลกตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา) อย่างไรก็ตามจำนวนธุรกรรมกว่าหนึ่งในสี่ (27%) ของทั้งหมด (ในช่วงสามวัน ตั้งแต่ 11-14 กุมภาพันธ์) เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์นั่นเอง

แนวโน้มในการจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบออนไลน์ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนธุรกรรมผ่านอีคอมเมิร์ซเปรียบเทียบระหว่างวันวาเลนไทน์ปี 2560 เพิ่มสูงจากของปี 2558 ถึง 136%

“การเอาอกเอาใจคนรักในวันวาเลนไทน์เป็นเรื่องที่หลายคนยังทำอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกันได้ง่ายๆ ข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าผู้คนจะยังคงซื้อของขวัญในแบบเดิมๆ แต่แนวโน้มในการซื้อหาประสบการณ์ดีๆ ร่วมกันนั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก การชำระเงินแบบไร้สัมผัสเป็นอะไรที่สะดวกสบาย และทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่เราได้เห็นผู้คนทั่วโลกเริ่มเปิดใจยอมรับเทคโนโลยีนี้กันแล้ว ดัชนีความรักของมาสเตอร์การ์ด ซึ่งตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่สามแล้วนั้น ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่สำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อให้ร้านค้าได้มีข้อมูลเชิงลึกในเรื่องพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในช่วงเวลาโรแมนติก” มร.โดนัล ออง ผู้จัดการประจำประเทศไทยและพม่า ของมาสเตอร์การ์ด กล่าว

เจาะลึกพฤติกรรมการใช้จ่ายที่สำคัญของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก ช่วงวันวาเลนไทน์ ปี 2558 – 2560

– การใช้จ่ายเงินในเรื่อง “ทางใจ” เพิ่มขึ้นราว 22% นับจากปี 2558 โดยมีจำนวนธุรกรรมรวมทั้งหมดเพิ่มขึ้นราว 74%
– จำนวนของธุรกรรมอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 30%
– ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักวางแผนล่วงหน้า โดยส่วนใหญ่ (28%) จะซื้อของสำหรับวันวาเลนไทน์ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ (เป็นจำนวน 4.6 ล้านธุรกรรม)
– จำนวนธุรกรรมด้านการเดินทางท่องเที่ยว (ด้วยเครื่องบินและ/หรือรถไฟ) เพิ่มขึ้นราว 17% ในปี 2560 คิดเป็น 21% ของมูลค่ารวมทั้งหมดในช่วงวันวาเลนไทน์
– สัดส่วนของการทำธุรกรรมไร้สัมผัสเพิ่มขึ้น 46% และมูลค่าของธุรกรรมเหล่านี้ เพิ่มขึ้นราว 166%
– การใช้จ่ายในเรื่องดอกไม้เพิ่มขึ้นราว 39% เมื่อเทียบกับปี 2558 และจำนวนของธุรกรรมได้เพิ่มขึ้นราว 61% มูลค่าการใช้จ่ายในเรื่องเครื่องประดับและอัญมณีโดยรวมเพิ่มขึ้นราว 21% โดยมีจำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นราว 58% เมื่อเทียบกับปี 2558

Credit Photo (ภาพเปิด) : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

The post “Mastercard Love Index” ชี้ คู่รักให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์สุดประทับใจ” มากกว่า “สิ่งของ” appeared first on Brand Buffet.

ไต้หวันเปลี่ยน ไฟเขียว-ไฟแดง ให้กลายเป็นเรื่องโรแมนติค ฉลองวาเลนไทน์

$
0
0

เมืองผิงตง ทางตอนใต้ของไต้หวันมีการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรเพื่อฉลองวาเลนไทน์ เป็นรูปชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าของความรักจากสาว ใน 40 แยกในเมือง โดยทางนายกเทศมนตรี Pan Men-an  ให้เหตุผลว่า ทำให้ “เมืองอบอวลไปด้วยความรัก”

ในขณะที่ Cheng Da-wei ครีเอทีฟผู้ออกแบบสัญญาณไฟจราจรนี้กล่าวถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนไฟจราจรด้วยดีไซน์แปลกตาว่า “ทำให้ผู้คนสังเกตและใส่ใจกับมันมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้ไฟจราจรดังกล่าวก็ถูกดีไซน์ให้แปลกตาอยู่แล้ว แต่เป็นรูปชายหนุ่มที่ยืนอยู่คนเดียวมา 18 ปี ภายในงานเปิดไฟจราจรแบบใหม่ที่เกิดขึ้นภายในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ครีเอทีฟที่ออกแบบงานนี้ยังพูดติดตลกถึงผลงานตัวเองว่า “แบบนี้เจ้าหนุ่มในไฟจราจรก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วนะ”

ใครไปเที่ยวเมืองนี้อย่าลืมถ่ายรูปมาวดกันด้วยนะ

นอกจากแคมเปญน่ารักๆ แบบนี้แล้ว ยังมีผลงานอื่นๆ ที่ใช้ไฟจราจรเป็นสื่อเพื่อแสดงออกทางความคิด เช่น ผลงานที่เปลี่ยนไฟจราจรให้เป็นรูปชายหนุ่มสองคนแสดงความรักต่อกัน หรือหญิงสาวที่กำลังจับมือ รณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBT

Source

The post ไต้หวันเปลี่ยน ไฟเขียว-ไฟแดง ให้กลายเป็นเรื่องโรแมนติค ฉลองวาเลนไทน์ appeared first on Brand Buffet.

ป๊อกสุดสวีทมาร์กี้ รับวันวานเลนไทน์ ย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ แมกโนเลียส์คอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ [PR]

$
0
0

คู่สวีทป้ายแดงสุดฮอตแห่งปี ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ สวีทหวานกับคู่ใจสุดเลิฟ มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ ได้ฤกษ์วันแห่งความรัก-วาเลนไทน์ ย้ายเข้าสู่บ้านหลังใหม่ ณ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ ทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางย่านราชประสงค์  อันประกอบไปด้วยห้องชุดระดับหรูจำนวน 316 ยูนิต และ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ แบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาว ในเครือฮิลตัน ซึ่งมีสาขาอยู่ในเมืองสำคัญทั่วโลก และจะมาเปิดใน South East Asia ที่เมืองไทยเป็นแห่งแรก ณ โครงการแมกโนเลียส์ฯ (MRB) แห่งนี้

วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด พร้อมด้วย ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร ร่วมแสดงความยินดีต้อนรับดาราคู่ขวัญสุดฮอตเข้าสู่บ้านหลังใหม่ ณ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB)

ป๊อก-ภัสสรกรณ์ กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ว่า “ผมชอบในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการแมกโนเลียส์ฯ เป็นทำเลที่ดีมากใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง ไลฟ์สไตล์ อาคารสำนักงาน ฯลฯ โดยส่วนตัวผมก็ใช้ชีวิตอยู่ระแวกนี้ ชินกับการเดินทางที่มีทางเลือก ที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 สถานี (ชิดลมและราชดำริ) ใช้เวลาเดินจากรถไฟฟ้า BTS สถานีราชดำริมายังโครงการฯประมาณ 5 นาที และจากโครงการฯ ไปโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ก็ 5 นาทีเองครับ แล้ววันนี้ผมได้เลือกแมกโนเลียส์ฯ เป็นบ้านหลังใหม่ของเราครับ”

ด้าน มาร์กี้-ราศรี กล่าวว่า “โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นโครงการที่ออกแบบได้สวย แปลกตา มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้านการออกแบบ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย”  ดีไซน์ได้สวยงาม ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ด้านห้องพัก ออกแบบได้กว้างขวางหรูหราดูดี ไม่อึดอัด คนอยู่ก็รู้สึกสบายเหมือนพักอยู่บ้าน พอกี้ได้มาสัมผัสแล้ว รู้สึกได้เลยว่า โครงการแมกโนเลียส์ฯ ใส่ใจในทุกรายละเอียดทำให้ผู้พักอาศัยมั่นใจว่า ได้พักอาศัยในโครงการที่มีคุณภาพจริง ๆ ค่ะ”

The post ป๊อกสุดสวีทมาร์กี้ รับวันวานเลนไทน์ ย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ แมกโนเลียส์คอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ [PR] appeared first on Brand Buffet.

เอสซีจีสานต่อศาสตร์พระราชา จากภูผาสู่มหานที สร้างสมดุลตลอดห่วงโซ่ เสริมนวัตกรรมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน [PR]

$
0
0

“รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” เป็นการสานต่อ 10 ปี รักษ์น้ำเพื่ออนาคต ขยายผลสำเร็จเห็นจริงที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการน้ำ จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ โดยการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน ทำให้ธรรมชาติฟื้นคืน สร้างอาชีพ ชุมชนเข้มแข็ง โดยน้อมนำพระราชดำริ “จากภูผา สู่มหานที” มาเป็นแนวทางขยายผลการดูแลจัดการน้ำให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เกิดเป็นห่วงโซ่ยั่งยืนตลอดเส้นทางน้ำ สร้างต้นน้ำที่ดี สู่ปลายทางน้ำที่ดี สร้างสมดุลอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นให้ประเทศไทย

นายชลณัฐ ญาณารณพ รองผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า  “เอสซีจีได้น้อมนำพระราชดำริ ‘จากภูผา สู่มหานที’ มาเป็นแนวทางการดูแลจัดการน้ำให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ สู่ปลายน้ำ ผ่านกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน ให้เข้าใจการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ตนเองอย่างแท้จริง รวมทั้งเชื่อมพลังชุมชน แลกเปลี่ยนประสบการณ์องค์ความรู้ของคนต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ คืนสมดุลสู่ระบบนิเวศ แก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมอย่างเห็นผลจริง ซึ่งปัจจุบัน เอสซีจีได้ร่วมกับชุมชน จิตอาสา ภาครัฐ และภาคเอกชน สร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 75,500 ฝาย  มีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 87,000 คน  โดยตั้งเป้าขยายการสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ต้นน้ำให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และจะสร้างให้ครบ 100,000 ฝาย ภายในปี 2020 รวมทั้งจะสร้างสระพวงเพื่อกักเก็บน้ำร่วมกับชุมชนที่มีพื้นที่เหมาะสม ส่วนในพื้นที่กลางน้ำ จะขยายพื้นที่การบริหารจัดการน้ำชุมชนในพื้นราบด้วยระบบแก้มลิง เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน และขยายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศด้วยนวัตกรรมบ้านปลาในพื้นที่ปลายน้ำ ให้ครอบคลุมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และขยายการดำเนินงานไปสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลธรรมชาติจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ชุมชนพัฒนาสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะขับเคลื่อนความยั่งยืนให้ประเทศต่อไป”

 จากประสบการณ์เรื่องการบริหารจัดการน้ำ บวกกับความรู้ความเชี่ยวชาญของเอสซีจี ได้มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ จึงได้นำนวัตกรรมมาช่วยแก้ปัญหา อาทิ “นวัตกรรมผ้าใบคอนกรีต” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีซีเมนต์และเทคโนโลยีใยสังเคราะห์ซึ่งมีความแข็งแรง สามารถปรับรูปแบบได้ตามความต้องการใช้งาน มาใช้สร้างสระพวง สำหรับกักเก็บน้ำ ณ บ้านสาแพะ จ.ลำปาง ที่ขาดแคลนน้ำเพราะพื้นที่เป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ และ “นวัตกรรมบ้านปลาจากท่อ PE100”  ที่นำวัสดุที่เหลือจากกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยในการขนส่งน้ำ มาออกแบบสร้างที่อยู่อาศัยจำลองให้แก่สิ่งมีชีวิตในทะเล เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสิ่งมีชีวิตในทะเล ในพื้นที่จ.ระยอง ซึ่งพบปัญหาจำนวนปลาบริเวณใกล้ชายฝั่งเริ่มลดลง

รักษ์น้ำ “จากภูผา สู่มหานที” เริ่มต้น ณ ชุมชนต้นน้ำ จ.ลำปาง โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 กุมภาพันธ์ 61 โดยมีผู้นำชุมชนจากทั่วประเทศและนักศึกษาคนรุ่นใหม่ซึ่งร่วมส่งผลงานทางโซเชียลมีเดียของเอสซีจี มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิดด้านการบริหารจัดการน้ำ และได้ลงมือสร้างฝายชะลอน้ำด้วยตัวเอง รวมทั้งไปชมผลสำเร็จของบริหารจัดการแหล่งน้ำด้วย “สระพวง” ณ ชุมชนบ้านสาแพะ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง พร้อมเรียนรู้การทำเกษตรปราณีต โดย รักษ์น้ำ “จากภูผา สู่มหานที” จะเดินทางไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไปตลอดปี 2561

The post เอสซีจีสานต่อศาสตร์พระราชา จากภูผาสู่มหานที สร้างสมดุลตลอดห่วงโซ่ เสริมนวัตกรรมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน [PR] appeared first on Brand Buffet.

ตรุษจีน ปีนี้ไม่เหมือนเดิม 3 ห้างดังสยาม “One Siam”ผนึกกำลังจัด “ตรุษจีน”จัดเต็มศาสตร์-ศิลป์จีนชุดใหญ่

$
0
0

3 ห้างดังใจกลางสยาม ทั้งสยามเซ็นเตอร์ – สยามดิสคัฟเวอรี่ – สยามพารากอน ผนึกกำลังเป็น “วัน สยาม” ร่วมกันจัด “Siam Delightful Chinese New Year” สุดยอดเทศกาลตรุษจีน ชวนชาวไทยและชาวต่างชาติ ช้อปปิ้งในบรรยากาศแบบแดนมังกรแท้  พร้อมจัดโชว์ศาสตร์และศิลป์ที่สวยงาม อลังการแบบจีนดั้งเดิม และพลาดไม่ได้กับการแจกอั่งเปาส่วนลดให้ช้อปกันกระจาย

 

โชว์เชิงสิงโตสุดอลังการที่ส่งตรงจากประเทศจีน

ประเดิมปีใหม่แบบจีนด้วยการประโคมโหมกลองด้วยจังหวะฮึกเหิม ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย สยามวันจึงจัดหนัก ดึงคณะเชิดสิงโต และ นาฏลีลาโดยนักแสดงที่ส่งตรงมาจากประเทศจีน ตั้งแต่วันที่ 14-18 ก.พ. 2561
พิเศษในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 18.00 น. มีไฮไลท์ เป็นการแสดงโชว์ของ 2 นักแสดงชื่อดัง ณิชา ณัฏฐณิชา และ มาริโอ้ เมาเร่อ ซึ่งจะมาร่วมโชว์สลับกับนาฏลีลาเชิดสิงโตสร้างสีสันให้กับเทศกาลตรุษจีนนี้ให้สนุกขึ้นอีก

ผู้ที่สนใจสามารถชมได้ระหว่างวันที่ 14-18 ก.พ. 2561 วันละ 3 รอบ
เริ่มต้นจาก สยามพารากอน ไป สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ตามลำดับ จุดละ 15 นาที
โดยจะเริ่มต้นในเวลา 12.00 น. , 13.45 น. และ 15.30 น.

 

แปลงร่างเป็นหมวย-ตี๋ ในบรรยากาศแดนมังกร โชว์โลกโซเชียล

การประดับโคมไฟหลากสี ถือเป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่าโคมไฟเป็นตัวแทนของความโชติช่วงชัชวาล โคมไฟ 999 โคมสุดตระการตาจึงถูกจัดขึ้นกลางลานพาร์ค พารากอน โดยมีไฮไลท์เป็นโคมไฟยักษ์รูปสุนัขสูง 5 เมตร และมีโคมไฟสัญลักษณ์ 12 ปีนักษัตร สูง 2.5 เมตร ไม่ไกลกันก็ยังมีซุ้มดอกเหมยประดับไฟสวยงาม ไว้ให้นักช้อปแวะถ่ายรูปอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเอาใจสายแชะกันด้วย โซนแปลงโฉมใส่ชุดจีนโบราณพร้อมบริการแต่งหน้าสไตล์จีนให้ด้วย แค่นำใบเสร็จที่ช้อปสะสมครบ 500 บาทขึ้นไป มาแสดงรับสิทธิ์ (จำกัด 1 สิทธิ์/ท่าน/วัน เริ่มตั้งแต่เวลา 11.00-19.00 น.) ก็สามารถแต่งตัวสวยถ่ายรูปอวดโลกโซเชียลกันให้หนำใจ

 

ตระการตาด้วยโชว์ศาสตร์และศิลป์แบบจีนดั้งเดิม

นอกจากการประดับโคมไฟ ในลานพาร์คพารากอน ยังมีโชว์ ระบำเชี่ยวฮวาตั้น ระบำเส้าโตวลี่ ระบำกู่จาลี่กู่ลี่ ระบำการเล่นว่าวและระบำจีนเหนียนเหนียนโหย่วหยี การแสดงมายากลและกายกรรมโคงจุ๋ ซึ่งทั้งหมดแสดงโดยคณะนักแสดงชาวจีนกว่า 100 ชีวิต ที่บินตรงมาจาก เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

เท่านั้นยังไม่พอ เดินต่อมาที่ชั้น M ยังมี การแสดงดนตรีกู่เจิง เอ้อหู และขลุ่ยจีน มีการสอนถักเชือกจีนจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย

ส่วนใครที่อยากดูงานศิลปะจีนแนวใหม่ก็มีให้ชมกันที่สยามเซ็นเตอร์ ในคอนเซ็ปต์ All we need is love ซึ่งเป็นการแสดงผลงานการออกแบบของศิลปินคอลลาจ นักรบ มูลมานัส ด้วยประติมากรรมภาพคู่รักบนโคม ที่สะท้อนถึงมุมมองความรักที่สวยงามเสมอ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด

 

พลาดไม่ได้กับอั่งเปาส่วนลด และโปรโมชั่นสุดฟินให้ช้อปกันกระจาย

เตรียมรับวันจ่ายด้วย ด้วยโปรโมชั่นสุดล้ำ จาก 3 ศูนย์การค้าทั้งสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ด้วยการแจก “ดิจิตอล อั่งเปา”ให้นักช้อปร่วมสนุกค้นหาสัญลักษณ์ 12 ปีนักษัตร ใน 3 ศูนย์การค้า ผ่านแอปพลิเคชั่น AR เพื่อลุ้นรับส่วนลด และบัตรกำนัลมากมาย นอกจากนี้ยังแจก Siam Gift Card มูลค่า 500 บาท และคูปองส่วนลด มูลค่า 500 บาท จำนวนมากกว่า 100,000 รางวัล เพียงแค่ สแกน QR Code ตามที่กำหนด นอกจากนี้ยังงมีกิจกรรมแจกของรางวัลให้กันนักช้อปอีกมากมาย ตรุษจีนนี้มา “วัน สยาม” ให้เฮง รวย ปังตลอดปี 2018 นี้กันเถอะ!!

กดลุ้นอั่งเปากันได้ที่นี่ http://www.siamparagon.co.th/SiamDelightfulChineseNewYear/local.php

 

The post ตรุษจีน ปีนี้ไม่เหมือนเดิม 3 ห้างดังสยาม “One Siam” ผนึกกำลังจัด “ตรุษจีน” จัดเต็มศาสตร์-ศิลป์จีนชุดใหญ่ appeared first on Brand Buffet.


เมืองไทยประกันชีวิต สนับสนุนจัดการแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน 2018” [PR]

$
0
0

 

นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และนายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ  และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนการจัดการแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน 2018” ร่วมปล่อยตัวนักกีฬา ณ จุด Start โดยงานดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจรวมกว่า 13,000 คน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้สนับสนุนการแข่งขันวิ่งดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น งานจัดขึ้น ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อเร็วๆ นี้

The post เมืองไทยประกันชีวิต สนับสนุนจัดการแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน 2018” [PR] appeared first on Brand Buffet.

ไมโครซอฟท์ ประกาศพร้อมเปิดจอง Surface Laptop และ Surface Book 2 ในประเทศไทยแล้ว [PR]

$
0
0

ไมโครซอฟท์ ประกาศเตรียมวางจำหน่าย Surface Laptop และ Surface Book 2 ในไทย ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมเป็นต้นไป พร้อมเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทั้งบานาน่า ไอที ไอทีซิตี้ พาวเวอร์บาย และทางไมโครซอฟท์สโตร์  www.microsoft.com/th-th/store

Surface Laptop ถูกออกแบบมาอย่างลงตัว ทั้งพกพาสะดวก ทรงประสิทธิภาพและประณีตงดงาม เหนือกว่าแล็ปท็อปทั่วไป ด้วยความคล่องตัวสุดเหนือชั้นจากแพลตฟอร์ม Windows 10 S หน่วยประมวลผล Intel® Core™ เจเนอเรชั่นที่ 7 และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 14.5 ชั่วโมงตลอดวัน  ด้วยน้ำหนักเพียง 1.25 กิโลกรัม  และตัวเครื่องที่บางเพียง 14.5 มิลลิเมตร Surface Laptop จึงพร้อมเป็นอุปกรณ์คู่ใจในกระเป๋าใบโปรดของคุณอย่างลงตัว พร้อมให้พกพาไปที่ไหนก็ได้อย่างสะดวกสบาย

“เราตื่นเต้นมากที่ Surface Laptop จะวางขายแล้วในเมืองไทย ซึ่งเหมาะมากกับผู้ที่มองหาประสบการณ์การใช้งานแล็ปท็อปที่แตกต่างไปจากเดิม” นางสาวทาเทียน่า มารัชเชฟสกาย่า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด “Surface Laptop ผ่านกระบวนการผลิตอันพิถีพิถัน พร้อมมอบสมรรถนะอย่างเต็มเปี่ยมในรูปแบบที่พกพาได้ง่าย เพื่อเป็นแรงสำคัญในการช่วยปลดปล่อยพลังแห่งการสร้างสรรค์ให้กับลูกค้าของเรา ด้วยโซลูชันที่ดีที่สุดอย่าง Windows และ Office พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดแล็ปท็อป”

ทุกรายละเอียดของ Surface Laptop พัฒนาขึ้นมาเพื่อยกระดับทั้งความสามารถการใช้งานและรูปลักษณ์ให้เหนือชั้นกว่าแล็ปท็อปในรูปแบบเดิมและดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้มากขึ้น หน้าจอ PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว รองรับการใช้งานด้วยปลายนิ้วสัมผัสและปากกาดิจิทัลได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยอุปกรณ์เสริมอย่างปากกา Surface Pen ใหม่  ที่จะช่วยปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้ใช้งาน ทั้งยังทนทานและสวยงามด้วยกระจกกันรอยขีดข่วน Corning® Gorilla® Glass 3

ส่วนคีย์บอร์ดของ Surface Laptop เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากวัสดุสุดหรูอย่าง Alcantara® พร้อมปุ่มที่ตอบสนองรวดเร็วและเงียบ แทร็กแพดขนาดใหญ่ที่มีความแม่นยำสูง และที่พักข้อมือเพื่อความนุ่มสบายขณะพิมพ์

Surface Laptop มาพร้อมกับ Windows 10 S ประสบการณ์ใหม่บนแพลตฟอร์ม Windows ที่ผสมผสานความปลอดภัยและประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ช่วยให้ตัวเครื่องพร้อมใช้งานหลังเปิดเครื่องในไม่กี่วินาทีด้วยเทคโนโลยี InstantOn และตอบสนองเร็วขึ้นด้วยระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานอย่างต่อเนื่องแบบเต็มสมรรถนะ

Windows 10 S มอบความปลอดภัยที่เหนือกว่าด้วยแอปพลิเคชั่นจาก Windows Store ที่ผ่านการตรวจสอบโดยละเอียด และทำงานในกรอบหน่วยความจำของตนเองอย่างรัดกุม ส่วนตัวแอปพลิเคชั่นเองก็ยังเปี่ยมด้วยฟังก์ชันที่ทรงพลัง พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น Office 365 เป็นต้น นอกจากนี้ Surface Laptop ยังมอบพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในคลาวด์ด้วย OneDrive ด้วยพื้นที่ขนาด 1 TB ฟรีเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

ส่วน Surface Book 2 เป็นขุมพลังแบบพกพา มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 17 ชั่วโมง และคุณสมบัติเด่นมากมายที่ทั้งลูกค้าและแฟนๆ Surface ในหลายประเทศทั่วโลกล้วนให้การยอมรับว่าเหนือชั้นกว่าใคร นับตั้งแต่เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

Surface Book 2 มีฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูงที่พร้อมรับมือกับทุกงานหนัก แต่ยังให้อิสระในการใช้งานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นกับงานชิ้นสำคัญหรือการออกเดินทางค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ซีพียูรุ่นล่าสุด Intel® Core™ เจเนอเรชั่นที่ 8 และหน่วยประมวลผลกราฟฟิก NVIDIA GeForce GTX 1050 หรือ 1060 มอบพลังให้ Surface Book 2 ทำงานกับแอปพลิเคชัน เกม และประสบการณ์ Windows Mixed Reality ทุกรูปแบบได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว

นอกจากนี้ Surface Book 2 ยังรองรับการใช้งานกับ Surface Pen รุ่นล่าสุด ที่สามารถลงหมึกแบบทำมุมเอียงและตอบสนองต่อแรงกดได้แตกต่างกันถึง 4,096 ระดับ เพื่อสร้างประสบการณ์การวาดเขียนอันยอดเยี่ยม ส่วนตัวเครื่องสามารถใช้งานได้ทั้งในรูปแบบของแล็ปท็อป กระดานวาดเขียนดิจิทัล หรือแท็บเล็ตสำหรับพกพา พร้อมปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของคุณให้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด

สำหรับรายละเอียดของ Surface Laptop, Surface Book 2 และอุปกรณ์เสริมที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทย มีดังต่อไปนี้

ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.microsoft.com/th-th/surface

The post ไมโครซอฟท์ ประกาศพร้อมเปิดจอง Surface Laptop และ Surface Book 2 ในประเทศไทยแล้ว [PR] appeared first on Brand Buffet.

Origin ปฎิวัติรูปแบบที่อยู่อาศัยใหม่ ในคอนเซปต์ ‘DUO SPACE ’ พลิกโฉมคอนโด ส่ง Flagship แบรนด์หรู “Knightsbridge ” 3 ทำเล ใจกลางเมือง

$
0
0

หากพูดถึงบริษัทพัฒาอสังหาริมทรัพย์ที่ “โตเร็ว” และ “มาแรง” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ชื่อ “บริษัท ออริจิ้น จำกัด(มหาชน)หรือ Origin” ต้องติดทำเนียบอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้ชื่อชั้นของแบรนด์ติดท็อป 5 ของยักษ์ใหญ่อสังหาฯรียบร้อยแล้ว เนื่องจากบริษัทมีการเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมบนทำเลทองอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายเซ็กเมนท์ตั้งแต่ระดับ Mass เอาใจตลาด Real Demand ระดับกลาง ไปจนถึงระดับบนแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ออริจิ้นโดดเด่น คือเน้นรุกฉีกกรอบตลาด พัฒนาโครงการ ออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริงของผู้บริโภคได้อย่างดี

ออริจิ้นมีแบรนด์ที่อยู่อาศัยหลากหลาย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แต่แบรนด์หนึ่งที่ “ร้อนแรง” อย่างมาก คือ Knightsbridge(KNBS)” ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2559 มีโครงการแรก “Knightsbridge Prime สาทร” โครงการแฟล็กชิพของบริษัทเปิดขายไม่เพียงไม่นานก็หมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น

เพื่อตอกย้ำภาคต่อของความสำเร็จแบรนด์แฟล็กชิพของบริษัท ปี 2561 จึงเห็นคอนโดมิเนียม 3 โปรเจคต์ใหม่ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน(Knightsbridge Space Ratchayothin) ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (KNIGHTSBRIDGE SPACE RAMA IX) และไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge collage sukumvit107) ทั้ง 3 โครงการมีไฮไลท์เด่นอะไร BrandBuffet จะพาไปสำรวจ โดยเริ่มจาก “ทำเลที่ตั้ง” ของโครงการจะอยู่ในโซนที่เรียกว่าใจกลางเมือง และใกล้กับระบบขนส่ง(Mass Transit) อย่างไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน โครงการอยู่ติดถนนพหลโยธิน 27 (ตรงข้ามตึกช้าง) ซึ่งเป็นทำเลที่เด่นจริงๆ เพราะบริเวณรัศมีใกล้เคียงมีทั้งอาคารสำนักงาน แหล่งช็อปปิ้ง ความบันเทิงครบครัน ที่สำคัญโครงการยังเกาะแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว เชื่อมการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย

ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน

ครั้งแรก…กับคอนโดใหม่ กลางรัชโยธิน ด้วยการออกแบบ Vertical Accent Design ที่ให้ได้ SPACE ที่สูง และมากกว่าใคร กับห้องรูปแบบใหม่ “Duo Space” สูง 4.2 เมตร และส่วนกลางลอยฟ้า (Sky Facilities) ขนาดใหญ่กว่า 1,600 ตร.ม. เพียง 20 ม. จากสถานีรถไฟฟ้าพหลโยธิน 24

เช่นเดียวกับ ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ซึ่งทำเลแห่งนี้ถูกขนานนามให้เป็นย่านใจกลางธุรกิจใหม่(New CBD) มีศักยภาพ กลางวันเป็นแหล่งทำงาน แหล่งช้อปปิ้ง แต่กลางคืนป็น Night Life Location ทำเลที่ไม่หลับไหล ทั้งหมดตอกย้ำว่าแบรนด์แฟล็กชิพ ต้องอยู่ในไพรม์โลเกชั่นเท่านั้น

ความน่าสนใจอีกประการคือ Product ที่มีการ “ฉีกกรอบ” การอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบห้องพักให้มีฟังก์ชั่น Duo  Space  กับการออกแบบ lay out เป็น เพดานสูงถึง 4.2 เมตร ทั้งโครงการ

การออกแบบให้มีพื้นที่ใช้งานในห้องพักแบบ Duo Space ทั้งในระดับล่างที่เป็น Space ส่วนโถงทางเข้า ครัวและห้องน้ำ พื้นที่นั่งเล่น และพื้นที่วางเตียงนอน โดยที่ได้ พื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือพื้นที่ห้องน้ำและครัว ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับเปลี่ยนspace การใช้งาน พื้นที่ด้านบนนี้ให้เป็น  Space ส่วนนอนและ Walk in closet ผ่านการเชื่อมต่อได้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นพื้นที่เก็บของ และเป็นเสมือนบันไดในตัว โดย Space บริเวณริมหน้าห้องต่างๆจะออกแบบเป็น Double Volume มีหน้าต่างกระจกสูงเพื่อเปิดมุมมองของ Space ภายในห้องพัก

ทำให้สามารถเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการ Space สำหรับการอยู่อาศัยจริงๆ

นอกจากนี้ Concept Space ยังมีมากกว่านั้น  เพราะการออกแบบพื้นที่ใช้สอยไม่ใช่แค่ “ห้องพัก” แต่เชื่อมโยงกันทุกมิติทั้งภายในและภายนอกอาคาร ภายใต้ 4 Spaces หลัก

-Vertical Space การออกแบบพื้นที่ใช้งานทางตั้งให้มีประโยชน์สูงสุด เช่น พื้นที่เหนือส่วนอาบน้ำ เป็นต้น

-Flow Space การเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบ Space ทีมีการ เล่นระดับ โถงที่มีฝ้าเพดานสูงที่เป็น Double Space & Triple space

-More Spaceการออกแบบให้ผู้อยู่อาศัย สามารถใช้ชีวิตใน Space ที่มีพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่ ทั้งพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่สันทนาการและมุมพักผ่อนสังสรรค์ ภายในโครงการ

-Value Space การออกแบบให้ทุกๆ Space พื้นที่ใช้สอยในห้อง สามารถใช้งานจริงได้อย่างคุ้มค่าสุดๆ

สำหรับไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 เป็นอีกความสำเร็จที่ต่อยอดจากไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง โดยจุดเด่นโครงการแห่งนี้อยู่ห่างจาก BTS แบริ่ง เพียง 300 เมตรเท่านั้น สามารถเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว โครงการสร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Collage เป็นการผสมผสาน ดีไซน์ที่เรียบง่าย ในโทน Monochrome ขาว Clean และ Bright ให้ความรู้สึกเรียบง่าย สะท้อนความเป็น Space ที่แตกต่าง ไฮไลท์คือการให้พื้นที่ส่วนกลางที่มากกว่า เชื่อมต่อกันถึง 4 ชั้น

พร้อมกับ ไฮไลท์ คอนเซปต์ ‘‘SPACE CONNECT’’  ที่เชื่อมต่อการเดินทางอย่างสะดวกสู่ใจกลางเมือง ด้วย BTS

เชื่อมต่อ พื้นที่ส่วนกลางให้มากกว่า  ด้วย Facility บน Roof Top อาคาร ที่เชื่อมต่อกัน ถึง 4 ชั้น

เชื่อมต่อ ความสะดวกสบายของชีวิต กับ เทคโนโลยี ได้อย่างลงตัว กับ Home Automation และ Automatic Parking

นับได้ว่าเป็นการปฎิวัติรูปแบบการอยู่อาศัย  ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง ภายใต้ คอนเซปต์  ‘‘SPACE MAKE POSSIBLE’’

ORIGIN จะ เปิดจอง Online Booking ครั้งแรก   8 มี.ค.  ‘‘ 3 คอนโด Flagship แบรนด์หรู KnightsBridge ’

– KnightsBridge SPACE พระราม 9  

– KnightsBridge SPACE รัชโยธิน  และ

– Knightsbridge collage สุขุมวิท 107  

สุด Exclusive 100 ยูนิต แรกเท่านั้น!

ลงทะเบียน https://goo.gl/fVeJ4P     เพื่อรับส่วนลดสูงสุด 200,000.- พร้อมเข้าจองออนไลน์ก่อนใคร ในราคาสุดเอ็กคลูซีฟ!  

The post Origin ปฎิวัติรูปแบบที่อยู่อาศัยใหม่ ในคอนเซปต์ ‘DUO SPACE ’ พลิกโฉมคอนโด ส่ง Flagship แบรนด์หรู “Knightsbridge ” 3 ทำเล ใจกลางเมือง appeared first on Brand Buffet.

“กิโลรันชวนกิน”ครั้งแรกในไทยเปิดเมนูความอร่อยหลากรสกับ 7 เมนูร้านดัง [PR]

$
0
0

“อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ” จับมือ “ไทยแอร์เอเชียและไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์” จัดงาน “KILORUN 2018”: THE RUNNING FESTIVAL OF FOOD | FUN | FRIENDS | FAMILY เรื่องวิ่ง เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน กิจกรรมงานวิ่งรูปแบบใหม่ไม่ซ้ำใคร ผ่านเส้นทางแห่งวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่สวยงามเต็มอิ่มไปกับสุดยอดความอร่อยอาหารจานเด็ดถึง 7 ร้านดังมาไว้ในงานเดียวควบคู่เรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของ 4 เมือง 4 ประเทศแบบครบรส ได้แก่ กรุงเทพ (ไทย), บาหลี (อินโดนีเซีย), ญี่ปุ่น (โอซาก้า) และฮานอย (เวียดนาม)

พร้อมประเดิมเส้นทางแรก KILORUN BANGKOK: เส้นทางลานคนเมืองศาลาว่าการกรุงเทพฯ–รอบเกาะรัตนโกสินทร์ เริ่มวันที่ 24-25 มีนาคม 2561 นี้ โดยจัดรูปแบบกิจกรรมแข่งขันเป็น 2 ประเภท คือ ประเภท KG (กิโลกรัม) หรือ “กิโลรันชวนกิน”ที่รวบรวมสุดยอดอาหารอร่อยหลากรสครบเครื่องถึง 7 เมนูร้านดังมาไว้ในงานเดียว โดยจำลองบรรยากาศตกแต่งร้านอาหารของเจ้าของตำนานอันลือชื่อให้ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถเลือกเดินชิลกินไปตลอดเส้นทางเดินผ่านสถานที่ท่องเที่ยวไทย (Iconic attractions) จุดเริ่มต้นที่ลานคนเมืองศาลาว่าการกรุงเทพฯ-มุ่งสู่เกาะรัตนโกสินทร์ ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เป็นที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังและศาลหลักเมือง รวมทั้งวัดวาอารามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ฯ เรียกว่าเดินกินได้ครบทั้ง 7 ร้านดังภายในวันเดียว ส่วนอาหารจานเด่นที่เป็น Signature รสเลิศของเมืองไทยในงานนี้ได้แก่

“โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ร้านกาแฟโบราณที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 ที่รับประกันความอร่อยและเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร กับเมนูอาหารเช้าหลายๆแบบ เช่นชุดอาหารเช้าไข่กระทะเสิร์ฟพร้อมขนมปังสอดไส้ร้อนๆ หรือเลือกเป็นแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ ให้ทานพร้อมกับชาหรือกาแฟสดหอมกรุ่น นอกจากนี้ยังมีเมนูอีกหลากหลายให้เลือก

ร้านต่อมากับเมนูยอดฮิต“ลั่นฟ้า ข้าวมันไก่เบตง”ที่เปิดกิจการมานานกว่า 22 ปี โดยนำเอาสูตรข้าวมันไก่เบตงมาปรับปรุงรสชาติให้กลายเป็นข้าวมันไก่เบตงติดอันดับ 1 ในใจของคนกรุงเทพฯ

และที่ต้องไม่พลาดในการเช็คอินคือ “ราดหน้ายอดผักสูตร 40 ปี(สาขาศาลเจ้าพ่อเสือ) ร้านอาหารอินเทรนด์ในการเช็คอินกับสูตรเด็ดของราดหน้าที่มีหมูนุ่มและเส้นที่เหนียวกำลังพอดีได้รสชาติถูกปากและประทับใจของนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ที่รักษามาตรฐานความอร่อยอย่างยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

พร้อมเติมความอร่อยให้สุดฟินกับเมนูสุดเข้มข้นที่ร้าน “มัสยา ก๋วยจั๊บน้ำข้น” ก๋วยจั๊บสูตรดั้งเดิมที่เปิดมานานกว่า 40 ปี ที่ปรุงทุกชามด้วยความพิถีพิถัน ได้มาตรฐานรสชาติความอร่อยถูกปากทุกคน

พลาดไม่ได้กับ “อุดมโภชนา สุดยอดอาหารรสเด็ดและจานเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านอย่าง“ข้าวหมูแดง”และ“ปอเปี๊ยะสดรสเด็ด” ที่สืบทอดสูตรจากรุ่นสู่รุ่น คงรสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดี เปิดบริการมาแล้วมากกว่า 80 ปี

อินเทรนด์ติดกระแสกับ “เออ” (Err Urban Rustic Thai) ร้านอาหารสไตล์เก๋ไก๋ตกแต่งร้านแบบวินเทจ มาพร้อมอาหารไทยฟิวชั่นที่โดดเด่น รังสรรค์ทุกเมนูในแบบฉบับของ “เออ” ในการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ โดยเฉพาะเมนูดัง อาทิ หนังไก่ทอดน้ำปลาทานกับซอสศรีราชา, ซี่โครงหมูบาร์บีคิวแบบเยาวราช และ จิ้นหมูส้มเมือง (แหนม) ฯ

ปิดท้ายกับเมนูของหวานที่ร้านไอศครีมรสชาติล้ำลึก “นัฐพร” ไอศครีมกะทิสด ที่เปิดมา 70 กว่าปี คงไว้ถึงรสชาติไอศครีมไทยแท้แบบโบราณ เนื้อไอศครีมนุ่มละมุนลิ้น มาพร้อมท้อปปิ้งเอกลักษณ์ไทย อาทิเช่น ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ลูกชิด ข้าวโพด ลูกเดือย มันเชื่อม เป็นต้น

สามารถร่วมกิจกรรมกับ “กิโลรัน 2018” ประเภทการแข่งขัน KG (กิโลกรัม) หรือ “กิโลรันชวนกิน” พิชิตเดินชิลกินอาหารจานเด่นรสเลิศพร้อมกันในวันเดียวถึง 7 ร้านดัง !! หากใครทำน้ำหนักขึ้นได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 0.5 KG และ 1 KG คว้าเหรียญรางวัลแบบไม่ซ้ำใครไปได้ทันที

นอกจากนี้ยังเพิ่มความสนุกกับกิจกรรมงานวิ่งรูปแบบใหม่ไม่ซ้ำใครแบบสนุกครบรสในการแข่งขันประเภท KM (กิโลเมตร) ที่ชวนท้าความฟิตไปกับการวิ่ง 3 ระยะคือ MINI MARATHON 10.8 กิโลเมตร, FUN RUN 5.8 กิโลเมตร และ KIDS RUN 2.6 กิโลเมตร วิ่งผ่านเส้นทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ (The Iconic City)

สนใจจองบัตรด่วนได้ที่ kilorun.com, FB:KILORUN IG: KILORUN2018 หรือ kilorun2018@gmail.com หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 083-989 -6778 เท่านั้น!!

       สนับสนุนโดย สายการบินแอร์เอเชีย และสายการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์ ร่วมสนับสนุนโดย Big Loyalty, Santan, AirAsia GO, Refresh, NAO Global Co.,Ltd., GET 102.5, TANITA, BEN&Jerry’s, FBT, BMN, Pocari Sweat, UBER, Fest, Mono 29, Addict,  และ EVENT POP

The post “กิโลรันชวนกิน”ครั้งแรกในไทยเปิดเมนูความอร่อยหลากรสกับ 7 เมนูร้านดัง [PR] appeared first on Brand Buffet.

เดอะมอลล์ สู้ศึก “ตรุษจีน”ทุ่มไม่อั้นจับอินไซต์ผู้บริโภคสายกิน ส่ง “10 เมนูมงคลรสเลิศ”และ “มังกรเบิกเนตรพ่นไฟ”สร้างกระแส Online-Offline

$
0
0

เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ผนึกกำลังพันธมิตรกระตุ้นกำลังซื้อไตรมาสแรก จัดแคมเปญใหญ่รับเทศกาลตรุษจีน “THE MALL HAPPY CHINESE NEW YEAR” จัดประลองสิงโตเสาดอกเหมยและมังกรเบิกเนตรพ่นไฟ 5 ธาตุสุดอลังการ พร้อมรังสรรค์โต๊ะจีน เมนูมหามงคลยิ่งใหญ่แห่งปี ช้อปสนุกพร้อมลุ้น กิน ฟิน เที่ยว ลุ้นรางวัลใหญ่ ทริป UNSEEN HONG KONG ลุ้นและรับของรางวัลพร้อม Digital อั่งเปามากมายกว่า 4 ล้านบาท อัดแน่นกิจกรรมสร้างสีสันช่วงตรุษจีน ระหว่างวันนี้ – 25 กุมภาพันธ์ 2561ที่ เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ทุกสาขา

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดเดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ กล่าวว่า “ภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงต้นปีนี้เริ่มส่งสัญญาณสดใส โดยในปีนี้ เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ได้ร่วมกับพันธมิตรสำคัญ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) , บัตรเครดิตซิตี้ เอ็ม วีซ่า , ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอมเมอร์เชียล จำกัด จัดแคมเปญใหญ่ THE MALL HAPPY CHINESE NEW YEAR” ปีจอเรืองรอง เงินทองมั่งมี บารมีพร้อมพรั่ง เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2561 ต้อนรับปีจอมหามงคล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “THE SPIRIT OF CHINESE NEW YEAR” จัดระหว่างวันนี้ – 25 กุมภาพันธ์ 2561 ที่เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ทุกสาขา

สำหรับกลยุทธ์การตลาดในแคมเปญ THE MALL HAPPY CHINESE NEW YEAR ปีนี้ เน้น กลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) โดยเฉพาะอาหารเป็นหนึ่งใน magnet หลัก ในการดึงลูกค้ามาศูนย์การค้าในช่วงตรุษจีน นอกจากนี้ยังสร้าง engagement กับลูกค้าในทุกมิติโดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้า M Card ที่ขณะนี้มีฐานข้อมูลสมาชิกจำนวนกว่า 3.8 ล้านคน ยิ่งไปกว่านั้น ยังผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจ  ร้านค้า ร้านอาหารในศูนย์การค้ามอบโปรโมชั่นพิเศษและความคุ้มค่าสูงสุดให้กับลูกค้ามากมาย และยังใช้กลยุทธ์ Digital Accelerate Experience นำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบายและเพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์ Millennial Marketing เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุค Millennials หรือ Gen Y ร่วมมาเทศกาลตรุษจีนมากขึ้น โดยลูกค้าสามารถร่วมสนุกลุ้นโชคกับ Digital อั่งเปา เพียงสแกน QR Code ในศูนย์การค้า ระหว่างวันนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2561  ลุ้นรับบัตรกำนัลร้านอาหารชื่อดังมากมาย รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท  โดย scan QR Code ช่วยอำนวยความสะดวกสบายกับลูกค้ามากยิ่งขึ้นกับการเป็น Cashless Society

สำหรับตรุษจีนมหามงคลต้อนรับปีจอ ทางเดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ยังเตรียมกิจกรรมมงคล นำโชว์การแสดงสุดอลังการทั้งการแสดงเชิดสิงโตและการเชิดมังกรเบิกเนตรพ่นไฟ 5 ธาตุ ได้แก่ RUBY DRAGON พญามังกรสีแดง, PINK DRAGON พญามังกรสีชมพู, GOLD DRAGON พญามังกรทอง, SNOW DRAGON พญามังกรสีขาว และ BLÚ DRAGON พญามังกรสีน้ำเงินจากคณะเชิดสิงโต–มังกรที่เคยผ่านเวทีการประกวดระดับโลกมาร่วมสร้างสีสันและความเป็นสิริ

มงคลให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมทั้งยังมีการประกวด “เดอะมอลล์ สิงโตบนเสาดอกเหมย PRESENTED BY เมืองไทยประกันชีวิต” ชิงถ้วยรางวัลชนะเลิศจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและถ้วยรางวัลจากกรุงเทพมหานครพร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวม 100,000 บาท

สำหรับพิธีเปิดงานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่เดอะมอลล์ บางแค โดยมีการแสดงเชิดสิงโตและมังกรเสาดอกเหมยสุดอลังการและเหล่าสิงโต 5 สี นำขบวนโดยซุปตาร์สุดฮอตใหม่ – ดาวิกา โฮร์เน่ ที่มาปรากฏโฉมในลุคจักรพรรดินีแห่งสรวงสวรรค์ ครั้งแรกในประเทศไทยกับซาลาเปาทองคำยักษ์ไส้ลาวาผสมทองคำจากภัตตาคารหวัง เจีย ชา เพื่อร่วมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน เบิกฤกษ์ปีจอเรืองรอง ประจำปี 2561 

                 

รวมทั้ง พบกับโต๊ะจีนมหามงคลคาวหวานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่า 100 เมนูจากร้านค้าและภัตตาคารชื่อดัง โดยมีเมนูไฮไลท์ 10 เมนูอาหารมงคลเลิศรส อาทิ ผัดหมี่ฮ่องกง โหงวก้วยกระทงเผือก ปลาจาระเม็ดนึ่งเกี้ยมบ๊วย จากภัตตาคารฮองมิน, ซาลาเปาลาวาไส้คัสตาร์ด ต่ามต่ามหมี่ ไก่แช่เหล้าจากร้านหวัง เจีย ชา, เป็ดย่าง จากภัตตาคารมังกรหลวง, เกี๊ยวกุ้งนึ่งแห้ง จากร้านจกโต๊ะเดียว, ซาลาเปาชินจัง จากร้านเชฟแมน การันตีความมงคลโดย อาจารย์คฑา ชินบัญชร   สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกเมืองไทย Smile Club ใช้คะแนนสะสม Smile Point 10 คะแนน แลกรับ Voucher 100 บาท เพื่อใช้ซื้อสินค้าและอาหารภายในงาน  สำหรับลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์สามารถชำระค่าอาหารและสินค้าภายในงาน ผ่านแอพพลิเคชั่น SCB EASY PAY เพียงสแกน QR Code กับร้านค้าที่รับแม่มณี Money Solution งานจัดตั้งแต่วันนี้ – 16 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บริเวณแกรนด์ฮอลล์ และอีเวนท์ ฮอลล์ เดอะมอลล์   ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ทุกสาขา

พิเศษในปีนี้ ยังจัดกิจกรรม THE MALL MAMA & ME COMPETITION 2018 PRESENTED BY CITI M VISA โดยมีสมาชิกบัตร M Card และบัตรเครดิตซิตี้ เอ็ม วีซ่า คู่แม่ลูกร่วมประกวดการแต่งกายสไตล์จีน ชิงเงินรางวัลกว่า 100,000 บาท

สิทธิพิเศษลูกค้า M Card โดยเฉพาะ เพียงใช้คะแนนสะสม 88 M Point แลกซื้อทริป Unseen Hong Kong กินหรู อยู่สบายกับอาจารย์คฑา ชินบัญชร ได้ในราคาเพียง 29,500 บาท ร่วมสักการะองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย หรือ เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ณ ห้องลับใต้ดิน วัดหวังต้าเซียน ขอพรเสริมสิริมงคล ที่วัดแชกงหมิว นมัสการเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ เพื่อความมั่งคั่ง อิ่มอร่อยกับอาหารเลิศรสจากร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เพลิดเพลินไปกับการช้อปปิ้งดัง 3 วัน 2 คืน ในวันที่ 30 มีนาคม – 1 เมษายน 2561 พิเศษจำนวนจำกัด เพียง 20 ที่นั่งเท่านั้น แลกได้ตั้งแต่วันนี้ – 25 กุมภาพันธ์ 2561 (หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ M Card Call Center 02-789-5555

นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษของแคมเปญ THE MALL HAPPY CHINESE NEW YEAR ลุ้น กิน ฟิน เที่ยว ลุ้นและรับของรางวัลมากมายกว่า 4 ล้านบาท  ลูกค้าที่ช้อปครบทุก 1,000 บาท ภายในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ทุกสาขา พร้อมแสดงบัตร M Card รับคูปองชิงโชคลุ้นทริป UNSEEN HONG KONG พร้อมลุ้นรับสร้อยคอทองคำ และลุ้นรับคะแนน M Point รวม 1,320,000 คะแนน รวมทั้งเมื่อช้อปภายในศูนย์การค้าฯ ครบ 2,000 บาทขึ้นไปและพิเศษสำหรับลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตซิตี้ เอ็ม วีซ่า หรือบัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์ ช้อปเพียง 1,500 บาทขึ้นไป พร้อมแสดงบัตร M Card รับฟรีเซตซองอั่งเปาดีไซน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดย ยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล

สิทธิพิเศษเพิ่มเติม สมาชิกเมืองไทย Smile Club รับสิทธิประโยชน์มากมายในงาน ลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ เอ็ม วีซ่าและลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อช้อปผ่านบัตรครบ 2,000  บาทขึ้นไป รับฟรีบัตรกำนัลห้างฯ มูลค่า 200 บาท นอกจากนี้สมาชิกบัตรเครดิตซิตี้ เอ็ม   วีซ่า เมื่อทานอาหารในศูนย์ฯ ครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับฟรีบัตรกำนัลห้างฯมูลค่า 100 บาท  ลูกค้าบัตรเดบิตธนาคารไทยพาณิชย์ ช้อปผ่านบัตร ครบ 2,000  บาทขึ้นไป รับฟรีบัตรกำนัลห้างฯ มูลค่า 100  บาท  สำหรับลูกค้า M Card รับส่วนลดค่ากำเหน็จสูงสุด 50% และของกำนัลมากมาย สมาชิก M Card ที่เป็นลูกค้า DTAC เพียงแสดงบัตร M Card และกดรับสิทธิ์ DTAC Reward รับฟรีอั่งเปาส่วนลดเงินสด มูลค่าสูงสุด 200 บาท (วันที่ 16 – 25 กุมภาพันธ์ 2561 )

เสริมมงคลชีวิต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีจอมหามงคล ในงาน “THE MALL HAPPY CHINESE NEW YEAR”  งานจัดขึ้นระหว่างวันนี้ – 25 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ทุกสาขา

 

The post เดอะมอลล์ สู้ศึก “ตรุษจีน” ทุ่มไม่อั้นจับอินไซต์ผู้บริโภคสายกิน ส่ง “10 เมนูมงคลรสเลิศ” และ “มังกรเบิกเนตรพ่นไฟ” สร้างกระแส Online-Offline appeared first on Brand Buffet.

MULLENLOWE GROUP แต่งตั้ง นาย นีลล์ โฮลท์ เป็น CEO ใหม่ ผนึกกำลังไทย-เวียดนาม ตั้งเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [PR]

$
0
0

ศักราชใหม่ของ MullenLowe Group เอเยนซี่ชั้นนำของโลกในประเทศไทย กับการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่เพื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอล ด้วยการแต่งตั้ง นาย นีลล์ โฮลท์ เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ MullenLowe Group Greater Mekong เพื่อสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจโฆษณาเต็มรูปแบบ และใช้สำนักงานในประเทศไทยและเวียดนาม เป็นศูนย์กลางธุรกิจในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ด้วยเป้าหมายธุรกิจที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศการด้าน Integrated Creative, Business Transformation และ Digital Agency พร้อมนำกลยุทธ์ Hyperbundle หรือ การรวมศูนย์ความรู้และความเป็นเลิศด้านงานพัฒนาธุรกิจที่สำคัญเข้าด้วยกัน อาทิ  ความเชี่ยวชาญด้าน Business Transformation จากสำนักงานในออสเตรเลีย ด้านการพัฒนาโปรแกรมดิจิตอลและแพลตฟอร์ม จากสำนักงานในเมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Data Analytic จากสำนักงานในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และ ด้านการผลิตชิ้นงานครีอทีฟจากสำนักงานในประเทศไทย ทั้งนี้ความร่วมมือของกลุ่มบริษัทในเครือจะเข้าร่วมมือกันเพื่อตอบสนองธุรกิจของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน เพื่อตอกย้ำและขับเคลื่อนความเป็นผู้นำให้กับองค์กรอีกขั้นภายใต้กลยุทธ์ใหม่นี้

นาย นีลล์ โฮลท์  จะรับผิดชอบในการบริหาร MullenLowe Group ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม รวมบุคลากรกว่า 150 คน ซึ่งทั้ง 2 สำนักงานล้วนแต่เป็นที่ยอมรับในผลงานการสร้างสรรค์และกลยุทธ์ทางการตลาด ในปัจจุบันบริษัทได้รับความไว้วางใจจากตัวอย่างลูกค้าสำคัญ อาทิ ยูนิลีเวอร์  เอ็ม จี ประเทศไทย เอ.พี. ฮอนด้า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และซัมซุงโมบาย โดยมีรางวัลการันตีความสำเร็จจากเวทีทั้งในประเทศและระดับโลกอาทิ MAT Awards D&AD  และ Cannes

ด้วยประสบการณ์ในสายอาชีพโฆษณาการตลาดมานานกว่า 30 ปี ในภูมิภาคเอเชียและออสเตรเลีย ของนาย นีลล์ โฮลท์ กับล่าสุดด้วยการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Tribal Worldwide ในกรุงปักกิ่ง และ บริษัท Unbound Group ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็น เอเยนซี่ด้านการสื่อสาร งานสร้างสรรค์ และงานพัฒนาดิจิตอลเทคโนโลยี ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน การพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มใหม่และเทคโนโลยี VR และ AR ที่กำลังนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

สำหรับประสบการณ์10 ปี ในประเทศไทยของ นาย นีลล์ โฮลท์ ได้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท Euro RSCG Bangkok (ปัจจุบันคือ HAVAS) และก้าวสู่การเป็นซีอีโอของ RAPP Thailand ก่อนย้ายไปประจำ ณ กรุงปักกิ่ง

นาย นีลล์ โฮลท์ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ และพร้อมนำเอาประสบการณ์ใหม่ๆ มาพัฒนาธุรกิจของลูกค้าของบริษัท ด้วยกลยุทธ์ Hyperbundle จาก MullenLowe Group ที่นำเอากลยุทธ์ทางการตลาด ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และสำคัญที่สุดคือความเข้าใจผู้บริโภคและธุรกิจบนโลกดิจิตอล เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจะเป็นคำตอบของธุรกิจในโลกปัจจุบันที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที และด้วยกลยุทธ์ Hyperbundle นี้จะสร้างความแตกต่างให้กับผลงานของบริษัท เพื่อประโยชน์สูงสุดของแบรนด์ลูกค้า และก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจอย่างยั่งยืน”

และใน 3 เดือนแรก ภายใต้การนำของ นาย นีลล์ โฮลท์ ได้กำชัยชนะให้กับ MullenLowe Group ด้วยการได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท เอ็ม จี ประเทศไทย และ กลุ่มพฤกษาทาวน์เฮาส์ ให้เข้าพัฒนากลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการตลาดดิจิตอลเต็มรูปแบบ และ เข้าไปดูแลการทำ Data-Driven Marketing ให้กับ บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคทรอนิคส์ จำกัด ส่วนธุรกิจมือถือ ตามแผนการเติบโตของบริษัทฯ ที่วางไว้ 

The post MULLENLOWE GROUP แต่งตั้ง นาย นีลล์ โฮลท์ เป็น CEO ใหม่ ผนึกกำลังไทย-เวียดนาม ตั้งเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [PR] appeared first on Brand Buffet.

มิตซูบิชิ ก้าวสู่ปีที่ 41 มุ่งยกระดับธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน และเตรียมรองรับการขยายตัว EEC [PR]

$
0
0

มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน ยาวนานกว่า 40 ปี ยึดนโยบายความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก และการให้บริการหลังการขายครบวงจร ภูมิใจได้มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ OHSAS 18001  ครอบคลุมด้านการบริหารจัดการคุณภาพ ระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบบริหารจัดการชีวอนามัยและความปลอดภัย พร้อมด้วยบุคลากรที่เต็มเปี่ยมคุณภาพ ผ่านการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นจากศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแนวดิ่งที่ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เตรียมรองรับการขยายตัวทั้ง AEC และ EEC พร้อมยกระดับสู่ผู้นำในตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-7% ต่อปี

มร. มุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่าย ติดตั้งและให้บริการหลังการขายผลิตภัณฑ์ลิฟต์และบันไดเลื่อนมิตซูบิชิ เปิดเผยว่า “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์  ประสบความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค จึงเป็นผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนบนมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ที่มีจุดแข็งด้านบริการหลังการขายมายาวนานกว่า 40 ปี   ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 41 ยังยึดมั่นนโยบายการดำเนินธุรกิจบนมาตรฐานความปลอดภัยและเน้นคุณภาพ ทั้งด้านการติดตั้งระบบที่ดีเยี่ยมและการบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ด้วยทีมวิศวกรและช่างผู้เชี่ยวชาญ อันเป็นการมอบความมั่นใจในการบริการทุกขั้นตอนแก่ลูกค้า

ปัจจุบัน มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ มีศูนย์บริการหลังการขายจำนวน 22 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2561 นี้ได้มีการเพิ่มศักยภาพในการให้บริการด้วยการเปิดศูนย์บริการอีกจำนวน 6 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่ ศูนย์บริการอุดมสุข, ศูนย์บริการรัชดาภิเษก, ศูนย์บริการนนทบุรี, ศูนย์บริการนครปฐม, ศูนย์บริการระยอง และศูนย์บริการโคราช รวมทั้งหมดเป็น 28 แห่ง  เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ช่วยลดระยะทางและเวลาในการเดินทางของทีมวิศวกรและช่างผู้เชี่ยวชาญ  เมื่อได้รับเเจ้งเหตุ ลิฟต์, บันไดเลื่อน หรือทางลาดเลื่อน เกิดการขัดข้อง จะสามารถเดินทางไปถึงจุดหมาย เฉลี่ยแล้ว ภายใน 1 ชม.เท่านั้น  โดยมีศักยภาพเพียงพอที่จะดูแล ลิฟต์, บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน ซึ่งอยู่ในสัญญาบริการกว่า 15,000 เครื่อง ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปี 2563 นี้ จะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 20,000 เครื่องอย่างแน่นอน

มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ให้ความสำคัญต่อการติดตั้ง ลิฟต์, บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน โดยมุ่งรักษาคุณภาพและตระหนักถึงความปลอดภัยแบบองค์รวมทั้งระบบ ได้แก่ พนักงาน ทีมช่างติดตั้ง ผู้รับเหมา รวมไปถึงผู้ใช้งาน ซึ่งตรงตามมาตรฐานรับรองคุณภาพด้านความปลอดภัย ISO 18001  ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบ Safety Patrol ที่กำหนดให้ หัวหน้าผู้รับเหมา หน่วยงานจากแผนกตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย และ ทีมผู้บริหารระดับสูงของ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ต้องเข้าไปตรวจสอบสถานที่ติดตั้งจริงในทุกๆ โครงการ อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา พบว่า สถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานเป็น “ศูนย์” และ สถิติ Defect ของงานมีน้อยกว่า 0.07% มร. มุเนอิสะ กล่าวและเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC  ทำให้ความต้องการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมั่นใจว่าจะเกิดการลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ อาทิ โรงแรม, ที่พักอาศัย, ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน และโรงงานต่างๆในพื้นที่ นอกจากนี้สนามบินอู่ตะเภาก็มีการปรับปรุงให้สามารถรองรับนักธุรกิจต่างๆ   ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความคึกคัก เม็ดเงินลงทุนเดินสะพัดอย่างมหาศาล  ทั้งนี้มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เตรียมแผนรองด้วยการเปิดศูนย์บริการในจังหวัดระยอง เพื่อรองรับการให้บริการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายสันติพงษ์ บูรณกฤตยกรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ ในช่วงปลายปี 2560 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนขยายตัวเพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เร่งขยายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นย่าน นนทบุรี สมุทรปราการ มีนบุรี กรุงธนบุรี  รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ  อาทิ พัทยา, เชียงใหม่ และ ภูเก็ต เป็นต้น  โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าไฮ-เอ็นด์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ ลิฟต์ และ บันไดเลื่อน “มิตซูบิชิ” เติบโตตามไปด้วย เพราะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮ-เอ็นด์ ที่ให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพได้เป็นอย่างดี

ในปีนี้ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ วางแผนรุกตลาดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง โดยชูจุดแข็งด้านการบริการที่มีความรวดเร็ว ฉับไว มีอัตราการแจ้งซ่อมต่ำ ให้บริการด้วยช่างคุณภาพ มีความรู้ที่ได้รับการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอบรมนานกว่า 1 ปีก่อนออกปฏิบัติงานจริง และยังคงยึดนโยบายในการมุ่งมั่นพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจสูงจากลูกค้าระดับชั้นนำเป็นจำนวนมาก  สำหรับการแข่งขันในตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนนั้นมีการแข่งขันค่อนข้างสูง สืบเนื่องมากจากการที่ภาครัฐมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยแบรนด์ในตลาดส่วนใหญ่แข่งขันด้านราคา ในขณะที่มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ยึดมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและการบริการหลังการขายเป็นหลัก

สำหรับภาพรวมในปี 2560 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนมีจำนวนความต้องการประมาณ 5,200  เครื่อง มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ  8,000  ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ สามารถจำหน่ายลิฟต์และบันไดเลื่อนได้มากกว่า 1,600 เครื่อง เทียบแล้วมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า 30%  ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2561 นี้ ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน จะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง 5-7 %  และในส่วนของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคยังคงคำนึงถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการหลังการขายเป็นอันดับแรก

นอกจากนี้ ยังมีความมั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยและสำนักงานรูปแบบมิกซ์ยูส (mixed-use) จะยังคงมีการขยายตัวมากขึ้น โดยได้รับอานิสงค์จากการขยายระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ รวมไปถึงภาคของสาธารณสุข (health sector) ที่สถานพยาบาลในเครือต่างๆที่มีการปรับปรุงและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งประเทศไทยได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงในด้านสาธารณสุข จนกลายเป็นศูนย์กลางแห่งสถานพยาบาลและการรักษาโรคในภูมิภาค  จากแนวโน้มที่ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ จึงมุ่งมั่นที่ ก้าวสู่ผู้นำในธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน พร้อมพัฒนาคุณภาพและการให้บริการได้ตรงใจผู้บริโภค สืบต่อจากปีที่ 41 สู่ปีต่อๆ ไปอย่างไม่หยุดยั้ง” นายสันติพงษ์ กล่าวสรุปในที่สุด

The post มิตซูบิชิ ก้าวสู่ปีที่ 41 มุ่งยกระดับธุรกิจลิฟต์และบันไดเลื่อน และเตรียมรองรับการขยายตัว EEC [PR] appeared first on Brand Buffet.


PropTech มาแรง ZAZZET แพลตฟอร์มรับขายฝากอสังหาฯยุคใหม่ที่ “เข้าใจ” ปัญหาคนต้องการหมุนเวียน

$
0
0

 

เพราะว่าธรรมชาติของธุรกิจขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ผู้ที่นำทรัพย์ของตัวเองมาขายฝาก มักมีความจำเป็นเร่งด่วน จนผู้ขายฝากต้องเผชิญหน้ากับข้อเสนอที่ไม่ค่อยเป็นธรรมนัก ส่วนฝั่งผู้รับซื้อฝาก การจะเดินทางเพื่อไปดูทรัพย์จริงที่นำมาขายฝากกันนั้น ก็ติดขัดเรื่องการเดินทาง ด้วยช่องว่าง 2 ประเด็นใหญ่ดังกล่าว ทำให้ “ZAZZET”(ซีแอซเซ็ท) สตาร์ทอัพตัวกลางขายฝากสินออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ถือกำเนิดขึ้น โดยนำทางเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับทั้งผู้ที่ขายฝาก และผู้ที่รับซื้อฝาก ในราคาที่เป็นธรรม และช่วยให้เห็นอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

PropTech ที่เริ่มต้นจาก Pain Point

คุณภาดาท์ วรกานนท์ General Manager ของ ZAZZET อาศัยประสบการณ์ที่เธอทำงานอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาหลายปี ก่อนที่จะมาร่วมงานกับ บมจ. สามารถ คอร์ปอเรชั่น  ที่ต้องการขยายพอร์ตไปสู่การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ยังคงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัท  และช่องว่างทางการตลาดกับโอกาสที่ ZAZEET มอง ก็มีความชัดเจน ด้วยสภาพตลาดซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีมูลค่า 400,000 ล้านบาทต่อปี สำหรับธุรกิจ “ขายฝาก” มีมูลค่าอยู่ที่ 23,000 ล้านบาท ที่ผ่านมารูปแบบการซื้อ-ขายฝากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนรู้จักกัน และมักเรียกดอกเบี้ยกันสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไปถึง 5% ต่อเดือน หรือ 30% ต่อปีเลยทีเดียว ด้วย Pain Point ที่กล่าวมานี้  ZAZEET จึงเข้ามาเป็นตัวกลาง โดยหยิบเอาเทคโนโลยีหลายเรื่องเข้ามาช่วย

“เจ้าของทรัพย์บางครั้ง เขาแค่ร้อนเงิน 6-9 เดือน และความรู้สึกของเขาจริงๆ เขาก็ไม่อยากเสียทรัพย์นี้ไป เพราะว่าพื้นฐานดี แต่นายทุนก็มองว่าในเมื่อทรัพย์นี้มีพื้นฐานที่ดี ก็อยากจะได้ทรัพย์เอาไว้ ก็อาจจะเกิดปัญหาได้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ ZAZZET มองหาคือ นักลงทุนที่ปกติเขาไม่ได้ลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้อยากได้ทรัพย์หรอก เขาอยากได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ยธนาคาร หรือการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความผันผวน แล้วบางครั้งผลตอบแทนก็ไม่ได้ดีเท่ากับในอดีต แต่ในขณะเดียวกันทรัพย์ที่เราเลือกเข้ามา ถ้าหากว่าจะหลุดมาอยู่ในมือของนักลงทุนจริงๆ เจ้าของทรัพย์ไม่สามารถมาเอาคืนไปได้จริงๆ ทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี จะขายต่อหรือลงทุนอะไรก็ต้องสามารถทำได้ นี่คือ การทำงานของเราที่สร้างความเป็นธรรมให้กับทั้ง 2 ฝ่าย”

ด้วยเหตุนี้ ทีมงานของ ซีแอซเซ็ท ซึ่งตอนนี้มีเพียง 6 คนต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อคัดเลือกทรัพย์ที่เข้ามา และแมตช์ชิ่งเข้ากับนักลงทุน ในอัตราที่แน่นอนว่าไม่เกินกฎหมายกำหนด การันตีด้วยชื่อเสียงของบริษัทที่มีตัวตน เชื่อถือได้ เป็น Market Place ที่แตกต่างจากการขายฝากแบบดั้งเดิม

เอาใจลูกค้าทั้ง 2 ฝั่ง ด้วย “ประสบการณ์”

บริการของ ZAZZET ที่มีส่วนอย่างมากในการตัดสินใจก็คือ คำแนะนำในเรื่องการลงทุน โดยคำนึงถึงความต้องการของทั้งผู้ขายฝาก-ผู้รับซื้อฝาก

“หลายครั้งเราต้องให้คำแนะนำกับผู้นำทรัพย์มาขายฝาก เช่น ถ้าหากว่าปรับปรุงทรัพย์บ้าง ตกแต่งนิดหน่อย ทาสี เปลี่ยนแปลงบางอย่างก็จะทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนะ ในส่วนของนักลงทุน อย่างที่บอกว่าบางท่านก็อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ตรงนี้เราก็ต้องช่วยแนะนำ เช่น ที่ตรงนี้ถ้าขยับเข้าไปอีกนิดจะสามารถทำคอนโดฯ ได้นะ ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร แต่มูลค่าต่างกันมหาศาล ตรงนี้เราก็ต้องบอกตามความจริง รวมทั้งนักลงทุนบางคนก็บอกเรามาเลยว่า ผมอยากได้ที่ดิน ทำเลนี้ๆ เท่านั้น เราก็โอเค มองหาให้”

นอกจากเรื่องของทรัพย์แล้ว เรื่องของเอกสารกับขั้นตอนการดำเนินการก็เป็นอีกอย่างที่ทาง ZAZZET ต้องแม่น!  เราแอบถามเล่นๆว่า ตั้งแต่ดำเนินงานมาไม่ถึงปี เคยโดย “ลองของ” หรือยัง ผู้บริหารก็ตอบอย่างจริงใจว่า มีมาบ้างแล้ว แต่รู้ทันซะก่อน เพราะการเป็นคนกลางในธุรกิจนี้ต้องระมัดระวัง แล้วคอยตรวจเช็กเอกสารทุกอย่างให้กับลูกค้าทั้ง 2 ฝั่ง

“ถึงแม้ธุรกิจของเราจะเริ่มต้นที่เว็บไซต์ เป็นออนไลน์ แต่เมือมาถึงมือเรา เราก็ต้อง กรองทรัพย์ซะก่อน หมายถึงต้องตรวจสอบ ด้วยขั้นตอนของราชการ อย่างไรก็ตามต้องไปดำเนินการที่หน่วยงานราชการ สำนักงานที่ดิน ดังนั้น ทางเราต้องเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และในที่สุดขั้นตอนทุกอย่างก็ต้องเกิดขึ้นภายในกรอบของกฎหมาย”  คุณภาดาท์ อธิบายถึงขั้นตอนการทำงาน

ด้วยสไตล์การทำงานและความตั้งใจที่จะทำให้ ZAZZET เป็นบริษัทที่มีความ LEAN ตามแบบสตาร์ทอัพ PropTech อาศัยพนักงานจำนวนน้อย มีความสามารถหลากหลาย แต่ในเมื่อมีปริมาณงานมากแบบนี้ รวมทั้งทรัพย์ที่เข้ามาก็มีจากทั่วทุกสารทิศ Technology ทั้งหลาย จึงต้องเข้ามาช่วยให้ ลูกค้า และพนักงานให้ทำงานร่วมกันได้ง่ายที่สุด

“เทคโนโลยี” เครื่องมือที่ทำให้ “คำนิยาม” กระจ่างชัด

หลายครั้งที่คำถามของผู้รับซื้อทรัพย์ถามว่า “เก่าไหม” “สวยไหม” “ไกลไหม” ฯลฯ ดูเหมือนว่าคำถามที่แสนจะง่ายเหล่านี้ ตอบได้ยากเหลือเกินในความเป็นจริง เพราะนิยามความรู้สึกของแต่ละคนแตกต่างกัน…นี่เอง  “เทคโนโลยี” จึงต้องเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายแบบ 360 องศา, ภาพถ่ายด้วยมุมมองจากโดรน และ VR

บางครั้งทรัพย์ที่เข้ามาสู่เว็บไซต์ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด การที่ทีมงานถ่ายภาพแบบ 360 องศา และมุมสูงที่อาศัยโดรนเป็นตัวช่วย ก็ทำให้นักลงทุนมองเห็นสินค้าที่กำลังตัดสินใจอยู่ได้ง่ายขึ้น บางครั้งคำถามที่คาใจ ก็หมดไปโดยดูให้เห็นกับตาไปเลย

“การที่เราใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วย ก็ทำให้ทีมงานของเรารับโทรศัพท์น้อยลง และนักลงทุนที่โทรเข้ามาแปลว่าเขาเห็นทรัพย์นั้นๆ แล้ว และรู้สึกถูกใจในระดับหนึ่งเขาถึงโทรเข้ามา เราก็จับคู่ได้ง่ายขึ้น และการที่เรามีบริการแบบนี้ก็ทำให้ทรัพย์ที่มาฝากไว้กับเราสามารถขายฝากได้เร็วขึ้น นี่คือแนวทางการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า PropTech

นอกจากนี้ยังมีบริการ VR ที่ทาง ZAZZET หวังให้เป็นบริการพิเศษ สำหรับลูกค้าที่ต้องการแต่งเติมประสบการณ์ในทรัพย์ของตัวเองให้มีมูลค่ามากขึ้น โดยมีทีมงานซึ่งก็อาศัยบริษัทพันธมิตรในเครือสามารถฯ ช่วยเข้าไปทำให้อสังหาริมทรัพย์นั้นๆ มีสีสัน ผู้ซื้อหรือผู้ที่เข้ามารับซื้อทรัพย์มองเห็นภาพมากขึ้นว่า ที่ดิน, บ้าน, คอนโดมิเนี่ยมที่ซื้อมานั้น ควรจะตกแต่งอย่างไร โดยบริการนี้อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อแลกกับการที่ทำให้อสังหาฯ ชิ้นนั้นๆ ไปถึงมือนักลงทุนให้รวดเร็วขึ้น

ปัจจุบัน ZAZZET ได้รับความไว้วางใจมีทรัพย์ที่บนเว็บไซต์ มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทแล้ว ทั้งในส่วนฝากขาย และขายฝาก โดยนักลงทุนมีหลายระดับตั้งแต่ 1 ล้านบาท ไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท  ในปีนี้ ZAZZET จะรุกตลาดมากขึ้นและคาดหวังว่าจะเริ่มต้นมีกำไรหลังจากเริ่มต้นเปิดตัวมา 7 เดือนแล้ว โดยอาศัยการทำความเข้าใจในระบบ “ขายฝากอสังหาฯ” ซึ่งนักลงทุนหลายคนไม่เคยรู้จักมาก่อนจนกลายเป็นความท้าทายใหญ่ของ ZAZEET ที่ต้องแก้โจทย์ให้ได้ ที่ผ่านมาก็มีการออกบูธในงานสัมนาเกี่ยวกับการลงทุนขยายการรับรู้อย่างสม่ำเสมอ

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.zazzet.com/ และ https://zazzet.com/gallery

The post PropTech มาแรง ZAZZET แพลตฟอร์มรับขายฝากอสังหาฯยุคใหม่ที่ “เข้าใจ” ปัญหาคนต้องการหมุนเวียน appeared first on Brand Buffet.

เปิดตัวเยาวชน 10 นักเตะในโครงการ Fox Hunt รุ่นที่ 3 บินลัดฟ้าสู่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ [PR]

$
0
0

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมของคนไทยหนึ่งเดียวในสโมสรพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำโดย คุณอัยยวัฒน์  ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และรองประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ จัดแถลงข่าวเปิดตัวเยาวชนไทย 10 นักเตะ ในโครงการ Fox Hunt รุ่นที่ 3 ที่ได้มีโอกาสไปฝึกทักษะฟุตบอลที่สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ พร้อมทุนการศึกษาในระดับมัธยมปลายโรงเรียน Ratcliffe College เป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ณ ห้องอีเทอร์นิตี้ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ

คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และรองประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้  เปิดเผยถึงโครงการในครั้งนี้ว่า “ ปีนี้ถือว่าเป็นที่น่าพึงพอใจมาก เพราะในปีนี้เราได้เห็นน้องๆ ทั่วประเทศมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยรูปแบบการแข่งขันของรายการ King Power’s Cup 2017 ที่มีการปรับเปลี่ยนจากปีที่ผ่านมา ทำให้มีจำนวนทีมและนักฟุตบอลเข้าร่วมการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นข้อดีที่ทำให้เรามีเวลาในการมองดูพัฒนาการและความสามารถของเด็กไทยมากขึ้นจากเดิม โดยปีนี้สร้างปรากฎการณ์ทีมเข้าร่วมการแข่งขันมากถึง 205 ทีม มีเยาวชนร่วมการแข่งขันมากกว่า 4,000 คน ซึ่งมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว และประโยชน์ที่เราทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือ รายการนี้เด็กไทยที่รักในกีฬาฟุตบอลได้แสดงศักยภาพของเยาวชนที่พร้อมก้าวไกลสู่เวทีโลก ทั้งนี้เราไม่ได้มองเพียงแค่คนเก่งที่มาจากทีมชนะเลิศเท่านั้น แต่เรายังเปิดโอกาศให้เด็กที่มีฝีเท้าดีจริงๆ ได้มีโอกาสผ่านการคัดเลือกเข้าแคมป์ฝึกซ้อมเรียนรู้กระบวนการแบบมืออาชีพก่อนที่พวกเค้าจะผ่านการคัดตัวจนเหลือ 10 คนสุดท้ายเพื่อไปฝึกฝนทักษะแบบมืออาชีพจริงๆ ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งนั่นคือโลกใบใหม่ที่เด็กไทยจะได้เรียนรู้ เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาช่วยวงการฟุตบอลไทยให้แข็งแรงต่อไป”

ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน หัวหน้าทีมโค้ชการแข่งขัน King Power’s Cup 2017 ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานให้กับรายการนี้ ทำให้เรามองเห็นโอกาสที่เยาวชนไทยจะได้รับนอกจากจะเป็นเวทีที่ให้เยาวชนได้แสดงความสามารถกันแล้ว เรายังได้เห็นการมอบโอกาสที่คิง เพาเวอร์และผู้สนับสนุนให้กับเยาวชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อยอดให้วงการฟุตบอลไทยในอนาคต”

มร.อลิสเตอร์ ฮีท (Mr. Alistair Heath) หัวหน้าผู้ฝึกสอนเยาวชน Fox Hunt เลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “สิ่งแรกที่น้องๆ ทั้ง 10 คนจะต้องเตรียมตัวก่อนเดินทางไปประเทศอังกฤษ น้องๆ ต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านทั้งร่างกาย จิตใจ และความพร้อมในเรื่องของภาษา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ น้องๆ จะได้ร่วมฝึกกับพี่ๆ FOX HUNT 2 การฝึกของเราจะมีมาตรฐานทุกคนจะต้องปฎิบัติตามเหมือนกันหมด การมีวินัยถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นมาก”

สำหรับโครงการ Fox Hunt รุ่น 3 มีผู้สนับสนุนหลักที่ร่วมสานฝันให้เยาวชนไทย ได้แก่ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัดบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน), สายการบินแอร์เอเชีย, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท โรงงานฟุตบอลล์ไทย สปอร์ตติ้งกู๊ดส์ จำกัด (เอฟบีที)

10 นักเตะที่ผ่านเข้าสู่โครงการ ฟ็อกซ์ฮันท์ รุ่น 3

1. คณพศ กาดี โรงเรียนโพธินิมิตวิทยาคม (ผู้รักษาประตู หมายเลข 2)

2. ฟารีด ชูรุ่ง อบจ.สงขลาพิทยานุสรณ์ (กองหลัง หมายเลข 9)

3. ชินวัตร ชีมุล โรงเรียนกีฬากรุงเทพมหานคร (กองหน้า หมายเลข 32)

4. ศิริมงคล รัตนภูมิ โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต (กองกลาง หมายเลข 16)

5. ฐิติพันธ์ เอกศริ โรงเรียนโพธินิมิตวิทยาคม (กองกลาง หมายเลข 20)

6. บริบูรณ์ น้อยศรี โรงเรียนเทพศิรินทร์เชียงใหม่ (กองหลัง หมายเลข 11)

7. พิรชัช กุลลประภา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (กองกลาง หมายเลข 21)

8. ทักษ์ดนัย ใจหาญ โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (กองหน้า หมายเลข 27)

9. อภิวัฒน์ ไพรสน โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต (กองหน้า หมายเลข 33)

10. วรโชติ เรืองรำหัส โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต (กองกลาง หมายเลข 35)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ FOX HUNT

โครงการ FOX HUNT เริ่มตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก โดยเปิดโอกาสให้นักเตะเยาวชนไทยได้มีโอกาสไปฝึกที่เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ศูนย์ฝึกที่ดีที่สุดของประเทศอังกฤษ สำหรับน้องเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษามูลค่า 15 ล้านบาทต่อคน เพื่อศึกษาและเรียนรู้ทักษะฟุตบอลแบบมืออาชีพ กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ พร้อมเข้าศึกษาระดับไฮสคูลที่ Ratcliffe College ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำในเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง

The post เปิดตัวเยาวชน 10 นักเตะในโครงการ Fox Hunt รุ่นที่ 3 บินลัดฟ้าสู่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ [PR] appeared first on Brand Buffet.

Summer Campaign ของศึกน้ำดำ ประเดิมด้วย Packaging Design เมื่อ Localization ปะทะ Retro Marketing

$
0
0


การแข่งขันของเครื่องดื่มในหน้าร้อนปีนี้ คึกคักและงัดไอเดียเด็ดออกมาให้เห็นกันแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยสิ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุด คงจะเป็น “บรรจุภัณฑ์” (Packaging) ท่ามกลางโจทย์ทางการตลาดที่แสนจะยาก เพราะว่าสินค้ามีความใกล้เคียงกันสร้างความแตกต่างได้ยาก ในปีนี้ทั้ง 2 แบรนด์ย้อนกลับไปที่กลยุทธ์การตลาดของตัวเอง โดยโค้ก เลือกที่จะสร้างความประทับใจให้กับคนไทยด้วยการ Localization คุยกับคนในพื้นที่ด้วยการใส่ชื่อแต่ละจังหวัดในประเทศไทยลงไปบนแพ็กเกจจิ้ง ในขณะที่เป๊ปซี่ อาศัยตำนานของแบรนด์ เนื่องในโอกาส 120 ปี ของแบรนด์ ดึงเอาแพ็กเกจจิ้งที่โดดเด่นและยังประทับใจลูกค้าในแต่ละยุคสมัยมานำเสนอ

“โค้ก” ได้ใจคนท้องถิ่น ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวดังของไทย 

ในปีนี้แคมเปญใหญ่ของโค้ก ฮูลาฮูล่ากับโค้กหน้าร้อนนี้” อาศัยการปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศไทย ชูความภาคภูมิใจของไทย ในฐานะหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก ด้วยการเปิดตัวฉลากใหม่สุดพิเศษบนกระป๋องและขวดโค้ก PET ที่มากับชื่อและไอค่อนสัญลักษณ์ของจุดหมายในการท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วประเทศไทยให้เลือกสะสมถึง 24 ลาย มีทั้งชื่อจังหวัดและสถานที่ท่องเที่ยว 

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์โฆษณา ที่นำแสดงโดย ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์ พร้อมกับสื่อโฆษณานอกบ้าน  ตามจุดสำคัญๆ ของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานหลักๆ ครอบคลุม 4 ภาคทั่วไทย รวมทั้งแลนด์มาร์คสำคัญๆ เช่น  อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และที่เป็นไฮไลต์ให้คนกรุงเทพได้ตื่นเต้นยามค่ำคืนก็เช่นการใช้พื้นที่ยอดตึกใบหยกทาวเวอร์เป็นแบรนด์แรก 

ไปจนถึงการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับสายการบินชั้นนำอย่างแอร์เอเชีย โดยผู้โดยสารของสายการบินแอร์เอเชียที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในประเทศจะได้รับเครื่องดื่มโค้กที่มากับชื่อและไอค่อนสัญลักษณ์ของจังหวัดนั้นๆ ฟรี ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดในแคมเปญนี้มุ่งปลุกกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย และต้อนรับผู้บริโภคสู่เทศกาลเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูร้อน เน้นสร้างการรับรู้ และให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมตลอดเส้นทางการเดินทาง

ปิดท้ายด้วยแคมเปญชิงโชค ที่เปิดโอกาสให้บริโภคลุ้นเที่ยวฟรี 60 ทริปสู่จุดหมายปลายทางในฝันทั่วประเทศไทย 21แห่ง เพียงซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโค้ก ที่มีฝารุ่นพิเศษ ฝาสีเหลือง” และร่วมชิงโชคผ่านรหัส 10 หลักใต้ฝาของผลิตภัณฑ์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่30 เมษายน

“เป๊ปซี่” รวมทุกจุดเด่นของยุคทุกสมัย

เป๊ปซี่จัดหนักด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาทเปิดตัวโกลบอลแคมเปญล่าสุด เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน” (PEPSI GENERATIONS) ที่ 4 กลยุทธ์หลัก  4C  การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร (Comprehensive Communication) การนำเสนอแพ็คเกจจิ้งรุ่นพิเศษ (Commemorative Packaging) การร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในประเทศ  (Collaboration with Local Brand) และการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภค (Connected Consumer Experience)

การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ภายใต้งบประมาณถึง 300 ล้านบาท มีภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ล่าสุดที่ชื่อ “This is the Pepsi” ซึ่งจะมีศิลปินแถวหน้าของโลกที่เคยร่วมงานกับเป๊ปซี่มาร่วมปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นไมเคิล แจ็คสัน เจ้าของฉายา ราชาเพลงป๊อป” นักร้องเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง บริตนีย์ สเปียร์ส รวมทั้ง เจฟ กอร์ดอน อดีตนักแข่งรถระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีสื่อสนับสนุนอื่นๆ เพื่อสร้างสีสันและตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของแคมเปญ อาทิ สื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ สื่อในโรงภาพยนตร์ สื่อออนไลน์และสื่อดิจิทัล รวมไปถึงสื่อ ณ จุดขายและในร้านค้า

แพ็กเกจจิ้งดีไซน์ย้อนยุค ที่เป็นกระแสฮือฮาให้ผู้บริโภคได้ตื่นเต้นกันแล้วก็คือ แพ็กเกจจิ้งรุ่น ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่มาพร้อมดีไซน์เรโทรเพื่อพาผู้บริโภคหวนย้อนวันวานสุดซ่าของเครื่องดื่มเป๊ปซี่ในยุคต่างๆ โดยในประเทศไทยมี 4 ลวดลายที่มาจาก 4 ยุค นั่นคือ ยุค 1940 ยุค 1950 ยุค 1980 และ ยุค 2000 ที่จะมาอวดโฉมทั้งในรูปแบบของขวดพีอีทีและกระป๋อง โดยจะวางจำหน่ายทั้งในช่องทางเทรดดิชันนอลเทรดและโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศในระยะเวลาจำกัด  นอกจากนี้ ยังจับมือกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นำเสนออีกหนึ่งลวดลายที่มาจากยุค 1990 เตรียมจะวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน 7-Eleven เท่านั้น

ร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในประเทศต่างๆ เป๊ปซี่ ได้จับมือกับ เกรย์ฮาวด์” แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของไทยในการนำเสนอคอลเล็กชั่นพิเศษ “PEPSI X GREYHOUND” ซึ่งประกอบด้วยแฟชั่นไอเท็มสุดคูลที่ผสานเอกลักษณ์อันโดดเด่นและเป็นตำนานของแบรนด์เป๊ปซี่เข้ากับสไตล์สตรีทแฟชั่นของเกรย์ฮาวด์ที่มีความร่วมสมั  คอลเล็กชั่นนี้มีทั้ง เสื้อยืดลายวินเทจ เสื้อคลุมแบบมีฮู้ด เสื้อแจ็กเก็ตสไตล์สปอร์ต กระเป๋าใส่อุปกรณ์ออกกำลังกาย และหมวกทรงบักเก็ต ซึ่งจะวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปใน แฟลคชิพสโตร์ของเกรย์ฮาวด์ อันได้แก่ สาขาสยามเซ็นเตอร์ สาขาพารากอน สาขาเอ็มควอเทียร์ และสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว

การสร้างประสบการณ์พิเศษเพื่อผู้บริโภค “PEPSI GENERATIONS CLUB” คลับสไตล์เรโทรในรูปแบบป๊อบอัพที่จะพาทุกคนไปสัมผัสกับวัฒนธรรมป๊อปในยุคต่างๆ พร้อมผสานเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์เป๊ปซี่ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย โดยภายในงานจะมีการเปิดตัวคอลเล็กชั่น PEPSI X GREYHOUND อย่างเป็นทางการ พร้อมให้ผู้เข้าชมงานสามารถออกแบบเสื้อยืดที่ระลึกในสไตล์ของตัวเองได้ด้วย ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในระหว่างวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์

ปัจจุบันยังเป๊ปซี่ถือเป็นผู้นำตลาดในรูปแบบบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (Non-Returnable Packaging) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 45

นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ย้อนกลับไปที่แนวคิดตั้งต้นของทั้งสองแบรนด์อย่างแท้จริง เมื่อแบรนด์หนึ่งเลือกที่ปรับตัวและใส่คอนเทนท์ท้องถิ่น ดึงเอาความภาคภูมิใจของคนไทยในเรื่องการท่องเที่ยว มาใส่ในแพ็กเกจจิ้ง และเรียงร้อยไปสู่แคมเปญชิงโชค ในขณะที่อีกแบรนด์สร้างความนิยมด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับโกลบ้อล ดึงโฆษณาเก่าๆ ที่ผู้บริโภคคิดถึงมานำเสนอ งานนี้ บริทนี่ย์ก็มี ไมเคิล แจ็กสัน ก็มา ก่อนจะจับมือกับดีไซน์เนอร์แบรนด์ไทยออกลายเสื้อผ้าให้ผู้บริโภคกลายเป็นกระบอกเสียงของแบรนด์… แต่ที่โดดเด่นที่สุดของการแข่งขันของปีนี้ก็คือ Packaging ซึ่งเป็น Brand Touchpoints ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากที่สุดสิ่งหนึ่ง และทั้งสองแบรนด์ต่างก็มีความเป็น Iconic Brand ที่แม้แต่ ขวด แม้แต่กระป๋อง ก็มีเสน่ห์น่าสะสม…ว่าแล้ว BrandBuffet ขอตกเป็นเหยื่อการตลาดด้วยอีกคน ขอไปตามล่าซื้อเก็บให้ครบ…

The post Summer Campaign ของศึกน้ำดำ ประเดิมด้วย Packaging Design เมื่อ Localization ปะทะ Retro Marketing appeared first on Brand Buffet.

4 เหตุผลดัน “ไปรษณีย์ไทย” ครองแชมป์ส่งพัสดุ สวนทางกระแสโลกโซเชียล

$
0
0

การขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจ Logistic เติบโตมากขึ้น หนึ่งในเซ็กเมนต์ใหญ่ของธุรกิจ Logistic คือ ขนส่งพัสดุรายย่อย คาดการณ์ว่าปัจจุบันมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 27,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 10 – 20% ต่อปี

ทำให้เวลานี้ ธุรกิจขนส่งพัสดุ กลายเป็นธุรกิจดาวเด่นที่มีอนาคตไกล จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าในช่วง 3 – 5 ปีมานี้ นอกจาก Major Player รายเดิมแล้ว ยังมีผู้เล่นรายใหม่ ทั้งบริษัทไทย และบริษัทร่วมทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์การแข่งขันธุรกิจขนส่งพัสดุในไทย รุนแรงขึ้น ทั้งแข่งขยายสาขา หรือจุดให้บริการ การจับมือกับเชนร้านสะดวกซื้อ เพื่อเร่งสร้างความแข็งแกร่ง Network การให้บริการเข้าถึงชุมชน รวมถึงการทำโปรโมชั่นค่าบริการ และการสื่อสารการตลาด

ท่ามกลางการสมรภูมิรบที่ดุเดือด…ทว่าพี่ใหญ่อย่าง “ไปรษณีย์ไทย” ยังคงรักษาบัลลังก์ผู้นำในตลาดขนส่ง E-Commerce ด้วยส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมทั่วประเทศอยู่ที่ 55% และถ้าเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด “ไปรษณีย์ไทย” มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% ส่วนถ้าเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีส่วนแบ่งการตลาด 40%

ขณะที่ผลประกอบการในปี 2560 “ไปรษณีย์ไทย” มีกำไรสุทธิ 4,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2559 ที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท ส่วนปีนี้ ตั้งเป้าหมายมีกำไรสุทธิ 4,400 – 4,500 ล้านบาท

Credit : ไปรษณีย์ไทย

“ปัจจัยที่ทำให้ผลกำไรของ ปณท เติบโต เป็นเพราะการส่งของมากขึ้น โดยของที่มาส่งกับไปรษณีย์ไทย แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1. ซองจดหมาย, เอกสาร ตรงนี้ใครๆ บอกว่าจดหมายจะหายไป ในความเป็นจริงแล้ว ไม่หายไปไหน และปริมาณการส่งจดหมายไม่ลดลงด้วย เพียงแต่การเติบโตลดลง โดยบริการด้านนี้คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ไปรษณีย์ไทย และ 2. พัสดุกล่อง และบริการ EMS โดยส่วนใหญ่เป็นพัสดุการค้าออนไลน์ คิดเป็นสัดส่วน 50%

ส่วนอีก 20% เป็นบริการด้านการเงิน และค้าปลีก สำหรับบริการการเงิน คือ ธนาณัติ ซึ่งเป็นบริการดั้งเดิมของไปรษณีย์ไทย ที่ปัจจุบันเราพัฒนาเป็นธนาณัติออนไลน์ ขณะที่บริการค้าปลีก คือ แสตมป์ของไปรษณีย์ไทย เป็นสินค้าขายดีมาก ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์ของเราที่ไม่มีใครทำได้ สวยงาม น่าสะสม และเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างดี” คุณสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ขยายความถึงปัจจัยสร้างการเติบโต

Photo Credit : Facebook บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

ผ่า 4 กุญแจสำคัญ ทำให้ “ไปรษณีย์ไทย” ครองผู้นำ

สำหรับหัวใจหลักที่ทำให้ “ไปรษณีย์ไทย” อยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาดขนส่งพัสดุมาได้ทุกยุคสมัย มาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1. ความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ไทย ทั้ง “ที่ทำการไปรษณีย์ไทย” ของ ปณท ดำเนินการเอง กว่า 1,300 แห่ง และ “ที่ทำการไปรษณีย์เอกชนอนุญาต” อีกกว่า 3,000 แห่ง รวมแล้วกว่า 5,000 แห่งที่กระจายทั่วประเทศ (ข้อมูลปี 2560) โดยลงลึกในระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ประกอบกับ “ศูนย์ไปรษณีย์” จำนวน 18 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายพัสดุ และไปรษณียภัณฑ์ ไปยังพื้นที่ต่างๆ ในภูมิภาคนั้นๆ

“ไปรษณีย์ไทยเปิดดำเนินการมาร้อยกว่าปี อยู่คู่ชุมชนและสังคมไทยมายาวนาน ทำให้รู้จักทุกพื้นที่ ทุกชุมชนในประเทศไทย และเราไม่ได้ทำเฉพาะเขตพื้นที่เศรษฐกิจเท่านั้น เรามีเครือข่ายทั่วประเทศ แม้ที่ห่างไกลที่เอกชนไม่ไป แต่ไปรษณีย์ไทยไป เพราะเรานึกถึงการให้บริการที่ทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันเรามีจุดให้บริการกว่า 5,000 แห่ง ถือว่าเพียงพอต่อการเข้าถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องจึงไปแข่งขยายจุดบริการเหมือนเช่นผู้ให้บริการขนส่งพัสดุอื่นที่เวลานี้ทุ่มขยายจุดให้บริการมากขึ้น เพราะเราเป็นหน่วยงานราชการ การรับคนเข้ามามาก ต้องดูแลพนักงาน ก็จะเป็นต้นทุน เราถือว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้น ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว”

Credit : ไปรษณีย์ไทย

2. บุรุษไปรษณีย์ ปัจจุบันมีกว่า 20,000 คน จากจำนวนบุคลากรบริษัทไปรษณีย์ไทยทั้งหมด 35,000 คน โดยบุรุษไปรษณีย์ ถือเป็นกองกำลังสำคัญในการเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่ทั่วไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ผนวกเข้ากับระบบแผนที่ของไปรษณีย์ที่มีการอัพเดทตลอดเวลา ทำให้แต่ละคนมีความชำนาญเส้นทางในโซนที่ตนเองรับผิดชอบ และคุ้นเคยกับคนในชุมชนเป็นอย่างดี

ต่อกรณีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการทำงานที่มาจากคน (Human Error) คุณสมร ให้สัมภาษณ์ว่า “ไปรษณีย์ไทยจัดอบรมสัมมนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความที่ปริมาณงานมหาศาล โดยวันหนึ่งมีพัสดุ-ไปรษณียภัณฑ์ และสิ่งของต่างๆ ผ่านเข้ามาในเส้นทางไปรษณีย์ไทย ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านชิ้นต่อวัน ในบางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้น เพราะของมีหลายขนาด แต่เมื่อเกิดขึ้น กลายเป็นข่าวดังใน Social Media พูดไม่จริงบ้าง พูดเกินเลยบ้าง บางทียังไม่ทันรู้เรื่องราวที่แท้จริง เราก็โดนไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องมีสติมากกว่านี้ และถ้าของหายจริง หรือเกิดความเสียหายกับพัสดุ ทางไปรษณีย์ไทยยินดีชดใช้ตามระเบียบและขั้นตอน

ขณะเดียวกันการหุ้มห่อพัสดุ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันสิ่งของ ดังนั้นในฝั่งประชาชนผู้ใช้บริการต้องช่วยกันจ่าหน้าให้ชัดเจน ถูกต้อง เพราะปัจจุบันบ้านเลขที่ในประเทศไทยเปลี่ยนบ่อยมาก และหุ้มห่อพัสดุให้ถูกต้อง ในขณะที่ฝั่งไปรษณีย์ไทย เน้นย้ำกับพนักงานตลอดเวลาให้ดูแลรักษาพัสดุของประชาชน”

3. บริการหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ของ “ไปรษณีย์ไทย” ที่วางเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจไปรษณีย์และการให้บริการ Logistics ครบวงจรในอาเซียน จึงได้ขยายการให้บริการที่หลากหลาย เช่น บริการโลจิสโพสต์ ส่งสิ่งของใหญ่ ในราคาประหยัด, บริการ EMS ในประเทศ, บริการ EMS World ส่งด่วนทั่วโลก, บริการ EMS Super Speed

แอปพลิเคชัน Prompt post สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ E-Commerce, บริการ Same day post ส่งสิ่งของด่วนในกรุงเทพฯ นำส่งเช้า นำจ่ายบ่าย ถึงผู้รับภายในวันเดียว, บริการ Drive Thru Post โดยผู้ใช้บริการสามารถส่งของ โดยไม่ต้องลงจากรถ

บริการไดเร็คเมล์ เป็นบริการส่งข่าวประชาสัมพันธ์ และสินค้าตัวอย่างขนาดเล็ก โดยไม่ต้องจ่าหน้าถึงผู้รับ และเข้าถึงผู้รับทุกครัวเรือนทั่วประเทศ โดยใช้ความได้เปรียบเครือข่ายการขนส่ง ซึ่งในอดีตสินค้าอุปโภคบริโภคบางแบรนด์ ใช้บริการไดเร็คเมล์ ในการกระจายสินค้าตัวอย่างเข้าถึงคนไทยทั่วประเทศ เช่น ครั้งหนึ่งซันซิล ของยูนิลีเวอร์ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้แจก Sampling ส่งถึงผู้บริโภคด้วยบริการนี้

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังใช้ความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายจุดให้บริการ ต่อยอดสู่การพัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น Pay at Post เป็นบริการรับชำระค่าสินค้า-บริการต่างๆ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ, บริการอร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์ รวมทั้งบริการด้านการเงิน อย่างบริการธนาณัติออนไลน์ และบริการโอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ที่จับมือกับ Western Union

4. นโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น เพื่อยกระดับสินค้าเอกลักษณ์ท้องถิ่น ในข้อนี้ไม่ได้เป็นกลยุทธ์ในเชิงธุรกิจ แต่เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ช่วยสร้าง Engagement หรือความผูกพันระหว่างไปรษณีย์ไทย กับคนในชุมชนจังหวัดต่างๆ ทั่วไทยได้ ภายใต้โครงการ “ไปรษณีย์ไทย…เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” เกิดขึ้นจากความตั้งใจของไปรษณีย์ไทยที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ผ่านการสร้างสรรค์ชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ด้วยการน้อมนำศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ผนวกกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และใช้ศักยภาพของเครือข่ายคนไปรษณีย์ และที่ทำการไปรษณีย์ ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น มาร่วมกันยกระดับวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีผลิตภัณฑ์ชุมชน อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยทำ Co-brand “ไปรษณีย์เพิ่มสุข” ร่วมกับแบรนด์สินค้าท้องถิ่น ประทับบนบรรจุภัณฑ์

สำหรับการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย แบ่งการพัฒนาสินค้าชุมชนเป็น 3 ระดับ คือ

1. ระดับเริ่มต้น “ไปรษณีย์ไทย” จะเข้าไปช่วยตั้งแต่กระบวนการ Product Development การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการสนับสนุนช่องทางการขายผ่านช่องทางของไปรษณีย์ไทย ไม่ว่าจะเป็น www.thailandpostmart.com และที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย สำหรับเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ทั่วไทย

2. ระดับกลาง คือ ตัวสินค้าดีอยู่แล้ว แต่ในส่วนบรรจุภัณฑ์ การตลาด การขาย การขนส่ง ยังไม่ได้รับการพัฒนา ดังนั้นไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสนับสนุน เช่น สถาบันการศึกษา จะเข้ามาช่วยพัฒนาในส่วนนี้ให้ พร้อมทั้งขยายช่องทางการขายผ่านช่องทางของไปรษณีย์ไทย เช่น www.thailandpostmart.com และที่ทำการไปรษณีย์

3. ระดับสินค้า-บรรจุภัณฑ์ได้รับการพัฒนามาดีแล้ว ในกลุ่มนี้ “ไปรษณีย์ไทย” เข้าไปช่วยด้านการขนส่ง และขยายช่องทางการจำหน่าย นำสินค้าไปขายบน www.thailandpostmart.com และที่ทำการไปรษณีย์

“หลักเกณฑ์การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เราจะนำมาต่อยอดพัฒนา ได้ใช้ศักยภาพของไปรษณีย์ไทย คือ การมีเครือข่ายที่ทำการทั่วประเทศ และมีคนของไปรษณีย์ไทยเข้าถึงชุมชนทั่วประเทศ ทุกพื้นที่ คนของเรารู้ว่าในพื้นที่ของตัวเองที่รับผิดชอบให้บริการอยู่ มีอะไรน่าสนใจ ก็จะนำเสนอขึ้นมา จากนั้นเรามากลั่นกรองกันอีกทีว่าสินค้าที่พนักงานไปรษณีย์ไทยในชุมชนต่างๆ เสนอเข้ามา จะนำมาส่งเสริมต่อยอดได้อย่างไร”

คุณสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท)

กรณีศึกษา : ปั้นแบรนด์ “ยอ ทอ มือ” ชูจุดเด่น “ผ้าทอเกาะยอ สงขลา”

สำหรับปี 2561 “ไปรษณีย์ไทย” เตรียมขยายผลการพัฒนา ยกระดับสินค้าชุมชนไปยังพื้นที่ต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 18 พื้นที่ทั่วไทย หนึ่งในนั้นคือ “ผ้าทอเกาะยอ จังหวัดสงขลา” โดยสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มทอผ้าเกาะยอต้นแบบ 5 กลุ่ม ที่มีเอกลักษณ์ในการออกแบบลายผ้าเฉพาะตัว ได้แก่ 1. ลายราชวัตร โดยกลุ่มราชวัตรแสงส่องหล้าที่หนึ่ง / 2. ลายยอประกาย โดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทอผ้าเกาะยอ / 3. ลายรสสุคนธ์ โดยกลุ่มทอผ้าร่มไทร / 4. ลายชวนชม โดยกลุ่มทอผ้าป้าลิ่ม และ 5. ลายจันทร์ฉาย โดยกลุ่มทอผ้าดอกพิกุล

พร้อมทั้งต่อยอดผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการปปั้นแบรนด์ใหม่ให้กับชุมชนในชื่อ “ยอ ทอ มือ” ตลอดจนพัฒนาบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ และให้ความรู้ด้านการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ การขนส่งสินค้า การหุ้มห่อที่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว สนับสนุนให้มีการพัฒนาจุด Landmark เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวบนเกาะยอ โดยรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะยอ จัดหาสถานที่สำหรับการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง บริเวณเรือที่หาดทรายเทียม และผนังบ้านโบราณ ร้านอาหารที่อยู่ภายในชุมชน เพื่อจะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกาะยอได้เพิ่มมากขึ้น

The post 4 เหตุผลดัน “ไปรษณีย์ไทย” ครองแชมป์ส่งพัสดุ สวนทางกระแสโลกโซเชียล appeared first on Brand Buffet.

เคล็ดลับความสำเร็จ “ม.กรุงเทพ” ก้าวสู่มหาวิทยาลัยแถวหน้าเมืองไทย

$
0
0

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากความสำเร็จที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ล้วนเป็นผลมาจากวิสัยทัศน์แรกของผู้ก่อตั้ง อาจารย์สุรัตน์  โอสถานุเคราะห์ นักธุรกิจชั้นนำในยุคนั้นที่ต้องการสร้างสถาบันการศึกษาเอกชนระดับอุดมศึกษาที่เด่นทั้งความรู้ทางด้านวิชาการและทักษะในการปฏิบัติ  “เจียระไน” เด็กให้กลายเป็น “เพชร” ออกสู่สังคม  และปัจจัยใดที่ทำให้ ม.กรุงเทพ จึงก้าวขึ้นเป็นเป็น Top Brand  มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย

บริบทแรก มองผ่านคณะวิชาที่มีความโดดเด่น  ม.กรุงเทพเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแรกที่กล้าเปิดสอนคณะนิเทศศาสตร์  ในปี 2514  ยุคนั้นสาขาวิชานี้มีสอนแต่ในมหาวิทยาลัยรัฐ  คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งวิถีความกล้าคิดต่าง ฉีกกรอบให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยเอกชนก็สามารถพัฒนาองค์ความรู้เหล่านี้ได้และทำได้ดีด้วย

อาจารย์เพชร  โอสถานุเคราะห์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพคนปัจจุบัน  บอกว่า  “ ถ้าคิดว่าวันนี้ดีที่สุดแล้ว คุณพอใจแล้ว คุณจะตกเทรนด์ในทันทีที่คิด อะไรที่จะดีกว่าวันนี้ได้ ให้เดินหน้าทำไป ไม่ต้องสนใจว่าคนรอบข้างจะคิดยังไง”  ความหมายชัดเจนคือ  การแข่งกับตัวเอง  แนวคิดเช่นนี้ก่อให้เกิดปัจจัยที่ส่งเสริมและสร้างมโนภาพใหม่ให้คำว่า “ม.เอกชน” ในปัจจุบันกลายเป็นสถาบันการศึกษาที่ได้การยอมรับจากภาคสังคม-ธุรกิจ

การเรียนนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยกรุงเทพต่างไปจากที่อื่น  จนถึงทุกวันนี้เรายังคงได้ยินคำพูดทำนองว่า  ถ้าจะเรียนนิเทศศาสตร์ ต้องม.กรุงเทพ  เหตุผลมาจากความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัย ครบครันและเพียงพอสำหรับนักศึกษาทุกคน   และในวันที่นิเทศศาสตร์ของหลายมหาวิทยาลัยต้องยุบทิ้งในบางสาขาวิชา แต่นิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ กลับพัฒนาเดินหน้าต่อด้วยหลักสูตรใหม่ที่เกิดขึ้นรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็น

สาขา Innovative Media Production (หลักสูตรนานาชาติ)  ปั้นคนนิเทศฯ พันธุ์ใหม่ที่มีความเข้าใจการใช้สื่อดิจิทัลหลากหลายแพลตฟอร์มเพื่อการสื่อสารที่ตอบรับกระแสธุรกิจยุคดิจิทัลได้ทันสถานการณ์   ตลาดงานอ้าแขนรับนักศึกษาม.กรุงเทพ เพราะรู้ว่า เป็นบัณฑิตที่ลงมือทำงานได้ทันที  พร้อมเรียนรู้อยู่เสมอ  มีความคิดสร้างสรรค์  อดทนและทำงานเป็น   อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนเป็นแบบ Pragmatic Learning  ได้ลงมือทำงานในสนามธุรกิจจริงตลอดสี่ปี่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะที่เรียกว่า soft skill ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นมากต่อการทำงานในยุคปัจจุบัน

ความน่าสนใจอีกอย่างคือการพัฒนาสาขาวิชาภาพยนตร์ มาเป็น คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์  นับเป็นคณะเดียวในไทยครบเครื่องมืออุปกรณ์การเรียนการสอนทันสมัยและมากที่สุด  นักศึกษาได้คิดได้ทำงานจริงตั้งแต่ปีหนึ่ง  ได้เรียนกับมืออาชีพทั้งในและต่างประเทศชั้นนำระดับโลก อย่าง Vancouver Film School  มีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ มีคอนเน็คชั่นธุรกิจเหนียวแน่นกับภาคธุรกิจคอยให้การสนับสนุน  นักศึกษาสามารถผลิตงาน  ขายงานและสร้างธุรกิจการผลิตภาพยนตร์ของตัวเองได้ตั้งแต่เรียนปีสองปีสาม

จะเห็นว่าความเป็นมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่สนับสนุนการเรียนการสอนอย่างเต็มที่ใน 4 เรื่องสำคัญที่ทำมานานและต่อเนื่อง คือ  1) ทันยุค – ปรับหลักสูตรใหม่เสมอ  2)  นักศึกษาเป็นศูนย์กลาง  คณาจารย์คือโค้ช  3) เครื่องมืออุปกรณ์ครบ  เทคโนโลยีจัดเต็ม และ 4)  Partnership & Connection สร้างโอกาสทำงานจริงกับกลุ่มพันธมิตรทางการศึกษาที่เป็นธุรกิจเอกชนชั้นนำ ร่วมด้วยช่วยกันบ่มเพาะและปั้นบัณฑิตที่ธุรกิจต้องการ

“ปัจจัย ส่งเสริมความแข็งแกร่งของมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ว่าประกอบด้วย • Visionary   • Creativity   • Entrepreneurship  • International perspective  และปัจจัยเหล่านี้ก็มีอยู่ในทุกคณะ-สาขาวิชาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่หลายหลักสูตรเพื่อ ‘ปั้น’ คนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพยุคใหม่ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล”

และปลายปี 2560 แนวคิดใหม่ของม.กรุงเทพ ที่ปลุกสังคมไทยให้ตื่นตัวเรื่องการเรียน ด้วยคอนเซ็ปต์ Bangkok University – Future is now  (https://goo.gl/irPF7E ) ผ่าทัศนคติความเชื่อเดิมว่า ต้องเรียนแบบนี้  ต้องทำอย่างนี้  โดยไม่เปิดโอกาสพวกเขาคิดและเลือกในสิ่งที่ต้องการ (ซึ่งอาจเพราะไม่มีทางเลือกใหม่)  คลิปสั้นชุดนี้ช่วยปลุกให้สังคมมองการศึกษาในมิติใหม่ ทั้งมิติของมหาวิทยาลัยที่ต้องปรับตัวเองให้ทันโลก และมิติทางความคิดของสังคมที่ควรสนับสนุนให้เด็กรู้จักคิดนอกกรอบ ค้นหาความต้องการของตนเอง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเลือกเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบซึ่งนำพาไปสู่อาชีพที่ใช่

บริบทที่สอง ฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรทางการศึกษาทั้งการให้มุมมองของสถานการณ์โลกการทำงานปัจจุบัน และ สนับสนุนการเรียนการสอนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมสาขาวิชาเกมและสื่อเชิงโต้ตอบ

นักธุรกิจหลายคนเป็นศิษย์เก่าของม.กรุงเทพ พวกเขามีมุมมองคล้ายกันว่า ปัจจุบันในหลายสาขาอาชีพ  คำว่า “ม.รัฐ-ม.เอกชน” แทบจะไม่มีผลต่อการรับพนักงานใหม่เข้าทำงาน สำคัญอยู่ที่มหาวิทยาลัยได้ “ปั้น” คนที่ตอบโจทย์ตลาดงานในธุรกิจนั้นๆ หรือเปล่า

ตัวอย่าง  บัณฑิตจากรั้วชัยพฤกษ์ ที่ประสบความสำเร็จธุรกิจ

(ซ้ายสุด) อรรฆรัตน์  นิติพน  (ศิษย์เก่า) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัชรูม เทเลวิชั่น จำกัด (คนกลาง) มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (Thailand) (ขวาสุด) วัชระ เอมวัฒน์  (ศิษย์เก่า)  นายกสมาคม Tech Startup ประเทศไทย

อรรฆรัตน์  นิติพน  กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัชรูม เทเลวิชั่น จำกัด ทำโฆษณา  รายการโทรทัศน์  และผลิตคอนเท้นต์ในทุกแพลตฟอร์ม  บอกว่า “เรามองหาบัณฑิตที่มีทัศนคติดีต่องานที่ทำ ต้องเชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข  ต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ และต้องมีความชำนาญในสายงาน จบจากที่ไหนไม่สำคัญเท่าการที่คุณทำงานเป็นตั้งแต่เรียนในมหาวิทยาลัย”

มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (Thailand) หนึ่งในธุรกิจสำคัญของกลุ่ม Sea คือ Garena ประเทศไทย ยักษ์ใหญ่วงการเกม  พนักงานใหม่ที่เราต้องการจะต้องมีทัศนคติเชิงบวก  มีทักษะในการปรับตัว  เรียนรู้สิ่งใหม่ได้รวดเร็ว และต้องมีทักษะ  Soft Skill เช่น การคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ และมีความคิดสร้างสรรค์”

วัชระ เอมวัฒน์ นายกสมาคม Tech Startup ประเทศไทย  “มหาวิทยาลัยต้องเน้นกระบวนการเรียนการสอนแบบใหม่ให้มาก สอนแบบ on the job training ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา อย่างไอทีจะมีอัพเดทอยู่เสมอ หลักสูตรอะไรก็ไม่น่าจะตามทัน  แต่การสอนแบบ discussion จะได้ผล นักศึกษาจะรู้ว่าอะไรเป็นของใหม่  อะไรต้องปรับตัว  เค้าจะค้นพบขั้นตอนการเรียนรู้เอง เราอยากได้บัณฑิตที่มีความใฝ่รู้แบบนี้”

การแข่งขันกับตัวเอง ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ น่าจะสร้างแรงสะเทือนและถูกใช้เป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งให้แวดวงการอุดมศึกษาไทยเริ่มขยับตัวในยุคที่อนาคตใหม่พุ่งเข้าใส่คนทุกรุ่นอย่างไม่ปรานี  

The post เคล็ดลับความสำเร็จ “ม.กรุงเทพ” ก้าวสู่มหาวิทยาลัยแถวหน้าเมืองไทย appeared first on Brand Buffet.

Viewing all 22280 articles
Browse latest View live
<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>