Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 22166 articles
Browse latest View live

เจาะพฤติกรรมการ “ใช้”และ “ช็อป”บน Facebook และ Instagram ของคนไทยในช่วงเทศกาล

$
0
0

2016-12-20

ช่วงเทศกาลถือเป็นช่วงเวลาแห่งปีที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ ในช่วงเวลาแห่งการส่งความสุขและมอบของขวัญให้แก่กัน ผู้คนไม่เพียงแต่แบ่งปันช่วงเวลาที่น่าจดจำเหล่านี้บน Facebook และ Instagram พวกเขายังมองหาประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดอีกด้วย

ถือเป็นโอกาสอันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจต่างๆ ที่จะสร้างการรับรู้ และเพิ่มยอดขายในหมู่นักช้อปตัวยง และนี่คือผลสำรวจที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คนในช่วงเทศกาลนี้

 

ฤดูกาลของมือถือ

ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไอเดียเรื่องของขวัญหรือถ่ายรูปเซลฟี่วันคริสต์มาส มือถือเป็นสิ่งคู่กายเสมอ ผลสำรวจพบว่าในช่วงเทศกาลนั้น 88 เปอร์เซ็นต์ของ Facebook โพสต์ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเกิดขึ้นบนมือถือ

 

ผู้คนยังแบ่งปันช่วงเวลาสุดโปรดของพวกเขาเพิ่มมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านวิดีโอ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โพสต์คอนเทนต์บน Facebook ระหว่างช่วงเทศกาล มากกว่าปกติถึง 31 เปอร์เซ็นต์ โดยมีการโพสต์วิดีโอบนมือถือมากกว่าปกติถึง 2.2 เท่า

facebook_thai-festive-season-insights_infographics_2

ผู้คนเริ่มแชร์และช้อปเร็วขึ้นกว่าเดิม

ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มพูดคุยกันเรื่องช่วงเวลานี้ของปี และตามหาของขวัญแทนใจที่ใช่ ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่ช่วงเทศกาลจริงๆ เสียด้วยซ้ำ

 

ชาวไทยและสิงคโปร์เริ่มเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยพวกเขาเริ่มโพสต์บน Facebook มากขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์และ 32 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในประเทศฟิลิปปินส์ ผู้คนเริ่มโพสต์มากขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่เดือนกันยายน

 

สำหรับช่วงเวลาแห่งการส่งความสุขที่เกิดเร็วขึ้นกว่าเดิมนี้ ไม่ได้หยุดเพียงแค่โพสต์บน Facebook ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มช้อปสินค้าออนไลน์เร็วกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด จะเห็นได้ว่ามีการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 55 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเทศกาลบน Facebook[1]

facebook_thai-festive-season-insights_infographics_3

เมื่อเจาะลึกถึงการช้อปออนไลน์ผ่าน Facebook ในช่วงเทศกาล ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สิงคโปร์ เริ่มจับจ่ายผ่านช่องทางนี้ตั้งแต่เดือนกันยายน (ยอด Conversion เพิ่มขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์) และในเดือนพฤศจิกายน ผู้คนในอินโดนีเซียและไทย ซื้อสินค้าบน Facebook มากขึ้นคิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ และ 48 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ

 

ดังนั้น ธุรกิจทั้งหลายจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าถึงผู้คนก่อนช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อสินค้าให้มากขึ้นด้วย

 

เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายในทุกช่องทางการช้อป

ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องสื่อสารเพื่อให้อยู่ในใจผู้บริโภคตลอดเวลา โดยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านทุกช่องทางการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการสร้างแบรนด์ หรือกระตุ้นยอดขายก็ตาม

 

และนอกเหนือจากการใช้โฆษณาที่เน้นตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว ในช่วงเทศกาลปลายปี ธุรกิจต่างๆ สามารถเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ ผลักดันให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงเก็บข้อมูลผู้ใช้ เพื่อต่อยอดธุรกิจผ่านทาง Facebook

ผู้คนเลือกซื้อของขวัญช่วงเทศกาลในหลากหลายช่วงเวลา ธุรกิจสามารถเลือกเจาะจงได้ว่าจะเพิ่มยอดขายหรือพฤติกรรมที่ต้องการ ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลหรือระหว่างช่วงเทศกาล
– 12 ธันวาคม เป็นวันที่มีการซื้อสินค้าออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงที่สุด ด้วยยอด Conversion บน Facebook ที่สูงกว่าปกติถึง 4 เท่า
– ในเดือนมกราคม ยอด Conversion บน Facebook สูงกว่าช่วงเวลาธรรมดาถึง 6 เท่า

facebook_thai-festive-season-insights_infographics_4

ข้อคิดสำหรับนักการตลาด

ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงผู้คนผ่านทาง Facebook และ Instagram ที่ซึ่งพวกเขากำลังใช้เวลาส่งความสุขในช่วงเทศกาล ไปพร้อมๆ กับช้อปสินค้าที่ถูกใจ

 

 

รักษาแบรนด์ให้อยู่ในใจของลูกค้าเสมอ

สร้างการรับรู้ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวแบรนด์ของคุณผ่านวิดีโอโฆษณา อย่าลืมปรับการตั้งค่าวิดีโอของคุณให้เหมาะกับการดูผ่านมือถือ ออกแบบให้เข้าใจง่ายแม้ปิดเสียง จับความสนใจอย่างรวดเร็ว และบอกความเป็นแบรนด์ของคุณพร้อมกับจุดขายตั้งแต่ช่วงแรก

 

แหวกและแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ

เมื่อฤดูกาลช้อปเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นำเสนอสินค้าของคุณให้โดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้นกับกลุ่มคนที่ใช่ ผ่านการเจาะกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเองและกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน (Custom Audience, Lookalike Audience targeting) ลองกระตุ้นกลุ่มนักช้อปที่สนใจด้วยโฆษณาแบบไดนามิก และจัดการโฆษณาของคุณบน Facebook, Instagram และเครือข่ายโฆษณา Audience Network ให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

เกาะกระแสให้ถูกช่วงเวลา

ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงปีใหม่ไปแล้ว ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมองหาสินค้าราคาพิเศษและโปรโมชั่นดีๆ คุณอาจเพิ่มยอดขายได้ด้วยการนำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกัน หรือแนะนำสินค้าที่อยู่ในลิสต์ที่ชาวไทยต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากีฬาสำหรับคนรักสุขภาพ อุปกรณ์นวัตกรรมช่วยจัดการบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย

facebook_thai-festive-season-insights_infographics_5

ลองดูว่าผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เฉลิมฉลองช่วงเทศกาลอย่างไร

ไทย
– 90 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 98 เปอร์เซ็นต์
– ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 58 เปอร์เซ็นต์

 

อินโดนีเซีย
– 92 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 39 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
– ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 47 เปอร์เซ็นต์

 

ฟิลิปปินส์
– 84 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 21 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 69 เปอร์เซ็นต์
-ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 51 เปอร์เซ็นต์

 

มาเลเซีย
– 91 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 17 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 89 เปอร์เซ็นต์
– ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 58 เปอร์เซ็นต์

 

เวียดนาม
– 80 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 42 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า
– ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 31 เปอร์เซ็นต์

 

สิงคโปร์
– 90 เปอร์เซ็นต์ของการโพสต์บน Facebook เกิดขึ้นบนมือถือ
– โพสต์ Instagram เพิ่มขึ้นถึง 12 เปอร์เซ็นต์
– โพสต์วิดีโอบน Facebook ผ่านทางมือถือ เพิ่มขึ้นถึง 46 เปอร์เซ็นต์
– ช้อปสินค้าออนไลน์บน Facebook เพิ่มขึ้นถึง 86 เปอร์เซ็นต์

________________________________

 

แหล่งอ้างอิง
– ผลการศึกษาทั้งหมดมาจากข้อมูลภายในองค์กร Facebook เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดือนมกราคม ธันวาคม 2558
– ผลการศึกษาการซื้อสินค้าออนไลน์ต่างๆ อ้างอิงจากข้อมูลภายในองค์กร Facebook (Facebook SDK App Event and conversion pixel data) เดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2558
– เราศึกษาข้อมูลใน 6 ประเทศหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ – ช่วงเทศกาลหมายถึงเดือนตุลาคม ธันวาคม 2558 และช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลหมายถึงเดือนมกราคม กันยายน 2558

[1] ข้อมูลภายในองค์กร Facebook (สถิติ conversion บนมือถือและเดสก์ท็อป) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงเดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2558

 

The post เจาะพฤติกรรมการ “ใช้” และ “ช็อป” บน Facebook และ Instagram ของคนไทยในช่วงเทศกาล appeared first on Brand Buffet.


ทำความรู้จักร้าน “OISHI EATERIUM” ยกย่าน Street Food ญี่ปุ่นมาไว้ในที่เดียว !

$
0
0

resize-03_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

ด้วยการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง และความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงขึ้น “โออิชิ” (Oishi) จึงปรับยุทธศาสตร์ พร้อมดำเนินธุรกิจเชิงรุก โดยการปรับภาพลักษณ์ให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ ให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น โดยล่าสุดได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “OISHI EATERIUM” (โออิชิ อีทเทอเรียม) ที่ต้องการเป็นนิยามใหม่ของร้านอาหารญี่ปุ่น

ก่อนจะไปใช้บริการ Brand Buffet จะพาไปทำความรู้จักแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นน้องใหม่จากโออิชิกันว่ามีความน่าสนใจอย่างไร ?!?

– “OISHI EATERIUM” ภายใต้แนวคิด 3 ส่วนผสม ประกอบด้วย “EAT – EXPLORE – PREMIUM” พร้อมทั้งนำเสนอประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่านรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (5 Senses) เพื่อทำให้ลูกค้าสนุกไปกับเส้นทางแห่งรสชาติหลากหลาย และเปิดโอกาสให้ได้ลอง ได้ทำ ได้สัมผัสประสบการณ์ในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นแท้

resize-01_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

– บรรยากาศภายในของ “OISHI EATERIUM” ถูกตกแต่งและนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างตามสไตล์ “ยาไต” (Yatai) เสมือนว่า เดินอยู่บนย่านอาหารการกินในญี่ปุ่น ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารหลายสิบร้าน

– ภายในประกอบด้วย 8 โซน ได้แก่ (1) Sushi & Sashimi โซนซูชิและซาชิมิ (2) Temaki โซนเตมากิ (3) Kushikatsu & Yakitori โซนคุชิคัตสึและยากิโทริ (4) Soup, Salad & Chawanmushi โซนซุป, สลัด, และไข่ตุ๋นญี่ปุ่น (5) Teppanyaki โซนสเต็กเคาน์เตอร์สไตล์ญี่ปุ่น (6) Main Dish โซนอาหารนานาชาติชั้นเลิศ (7) Kakigori & Sweeto โซนน้ำแข็งใสเกล็ดหิมะสไตล์ญี่ปุ่น และขนมหวาน (8) Cafe โซนกาแฟและเครื่องดื่ม รวมทั้งสิ้น 88 รายการ

resize-04_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

– รูปแบบการให้บริการนั้นใช้ระบบบาร์โค้ดในการรอออร์เดอร์อาหารเมนูพิเศษตามแต่ละโซน โดยลูกค้าสามารถสแกนบาร์โค้ด กดเลือกเมนูอาหารที่ชอบ จากรายการที่ระบุไว้บนหน้าจอเครื่องสั่งอาหาร กดเลือกจำนวนจานที่ต้องการ เมื่อปรุงเสร็จพนักงานจะนำไปเสิร์ฟที่โต๊ะ

– จัดไลฟ์โชว์ “แล่ปลา” และ “เทปปันยากิ” วันละ 4 รอบเวลา 12.00 น., 12.30 น., 18.00 น. และ 18.30 น. สลับสับเปลี่ยนกันไป

– อัตราค่าบริการราคาเดียวเพียง 659 บาท สุทธิ/ท่าน อิ่มอร่อยได้นาน 1 ชั่วโมง 45 นาที

– เปิดให้บริการเป็นแห่งแรกที่ ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 (เป็นการปรับร้านจากเดิมเป็น OISHI Buffet เป็น OISHI EATERIUM) จากนั้นในปี 2560 จะขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา หนึ่งในนั้นคือ ที่ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (เป็นการปรับร้านจากเดิมเป็น OISHI Buffet เป็น OISHI EATERIUM)

– คาดว่าจะมีลูกค้าใช้บริการ จันทร์ – พฤหัสบดี 600 – 800 คนต่อวัน และ ศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ ไม่ต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน

resize-02_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

resize-05_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

resize-06_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

resize-08_%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%97

 

 

The post ทำความรู้จักร้าน “OISHI EATERIUM” ยกย่าน Street Food ญี่ปุ่นมาไว้ในที่เดียว ! appeared first on Brand Buffet.

โออิชิ โชว์นวัตกรรมสุดเจ๋ง! เจ้าแรกในไทยกับขวดซากุระเปลี่ยนสีได้

$
0
0

oishi-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%94%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b0

โออิชิ กรีนที (Oishi Greentea ) ผู้นำตลาดเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มในประเทศไทย เปิดตัวรสชาติใหม่ โออิชิ ซากุระ สตรอเบอร์รี่ ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำขวดเปลี่ยนสีได้ พร้อมรุกตลาดหนักปลายปี 2559 จัดเต็มทุ่มงบการตลาดกว่า 70 ล้านบาทขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่

นางเจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม  บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า “การเปิดตัว โออิชิ ซากุระ สตรอเบอร์รี่ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์แบรนด์แห่งนวัตกรรมที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โออิชิแตงโม  โออิชิฟรุตโตะ และ  โออิชิองุ่นเคียวโฮ ชาเขียวเคี้ยวได้ ที่ได้การตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคปลายปี 2559 นี้จึงรุกตลาดต่อเนื่องด้วย โออิชิ ซากุระ สตรอเบอร์รี่  เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials ที่มักต้องการทดลองหรือหาอะไรใหม่ให้กับชีวิต”

oishi-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%94%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b02

นอกจากจุดเด่นเรื่องความหอมของซากุระ และรสชาติหวานฉ่ำของสตรอเบอร์รี่แล้ว ไฮไลท์เด็ดของครั้งนี้ คือ โออิชิเป็นแบรนด์เครื่องดื่มเจ้าแรกในประเทศไทยที่นำเอาเทคโนโลยี Thermochromic Shrink Label มาทำให้ดอกซากุระบนฉลากสามารถเปลี่ยนสีจากขาวเป็นชมพูได้เมื่อถูกความเย็น ซึ่งช่วยสร้างสีสันให้กับผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง พร้อมยังสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ DNA ความญี่ปุ่นอีกด้วย ทั้งนี้ฉลากพิเศษแบบเปลี่ยนสีได้รุ่นนี้จะวางจำหน่ายถึงเดือน ก.พ. 2560 เท่านั้น ซึ่งหลังจากเดือน ก.พ. จะเป็นฉลากแบบปกติ โดยแคมเปญนี้ใช้งบการตลาด 70 ล้านบาท ทั้งออฟไลน์  และออนไลน์ เพื่อขยายฐานไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายหลักของโออิชิคือ อายุ 15 – 29 ปี มีสัดส่วนมากถึง 44% (Q3 2016 เทียบกับ Q3 2015)  สำหรับแคมเปญนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 600 ล้านบาท ภายในปีแรก

เพื่อให้โดนใจวัยรุ่นกับปรากฏการณ์ซากุระบานในเมืองไทย โออิชิ เตรียมจัดแคมเปญออนไลน์ “ปฏิบัติการ Live ทายเวลาซากุระเปลี่ยนสี” ในวันที่ 21 ธันวาคม 2559 ซึ่งจะให้แฟนคลับได้ร่วมทายเวลาซากุระเปลี่ยนสีแบบสดๆ กับศิลปินขวัญใจวัยรุ่น มาร์ช จุฑาวุฒิ, ออฟ จุมพล และคริส พีรวัศ พร้อมลุ้นรับรางวัลมากมาย แถมท้ายด้วย โออิชิซากุระแอพพลิเคชั่น ที่ทุกคนต้องสนุกสนานไปกับกราฟิกดอกซากุระที่พุ่งออกมาจากปาก หู ตา แบบสุดมันส์ โดนใจวัยรุ่นอย่างแน่นอน
oishi-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4-%e0%b8%82%e0%b8%a7%e0%b8%94%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%b033

“การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากช่วยตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างหรือดึงผู้บริโภคหน้าใหม่ๆเข้ามาสู่ตลาดชาเขียวให้มากขึ้นด้วย จากผลสำรวจยังพบว่าหลังจากมีนวัตกรรมออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ของโออิชิเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ จากการสำรวจความแข็งแกร่งของแบรนด์ล่าสุด พบว่า ภาพลักษณ์แบรนด์โออิชิที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น เติบโตขึ้นเป็น 79 เปอร์เซ็นต์ และยังได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายว่า เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ถึง 84 เปอร์เซ็นต์ ”

สำหรับภาพรวมตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตลดลง 6% แต่สังเกตได้ว่ากลุ่มเซ็กเม้นต์มาแรงยังเป็นชาฟรุ๊ตที หรือชาผลไม้ที่เติบโตถึง 8.5-9% ขณะที่โออิชิ ฟรุ๊ตทีเติบโตถึง 24.9% ซึ่งช่วยผลักดันมูลค่าตลาดรวมให้เติบโตสูงถึง 2,160 ล้านบาท

 

แคมเปญออนไลน์และโฆษณาทางทีวี ที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขาย 600 ล้าน

screenshot-1954

The post โออิชิ โชว์นวัตกรรมสุดเจ๋ง! เจ้าแรกในไทยกับขวดซากุระเปลี่ยนสีได้ appeared first on Brand Buffet.

บิลบอร์ดสะท้านคนไทยกลับมาอีกแล้ว กระตุกต่อม “น้ำใจคนไทย” ของดีที่ไม่อยากให้เลือนหาย !

$
0
0

%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%aa-%e0%b9%82%e0%b8%86%e0%b8%a9%e0%b8%93%e0%b8%b2-%e0%b8%9a

หลังจากก่อนหน้านี้ ปั๊มน้ำกรุนด์ฟอส” (Grundfos) เคยสร้างกระแส Talk of the town ดังไปทั่วทั้งในโลกออนไลน์ และออฟไลน์ ที่ทำเอาหลายคนพูดถึง Copy โฆษณาสุดเจ๋งอย่าง “เราไม่มีน้ำพัก เรามีแต่น้ำแรง” และ “เราจะทำให้ชนชั้นบนแบะชนชั้นล่างเท่าเทียมกัน” ของปั๊มน้ำกรุนด์ฟอส” (Grundfos)  (อ่านต่อ)

มาปีนี้ ปั๊มน้ำกรุนด์ฟอส” (Grundfos) ยังคงสร้างสรรค์ Copy โฆษณาเด็ดออกมาให้ติดตาม และเรียกรอยยิ้มจากผู้ที่พบป้ายโฆษณาที่ติดตั้งทั่วเมือง จนถูกนำไปพูดต่อกันในโลกออนไลน์ กับประโยคสุดจี๊ดสำหรับคนไทยอย่าง “ปั๊มน้ำว่าแรงแล้ว ยังแรงไม่เท่าน้ำใจคนไทย”

ที่มาของไอเดียโฆษณาชิ้นนี้ เป็นการหยิบอัตลักษณ์ หรือตัวตนของคนไทย นั่นคือ “น้ำใจคนไทย” สิ่งที่ไม่เคยเลือนไปจากสังคมไทย ไม่ว่าโลกใบนี้จะหมุนไปอย่างไรก็ตาม นำมาเป็นข้อความเด่น เพื่อกระตุกให้คนในประเทศได้คิด ย้อนกลับมามอง และยังคงรักษาไว้ซึ่งความดีงามนี้ไว้ หนึ่งในสิ่งที่สะท้อนความเป็น “คนไทย” และ “สังคมไทย” มายาวนาน

ที่สำคัญ ความชาญฉลาดของ Copy โฆษณานี้ ที่ดึงตัวตนความเป็นคนไทยมาพูด ยังเป็นการเชื่อมโยงกับการสื่อสาร “ปั๊มน้ำกรุนด์ฟอส สกาล่า ทู” (Grundfos SCALA 2) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานนี้ เพราะเล่นกับคำว่า “น้ำ” ได้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้คนที่เห็นโฆษณานี้ ไม่เพียงแต่จะสะดุดกับข้อความเท่านั้น ยังรับรู้และเข้าใจถึง Point of sale และ Functional Benefit ของผลิตภัณฑ์รุ่นนี้ได้ทันที ที่โดดเด่นในความเป็นปั๊มน้ำที่ให้แรงดันน้ำสม่ำเสมอ

%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%aa-%e0%b9%82%e0%b8%86%e0%b8%a9%e0%b8%93%e0%b8%b2-%e0%b8%9a

ถ้าเจาะลึกคุณสมบัติของ “ปั๊มน้ำกรุนด์ฟอส สกาล่า ทู” (Grundfos SCALA 2) พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ Perfect water pressure” ถือได้ว่าเวลานี้เป็นปั๊มน้ำที่กำลังได้รับความนิยมจากครัวเรือนคนไทยไม่น้อย ที่สามารถตอบโจทย์ Consumer Insight ได้ตรงจุด เพราะที่ผ่านมาครัวเรือนต่างๆ มักประสบกับปัญหาน้ำไม่แรง หรือน้ำแรงไม่สม่ำเสมอมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเวลาที่ใช้ฝักบัว เปิดก๊อกน้ำ เปิดสปริงเกิลในสวน หรือช่วงเวลาที่หลายๆ บ้านใช้น้ำพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่เปิดน้ำชั้นล่าง แล้วเปิดใช้น้ำชั้นบน น้ำไหลไม่แรง จนทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายในการใช้น้ำ

แต่ด้วยเทคโนโลยีเพิ่มแรงดันอัตโนมัติ มาพร้อมกับตัวควบคุมปั๊มน้ำอัจฉริยะที่ติดตั้งในรุ่น SCALA 2 จะมีตัวเซ็นเซอร์คอยควบคุมแรงดันของน้ำให้จ่ายน้ำแรงสม่ำเสมอทุกจุดการใช้งานในบ้านแม้เปิดใช้พร้อมๆกันหลายจุด ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำอีกต่อไป อีกทั้งปั๊มน้ำรุ่น SCALA2 มาพร้อมกับอินเวอร์เตอร์บิวอินในตัว ซึ่งจะควบคุมรอบการทำงานของมอเตอร์ให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำการใช้น้ำ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็น และปั๊มน้ำรุ่นนี้ยังผ่านการรับรองด้านการประหยัดพลังงานด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งได้ค่าประสิทธิภาพสูงถึง 36.49 %

รายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม : http://th.grundfos.com/campaigns/perfect-water-pressure.html

 

 

 

The post บิลบอร์ดสะท้านคนไทยกลับมาอีกแล้ว กระตุกต่อม “น้ำใจคนไทย” ของดีที่ไม่อยากให้เลือนหาย ! appeared first on Brand Buffet.

ทำธุรกิจอาหารยุค 4.0 ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ต้องโดน “จริต 5 สัมผัส” ของผู้บริโภค

$
0
0

resize-shutterstock_365582687

“ธุรกิจร้านอาหาร” ในประเทศไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวม 385,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่ม Chain Restaurant 110,000 ล้านบาท (เติบโต 2.9 – 5.9%) และกลุ่ม Non-chain Restaurant 275,000 ล้านบาท (เติบโต 6.9 – 8.9%) ต่างกำลังเผชิญกับ 2 ความท้าทาย นั่นคือ

1. การแข่งขันสูงขึ้น ที่ไม่เพียงแต่มีผู้ประกอบการเดิมเท่านั้น ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้งรายใหญ่ – รายเล็ก ตบเท้าเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าย่อมส่งผลดีต่อผู้บริโภค ได้มีทางเลือกมากขึ้น และทำให้ภาพรวมมีความคึกคัก

2. โจทย์ใหญ่ในด้านการตลาด ที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการแข่งขัน และพฤติกรรมผู้บริโภค นับตั้งแต่ยุค 1.0 ที่เป็น Product Centric มาถึงยุค 2.0 Customer Centric จากนั้นขยับไปสู่ยุค 3.0 Social Centric

มาถึงปัจจุบันกำลังอยู่ในยุค 4.0 “Individual” หรือ “ยุคปัจเจกชน” ที่ทุกสิ่งทุกอย่าง “เชื่อมต่อ” กันด้วยดิจิทัล ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และเทรนด์ต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกได้พร้อมๆ กัน หรือในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลให้ความคิด ความชอบ และวิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของคนเรา มีความละเอียดและซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าในอดีตหลายเท่า !

“อร่อย” อย่างเดียวใช่ว่าจะสำเร็จ ! แต่ต้องครบ “จริต 5 สัมผัส”

ในอดีตเราคงเคยได้ยินว่าทำธุรกิจร้านอาหาร ขอให้ “อร่อย” เดี๋ยวก็ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่า “ความอร่อย” เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจนี้ แต่ในปัจจุบันการจะอาศัยปัจจัยดังกล่าวเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอแล้ว !!

เพราะตามที่กล่าวไปข้างต้นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และการแข่งขันในโลกยุค 4.0 เมื่อผู้บริโภคเรียนรู้มากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น ย่อมตามมาด้วย Demanding ซับซ้อนขึ้น

“อาหารการกิน” ก็เช่นเดียวกัน ผู้บริโภคเลือกเฟ้นมากขึ้น ไม่ได้จ่ายเงิน เพียงเพื่อเสพแค่รสชาติอาหารอร่อยเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เราจะเห็นภาพ คนยืนต่อแถวร้านที่มีคนไปใช้บริการมากมาย และคนยอมจ่ายค่าอาหารราคาแพง เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ประสบการณ์” ในการดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร – บริการ บรรยากาศของสถานที่ และช่วงเวลาของการอยู่กับครอบครัว หรือคนรู้ใจ

เพราะฉะนั้นแนวทางสร้างการเติบโตในธุรกิจอาหารยุค 4.0 ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องสามารถตอบสนอง “จริตผู้บริโภค ครบทั้ง 5 Senses” ทั้งรูป, รส, กลิ่น, เสียง และสัมผัส หรือที่เรียกว่า Sensory Marketing 

คำว่า “จริต” ในที่นี้ ผู้ประกอบการต้องค้นหาให้ได้ถึง Insight ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งด้านความคิด ความชอบ วิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ว่าเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาสร้างสรรค์องค์ประกอบโดยรวมของร้าน ไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์แบรนด์-ร้าน เมนูอาหาร รสชาติ-หน้าตาอาหาร บรรยากาศ และบริการ ให้ตอบโจทย์ 5 สัมผัสของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ร้านอาหารนั้นๆ ไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่มากไปกว่านั้นคือ “การขายประสบการณ์” ให้กับลูกค้า

starbucks_roastery-2016-3

Photo Credit : Starbucks

อย่างกรณี “Starbucks” จากเดิมที่นำเสนอประสบการณ์ผ่าน 5 Senses อยู่แล้ว แต่ได้ยกระดับประสบการณ์ที่ว่านี้ให้มีความเป็นพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาโมเดล “Starbucks Reserve Roastery and Tasting Rooms” เปรียบเสมือนโชว์รูมเปิดให้ผู้บริโภคเข้าไปสัมผัสกับโลกของ Starbucks ได้อย่างเต็มที่ในทุกกระบวนการตั้งแต่การคั่วเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงการชงกาแฟรูปแบบต่างๆ เปิดสาขาแรกในปี 2014 เมืองซีแอตเทิ่ล ก่อนที่จะขยายโมเดลนี้ไปยังเซียงไฮ้ ในปี 2017 จากนั้นไปที่นิวยอร์ก และญี่ปุ่น ในปี 2018

starbucks_roastery-2016

Photo Credit : Starbucks

นอกจากนี้ “Starbucks Reserve Roastery and Tasting Rooms” ที่เซียงไฮ้ และนิวยอร์ก จะมีครัวเบเกอรี่ “Princi” ซึ่งเป็นแบรนด์เบเกอรี่และพิซซ่าโฮมเมดสูตรดั้งเดิมจากอิตาลี ตั้งอยู่ภายในร้านด้วย เพื่ออบเบเกอรี่สดใหม่ส่งตรงจากเตาถึงผู้บริโภคในทุกวัน

หรือแม้แต่ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ผู้ประกอบการหลายรายกำลังปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น มีความต้องการมากขึ้น

หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มธุรกิจอาหารของโออิชิ กรุ๊ป” ที่ล่าสุดได้ประกาศยกเครื่อง “Brand Portfolio” ครั้งใหญ่ เพื่อก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อน และมีความต้องการที่มากขึ้น

“โออิชิ” ปรับใหญ่ Brand Portfolio

“ในอดีตเมื่อพูดถึงร้านอาหารญี่ปุ่น มีให้บริการตามโรงแรม ในราคาจับต้องยาก จนกระทั่งเมื่อ 17 ปีที่แล้ว “โออิชิ” เริ่มต้นทำธุรกิจอาหาร เรา Disrupt ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่น ด้วยการนำรูปแบบบุฟเฟต์มาให้บริการ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “โออิชิ บุฟเฟต์” ทำให้เราเป็น King of Japanese Buffet

หลังจากนั้นมาตลาดบุฟเฟต์ในเมืองไทยได้รับความนิยมสูงมาก ทำให้ปัจจุบัน ร้านอาหารเกือบทุกร้าน ไม่ใช่เฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น ปรับมาทำในรูปแบบบุฟเฟต์ ส่งผลให้คำว่าบุฟเฟต์ไม่ได้ขลังเหมือนเมื่อ 17 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์กินเยอะๆ และราคาถูก

สำหรับ “โออิชิ” เราไม่ได้ต้องการให้ภาพลักษณ์บุฟเฟต์เป็นแบบนั้น เพราะเราเล็งเห็นว่าในยุคการตลาด 4.0 “Need Stage” ของผู้บริโภคแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการต่างกัน ทำอย่างไรเราถึงจะตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละคนได้ นั่นคือความท้าทายที่ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารต้องเจอ” คุณไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฉายภาพความเปลี่ยนแปลง

AW_Oishi_infoChart_Rest

นี่จึงเป็นที่มาของการยกเครื่อง Brand Portfolio ครั้งใหญ่ โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 7 แบรนด์ ประกอบด้วย โออิชิ แกรนด์ 1 สาขา, โออิชิ บุฟเฟต์ 17 สาขา, โออิชิ อีทเทอเรียม 1 สาขา, ชาบูชิ 126 สาขา, นิกุยะ 18 สาขา, โออิชิ ราเมน 51 สาขา และคาคาชิ 24 สาขา ทั้งยังมีโออิชิ ดิลิเวอรี่

การพัฒนาคอนเซ็ปต์แบรนด์ สินค้าและบริการของทั้ง 7 แบรนด์ ต้องอยู่ภายใต้ 3 แกนของความเป็น “โออิชิ” นั่นคือ 1. โฟกัสที่ตลาด “Premium Mass” และขับเคลื่อนแบรนด์ด้วย “นวัตกรรม” 2. คุณภาพและรสชาติมาตรฐานญี่ปุ่น และ 3. เป็นแบรนด์ที่ตอบสนองด้านความสนุก ความสุข และใส่ใจลูกค้า

ขณะที่สัดส่วนแบรนด์ที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ ชาบูชิ 64% ตามมาด้วยโออิชิ บุฟเฟต์ 19% และ โออิชิ ราเมน 10% จากรายได้รวมธุรกิจอาหารโออิชิในช่วง 9 เดือนของปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 4,906 ล้านบาท กำไร 88 ล้านบาท

resize-nikuya_01

คุณไพศาล ขยายความเพิ่มเติมว่า Moving Forward ของกลุ่มธุรกิจอาหารโออิชิในปี 2560 จะทำ Brand Revamp เพื่อทำให้แบรนด์ใน Portfolio มีความทันสมัย และแต่ละแบรนด์มีคาแรกเตอร์ชัดเจนยิ่งขึ้น อันจะทำให้เราสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว โดยจะเริ่มจากสองแบรนด์ก่อน คือ นิกุยะ แบรนด์ร้านปิ้งย่าง ที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากวันนี้ตลาดปิ้งย่างมีการแข่งขันรุนแรง และแบรนด์คาคาชิ

“กลุ่มธุรกิจอาหารโออิชิ ไม่ใช่ One Brand answer for all แล้ว แต่เราได้วางแบรนด์พีระมิดตาม Need Stage ของลูกค้า เพื่อดูความต้องการของลูกค้าแต่ละ Stage ว่าเขาต้องการอะไร จากนั้นเอาแบรนด์ไปรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ เช่น แบรนด์ชาบูชิ กลุ่มเป้าหมายหลักคือ วัยรุ่น การวางแบรนด์พีระมิดลักษณะนี้ จะทำให้เราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ในระดับ Individual และพัฒนาสินค้าและบริการที่โดนใจ เพื่อทำให้เขามาใช้บริการที่ร้านเรา”

0823239828

“โออิชิ อีทเทอเรียม” ความพยายาม Disrupt ตลาดอาหารญี่ปุ่นอีกครั้ง !

วันนี้หลายคนคงได้เห็นข่าวการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “โออิชิ อีทเทอเรียม” (Oishi EATERIUM) กันไปบ้างแล้ว สาขาแรกที่เซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ซึ่งเป็นการปรับจากเดิมที่เป็นร้านโออิชิ บุฟเฟต์

ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจอาหารโออิชิ กรุ๊ป เล่าว่า รูปแบบของ “โออิชิ อีทเทอเรียม” แตกต่างจาก “โออิชิ บุฟเฟต์” และ “โออิชิ แกรนด์” ตรงที่คอนเซ็ปต์แบรนด์ ถ้าเป็น “โออิชิ บุฟเฟต์” ลูกค้าเข้ามาในร้าน แล้วตักไปกินที่โต๊ะได้เลย ขณะที่ “โออิชิ แกรนด์” ได้บรรยากาศพรีเมียม และมีความเป็นส่วนตัว

resize-sushi

แต่สำหรับ “โออิชิ อีทเทอเรียม” ใช้แนวคิด “ยาไต” (Yatai) คือ การยกถนนญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลายมาไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ลูกค้าได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในย่านร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ได้เดินดู สั่งอาหารเอง เข้าคิว เพื่อรออาหารปรุงสดใหม่ๆ ได้เห็นการแสดงด้านอาหาร เป็นการตอบโจทย์ 5 Senses ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

รวมทั้งความแตกต่างด้าน “โออิชิ อีทเทอเรียม” อยู่ที่ 659 บาทต่อคน ในเวลา 1.45 ชั่วโมง ส่วน “โออิชิ บุฟเฟต์” ราคา 539 บาทต่อคน ในเวลา 1.45 ชั่วโมง และ “โออิชิ แกรนด์” 895 บาทต่อคน ในเวลา 2.30 ชั่วโมง

“ความน่าสนในของคอนเซ็ปต์ของ “โออิชิ อีทเทอเรียม” คือ อาหารภายในร้าน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกสาขา เพราะยาไต คือ การยกร้านอาหารต่างๆ บนท้องถนนมานำเสนอให้กับลูกค้า โดยเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่เราหวังว่าคอนเซ็ปต์ใหม่นี้ จะ Disrupt ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นอีกครั้ง เหมือนที่เราเคยทำได้สำเร็จเมื่อ 17 ปีที่แล้ว แต่ในเบื้องต้น ซุ้มอาหารแต่ละสาขาคงยังเหมือนกันก่อน เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจคอนเซ็ปต์

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่โออิชิ บุฟเฟต์มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว การที่เราจะเอากลุ่มคนที่เคยใช้บริการโออิชิ บุฟเฟต์ขยับขึ้นไปใช้บริการโออิชิ อีทเทอเรียม เป็นความท้าทาย ดังนั้น ในช่วง Transition Period นี้ เรายังคงมีสิ่งเดิมๆ ที่ลูกค้าคุ้นเคยเอาไว้ คือ พื้นที่อาหารที่ลูกค้าตักไปรับประทานที่โต๊ะได้ทันที แต่ถ้าวันหนึ่ง เราสามารถ Educate ผู้บริโภคกับคอนเซ็ปต์ยาไตได้แล้ว โซนอาหารตักจะหายไป แล้วกลายเป็นร้านค้าย่อยๆ ที่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

s__27861089

resize-kakigori

 

Credit Photo (ภาพเปิด) : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

 

The post ทำธุรกิจอาหารยุค 4.0 ไม่ใช่แค่อร่อย แต่ต้องโดน “จริต 5 สัมผัส” ของผู้บริโภค appeared first on Brand Buffet.

รวมฮิตและฮอต 7 โฆษณาคริสต์มาสส่งท้ายปี 2016

$
0
0

screenshot-1963

พูดถึงเทศกาลคริสต์มาส (Christmas) ทุกคนคงนึกถึง ซานตาคลอส อากาศเย็นๆ และ ไฟประดับมากมาย แต่สำหรับทั่วโลกแล้ว เทศกาลนี้คงไม่ต่างจากเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่บ้านเรา ที่ทุกคนล้วนกลับบ้านไปพบหน้าครอบครัว รับประทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา และ จับจ่ายซื้อของขวัญให้แก่กัน บรรยากาศจึงอบอวลไปด้วยความอบอุ่น แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลนี้ ก็คือโฆษณาดีๆ ที่เหล่าแบรนด์เล็กใหญ่ ต่างออกมาประชันกัน เหมือนเป็นธรรมเนียมเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงวันคริสต์มาส แต่เรามาปลุกความอบอุ่นหัวใจในตัวคุณ  ใน Best Christmas ADs 2016 

1.Come Together – H&M X Wes Anderson

ถือเป็นการเดินหมากที่คาดไม่ถึง ของ H&M ที่จับผู้กำกับที่มีลายเซ็นเฉพาะตัว อย่าง Wes Anderson (ผลงานที่เป็นรู้จักได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง Moonrise Kingdom และ The Grand Budapest Hotel) ซึ่งเป็นการ Collaborate ที่ลงตัวที่สุด เพราะสไตล์ในการทำหนังของเขา ช่างเข้ากับเทศกาลคริสต์มาสเหลือเกิน ทั้งการวางองค์ประกอบภาพแบบสมมาตร, อาร์ตไดเรคชั่น และ เสื้อผ้าหน้าผมสไตล์วินเทจ เรื่องราวของโฆษณาชิ้นนี้เกิดขึ้นบนขบวนรถไฟแห่งหนึ่ง ที่รถไฟไม่สามารถไปถึงที่หมายได้ทันเวลาวันคริสต์มาส แต่ด้วยความทุ่มเทของพนักงานรถไฟ (Adrien Brody) เขาก็สามารถทำให้ทุกคนฉลองเทศกาลคริสต์มาสได้อย่างอบอุ่น บนขบวนรถไฟได้ ไม่แพ้การได้กลับไปฉลองกับที่บ้าน โฆษณานี้ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก จนบางคนถึงขั้นบอกว่า โฆษณาชิ้นนี้ สามารถล้มแชมป์ อย่าง John Lewis  #BusterTheboxer ได้เลยทีเดียว

Advertising Agency : Adam&eveDDB London

 

2.Coming Home for Christmas – Heathrow Airport

การเดินทางไกล กลับบ้านเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุแล้ว การเดินทางยิ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ไม่ใช่สำหรับ สนามบิน Heathrow ในประเทศอังกฤษ ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ กลับมาเดินทางด้วยเครื่องบินอีกครั้ง ผ่านโฆษณาสุดน่ารักชิ้นนี้ พวกเขามาพร้อมกับเจ้าหมีเท็ดดี้แบร์สุดน่ารัก ที่เป็นตัวแทนของผู้สูงอายุ ที่อาจจะงกๆเงิ่นๆ หรือซุ่มซ่าม บ้างเวลาเดินทางในสนามบิน แต่ไม่ว่ายังไง สนามบิน Heathrow ก็เข้าใจ เพราะ “การเดินทางกลับบ้านคือของขวัญที่ดีที่สุด” ซึ่งเป็น Message ของโฆษณาชิ้นนี้

Advertising Agency : Havas London

 

3. #Zeitschenken – Edeka Weihnachtswerbung

EDEKA ห้างสรรพสินค้าจากเยอรมัน กลับมาอีกครั้ง หลังจากสร้างความฮือฮากับ โฆษณาคริสต์มาส ที่ ตลกร้าย แต่ก็ Insight สุดๆ ของปีที่แล้ว (เรื่องราวเกี่ยวกับคุณปู่แกล้งตายเพื่อให้ลูกๆหลานๆกลับบ้านมาหาในวันคริสต์มาส) คราวนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับ Insight ที่จริงมากๆอีกเรื่องนึง คือ ทุกๆเทศกาลคริสต์มาส เหล่าบรรดาพ่อแม่ทั้งหลาย ต่างก็วุ่นวายกับการเตรียมงานสำหรับวันคริสต์มาส ไหนจะต้องเตรียมอาหาร ตกแต่งบ้าน ซื้อของขวัญ ให้คนนู้นคนนี้ที่เรารู้จัก แต่เราลืมไปหรือเปล่า? ที่จะฉลองคริสต์มาสกับคนใกล้ตัวที่เรารักแบบจริงๆ จังๆ ซักที ถึงแม้ปีนี้ยอดแชร์จะไม่ถล่มทลายเท่าปีที่แล้ว แต่โฆษณาชิ้นนี้ก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน

Advertising Agency : Jung von Matt/Alster

 

4.Anuncio Lotería de Navidad 2016 – 21 de diciembre

โฆษณาคริสต์มาสจากประเทศสเปน เริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น จากผลงานปีที่แล้ว #Justino โฆษณาอนิเมชั่น ที่ทั้งคว้ารางวัล Grand Prix Cyber จากเทศกาล Cannes Lions 2015 และยังได้รับการตอบรับเป็นยอดแชร์อันถล่มทลาย ถึงแม้ปีนี้จะไม่ได้มาพร้อมกับหนังอนิเมชั่น แต่ก็มาพร้อมกับเรื่องราวน่าประทับใจ ของคุณครูวัยเกษียณท่านหนึ่ง ที่เข้าใจผิดว่าตัวเอง ถูก Lottery จากการดูข่าวการประกาศรางวัลของปีที่แล้ว และที่สำคัญ รางวัลในปีนี้ยังไม่ประกาศเลยซะด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเป็นการเข้าใจผิด แต่เพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆ ของคุณครู ชาวเมืองก็พากัน เออออห่อหมก ฉลองไปกับเธอด้วยซะเลย ส่วนเรื่องราวตอนจบจะเป็นอย่างไร ต้องลองคลิกชมดูครับ

Advertising Agency : Leo Burnett Madrid

 

5.The Greatest Gift – Sainsbury’s

หากจะไม่พูดถึงโฆษณาของ Sainsbury’s ห้างสรรพสินค้าจากอังกฤษ คงไม่ได้ เพราะเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ที่ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับ โฆษณาของ John Lewis ในทุกๆปี ซึ่งผลงานในปีที่แล้ว เจ้าเหมียว Mog’s Christmas ก็ทำไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ในปีนี้ Sainsbury’s มาพร้อมกับ หนังโฆษณาแบบอนิเมชั่น เต็มรูปแบบ พร้อมกับ เสียงร้องเพลงประกอบของ James Corden พิธีกรชื่อดังจากรายการ Carpool Karaoke ที่มาช่วยสร้างสีสันให้โฆษณาชิ้นนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น พร้อมกับ Message ที่ว่า “ของขวัญที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง”

Advertising Agency : AMV BBDO

 

6.“ENGLISH” – Allegro

มาดูโฆษณาคริสต์มาสของประเทศโปแลนด์กันบ้าง ที่แม้พึ่งถูกปล่อยออกมาสดๆร้อนๆ แต่ก็สร้างยอดไลค์ยอดแชร์ ได้ไม่แพ้กัน ซึ่งโฆษณานี้เป็นของ Allegro บริการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโปแลนด์ เป็นเรื่องราวของคุณปู่ กับ เจ้าสุนัข ที่ต้องอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างโดดเดี่ยว แต่จู่ๆคุณปู่ ก็สั่งหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มต้น มาจาก Allegro ในโฆษณาเราจะเห็นคุณปู่ทุ่มเทกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เช่น เอาโพสต์อิทไปแปะไว้ตามที่ต่างๆ (สุนัขของคุณปู่เองก็โดน) หรือไม่ว่าจะเป็นความพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษในทุกๆที่ ตอนจบของเรื่องราวเป็นอย่างไร? คุณลุงจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษไปทำไม? ต้องคลิกดูครับ

Advertising Agency : Bardzo Warsaw

 

7.Frankie’s Holiday – APPLE

ปิดท้ายด้วยโฆษณาคริสต์มาสจาก Apple ที่มาแปลก เพราะเขามากับผีดิบ Frankenstein พร้อมกับ Message “Open your heart to everyone” ซึ่งโฆษณานี้ไม่ได้พูดถึงครอบครัว หรือเพื่อนแค่อย่างเดียว แต่ยังพูดถึงเพื่อนร่วมโลกหลายๆคนที่ไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งในหนังโฆษณาเปรียบเทียบพวกเขาเป็นเสมือนกับ ผีดิบ Frankenstein ที่โดดเดี่ยวในหมู่บ้าน ท่ามกลางอุณหภูมิทางการเมืองที่ร้อนระอุ และ ปัญหาผู้อพยพที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โฆษณาชิ้นนี้น่าจะทำให้เราเปิดใจยอมรับความแตกต่างได้มากขึ้น และนั่นคือ จิตวิญญาณของคริสต์มาสที่แท้จริง ที่ไม่ได้มีแค่ ซานตาคลอส และ ต้นคริสต์มาส แต่ยังมี การแบ่งปัน และ การเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน นั่นเอง

Advertising Agency : Apple

 

Story by : Nuttanun V.

The post รวมฮิตและฮอต 7 โฆษณาคริสต์มาสส่งท้ายปี 2016 appeared first on Brand Buffet.

อภินิหารย์ Mark Zuckerberg ตอน กำเนิด Jarvis ให้เสียงโดย Morgan Freeman

$
0
0

mark-zuckerberg-jarvis-ai

รวยไงจะทำอะไรก็ได้คงเป็นประโยคที่ไม่ได้จริงเสมอไป แต่ส่วนใหญ่ก็จริง Mark Zuckerberg จึงทำตามฝันให้การใช้ชีวิตในบ้านกับครอบครัวอันอบอุ่นของเขาสะดวกสบายขึ้น โดยการสร้างผู้ช่วยส่วนตัวในแบบ AI ขึ้นมาในแบบที่เราคุ้นเคยกันดีจากภาพยนตร์เรื่อง Iron Man นั่นคือ Jarvis

Javis เวอร์ชั่นของมาร์กนี้จะสามารถเปิดปิดไฟเองได้ เล่นเพลงโปรดตามสไตล์ของมาร์กและภรรยา เปิดประตูบ้านรับแขก ปิ้งขนมปัง และยังปลุกหนูน้อย Max ลูกสาววัยหนึ่งขวบของพวกเขาในทุกเช้าด้วยบทเรียนภาษาจีนของเธอ

หลายคนอาจคิดว่าระบบนี้ Inspire มาจาก Jarvis ของโทนี่ สตาร์ค ใช่ คุณคิดถูก ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมามาร์กเคยประกาศหาคนที่มาเป็นเสียง Jarvis ของเขา ซึ่ง RDJ เสนอตัว เขาบอกว่า เขาจะเป็นให้ทันทีถ้าเงินค่าจ้างถูกจ่ายไปที่ Paul Bettany เจ้าของเสียงตัวจริงในหนัง และเงินจำนวนนั้นถูกโอนต่อไปอีกทีเพื่อการกุศลใดๆ ก็ตามในตัวเลือกของ Benedict Cumberbatch

 

แต่ประชาชนชาวโซเชียลกลับมีความคิดอื่น หลังจากมาร์กขอไอเดียก็มีคอมเมนท์เข้ามากว่า 50,000 คอมเมนท์ และจำนวนมากในนั้นสนับสนุนให้ Morgan Freeman ทำหน้าที่นี้ แทนที่เสียงหุ่นยนต์ผู้หญิงแบบเดิมๆ ที่ครอบครัวของมาร์กใช้อยู่ ณ ตอนนั้น หรือว่าเสียงที่ภรรยาของเขาระบุว่า Aggressive เกินไป รวมทั้งระบบที่ตอนแรกรับคำสั่งเฉพาะเสียงของมาร์กคนเดียว แต่ในที่สุด #พ่อบ้านใจกล้า อย่างเขาก็ต้องแก้ไขให้ Javis รับฟังคำสั่งของภรรยาด้วย

มาร์กเล่าให้เราฟังว่าตอนแรกเขาไม่ได้นึกถึง Freeman เลยจนกระทั่งคอมเมนท์มากมายที่เข้ามาและมาร์กก็ได้เจอเขาในงาน Breakthrough Awards “ผมเรียกเขา และก็บอกว่า นี่ๆ ผมโพสต์อันนี้ลงไป และคนเป็นพันๆ อยากให้เป็นคุณ คุณสนใจมั้ยครับ?” คำตอบหรอ… “แน่นอน เอาสิ” โดยเฟซบุ๊กไม่มีการพูดถึงค่าใช้จ่ายในการร่วมงานของ Freeman ครั้งนี้

 

ส่วนใหญ่แล้วครอบครัว Zuckerberg ติดต่อกับ Jarvis ด้วยระบบข้อความผ่านทาง Messenger และ iPhone แอปฯ แต่ก็พบว่ามีหลายสถานการณ์ที่เสียงควรเข้ามามีบทบาทเช่นการสั่งให้เปิดเพลง หรือเปิดประตูบ้านให้คนเข้ามา “ถ้าคุณพูดไป แล้วมันพูดตอบกลับมา มันจะเจ๋งแค่ไหนล่ะ ผมไม่อยากจะวางว่า Jarvis จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เพราะมันอาจจะมากเกินไป แต่การทำแบบนี้เราก็จะรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขามากขึ้น และแม็กจะต้องชอบมันแน่ๆ เลย” นั่นทำให้ Freeman บันทึกเสียงเพื่อตอบรับคำชุดคำสั่งที่ถูกตั้งเอาไว้ แบบแบ่งเป็นท่อนๆ

 

นอกจากนี้มีรายงานเกี่ยวกับเสียงของ Freeman ในนิตยสาร Time เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมผู้คนถึงรักเสียงของเขา โดยเหตุผลข้อแรกนั้นง่ายมาก คือเราได้ยินของเขาอยู่เสมอ เพราะเสียงของเขามักปรากฏอยู่ในหนังจำนวนมาก เช่น The Shawshank Redemption, Driving Miss Daisy, Million Dollar Baby, Deep Impact และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังเป็น Announcer ในสถานการณ์อื่นๆ อีกมาก เช่น CBS Evening News, บรรยายในวิดีโอหาเสียงแนะนำตัวของในการเลือกตั้งที่ผ่านมา Hillary Clinton และเตือนเกี่ยวกับปัญหาจราจรใน Waze

นอกจากความคุ้นชินแล้ว ผลสำรวจยังบอกเราว่าคนทั่วไปรู้สึกว่าเสียงผู้ชายที่มีโทนต่ำแบบเสียงของ Freeman นั้นดึงดูดและแสดงถึงความแข็งแรง ดังนั้นหลังจากนี้ ครอบครัว Zuckerberg จะได้อาศัยร่วมบ้านกับเสียงของนักแสดงชายวัย 79 ปีคนนี้ทุกวันเลย

 

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

The post อภินิหารย์ Mark Zuckerberg ตอน กำเนิด Jarvis ให้เสียงโดย Morgan Freeman appeared first on Brand Buffet.

“ขวดน้ำผึ้ง” ดีไซน์นิยาม Less is more แค่ฉีกฉลาก กลายร่างเป็นผึ้งน้อยสุดคิวท์ !

$
0
0

resize-abeeja-7

การออกแบบแพคเกจจิ้ง นอกจากเรื่องความสวยงาม และเหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ยังสามารถใส่ “ลูกเล่น” ลงบนสินค้าได้เช่นกัน ทำให้สินค้านั้น มี Gimmick สื่อสารกับลูกค้า

เช่นตัวอย่างแบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้ง “Abeeja” จากประเทศสเปน ซึ่งเป็นผู้ผลิตท้องถิ่นรายเล็กที่สร้างสรรค์น้ำผึ้งจากธรรมชาติด้วยใจรัก โดยได้จากผึ้งงานที่บินในไร่มะนาวของแคว้นมูร์เซีย (Murcia) ทำให้น้ำผึ้งที่ได้ มีรสมะนาวเล็กน้อย

resize-abeeja-2

ขณะที่งานด้าน Packaging Design เป็นขวดทรงกลม พร้อมด้วยฉลากบนบรรจุภัณฑ์อันแสนเรียบง่าย มีชื่อแบรนด์เด่นอยู่ตรงกลาง แต่ในความเรียบง่าย ได้ซ่อน “ลูกเล่น” น่ารักๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนรวมกับแบรนด์ ด้วยการทำรอยปรุด้านหลังฉลาก จากนั้นเมื่อผู้บริโภคฉีกตามรอยปรุ กางออกมา จะกลายเป็น “ปีกผึ้ง” สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับผู้บริโภคได้ดีทีเดียว

resize-abeeja-3

resize-abeeja-4

ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้ง Abeeja นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการออกแบบในนิยาม “Less is more” ก็ว่าได้ เพราะมีความเรียบง่าย แต่สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน และสร้างความแตกต่าง เพียงเท่านี้…Packaging Design ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

resize-abeeja-6

resize-abeeja-9

 

Source

 

The post “ขวดน้ำผึ้ง” ดีไซน์นิยาม Less is more แค่ฉีกฉลาก กลายร่างเป็นผึ้งน้อยสุดคิวท์ ! appeared first on Brand Buffet.


Dove ดันแคมเปญ Real Beauty ต่อเนื่อง ตั้งคำถาม ทำไมหุ่นโชว์เสื้อผ้าขายเรา แต่ไม่มีความเหมือนเราเอาซะเลย

$
0
0

 

dove-2016

Dove (โดฟ) แบรนด์เพื่อความงามที่พยายามบอกให้ผู้หญิงภูมิใจในความสวยและใส่ใจความงามจากภายในอย่างแท้จริงได้ทำแคมเปญ Real Beauty ต่อเนื่องมาหลายปีใน Execution ที่ต่างกัน ล่าสุดกับงาน Mannequin Challenge พาสาวๆ จำนวนหนึ่งเข้าไปร้านขายเสื้อผ้า แล้วแต่งตัวทำท่าทางเหมือนหุ่นโชว์เสื้อ โดยตั้งคำถามว่าทำไมหุ่นโชว์เสื้อผ้าพวกนี้ไม่มีความเหมือนพวกเราเลย ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะขายพวกเราแท้ๆ

โดยงานนี้เป็นผลงานของ Ogilvy & Mather London ซึ่ง Andre Laurentino, global ecd ได้เล่าให้เราฟังว่า “สิ่งที่โดฟพยายามทำเสมอมาคือการทำให้ผู้หญิงมั่นใจว่าพวกเธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับความสวยที่ตัวเองมี เวลาที่เราเห็นคนทำท่าทางเลียนแบบหุ่นเราก็มักจะคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำหุ่นโชว์เส้อผ้าให้เหมือนพวกเรา เรื่องนี้จึงเป็นจุดพูดที่ดีที่โดฟจะเล่าเรื่องนี้ส่งไปยังสาวๆ”

 

หนึ่งสิ่งที่โดฟต้องการจะบอกคือ ความงามบนโลกนี้ไม่มีพื้นฐานที่ชัดเจน แต่ทำไมหุ่นโชว์เสื้อถึงผอมขาวหุ่นดีเหมือนๆ กันทั้งโลก “นี่เป็นอีกวิธีการที่จะเตือนเราว่า โลกนี้ยังมีรูปร่างอีกหลายแบบ สีสันอีกหลากหลาย และไซส์อีกมากมายที่มีความงามที่แท้จริงอยู่ในนั้น แมสเสจที่ออกไปบอกเราถึงสิ่งที่เรารับรู้ว่ารูปร่างเราควรเป็นแบบไหน มันเป็นพิมพ์นิยมเดียวกันทั้งโลก มากมายซะจนเราไม่ได้สังเกตและมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราจึงถือโอกาสนี้สร้างแคมเปญให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ด้วยวิดีโอ Mannequin Challenge ที่ท้าให้คนมาทำท่าทางเลียนแบบหุ่นโชว์เสื้อ”

คลิปวิดีโอแสดงให้เราเห็นถึงร้านเสื้อผ้าที่เหมือนถูกจัดมาอย่างเหมาะเจาะ และใช้นักแสดงเข้าไปทำท่าตัวแข็งและไร้อารมณ์เพื่อสื่อให้คนดูเห็นว่าความงามที่แท้จริงก็ยังคงอยู่ที่ตัวเราเป็นเราอยู่ดี ส่วนที่ยากที่สุดของการถ่ายทำ Laurentino เล่าให้เราฟังขำๆ ว่าน่าจะเป็นการที่ทุกคนต้องห้ามกระพริบตา จะได้เหมือนหุ่น บางฉอตถ่ายออกมาได้ดี ทุกคนไม่กระพริบตาแต่ดันมีคนเดินผ่านฉากซะก็ต้องถ่ายใหม่ สรุปแล้วคลิปสั้นๆ นี้ถ่ายกันยาวถึง 33 เทคเลยทีเดียว

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

The post Dove ดันแคมเปญ Real Beauty ต่อเนื่อง ตั้งคำถาม ทำไมหุ่นโชว์เสื้อผ้าขายเรา แต่ไม่มีความเหมือนเราเอาซะเลย appeared first on Brand Buffet.

ซีพีเอ็น ผนึกเซ็นทรัลฯ 7 สาขาทั่วไทย จัดใหญ่ Countdown 2016 “แสงเทียนแห่งสยาม”

$
0
0

cpn-1

นับถอยหลังสิ้นศักราชเก่า ปี 2559 และเตรียมตัวเข้าสู่ศักราชใหม่ ปี 2560 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือซีพีเอ็น เดินหน้าผนึกกำลังภาครัฐ จัดกิจกรรมเคาท์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ภายใต้ชื่อ “แสงเทียนแห่งสยาม รวมดวงใจไทยทั้งชาติ ส่ง ส.ค.ส.ถึงพ่อบนฟ้า”

“ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า บริษัท ได้ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และพันธมิตร(มหาชน) พร้อมด้วยพันธมิตรจากหลากหลายองค์กร อาทิ กรุงเทพมหานคร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล, บริษัท สไปร์ซซี่ ดิสก์ จำกัด, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน),และสมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจย่านราชประสงค์(RSTA) จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่สุดยิ่งใหญ่หรือการเคาท์ดาวน์ ในชื่อ “แสงเทียนแห่งสยาม รวมดวงใจไทยทั้งชาติ ส่ง ส.ค.ส.ถึงพ่อบนฟ้า” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และประชาชายังร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์กับศูนย์การค้า อีก 6 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา, เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี , เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

cpn-2

งานในปีนี้นับได้ว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง เมื่อศูนย์การค้าทั้ง 7 แห่ง ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน มาร่วมรำลึกถึง “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9” ด้วยการร่วมจุดเทียนให้สว่างไสวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นโดยพร้อมเพียงกัน เพื่อให้ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกได้สัมผัสประสบการณ์แห่งกำลังใจ และพร้อมที่จะใช้แสงทองส่องสว่างนำสู่ปีใหม่สู่ปีใหม่ พ.ศ.2560

“งานครั้งนี้ ถือเป็นครั้งเดียวและครั้งสำคัญที่เราจะรวมดวงใจชาวไทยท้ังชาติ ภาครัฐ ภาคเอกชน มาร่วมกิจกรรมที่กลั่นทุกความรู้สึกด้วยหัวใจ ประกาศให้กึกก้องไปทั่วโลก ด้วยการร่วมจุดเทียนแห่งสยาม ส่ง ส.ค.ส. ถึงพ่อบนฟ้า ร้องเพลงพรปีใหม่ พรจากพ่อที่คนไทยจะไม่มีวันลืม เพื่อก้าวสู่ปีพุทธศักราช 2560 ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งในโอกาสนี้ ซีพีเอ็น ต้องการเชิญชวนประชาชนชาวไทยมาร่วมเป็น 1 ในแสงเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ มาแสดงออกถึงความสว่างไสวไปพร้อมกันในวันที่ 31 ธันวาคม ที่ศูนย์การค้า 7 สาขา ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย  ได้แก่ พื้นที่ใจกลางแยกราชประสงค์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี, เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา, เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหรือเดสติเนชั่นสำคัญของชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก”

สำหรับมหกรรมเคาท์ดาวน์ “แสงเทียนแห่งสยาม รวมดวงใจไทยทั้งชาติ ส่ง ส.ค.ส.ถึงพ่อบนฟ้า” มีไฮไลท์พิเศษมากมายแตกต่างกันไปตามแต่ละศูนย์การค้า เริ่มจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ได้มีการตกแต่งบรรยากาศให้งดงามสมรัชกาล ภายใต้คอนเซ็ปต์ Winter White, The Garden of Happiness ด้วยต้นคริสต์มาสสีขาว ประดับด้วยริบบิ้นสว่างไสวด้วยไฟประดับ  นับล้านดวง ตระการตากับทุ่งคาร์เนชั่นสีเหลืองทองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว และไฟ LED กว่าล้านดวง ชูช่ออวดความงาม ร่วมด้วยน้ำพุ LED ขนาดใหญ่ และอุโมงค์ไฟสีทอง ส่องสว่าง ใจกลางมหานคร สะท้อนให้เห็นถึงความสุข พลังใจให้กันและกัน

ส่วนกิจกรรมในคืนเคาท์ดาวน์ขอเชิญชวนคนไทยและนักท่องเที่ยวร่วมกันจุดเทียนและสวดมนต์ข้ามปี เพื่อชาติ พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อมงคลชีวิต และร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรก ส่ง “ส.ค.ส. ถึงพ่อบนฟ้า”  ด้วยรูปแบบดิจิตอลขนาดยักษ์และเทคนิคแสงสีเสียงตระการตา ซาบซึ้งกับบทเพลง “พรปีใหม่”และบทเพลงพระราชนิพนธ์กลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งแรกในประเทศ โดยวง “Thailand Philharmonic Orchestra” แบบเต็มวง ร่วมนมัสการพิธีแห่ 8 องค์เทพครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกใจกลางกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 8.30 – 11.00น. และเมื่อเข้าสู่วันแรก ของศักราชใหม่ 1 มกราคม พ.ศ.2560  จะมีการร่วมทำบุญตักบาตร ในเวลา 07.00 – 09.00 น.

เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา จะมีกิจกรรมร่วมกันจุดเทียน สวดมนต์ ข้ามปี และยังมีกิจกรรมอื่นๆมากมาย อาทิ การได้พบกับศิลปินชื่อดัง นูโว ลุลา Getsunova วงออร์เคสตร้าจากกรมศิลปากร การแสดงจากนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะมีการอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาขับกล่อมให้ทุกท่านเปี่ยมสุข

เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ร่วมจุดเทียน สวดมนต์ ข้ามปี พบกับศิลปินชื่อดัง อาทิ สแตมป์ อภิวัชร์, ปาล์มี่, วงโปเตโต้ ซึ่งจะอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาขับกล่อม ซึ่งบรรเลงเพลงโดยวงออร์เคสตร้ากว่า 100 ชีวิต

เซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี ร่วมจุดเทียน สวดมนต์ ข้ามปี และพบกับศิลปินชื่อดังนำทีมโดยตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน และ ดาราศิลปินมากมาย ด้วยการอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาขับกล่อม

เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี ร่วมจุดเทียน สวดมนต์ นั่งสมาธิ ข้ามปี ชมการแสดงจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดไชยมงคล และขบวนแห่ “หน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์” ซึ่งนำมาจากโพธิมณฑลดินแดนแห่งการตรัสรู้ ณ วัดไทยพุทธคยาอินเดีย

เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ งานแสงเทียนแห่งสยาม ชมการแสดงโขน จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การแสดงมโนราห์ จากจังหวัดพัทลุง การแสดงรำไทยถวายพระพร 4 ภาค และคอนเสิร์ตจากวง Sixty Miles

และเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ มีกิจกรรมจุดเทียน ร่วมถ่ายรูป ณ สวนแสง Lighting Sculpture  และจะได้พบกับศิลปิน ว่าน ธนกฤต ,Tattoo Colour มาให้ความสนุกสนานส่งท้ายปีด้วย

cpn-33

The post ซีพีเอ็น ผนึกเซ็นทรัลฯ 7 สาขาทั่วไทย จัดใหญ่ Countdown 2016 “แสงเทียนแห่งสยาม” appeared first on Brand Buffet.

Google Santa Tracker เครื่องมือตามรอยและให้กำลังใจซานต้า

$
0
0

santa_tracker

 

Google’s Santa Tracker ฟีเจอร์ใหม่ต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์ที่ Google ทำขึ้นเพื่อชวนคนทั้งโลกนับถอยหลัง 24 วันก่อนคริสมาสต์ เปิดประสบการณ์ตามรอยซานต้าได้จากหน้าจอคุณ

โดยเริ่มจากการเปิดหมู่บ้านซานต้าในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยทางเข้าหมู่บ้านนี้สามารถพิมพ์คำว่า Santa บนหน้าค้นหาของ Google ก็จะเจอทางเข้าไปยังหมู่บ้านได้เลย เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านซานต้าและร่วมทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ฝึก Coding skill, เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศ, เรียนรู้ภาษาอื่นๆ และทำความรู้จักกับองค์กรการกุศล อย่าง Khan Academy, Pratham Books, ห้องสมุดไร้พรมแดน และ Code.org รวมไปถึงเกมสร้างเสริมการเรียนรู้อีกมากมายเช่น Code lab ที่ให้เราใช้ทักษะการแก้โค้ดเพื่อช่วยเอลฟ์ตัวน้อยให้ไปส่งของขวัญ หรือ Code Boogie ที่เราจะได้เรียนรู้เรื่องภูมิประเทศจากการเต้นของเอลฟ์น้อย

 

และนอกจากนี้ยังมีคอนทเนท์ให้ความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับเรื่องประเพณีวันหยุดต่างๆ ทั่วโลก รวมไปถึงการเรียนรู้ภาษาอื่นๆ จาก Santa lingo และในวันที่ 20 จะมี Map Quiz เกมเกี่ยวกับการทายประเทศจากคำใบ้ รวมไปถึงเกมน่ารักๆ ที่รอให้เล่นกันอีกเพียบ โดยจุดประสงค์หลักดูเหมือน Google จะมุ่งไปที่เรื่องของการเสริมสร้างการเรียนรู้ ทั้งเกมเสริมทักษะและคอนเทนท์ให้ความรู้เกี่ยวกับเทศกาลและประเพณี โดยเล่าเรื่องโดยใช้ภาพน่ารักๆ ที่ดึงดูดเด็กๆ แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเล่นได้แบบเพลินๆ

 

ความพิเศษอีกอย่างคือในวันที่ 24 เจ้า Tracker นี้จะ Live สดเพื่อให้เหล่าแฟนคลับซานต้าตามติดว่าตอนนี้ซานต้าเตรียมแจกของขวัญไปถึงเขตแดนแคว้นไหนแล้ว โดยสามารถติดตามได้ผ่าน desktop และ mobile web รวมไปถึง Android app, Android TV app และ Chromecast และยังมีเวอร์ชัน VR ที่สามารถดูผ่าน Cardboard โดยใช้ชื่อ Ho ho go

 

เท่านี้ยังไม่ถือว่าเล่นใหญ่พอ เพราะ Google ยังปล่อยแอปพลิเคชั่นบน Andriod เป็นเกมใหม่ 4 เกม รวมไปถึงเกม Present Quest ที่ใช้ Geolocation ให้ผู้เล่นช่วนซานต้าจัดการกับของขวัญที่ส่งผิดได้ด้วย และเมื่อคริสมาสต์ใกล้เข้ามาคุณสามารถถาม Google Home ได้ว่า ซานต้าอยู่ไหน ซึ่ง Google บอกว่าผลลัพธ์น่าจะทำให้คุณประหลาดใจ

 

Google ทิ้งท้ายไว้ว่า หากมีเวลาอยากให้คุณลองเสริชคำว่า North Pole หรือ Santa บน Google Map เพื่อตามดูว่าตอนนี้ซานต้าอยู่ที่ไหน แล้วมาร่วมเป็นกำลังใจให้ภารกิจในปีนี้ของซานต้าลุล่วงด้วยดีกันเถอะ! ลองดูกันว่า คืนนี้ ซานต้าจะอยู่ที่ไหน ทำหน้าที่เอาของขวัญมาส่งให้เด็กๆ ตามบ้านหรือเปล่า ลองตามดูได้ที่ https://santatracker.google.com/village.html 

Source

แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM

 

 

 

The post Google Santa Tracker เครื่องมือตามรอยและให้กำลังใจซานต้า appeared first on Brand Buffet.

ถอดรหัส Smirnoff ICE ปรับโฉมครั้งใหญ่จาก “ขวดแก้วใส” สู่ “กระป๋องสุดเท่”

$
0
0

smirnoff-ice-can-%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%b2

สำหรับตลาดแอลกอฮอล์ เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีความหลากหลายในแง่ของ Segment โดยเฉพาะในกลุ่ม Ready to drink ที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันมีความเข้มข้นไม่แพ้รสชาติของเครื่องดื่มแต่ละตัวเลยทีเดียว ต้องบอกเลยว่าเทรนด์ของตลาด Ready to drink ถูกขับเคลื่อนด้วยรูปแบบการบริโภคของนักดื่ม ทำให้รูปแบบในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

อย่างแบรนด์มี Movement ในตลาดมาโดยตลอดอย่าง สเมอร์นอฟ (Smirnoff) ก็ได้สร้างปรากฎการณ์เขย่าตลาดแอลกอฮอล์ กลุ่ม Ready to drink ให้สั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ด้วยการออก Smirnoff Midnight 100 หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กระป๋องดำ” นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Smirnoff ที่จะรุกคืบขอแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มคนที่ดื่มเบียร์และตลาด ready to drink

smirnoff-ice-can-12

เหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นคือ ตลาด Ready to drink ในรูปแบบกระป๋องกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งนั้นก็เป็นไปตามคาดเพราะการออก Smirnoff Midnight 100 สามารถสร้างการจดจำ และถูกพูดถึงอย่างมากตั้งแต่หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

รวมถึงการค้นพบ Insight บางอย่างของนักดื่มที่ว่า การดื่มในแต่ละครั้งไม่ได้จำเป็นต้องเน้นปริมาณที่มากมาย ดื่มแบบพอดี เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคกับการใช้จ่ายสินค้ากลุ่มนี้มีขอบเขตที่จำกัด เมื่อกลายเป็นกระป๋องก็เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายซึ่งมองหาสินค้าในรูปแบบกระป๋องแบบเบียร์

ด้วยความสำเร็จที่มากมายจาก Smirnoff Midnight 100 ที่ถูกอกถูกใจนักดื่มด้วยความแรงของแอลกฮอร์ Smirnoff จึงได้ต่อยอดบวกกับการมองตลาดที่ต้องการสร้างความหลากหลายให้กับสินค้ามากยิ่งขึ้นด้วยการได้นำ Smirnoff ICE รส Lemon มาบรรจุอยู่ในรูปแบบกระป๋อง ขนาด 250ml ราคาที่ 35บาท มีปริมาณแอลกฮอล์ 5%  เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน ราคาไม่สูงมากและรสชาติถูกปาก เหมาะกับทั้งหญิงและชายในกลุ่มสายชิล

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเพจดังหลายเพจบนโลกออนไลน์อย่าง สักวาตกค่ำ ร่ำสุรา เห็นแววรุ่ง จึงได้หยิบ Smirnoff ICE ในโฉมกระป๋องสีขาวใหม่ มาตัดต่อล้อเลียนกับกระแส อย่าง “แสงเหนือ” จนเป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกเพจ

smirnoff-ice-can-%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%b2

หรือเพจดังอย่าง รีวิวขี้มาววว  และ แดกเหล้า เมาเบียร์ เพลียไวน์ ก็นำ กระป๋อง Smirnoff ICE  มารีวิวให้ลูกเพจรับรู้ได้ถึงความแปลกใหม่ของกระป๋อง ที่เล็ก กินง่าย แช่เย็นไวกว่าปกติ แถมราคายังไม่ได้สูงมากเท่าไหร่

screenshot-1964

 

ไม่เพียงเท่านั้น เราก็ได้ไปค้นพบเพจและเว็บบล็อกท่องเที่ยว ที่มีการพูดถึงกระป๋อง Smirnoff ICE ด้วยเช่นกัน ถือเป็นอีกหนึ่งไอเทมของนักเดินทาง เพื่อเพิ่มความฟินให้แต่ละทริปของคุณเจ๋งมากขึ้น อย่างเพจ Palapili Thailand กับทริป ดอยหลวงเชียงดาว ที่ได้แนะนำรีวิวการท่องเที่ยวและการเดินทางอย่างได้อรรถรส ทำให้เจ้ากระป๋อง Smirnoff ICE กลายเป็นเครื่องดื่มคู่ใจที่ช่วยเติมความกระฉับกระเฉงในการเดินทางต่อไป

smirnoff-ice-can-13-palapili2

เช่นเดียวกับเพจ hash corner ก็ได้โพสภาพที่มี Smirnoff ICE รส Lemon กระป๋องขาว เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทริปท่องเที่ยวสุดชิล

การนำเสนอรูปแบบกระป๋องในรสชาตินี้จึงใช้สีขาวเป็นตัวชู เพื่อให้ contrast กับกระป๋องดำที่ออกมาก่อนหน้านี้ และให้ดึงดูดกลุ่มผู้ชายที่ชอบดื่มเบียร์มากขึ้น ทำให้ตอนนี้ Smirnoff มีสินค้าในรูปแบบกระป๋องสองรสขาติที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเรื่องของกลุ่มเป้าหมาย และ Lifestyle ในการดื่ม คือ Smirnoff  Midnight 100 และ Smirnoff ICE Lemon

ในส่วนของดีเทลบนแพคเกจจิ้ง ก็ได้มีการปรับเพิ่มเติม ชื่อภาษาไทย สเมอนอฟ อยู่ข้างกระป๋องเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านสำหรับคนไทย นับว่าเป็นการเพิ่มภาษาไทยลงบนแพคเกจจิ้งครั้งแรกของ Smirnoff

smirnoff-ice-can-%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a72

นั่นก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าไม้เด็ดที่ Smirnoff งัดออกมาสู้เพื่อขยายฐานตลาดของตัวเอง คือการเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์มาในรูปของกระป๋อง และเมื่อประสบความสำเร็จจนเชื่อมั่นแล้วว่าสามารถไปได้ ก็ติดเครื่องเดินหน้าเต็มที่ เพิ่มความ mass ของสินค้าให้มากขึ้น ทั้งรสชาติ สีสัน และการสื่อสารผ่านตัวบรรจุภัณฑ์

สัญญาณเตือนจาก กระป๋องดำ มายัง กระป๋องขาว ของ Smirnoff  กำลังจะบอกว่าเกมนี้ พี่ไม่ได้มาเล่นๆ ส่วนจะเป็นกระป๋องสีไหน รสชาติแบบไหน จับตลาดกลุ่มไหน คงต้องจับตากันแบบห้ามกระพริบเลยทีเดียว

The post ถอดรหัส Smirnoff ICE ปรับโฉมครั้งใหญ่จาก “ขวดแก้วใส” สู่ “กระป๋องสุดเท่” appeared first on Brand Buffet.

เผยโฉมสุดยอด “Packaging Design 2016” จากทั่วโลก ที่เห็นแล้วต้องร้อง WOW !!

$
0
0

packaging-design-2016

เว็บไซต์ Packaging of the World หนึ่งในเว็บไซต์ที่รวบรวมผลงานการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มากไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์จากที่ต่างๆ ทั่วโลก ล่าสุดได้คัดเลือกสุดยอด Packaging Projects ของปี 2016 ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์ ทำให้สินค้ามีความน่าสนใจ แตกต่าง และมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานดีไซน์ ไม่ได้มีดีแค่ความสวยงาม หรือความเก๋เท่านั้น แต่ยังตอบสนอง Consumer Insight รวมทั้งยังช่วยแก้โจทย์ตัวสินค้า และสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม

รับรองได้ว่าเมื่อเห็นแล้ว จะต้องมนต์เสน่ห์กับโลกของ Packaging Design ที่มีพลังดึงดูดมหาศาลจริงๆ

บรรจุภัณฑ์ซอสถั่วเหลือง 丸莊醬油 ของไต้หวัน ออกแบบโดย Han-Ching Huang เป็นการพลิกภาพลักษณ์ซอสถั่วเหลืองแบบดั้งเดิมที่มีอยู่ในครัวเรือนต่างๆ ด้วยการสร้างสรรค์แพคเกจจิ้งใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยว หรือคนท้องถิ่นซื้อเป็นของขวัญ ของฝาก

resize-soy-sauce-packaging-design-01

ขวดนมกล้วย ออกแบบโดย Dongwook Yoon ภายนอกห่อหุ้มขวดด้วยพลาสติกเหมือนกับเปลือกกล้วย ก่อนจะดื่มให้แกะพลาสติกออก ทำให้ผู้ดื่มได้ความรู้สึกเสมือนการปอกเปลือกกล้วย เพื่อสื่อถึงความสดใหม่และรสชาติ ราวกับกินกล้วยจริง

resize-real-banana-milk-4

บรรจุภัณฑ์คีม ออกแบบโดย Igor Mitin ที่ทำออกมาเป็นรูปแมลง สร้างความโดดเด่นเวลาวางขายอยู่ในร้านค้า ทำให้ผู้บริโภคเห็น และสะดุดสายตาทันที

resize-haps_bugs

บรรจุภัณฑ์ Straw‬ Pak ‪ออกแบบโดยนักศึกษา Hongik University ปกติแพคเกจจิ้งเครื่องดื่มต่างๆ มีหลอดพลาสติกแปะติดไว้ข้างนอกกล่อง ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร ทั้งการผลิตและการกำจัดพลาสติก แต่สำหรับ Straw Pak ออกแบบโดยใช้กระดาษแผ่นเดียว ทำเป็นทั้งกล่องและหลอด ซึ่งปากหลอดที่ใช้สำหรับดูดเครื่องดื่ม ถูกพับไว้นอกกล่อง โดยมีแผ่นกระดาษ หรือแผ่นฟอยล์ปิดทับปากหลอดอีกที เพื่อสุขอนามัยและป้องกันสิ่งสกปรก

resize-straw-pak

กล่องใส่สำลีก้าน แบรนด์ Lawna ‪‎ออกแบบโดย Ann Huang นำไอเดีย “ตัวแกะ” มาทำเป็นแพคเกจจิ้งน่ารักๆ สำหรับบรรจุสำลีก้าน สร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี

resize-cotton-swabs-package-design

แก้วกระดาษสตาร์วอร์ ออกแบบโดย Christian Rivera ใส่ลูกเล่นด้วยการวาดลวดลายตัวละครในภาพยนตร์สตาร์วอร์ถือดาบ lightsabers แล้วนำหลอดสีเดียวกับดาบ มาใส่ในแก้ว วางองศาให้ตรงกับรูปดาบบนแก้ว ทำให้เหมือนกับเราดูดน้ำจากดาบ

resize-drink-the-force-1

กล่องอาหารสุนัข Ultima Bon Appetite ออกแบบโดย Marçal P. Affinity เพิ่มลูกเล่นตรงส่วนฝาเปิด ที่ดีไซน์เป็นปากสุนัข แล่บลิ้นออกมา เพื่อสื่อถึงรสชาติความอร่อย อีกทั้งแผ่นฝาเปิดที่เป็นลิ้นสุนัข ทำยาวออกมากว่าบรรจุภัณฑ์ทั่วไป จึงง่ายและสะดวกต่อการดึงออก

resize-ultima-bon-appetite-packaging-01

กล่องเค้ก Marais ‎ออกแบบโดย Latona Marketing Inc. จุดประกายไอเดียจาก “เครื่องดนตรีเปียโน” จึงดีไซน์กล่องเป็นแป้นโน๊ตต่างๆ เมื่อนำแต่ละกล่องมาวางเรียงรวมกันในกล่องใหญ่อีกที กลายเป็นคีย์บอร์ดเปียโนทันที

resize-marais-02

ขวดน้ำผึ้ง abeeja ออกแบบโดย Andrés Guerrero แพคเกจจิ้งเรียบง่าย แต่ซ่อนลูกเล่นน่ารักๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนรวมกับแบรนด์ ด้วยการทำรอยปรุด้านหลังฉลาก จากนั้นเมื่อผู้บริโภคฉีกตามรอยปรุ กางออกมา จะกลายเป็น “ปีกผึ้ง” สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับผู้บริโภคได้ดีทีเดียว

resize-abeeja-7

กระป๋องเบียร์ Noble Rey Brewery Co. ออกแบบโดย Magnificent Beard (‪USA‬) เป็นงานฝีมือวาดภาพ 4 คาแรกเตอร์ลงบนกระป๋อง แต่ถ้าจะให้ตัวคาแรกเตอร์สมบูรณ์ ต้องนำสองกระป๋องมาต่อกัน เพราะกระป๋องหนึ่งเป็นลายส่วนหัว อีกกระป๋องเป็นส่วนลำตัว แน่นอนว่าคนที่อยากสะสมแพคเกจจิ้งนี้ ย่อมต้องซื้อสองกระป๋องนี้ต่อ 1 ลายคาแรกเตอร์

resize-noble-rey-brewery-1

กล่องพาสต้า ออกแบบโดย Nikita สร้างสรรค์โดยการเอารูปทรงของเส้นพาสต้าแบบต่างๆ มาเปรียบเป็นผมของผู้หญิงบนบรรจุภัณฑ์กล่อง ทำให้สินค้าโดดเด่นและแตกต่างขึ้นมาทันที เมื่อวางอยู่บนเชล์ฟในซูเปอร์มาร์เก็ต

resize-hair-pasta-2

ขวดผลิตภัณฑ์นม Molocow ‪UFO ออกแบบโดย Imedia Creative Bureau ทำรูปทรงเหมือนกับจานบิน UFO เพื่อสร้างความสนุกให้กับตัวสินค้าและแบรนด์ ในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเด็กให้สนใจ

resize-molocow-concept-milk-02

กล่องชากลิ่นผลไม้ T2 ออกแบบบรรจุภัณฑ์รูปทรงผลไม้ประเภทต่างๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกระเช้าผลไม้ และเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญคริสต์มาส นับเป็นการใช้ดีไซน์บรรจุภัณฑ์สื่อสารคุณสมบัติของสินค้าได้อย่างชัดเจน เช่น กล่องลูกพีช เป็นชากลิ่นพีช และถ้าเป็นกล่องรูปทรงแตงโต เป็นชากลิ่น Watermelon Sorbet

resize-t2-tea-mini-fruits-7

พาสต้าและเครื่องเทศมาด้วยกันในดีไซน์รูปทรงที่นวดแป้ง ออกแบบโดย Breno Cardoso เป็นแพคเกจจิ้งที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อเชิญแขกร่วมงานปาร์ตี้กลางวันของ Sapore di Nonna บริษัทผลิตเส้นพาสต้าอิตาเลี่ยน

resize-sapore-di-nonna-1

ขวดน้ำผลไม้ Siya ออกแบบโดย Backbone Branding บรรจุภัณฑ์ที่ดีไซน์ลำตัวขวด เปรียบเสมือนเป็นแก้ว แล้วส่วนบนของขวดเหมือนมีผลไม้จริงวางอยู่ เพราะต้องการสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นน้ำผลไม้ที่ทำสดใหม่ เช่น น้ำส้ม ส่วนบนของขวดเหมือนมีผลส้มจริง

siya-1

บรรจุภัณฑ์ไส้กรอก ออกแบบโดย Julien Suzanne สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด Eco-design ที่ใช้วัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยเอาฟางมาบีบอัด ทำออกมาเป็นบรรจุภัณฑ์

1p

บรรจุภัณฑ์ปลา ภายใต้แบรนด์ Liska ออกแบบโดย Stefania Borasca พัฒนาแพคเกจจิ้งที่ให้ข้อมูลของปลาแต่ละตัว แต่ละประเภท โดย Identify ลงลึงไปถึงสายพันธุ์ แหล่งที่มา คุณค่าทางโภชนาการ  ทำให้ลูกค้ารับรู้ข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจซื้อresize-liska-06

ร้านอาหารญี่ปุ่น Samurai ที่‎กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ได้ Oliver Sjöqvist, Nanna Basekay, Fanny Löfvall มาพัฒนาบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ของร้าน ตั้งแต่ขวดเบียร์ กล่องอาหารสำหรับซื้อกลับบ้าน เมนู ไปจนถึงซองใส่ซอส

resize-samurai

บรรจุภัณฑ์ไข่จาก Sunrise Valley ออกแบบโดย Hsiao Han Chen, Amy Shun Yeh, Jiaru Lin, Chengwen Fung แก้ทั้งโจทย์ผู้บริโภค เวลาซื้อไข่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต มักจะแพคขาย 12 ฟอง ในขณะที่บางคนต้องการซื้อเพียงไม่กี่ฟอง อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาตัวสินค้าที่แตกง่าย ดังนั้น บรรจุภัณฑ์นี้ ผู้ขายหรือเกษตรกรสามารถ Customize บรรจุภัณฑ์ได้ตามปริมาณการซื้อของลูกค้า โดยฉีกแผ่นกระดาษตามรอยปรุ จากนั้นนำกระดาษลูกฟูกที่เป็นช่องใส่ไข่ นำมาประกบเข้ากับแผ่นกระดาษดังกล่าว เพียงเท่านี้จะทำให้ทั้งลูกค้าได้ไข่ตามที่ตนเองต้องการ ทั้งยังมีวัสดุกันกระแทก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

resize-sunrise-valley-egg-packaging-7

ช่อดอกไม้ ออกแบบโดย Linn Karlsson, Nina Klose และ Jonathan Alonso Jonsson สามนักศึกษา ร่วมกันพัฒนาบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับช่อดอกไม้ ที่ห่อหุ้มดอกไม้ ทำให้คงอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ดอกไม้เหี่ยวเฉาเร็วเกินไป โดยส่วนบนออกแบบให้สามารถเปิด-ปิดด้วยการล็อกจากตัวกระดาษ ทำให้ไม่ต้องใช้เทปกาว และมีที่หิ้วไว้ให้เสร็จสรรพ สะดวกต่อการถือ

resize-the-future-of-flower-packaging-9

ขวดน้ำดื่ม Jeju ออกแบบโดย cloudandco (Korea) ที่ได้ไอเดียมาจากความงามทางธรรมชาติและเสน่ห์ของเกาะ Jeju จึงทำออกมาเป็นขวดน้ำ สไตล์มินิมอล ทันสมัย โดยดีไซน์ด้านหนึ่งของขวดมีเคิร์ฟน้ำ
jeju-bottle

กล่องหลอดไฟฟ้า CS Electric light ออกแบบโดย Angelina Pischikova บนกล่องมีภาพวาดหิ้งห้อย และเจาะช่องส่วนหนึ่งไว้ เมื่อบรรจุหลอดไฟรูปทรงต่างๆ ลงกล่อง หลอดไฟที่ปรากฏตรงช่องจะกลายเป็นก้นหิ่งห้อยพอดี ซึ่งเหตุผลที่ใช้ภาพวาดหิ่งห้อย เพราะเปรียบเป็นแหล่งต้นกำเนิดแสง

cs-brand-packaging-4

ซองขนม Sweet-Tooth ออกแบบบรรจุภัณฑ์โดย Sergei Asvides  ดีไซน์เป็นภาพเด็กผู้หญิงผมยาว โดยพื้นที่ซองส่วนหนึ่งทำเป็นแพคเกจใส เพื่อโชว์ขนม และมีลูกเล่นให้ขนมแท่งเหมือนกับเป็นเส้นผมของสาวน้อย

resize-sweet-tooth-1

ขวดซอส Tabasco รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ออกแบบโดย Loreto Manzanera บนบรรจุภัณฑ์ ทั้้งกล่องและขวดเป็นภาพวาดคนจำนวนมาก เพื่อสื่อถึงความหลากหลาย

botella_tabasco

กล่องใส่แก้ว Zephyr Glassware ออกแบบโดย Jacob Bang ใช้สำหรับเวลาไปแล่นเรือสำราญ กล่องเก็บแก้วนี้ล็อคฐานแก้ว ขณะที่ปากแก้วพอดีกับกล่อง จึงลดความเสี่ยงที่แก้วจะลื่นไถล หรือตกแตกเวลาเรือโคลงเคลงจากคลื่นลม-คลื่นทะเล

zephyr-glassware-03

zephyr-glassware-04

นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมี Packaging Design เด็ดๆ อีกเพียบ ใครที่สนใจ ติดตามต่อได้ที่ อ่านเพิ่มเติม

 

 

 

The post เผยโฉมสุดยอด “Packaging Design 2016” จากทั่วโลก ที่เห็นแล้วต้องร้อง WOW !! appeared first on Brand Buffet.

ไวรัลแรงส่งท้ายปี Dead Feed เมื่อเฟซบุ๊คคนตายโพสเองได้ ขอให้ทุกคนกลับบ้านปลอดภัย

$
0
0

dead-feed-thai

“Dead Feed ข้อความถึงคนที่ยังอยู่” แคมเปญส่งท้ายปลายปีจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) กระตุ้นคนทั้งประเทศด้วยโซเชียลผู้เสียชีวิตให้คนกลับบ้านปลอดภัย!! เนื่องจากสถิติคนตายกว่า 300 คน และมีคนบาดเจ็บกว่า 2,500 คน เกิดประสบอุบัติเหตุ บนท้องถนนในช่วงวันปีใหม่ นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และทำให้หลายๆครอบครัวต้องสูญเสียคนรักไป..ในช่วงปีใหม่

คลิปชุดนี้ เริ่มต้นด้วยหนังแนว Documentary ที่ได้นำครอบครัวจริงๆ ที่สูญเสียคนรักไปเพราะอุบัติเหตุ มาช่วยโพสต์ข้อความด้วยโซเชียลมีเดียของคนที่เสียชีวิต ไปถึงเพื่อนๆ คนใกล้ตัว เพื่อให้ทุกคนไม่ประมาทและกลับบ้านปลอดภัยในช่วงปีใหม่ ด้วยความที่เป็นหนังไม่มี Script เพราะคำพูดทั้งหมดที่ออกมา มาจากความรู้สึกครอบครัวที่สูญเสียคนรักไปจริงๆ

นอกจากนี้ เมื่อดูหนังเสร็จยังมี Campaign Site ต่อยอด thedeadfeed.com ที่ชวนทุกคนบนโซเชียล มากลับบ้านปลอดภัยด้วยกัน กับคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง หรือบอกไปถึงคนที่เขารักว่า ปีใหม่นี้..จะกลับบ้านปลอดภัย คลิกที่นี่ http://www.thedeadfeed.com>

The post ไวรัลแรงส่งท้ายปี Dead Feed เมื่อเฟซบุ๊คคนตายโพสเองได้ ขอให้ทุกคนกลับบ้านปลอดภัย appeared first on Brand Buffet.

แสนสิริเปิดตัว “Holiday Homes Story” ที่รวม Consumer Voice ของลูกบ้านตัวจริง

$
0
0

 

sansiri11

เพราะว่าความต้องการในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมตากอากาศหรือว่าบ้านหลังที่ 2  ของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ผู้อยู่อาศัยบางคนอาจจะต้องการโครงการที่เงียบสงบ ได้ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัวอย่างเป็นส่วนตัว ขณะที่บางคนอาจมองหาโครงการฯ ที่เดินทางเที่ยวในสถานที่ไฮไลท์สำคัญๆ อย่างสะดวก วันนี้ “แสนสิริ”  สร้างความเชื่อมั่น ผ่านการทำตลาดบ้านพักและคอนโดฯตากอากาศผ่านมุมมองใหม่ ในแคมเปญ Holiday Homes Storyที่จะรวบรวมเสียงแห่งความประทับใจจากลูกบ้านในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมตากอากาศซึ่งมีประสบการณ์พักอาศัยในโครงการที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าพักได้ทันทีของแสนสิริ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหลังที่สองหรือที่สถานที่พักผ่อนตากอากาศ

Holiday Homes Story เป็นแคมเปญที่อาศัยช่วงเวลา High Season ของการท่องเที่ยว มาสร้างอารมณ์ของการโหยหาการพักผ่อนที่มีคุณภาพ โดนใจตามสไตล์ของลูกค้าแต่ละคน โดยแสนสิริ ทำการสัมภาษณ์ลูกบ้านที่พักอาศัยอยู่ในโครงการ พูดคุย ถามคำถาม แลกเปลี่ยนทัศนคติต่างๆ เพื่อนำเอาประสบการณ์ ต่อการอยู่อาศัยจริงๆ ของลูกบ้านทั้ง 11 โครงการ  ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมตากอากาศ มาถ่ายทอดลงในเว็บไซต์ ทั้งในรูปแบบของข้อความ, คลิปวิดีโอ และภาพบรรยากาศของโครงการฯ

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดถึงความหมายของการพักผ่อนในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวคือเรื่องราวของ คุณวรวิทย์ นักลงทุน ที่จะเล่าถึงความรู้สึกดีๆ หลังจากที่ได้ตัดสินใจเลือกโครงการ The Base Height ที่ภูเก็ต ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า “ตัวผมชอบชั้นดาดฟ้าของที่นี่ เพราะเห็นวิวสวยมากๆ ดีไซน์ก็ทันสมัย ไม่เหมือนที่อื่นนะ ตัวโครงการก็เป็นส่วนตัวเหมาะกับการพักผ่อนมากๆ อีกอย่างผมคิดว่าโครงการนี้น่าลงทุนด้วย เพราะแบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากครับ”

อีกหนึ่งความประทับใจคือเรื่องราวของ คุณบอย นักธุรกิจ ที่ได้เลือกซื้อโครงการ The Deck ป่าตอง ซึ่งเขาได้บอกว่า “ที่นี่ออกแบบได้สวยงามมากๆ ทำให้ผมตัดสินใจซื้อที่นี่ในทันที สิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือ การได้ว่ายน้ำที่สระในช่วงเย็น พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกไปด้วย ผมว่านี่แหละเป็นชีวิตที่ลงตัวที่ภูเก็ตสำหรับผม”

การซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพักผ่อนไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมตากอากาศ ต้องอาศัยการบริหารจัดการจากโครงการที่ได้รับการยอมรับและมีประสบการณ์ เพราะตัวเจ้าของเองอาจจะไม่ได้ไปดูแลอย่างสม่ำเสมอ แสนสิริ  ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญตรงนี้จึงมีบริการรองรับมากมายทำให้ผู้อยู่อาศัยไร้ความกังวลในการดูแลบริหาร อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นถึงเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบรับทุกความต้องการของการอยู่อาศัย รวมไปถึงการบริการหลังการขายที่ครบวงจรที่สุดในตลาด จึงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่กำลังมองหาโครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพื่อเป็นสถานที่ตากอากาศ เปลี่ยนบรรยากาศให้ชีวิตมีสีสัน และมีความสุขมากขึ้น

ตอนนี้แสนสิริมีโครงการฯ ในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตพร้อมเข้าพักได้ทันทีที่ หัวหิน พัทยา เขาใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท พร้อมข้อเสนอพิเศษมากมาย ตามเงื่อนไขและช่วงเวลา โดยพิเศษเฉพาะผู้ที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในปีนี้ แสนสิริ ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ มอบอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี 1.99% หรือผ่อนเริ่มต้นเพียงล้านละ 2,500/เดือน นาน 2 ปี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมรวมทั้งสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนในแต่ละโครงการฯ ได้ที่ http://www.sansiri.com/holidayhomesstory

 

The post แสนสิริเปิดตัว “Holiday Homes Story” ที่รวม Consumer Voice ของลูกบ้านตัวจริง appeared first on Brand Buffet.


ผ่า 5 เทรนด์ปฏิวัติโลกครีเอทีฟ-โฆษณา ปี 2017

$
0
0

trends-2017-advertising-creatives

การประชุม 4A’s Create Tech หัวข้อเรื่อง “อนาคตของวงการดีไซน์ และ โฆษณา” เพิ่งจบไปหมาดๆ เป็นการประชุม ที่รวบรวมหัวกะทิของวงการโฆษณาและดีไซน์ ได้ทำนายเทรนด์หลักๆที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2017   

ที่ผ่านมา เราอยู่ในผลที่สืบเนื่องจาก ยุค “Creative Renaissance” ยุคเฟื่องฟูของความคิดสร้างสรรค์ เฟื่องฟูอย่างไร? ลองนึกถึงสมัยก่อน ที่เราจะต้องรองาน ครีเอทีฟดีๆ จากโฆษณาทางโทรทัศน์ รอความบันเทิงที่มีคุณภาพจากรายการต่างๆ รอเหล่าบรรดาหัวกะทิของวงการบันเทิง รังสรรค์ผลงานออกมาให้เราได้ชมกัน แต่ในยุคที่ผ่านมา โซเชียลมีเดีย และสื่อชนิดใหม่ๆได้พิสูจน์แล้วว่า “เราทุกคนเป็นครีเอทีฟได้” หาดูได้ ตามเพจต่างๆ ที่มี content ใหม่ๆอยู่เสมอ รวมถึง content จากทางบ้านเอง ที่มีคุณภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่แพ้กัน ซึ่งแน่นอนว่าในปี 2017 เราจะยังคงอยู่ในยุครุ่งเรืองของความคิดสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หมุนไปเรื่อยๆ และอีกสิ่งตามมาอย่างแน่นอน คือเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์ของทุกคนให้มีพลังมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆขึ้นมา ซึ่งสรุปได้เป็น 5 เทรนด์หลักๆ Transformative Creative Trends 2017 ดังนี้

1.เทคโนโลยี และ Interface ต่างๆ จะเริ่มมาอยู่บนร่างกายมนุษย์ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

“ทุกวันนี้ ที่เราเห็นงาน User Experience และ งาน User interfaces กันใน Web หรือใน Application เทคโนโลยีเหล่านี้ จะเริ่มหายไป” Tom Goodwin ผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าด้าน Innovation ของ Zenite(หนึ่งในหน่วยงานของ Publicis Media) กล่าว Tom Goodwin และ วิทยากรท่านอื่นๆ เชื่อว่า ร่างกายมนุษย์ จะกลายเป็นหนึ่งใน Interface ชนิดหนึ่ง ลองนึก Wearable Tech ต่างๆที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น วันนึง เราอาจจะมี Touch Screen บนเสื้อผ้า หรือผิวหนังเราเองได้เลยทีเดียว

ลองดูตัวอย่าง จากงานของ Google Jacquard จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ เรา Touch ได้ผ่านเสื้อผ้าแล้ว

2. การแก้ปัญหาทางการตลาดยังเหมือนเดิม แต่ ”ประสบการณ์ของผู้บริโภค” (User Experience) จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

การทำงานครีเอทีฟ และ การตลาด ในรูปแบบเดิมๆ มักเกิดขึ้นแบบ “บนลงล่าง” คือความคิดสร้างสรรค์ และกระแสต่างๆที่ เหล่าแบรนด์ต่างๆสร้างขึ้นมาจะกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค แต่การเข้ามาของ Application Uber ทำให้สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไป เพราะประสบการณ์และพฤติกรรม ของผู้บริโภค จะเข้า มามีส่วนในการคิดงานครีเอทีฟมากขึ้น ทำให้ทิศทางเปลี่ยนไปเป็นแบบ “ล่างขึ้นบน” Leland Maschmeyer, Chief creative officer ของ Chobani อธิบายว่า Brand Experience จะเป็นตัวที่กระตุ้น Passion ของผู้บริโภคมากกว่า ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และนี่คือ Brand Performance ที่แท้จริง

ลองนึกถึงโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาด ที่สร้างขึ้นเฉพาะบุคคลกลุ่มนั้นๆ เช่น งาน Baby Night ของ ห้างสรรพสินค้า Carrefour ในประเทศฝรั่งเศส ที่พบ Insight ว่าพ่อแม่ลูกอ่อนนั้น ตอนกลางคืนย่อมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเป็นเรื่องธรรมดา เขาเลยจัดโปรโมชั่นช้อปสินค้าออนไลน์ ประเภทของใช้เด็กอ่อน กันรอบดึกในเว็บไซต์ ยิ่งดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งถูก

 

3. TRUTH-VERTISING  “ความจริง” คือสิ่งสำคัญที่สุด

หลายคนอาจจะเคยได้ยิน คำว่า TRUTH-VERTISING คือการใช้ “ความจริง” ออกมาโฆษณา ซึ่งหลายๆปีที่ผ่านมา ก็เป็นที่ยอมรับความวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผล และมีประสิทธิภาพ เพราะจะทำให้ลูกค้า หรือผู้บริโภคเชื่อใจ ในแบรนด์ที่จริงใจมากกว่า ซึ่งในปี 2017 นี้ น่าจะเป็นปีที่ผู้คนมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้คนจะแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆอย่างละเอียดมากขึ้น ในเชิงการตลาด หรือ HR(Human Resource) อาจจะมองพวกเขาเป็นแค่ข้อมูลๆนึง แต่ถ้าแบรนด์ใช้ “ความจริงใจ”เข้าหา พวกเขาเหล่านั้นย่อมที่จะเปิดประตูของการเชื่อใจของเขาให้แบรนด์ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาได้ไม่ยากนัก  

“มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องพูดความจริง และเราควรยอมรับมัน” AJ Hassan, Executive creative director จาก R/GA เจ้าของผลงานแคมเปญที่โด่งดังอย่าง “Run like a girl” ซึ่งเป็นแคมเปญที่หยิบเอา”เรื่องจริง” ของสังคมออกมาพูดถึง ทัศนคติที่คนทั่วไปมองผู้หญิงว่าอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย ผลงานชิ้นนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของ การใช้”ความจริง” พูดกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่าง”ผู้หญิง”ได้อย่างตรงจุด

 

4. เปลี่ยน Data ให้เป็น “งานศิลปะ”   

ที่ผ่านมา Data (ข้อมูล) ดูจะเป็นสิ่งที่ “จำกัด” ความคิดสร้างสรรค์ แต่ในความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย

“เทคโนโลยี กำลังจะกลายเป็นศูนย์รวม ผู้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ที่ต้องการแสดงตัวตนของตนออกมา รวมถึงเป็น เป็นแหล่งแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาเหล่านั้นอีกด้วย” Chief product officer at SteelHouse กล่าว Data สามารถขับเคลื่อนให้เกิด คุณค่า สร้างประสบการณ์เฉพาะของแต่ละคน ที่ผู้บริโภคจะตกหลุมรัก และทำให้แบรนด์มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ จากการสร้างประสบการณ์ให้พวกเขา “ความคิดสร้างสรรค์ ก็เป็นอีกสิ่งจำเป็น ที่จะสามารถสร้างชีวิตชีวาให้กับแบรนด์ และ ทำให้แบรนด์มีความพิเศษแตกต่างจากแบรนด์อื่นได้”

Catharine Findiesen Hays จาก Wharton Future of Advertising Program กล่าว ภายใต้บริบทของความคิดสร้างสรรค์ Big data อาจเป็นแค่ข้อมูล แต่ด้วยสติปัญญา และความสามารถของมนุษย์แล้ว เราย่อมนำข้อมูลเหล่านั้นมาประยุกต์ได้

ตัวอย่างงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ Data มาใช้ในการสร้างสรรค์ที่ผ่านมานี้ เช่น Billboard ของ Spotify บริการ Streaming เพลง ของอเมริกา ที่นำข้อมูลเฉพาะของผู้ใช้งาน เวลาที่พวกเขาเสิร์ชเพลง เอามาขึ้นบิลบอร์ดเพื่อทักทายซะเลย

spotify-nyc-billboard-data

cr : ibtimes

หรืออีกงาน ที่เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนมากๆ น่าจะเป็นผลงานสุดล้ำเมื่อปี 2014 เมื่อ Brittish Airways เอา Data ของเครื่องบินที่บินผ่านท้องฟ้ามาเล่น เมื่อเครื่องบินบินผ่านบิลบอร์ด เด็กในบิลบอร์ดก็จะทักทายเครื่องบินบนฟ้า แบบแม่นยำ

british_airways_magic_of_flying-data

5.ความเชื่อใจ คือ เครื่องมือที่สำคัญกว่า อัลกอริทึม

เทคโนโลยีโฆษณาแบบอัลกอริทึม ไม่สามารถมาแทนที่สติปัญญา ความฉลาด หรือมี Insight แบบเดียวกับมนุษย์ได้ และมันยังเป็น อุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างมนุษย์ และ ระบบเทคโนโลยีให้ห่างไกลออกจากกันอีกด้วย Belle Frank exec VP และ Global director of strategic integration and growth จาก Y&R ได้กล่าวว่า การเอาแต่ใช้เทคโนโลยี โดยไม่เข้าใจมนุษย์ จะทำให้ความเชื่อใจในของผู้บริโภคและแบรนด์ ลดลง ยกตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมโฆษณาอาจใช้ภาษาผิดๆกับผู้บริโภคได้ เทคโนโลยีในปัจจุบันได้ให้อำนาจกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยที่เขาจะสามารถเลือกประสบการณ์ของเขาได้ เช่น กด Skip Ad เวลาที่เขาไม่ต้องการ กดปิดโฆษณาทิ้งไป หรือ แม้กระทั่ง การใช้ Virtual reality ซึ่งนี้คือสิ่งใหม่ที่สามารถ connect ผู้บริโภคให้ใกล้ชิดกับแบรนด์ได้มากขึ้น โดยผู้บริโภคต้องเชื่อใจแบรนด์เสียก่อน ซึ่งสิ่งนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ที่แบรนด์ต้องสร้างให้ได้   

ตัวอย่างการใช้อัลกอริทึม อย่างสร้างสรรค์ น่าจะเป็นงานชิ้นนี้ คือ Hungerithm จากแบรนด์ Snickers ที่เมื่อไหร่คนโมโห อัลกอริทึมจะตรวจจับอารมณ์ในอินเตอร์เน็ต ผ่านการโพสระบายอารมณ์ต่างๆของผู้คน ต่อมาอัลกอริทึม จะปรับราคา Snickers ให้ถูกลง และยิ่งโกรธมากเท่าไหร่ ราคา Snickers ก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น Hungerithm นี้เป็นผลงานที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างยอดขายให้กับ Snickers และ ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก

 

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ เราจะเห็นได้ว่า กระบวนการสร้างสรรค์งานโฆษณา และการวางกลยุทธ์ทางการตลาด ได้ขยายขอบเขตออกไปไกลมากเป็นครั้งแรกในทศวรรษ ผ่านสิ่งใหม่ที่เรียกว่า “Experiental strategic planning” คือการวางกลยุทธ์แบบใช้”ประสบการณ์”ของผู้บริโภคเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสิ่งนี้ จะช่วยประสานระหว่าง แมจเสสที่แบรนด์ต้องการ กับ สื่อที่ต้องการสื่อสารได้เป็นอย่างดี ต่อจากนี้ในปี 2017 น่าจะเป็นปีที่ เราควรจะยกระดับการวางกลยุทธ์แบรนด์ ที่เป็นองค์รวมมากขึ้น ในบริบทที่รวมผู้บริโภค ประสบการณ์ของผู้บริโภค และแบรนด์ ให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งนี้ จะช่วยขยายขอบเขตของกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ให้ไปได้ไกลขึ้นอีก และนี่เป็นอีกก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมาก ว่ายุค Creative Renaissance ในปี 2017 นี้น่าจะมีอะไรให้เราประหลาดใจได้ไม่หยุดหย่อนอย่างแน่นอน

 

Story : Nuttanun V.

ที่มา adage

The post ผ่า 5 เทรนด์ปฏิวัติโลกครีเอทีฟ-โฆษณา ปี 2017 appeared first on Brand Buffet.

ผ่าแผน “Nike.com” อาวุธทรงพลังดันแบรนด์ “Nike” ขึ้นนำ “Adidas – Under Armour”

$
0
0

nike-com_01

ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวน แต่ “ธุรกิจเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬา” ยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความคึกคัก ทั้งจากผู้คนทั่วโลกตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพยิ่งขึ้น ประกอบกับสินค้ากีฬาถูกผสานเข้ากับความเป็นแฟชั่น จึงยิ่งทำให้ตลาดนี้ขยายตัว และที่สำคัญมาจากการแข่งขันอย่างดุเดือดของ 3 Major Players ทั้ง “Nike” ที่ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง, “Adidas” หลังจากพลาดท่าเสียทีให้กับ “Under Armour” จนทำให้ร่วงมาอยู่อันดับ 3 ของตลาดเสื้อผ้า-รองเท้ากีฬาในสหรัฐฯ (สินค้ากีฬาสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีความสำคัญกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่) ในขณะที่ “Under Armour” ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 แทน

แต่แล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Fortune ได้รายงานว่า “Adidas” สามารถกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของตลาดเครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาในสหรัฐฯ ได้แล้ว โดย Matt Powell นักวิเคราะห์ของบริษัทวิจัย NPD Group เป็นผู้ทวีตการเปลี่ยนอันดับครั้งนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “Adidas” ทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมาได้ มาจากวิสัยทัศน์และเป้าหมายธุรกิจที่โฟกัสกลุ่มกีฬาวิ่ง, บาสเกตบอล และสินค้า Stylish ภายใต้กลุ่ม Adidas Original ที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าแบรนด์สินค้ากีฬาสัญชาติเยอรมันรายนี้ จะสามารถรักษาเบอร์ 2 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นหรือไม่ !!

เมื่อมองกลับมายัง “Nike” ก็ใช่ว่าจะอยู่บนตำแหน่งผู้นำได้อย่างวางใจนัก เพราะด้วยสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจาก “Adidas” เปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มวิ่ง บาสเกตบอล และกลุ่มสินค้า Original ในขณะที่ “Under Armour” หลังจากสร้างชื่อในตลาดเสื้อผ้ากีฬาแล้ว เวลานี้หันมารุกตลาดรองเท้ากีฬาหนักขึ้น

“Nike, Inc.” ได้กำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจชัดเจนในการรุกไปข้างหน้า เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 โดยโฟกัสตลาดที่มีโอกาสและมีศักยภาพ ทั้งตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น ควบคู่กับการบุกตลาดกำลังพัฒนาอย่าง Emerging Markets, จีน, ยุโรปกลางและตะวันออก แน่นอนว่าในเป้าหมายดังกล่าว แบรนด์ “Nike” ยังคงเป็นหัวหอกหลักที่ทำรายได้

“Nike, Inc. มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่อง ด้วยการมองเห็นศักยภาพการเติบโตในกลุ่มสินค้าหลักและตลาดหลักที่เราโฟกัส พร้อมทั้งเชื่อมต่อนักกีฬาทุกคนผ่านการให้บริการส่วนบุคคล รวมถึงสร้างประสบการณ์จากแรงบันดาลใจ และนวัตกรรมสินค้า” Mark Parker, Chairman, President and CEO, Nike, Inc. กล่าว

3 ประสาน พิชิตยอดขายและใจลูกค้า

องค์ประกอบที่เป็นหัวใจทำให้ “Nike” ยังคงยืนอยู่บนตำแหน่งผู้นำตลาดสินค้ากีฬา และผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ 2020 ที่วางไว้นั้น ส่วนหนึ่งมาจาก “กลยุทธ์นวัตกรรมสินค้า” โดยโฟกัสสินค้ากลุ่มผู้หญิง, กลุ่มวิ่ง, กลุ่มบาสเกตบอล และรองเท้าไลฟ์สไตล์ ใส่ในชีวิตประจำวัน

resize-nike-soho_06

Nike Soho (Photo Credit : Nike)

ผนวกเข้ากับ “กลยุทธ์การตลาด” ที่ไม่ได้มุ่งขายแต่สินค้า แต่เน้นสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค ผ่านการสร้าง “แรงบันดาลใจ” เพื่อทำให้แบรนด์มีความหมายต่อผู้บริโภค ภายใต้พันธกิจ “Bring Inspiration and Innovation to Every Athlete in the World” – “If you have a body you are an athlete” ซึ่งคำว่านักกีฬาในความหมายของ Nike ไม่ได้หมายถึงเฉพาะนักกีฬามืออาชีพที่ลงแข่งขัน แต่ยังรวมถึงคนทุกคนที่เล่นกีฬา และออกกำลังกาย

ขณะที่อีกส่วนมาจาก “ช่องทางการจำหน่าย” ซึ่งที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่า “Nike” ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งช่องทาง “Physical Store” และ “E-Commerce”

สำหรับ “Physical Store” ทุกวันนี้ได้ขยายหลายรูปแบบ ตั้งแต่สโตร์ทั่วไป ไปจนถึงรูปแบบพิเศษ เช่น NikeLab เป็นสโตร์จำหน่ายสินค้า Nike รุ่นพิเศษที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย และสินค้ากลุ่ม Collaborative Collections ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในนิวยอร์ก, ปารีส, มิลาน, เซียงไฮ้, ฮ่องกง และล่าสุดเพิ่งเปิดที่ชิคาโก

อีกทั้งเมื่อเดือนที่แล้ว เปิดตัว “Nike Soho” ในนิวยอร์ก ขนาด 55,000 ตารางฟุต จัดเป็น Retail Experience ของแบรนด์ Nike ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในเวลานี้ก็ว่าได้ เพราะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับการให้บริการ และมีโซนพื้นที่ให้ลูกค้าเล่นกีฬาจริง เช่น Nike+ Basketball Trial Zone, Nike+ Running Trial Zone เพื่อให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์จริงกับเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬา

resize-nike-soho_01

Nike Soho (Photo Credit : Nike)

resize-nike-soho_05

Nike Soho (Photo Credit : Nike)

ขณะเดียวกัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ Nike 2020 ยังระบุถึงเป้าหมายของธุรกิจ e-commerce นั่นคือ “Nike.com” อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้ให้กับองค์กร โดยคาดการณ์ว่าในปี 2020 “Nike.com” จะทำยอดขายไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากเป้าหมายดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า “Nike, Inc.” โฟกัสช่องทางออนไลน์ ไม่น้อยไปกว่าช่องทางสาขาสโตร์

ทำไม “Nike.com” สำคัญต่อแบรนด์ “Nike” ?!?

ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไม “Nike, Inc.” ถึงลงทุนและพัฒนา “Nike.com” จนทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญที่ทำให้แบรนด์ “Nike” สามารถครองใจผู้คนทั่วโลก และยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้นำแบรนด์สินค้ากีฬา นั่นเพราะ…

– เป็น “ช่องทางการขาย” ที่มีศักยภาพ เพราะสามารถทะลุทะลวงเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกที่ที่มีบริการ “Nike.com” ทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น

resize-img_0041

– เป็นช่องทางสร้าง “Brand Engagement” ทั้งคนที่เป็นลูกค้า Nike อยู่แล้ว ให้มีความผูกพันต่อแบรนด์มากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางสร้าง “ประสบการณ์” ระหว่างแบรนด์ กับคนที่ยังไม่เคยใช้สินค้า Nike ได้รู้จักแบรนด์มากขึ้น และกระตุ้นความสนใจให้มาทดลองใช้ เพราะได้เห็นสินค้าง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ ด้วยการใช้บริการ “NIKEiD” ที่สามารถออกแบบรองเท้าได้ด้วยตัวเอง

– ตอบรับเทรนด์ “Customization” ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล มีไลฟ์สไตล์และความต้องการแตกต่างและซับซ้อน ทุกคนแสวงหา “เอกลักษณ์” ของตัวเอง และอยากแสดงออกมา หนึ่งในสิ่งที่สะท้อนเอกลักษณ์ หรือตัวตนของคนเราได้ดีที่สุด คือ “เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย”

Nike เข้าใจใน Consumer Insight จึงได้พัฒนา “NIKEiD” บริการใน Nike.com ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถสร้างสรรค์และออกแบบรองเท้าได้ตามความชื่นชอบของตนเอง

resize-img_0173

องค์ประกอบของรองเท้าส่วนต่างๆ ที่ลูกค้าสามารถ Customize วัสดุได้

– เป็น “Online Community” อีกหนึ่งวัตถุประสงค์ของการเปิด Nike.com เพื่อต้องการเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อบริการระหว่างสินค้าและ Nike+ สำหรับผู้กำลังค้นหาแรงบัลดาลใจในการออกกำลังกายของตนเอง ซึ่ง Nike+ สามารถตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นผ่านทางแอพพลิเคชั่น เช่น Nike+ Training Club, Nike+ Run Club และ Nike+ Football Club โดยในแอพพลิเคชั่น มีทั้งบริการอัพเดทอุปกรณ์กีฬาใหม่ๆ และคำแนะนำการออกกำลังกายจากโค้ชระดับโลก

ทั้งนี้ ปัจจุบัน Nike เริ่มขยาย Nike.com มายังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้มีให้บริการแล้วที่ประเทศสิงคโปร์, มาเลเซีย และไทย หลังจากก่อนหน้านี้รุกตลาดเอเชียที่จีน และญี่ปุ่น

จาก 4 เหตุผลหลักข้างต้น เป็นคำตอบว่าทำไม “Nike.com” ถึงมีความสำคัญต่อแบรนด์ “Nike” ไม่น้อยไปกว่าการพัฒนานวัตกรรมสินค้า-บริการ และช่องทางรูปแบบสาขา

 

Source 

Source

 

 

The post ผ่าแผน “Nike.com” อาวุธทรงพลังดันแบรนด์ “Nike” ขึ้นนำ “Adidas – Under Armour” appeared first on Brand Buffet.

เดนท์สุ ประเทศไทย เสริมทัพครั้งใหญ่ดึงมือเก๋า TBWA “ณรงค์ ตรีสุชน” นั่งแท่น CEO

$
0
0

%e0%b8%93%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%8c-%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%8a%e0%b8%99-ceo-dentsu-thailand2

สำหรับปลายปีหลายเอเย่นซี่ต่างมีการปรับกลยุทธ์ปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับการแข่งขันในอนาคตอันใกล้ เดนท์สุ ประเทศไทย (Dentsu Thailand) เองก็เช่นกันที่ประกาศแต่งตั้ง CEO ใหม่ “คุณณรงค์ ตรีสุชน” ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเดนท์สุ ประเทศไทยคนใหม่ โดยมีผลในเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ แทน “คุณอมรศักดิ์ ศักดิ์ภู่อร่าม” ที่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเดนท์สุ ประเทศไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Dentsu Aegis Network ประเทศไทย

สำหรับ “คุณณรงค์ ตรีสุชน” คร่ำหวอดอยู่ในวงการโฆษณาและธุรกิจมีเดียมากว่า 20 ปี สั่งสมประสบการณ์มากมายจากบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ OMD ประเทศไทย และล่าสุดในตำแหน่ง MD ในส่วนดิจิตอล (Digital Arts Network)ของ TBWA ประเทศไทย โดยมีบทบาทในการช่วยสร้างการเติบโตให้กับองค์กร ทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการวางแผนด้านสื่อให้กับลูกค้า ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงด้านการบริหารธุรกิจ การวางกลยุทธ์ด้านการตลาดและการขาย

khun-narong-%e0%b8%93%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%8c-%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%8a%e0%b8%99-ceo

มร. ดิ๊ก แวน มอธแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dentsu Aegis Network Southeast Asia กล่าวว่า กลุ่มบริษัท Dentsu Aegis Network ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมในกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทฯ โฟกัสที่ความรู้ความสามารถ และการพัฒนาขีดความสามารถ หรือศักยภาพของบุคลากร ซึ่ง “คุณณรงค์ ตรีสุชน” เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญสูง จึงเหมาะสมอย่างยิ่งในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเดนท์สุ ประเทศไทย

ทางด้าน อมรศักดิ์ ศักดิ์ภู่อร่าม กล่าวเสริมว่า เดนท์สุ ประเทศไทย ถือเป็น Single Agency ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นการขับเคลื่อนองค์กรก้าวไปข้างหน้า โดยมี ณรงค์ ตรีสุชน  ซึ่งมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมโฆษณาและธุรกิจมีเดียมายาวนาน จะนำพาบริษัทเติบโตและพัฒนาไปสู่อนาคตอย่างแข็งแกร่ง

“ด้วยประสบการณ์การทำงานของผมกว่า 2 ทศวรรษในอุตสาหกรรมนี้ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครีเอทีฟเอเยนซี่ชั้นนำระดับภูมิภาค และด้วยรูปแบบการดำเนินงานที่มีเอกลักษณ์ และประสานความร่วมมือระหว่างกัน จะสร้างศักยภาพที่ดีและโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มบริษัท” ณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสำคัญครั้งนี้  เป็นเพราะการเติบโตขององค์กรและจำวนงานที่เยอะขึ้น ณรงค์ ตรีสุชน จึงเข้ามาช่วยดูแลงานส่วน Dentsu Thailand จากมือของ อมรศักดิ์ ศักดิ์ภู่อร่าม ซึ่งจะมาช่วยผลักดันให้องค์กรเติบโตและมีผลงานเด่นๆขึ้นมาทั้งประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้ง Online และ Offline

 

ที่มา : campaignbrief

The post เดนท์สุ ประเทศไทย เสริมทัพครั้งใหญ่ดึงมือเก๋า TBWA “ณรงค์ ตรีสุชน” นั่งแท่น CEO appeared first on Brand Buffet.

ทายาท “ศรีชวาลา” ดึงแบรนด์ ThinkLite นวัตกรรมหลอดไฟดังจากอเมริกาบุกไทย

$
0
0

 

thinklite_f000841

ชื่อเสียงของตระกูล “ศรีชวาลา” เป็นที่รู้จักดีในฐานะนักธุรกิจด้านสิ่งทอและอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรับ สันติ ศรีชวาลา ทายาทวัย 20 ต้นๆ ของครอบครัว คลื่นลูกใหม่ไฟแรงของตระกูล เขากลับเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของตัวเอง ด้วยการบุกเบิกธุรกิจใหม่ของตัวเอง นำเข้าหลอดไฟ LED แบรนด์ ThinkLite จากสหรัฐอเมริกา

เพราะว่ารู้จักแบรนด์นี้มาตั้งแต่สมัยเรียนที่นั่นและรู้มาว่าผู้ก่อตั้งเป็นรุ่นพี่สถาบันเดียวกัน จนมีโอกาสได้พูดคุยและเข้าไปฝึกงานที่นั่นก็ยิ่งทำให้ประทับใจในผลิตภัณฑ์กับแนวคิดของบริษัทมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะได้รับข้อเสนอให้ทำงานด้วย แต่เขากลับเลือกที่จะนำเอาโปรดักท์และแบรนด์นี้มา เปิดตัวในประเทศไทยแทน เพราะเชื่อมั่นว่าดีเอ็นเอของแบรนด์สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกและสังคมไทยที่มุ่งเน้นเรื่องประหยัดพลังงาน ช่วยสิ่งแวดล้อม เมื่อสินค้าของ ThinkLite สามารถตอบโจทย์ของทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนได้ ก็น่าจะสร้างความเชื่อมั่น จนสามารถแจ้งเกิดนำพาแบรนด์ ThinkLite ไปอยู่ในใจขององค์กรที่มองเห็นความสำคัญในเรื่องการประหยัดพลังงานและต้นทุน

tl1

 

tl-3

ด้วยจุดเด่นด้านสินค้า ซึ่งได้รับการยอมรับมาแล้วทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ด้วยความสว่างของ ThinkLite LED อยู่ที่ 159 Lumen/Watt ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ จะมีความสว่างอยู่ที่ 90-100 Lumen/Watt มาพร้อมกับการรับประกัน 5 ปีหรือ 50,000 ชั่วโมง ในเรื่องของคุณภาพและความสว่างว่าไฟจะไม่ลดลงไม่เกิน 5% ซึ่งถือเป็นรายแรกในประเทศไทย ที่กล้ารับประกันยาวนานขนาดนี้ จึงทำให้ลูกค้าให้ความไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าองค์กรหรือหน่วยงานราชการซึ่งต้องใช้งานอย่างแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง และการซ่อมบำรุงต้องมีความชัดเจนแน่นอน เพราะถ้าหากว่ามีปัญหาเรื่องแสงสว่างแล้วอาจทำให้การทำงานสะดุดลงจนมีผลกับประสิทธิภาพการทำงาน หรือในเรื่องความปลอดภัย

กลุ่มเป้าหมายของ ThinkLite เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าในระยะยาว ด้วยราคาของสินค้าที่อาจจะสูง แต่เหนือกว่าด้วยคุณภาพและบริการ เพราะวิสัยทัศน์ที่ ThinkLite ต้องการเป็น Partner เรื่องแสงสว่าง จึงทำให้มีบริการตรวจสอบคุณภาพหลอดไฟให้ตามรอบที่ตกลง ไม่ว่าจะทุก 6 เดือนหรือ    12 เดือน นอกเหนือจากนี้ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆและความรู้ต่างๆ ให้ลูกค้าได้อัพเดตตลอดเวลาอีกด้วย ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมที่นำผลิตภัณฑ์ของ ThinkLite ไปใช้ไม่ว่าจะเป็น โคมไฟถนน หลอดไฟและโคมไฟที่ใช้ในคลังสินค้าและโรงงานผลิต เป็นต้น ลูกค้าจะถึงจุดคุ้มทุนเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายภายใน 1-3 ปี และได้ผลกำไรภายใน 3-5 ปี

นอกจากนี้ยังมีการให้คำปรึกษากับลูกค้าที่ต้องการแสงสว่างเฉพาะ เช่น แสงที่ป้องกันแมลง หรือแสงไฟแบบ Warm White ไปจนถึงระบบที่เรียกว่า Mass Customization สามารถที่จะผลิตสินค้าตามสเปคที่ลูกค้าต้องการภายใน 30-45 วัน

อีกหนึ่งโซลูชั่นที่สะท้อนให้เห็นว่า นักธุรกิจหนุ่มวัย 20 กว่าคนนี้ ถึงจะอายุน้อยแต่เข้าใจในเรื่องการทำงานก็คือ โปรแกรมที่เรียกว่า Pay as You Save ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทุนได้โดยมีสถาบันการเงินมาดูแลและสนับสนุน ในต่างประเทศโปรแกรมนี้ได้รับความนิยมมาก ในไทยก็เรียกได้ว่ากำลังได้รับความสนใจและเริ่มมีบริษัทที่ใช้โปรแกรมนี้กันแล้ว โดยสิ่งที่ ThinkLite ทำ ก็คือการให้ความรู้ในเรื่องนี้กับบริษัทที่สนใจ และเป็นตัวกลางประสานระหว่างลูกค้าและสถาบันการเงิน นับว่าเป็นการสร้างพันธมิตรธุรกิจอย่างครบวงจร

 

tl-4

สนใจผลิตภัณฑ์และบริการของ ThinkLite สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ www.ThinkLite.co.th และรับชมความคิดเห็นเพิ่มเติมที่ลูกค้าองค์กรชั้นนำ กล่าวถึง ThinkLite ได้ที่

 

The post ทายาท “ศรีชวาลา” ดึงแบรนด์ ThinkLite นวัตกรรมหลอดไฟดังจากอเมริกาบุกไทย appeared first on Brand Buffet.

ไทยประกันฯ ยืดอกรับ ถอดโฆษณาชุด “โอกาส”งดดราม่า !!

$
0
0

thailife-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa-%e0%b9%81%e0%b8%96%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c

จากกรณีที่สภาการพยาบาลได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับประเด็นในฉากหนึ่งของภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “โอกาส” ของไทยประกันชีวิต ขณะนี้ ไทยประกันชีวิตได้แสดงความรับผิดชอบโดยถอดโฆษณาเวอร์ชั่นดังกล่าวออกชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา และจะนำไปตัดต่อใหม่ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะกลับมาออกอากาศในเวอร์ชั่นใหม่ได้อีกครั้งราวเดือนมกราคม 2560

โดยเนื้อหาในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ต่อนายกสภาการพยาบาล ระบุถึงแก่นของโฆษณา และภูมิหลังของตัวละครทำให้มีบุคลิกเฉพาะตัว  รวมทั้งแสดงความเสียใจ รายละเอียดทั้งหมดมี ดังนี้

%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b9%81%e0%b8%88%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%86

%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b9%81%e0%b8%88%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%86

The post ไทยประกันฯ ยืดอกรับ ถอดโฆษณาชุด “โอกาส” งดดราม่า !! appeared first on Brand Buffet.

Viewing all 22166 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>