Quantcast
Channel: Brand Buffet
Viewing all 21951 articles
Browse latest View live

ม.หอการค้าจับมือกับบาร์เซโลนา สตาร์ทอัพ ปฏิวัติการศึกษาขั้นสูงพร้อมระดมมืออาชีพระดับโลก เปิดตัวหลักสูตร HARBOUR.SPACE @UTCC ครั้งแรกในเอเชีย [PR]

$
0
0

ม.หอการค้าไทย หรือ UTCC มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยทางด้านการค้าและธุรกิจการบริการของอาเซียน ร่วมกับ ฮาร์เบอร์สเปซ มหาวิทยาลัยแถวหน้าทางด้านการบริหารธุรกิจ เทคโนโลยี และการออกแบบ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เปิดตัวหลักสูตร  “HARBOUR.SPACE @UTCC” แห่งแรกของเอเชีย พลิกโฉมวงการการศึกษาไทย มุ่งพัฒนาศักยภาพสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพ พร้อมระดมมืออาชีพระดับโลก ติดอาวุธด้านฟินเทค เพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและการออกแบบ เปิดรับสมัครนักศึกษาทั่วโลกตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-โท

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจสตาร์ทอัพ สร้างจุดเปลี่ยนอย่างมากต่อการทำธุรกิจในเมืองไทย   ผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่เป็นที่จับตามองจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญและหันมาประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพมากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ NIA ระบุว่า กรุงเทพฯ ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพในเอเชียและเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยปัจจุบันมีเงินทุนจากนักลงทุนและกลุ่มทุนร่วมลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกว่า 44,000 ล้านบาท ถือว่าเติบโต 5-6 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันปัจจุบันมีสตาร์ทอัพในไทยทั้งหมดราว 800 ราย ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและได้รับการระดมทุนแล้วกว่า 100 ราย แต่ปัญหาของนักลงทุนคือ การเฟ้นหาเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ในเมืองไทยยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถขยายไปยังนอกประเทศได้

ดังนั้นเพื่อผลักดันให้ไทยก้าวสู่ Startup Nation หรือศูนย์กลางสตาร์ทอัพในระดับสากล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หรือ UTCC มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยทางด้านการค้าและธุรกิจการบริการของอาเซียน จึงจับมือกับ ฮาร์เบอร์สเปซ (HARBOUR.SPACE) มหาวิทยาลัยแถวหน้าทางด้านการบริหารธุรกิจเทคโนโลยี และการออกแบบ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เปิดตัว HARBOUR.SPACE@UTCC”  (ฮาร์เบอร์สเปซแอทยูทีซีซี) นอกบาร์เซโลน่าเป็นครั้งแรกของเอเชีย เพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสำหรับการเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด และเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยี รวมถึงการออกแบบ ตลอดจนต่อยอดสู่อาชีพทำเงินในโลกแห่งอนาคต โดยทั้งสองสถาบันเห็นพ้องต้องกันว่านักศึกษา

ที่เตรียมตัวมาดีจะมีคุณสมบัติที่สำคัญสามอย่าง คือ มีความเชี่ยวชาญในอาชีพที่ตนเลือก มีความสามารถที่จะเพิ่มพูนความรู้ และสร้างเครือข่ายในวงการสตาร์ทอัพ ตลอดจนการนำความรู้มาใช้เพื่อเติมเต็มชีวิต พร้อมสร้างความสุขให้กับผู้อื่นในสังคม

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ประธาน HARBOUR.SPACE @UTCC กล่าวว่า “ในฐานะมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทยทางด้านการค้าและธุรกิจการบริการ UTCC มุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมการศึกษาระดับสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันระดับภูมิภาค ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ฮาร์เบอร์สเปซ ออกนอกบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เราจึงเชื่อมั่นว่าหลักสูตรนี้จะช่วยสร้างเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีประสิทธิภาพ และต่อยอดองค์ความรู้ให้กับบุคลากรอย่างมีคุณภาพด้วยหลักสูตรที่ดีที่สุด”

ทั้งนี้ HARBOUR.SPACE @UTCC  ได้นำเสนอรูปแบบการศึกษาที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ด้วยการควบรวมความรู้ด้านสตาร์ทอัพ เทคโนโลยี และการดีไซน์เข้าไว้ด้วยกัน การใฝ่หาความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ใช้วิธีการได้อย่างเกิดประโยชน์ รวมทั้งการเรียนกับของจริง และทำงานโครงการของบริษัทจริงๆ   สิ่งที่สำคัญมากที่สุด  HARBOUR.SPACE @UTCC  ได้นำมืออาชีพระดับโลกทางด้านเทคโนโลยี การสร้างธุรกิจ และการออกแบบ มาพัฒนานักศึกษาที่มีพรสวรรค์อย่างเข้มข้น โดยเปิดรับนักศึกษาจากทั่วโลกด้วยรูปแบบการสัมภาษณ์ซึ่งจะเปิดสอนในระดับปริญญาโทราวเดือนมกราคม ปี 2563 ส่วนปริญญาตรีจะเปิดการเรียนการสอนในเดือนสิงหาคม 2563 และหลังจากจบการศึกษาผู้เรียนจะได้รับปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และใบประกาศนียบัตรของฮาร์เบอร์สเปซด้วย

ในขณะที่ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนนำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสตาร์ทอัพมาเมืองไทย กล่าวว่า “รูปแบบการศึกษาที่ออกแบบเพื่อโลกอนาคตและคนเจนเนอเรชั่นใหม่เป็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เราลงทุนนำการศึกษาเพื่อธุรกิจดิจิทัลที่ดีที่สุดเพื่อเปลี่ยนแปลงการศึกษาในประเทศไทยและระบบนิเวศของการทำธุรกิจในเอเชีย”

ด้าน สเวทลานา เวลิคาโนวา ผู้ก่อตั้งและ CEO ของฮาร์เบอร์สเปซ กล่าวว่า “ในอีกสองสามปีข้างหน้า เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าหลักสูตรแม่แบบของเราสามารถผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพสูง และพร้อมสำหรับอนาคต เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้นำหลักสูตรนี้มาที่เอเชีย และร่วมมือกับหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งคือ UTCC”

สำหรับการเรียนการสอนระดับคอร์สทั่วไป ปริญญาตรี และปริญญาโทของหลักสูตรที่ดีที่สุดนี้ ประกอบด้วย วิชาคณิตศาสตร์ในฐานะภาษาที่สอง วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ การออกแบบอินเตอร์แอคชั่น การใช้หุ่นยนต์ การตลาดดิจิทัลที่ลงลึกในเรื่องกลยุทธ์การตลาดที่จะทำให้ความฝันเรื่องดิจิทัลเป็นจริง และฟินเทคเพื่อเตรียมพร้อมในการปฏิวัติระบบบริการทางธุรกิจด้วยนวัตกรรม โดยแต่ละชั้นเรียนจะใช้เวลาสามสัปดาห์ เรียนวันละ 3 ชั่วโมงทุกวันจันทร์-ศุกร์ ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาทุ่มเทให้กับวิชาที่ลงเรียนได้อย่างเต็มที่ พร้อมพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเป็นเจ้าของธุรกิจแบบไฮเทคหลังจากนั้น HARBOUR.SPACE @UTCC  มีแผนที่จะเพิ่มหลักสูตรมากขึ้นในสาขาต่างๆ อาทิ ไบโอเทค  วิศวกรรมการบินและอวกาศ เป็นต้น

โดยผู้เชี่ยวชาญที่จะมาถ่ายทอดองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนการสอนล้วนเป็นมืออาชีพระดับโลก อาทิ

– ลอเรน เคเลนซา ซีเนียร์ดีไซเนอร์ และนักวางกลยุทธ์จากกูเกิล ซึ่งมีประสบการณ์ในการสร้างแผนที่
ที่ตรงกับความต้องการของเมืองต่างๆ ทั่วโลก งานของเธอทำให้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเรียนรู้และออกแบบเทคโนโลยีขึ้นใหม่ โดยไม่นานมานี้เธอนำระบบเนวิเกชั่นของกูเกิลแมพมาดีไซน์ใหม่สำหรับมอเตอร์ไซค์ ปัจจุบันนำออกใช้ทั่วอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคนย่า

– แอนดี้ เครโตดินา ผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์ของออร์บิต มีเดีย สตูดิโอ บริษัทออกแบบเว็บไซต์ที่ได้รับรางวัลมากมายในชิคาโก 16 ปีที่ผ่านมา แอนดี้ได้กำหนดกลยุทธ์เว็บไซต์และให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจต่างๆ กว่าพันแห่ง ในฐานะนักพูดชั้นนำในการประชุมระดับชาติ และในฐานะนักเขียนบล็อกที่ใหญ่ที่สุดหลายบล็อก แอนดี้ได้ทุ่มเทแรงกายแรงกายในการสอนการตลาดมาตลอด โดยเขาคือ 1 ใน 10 ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ที่น่าจับตามอง จัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ และ 1 ใน 50 อินฟลูเอนเซอร์ทางการตลาดของนิตยสาร Entrepreneur ในปี 2016 ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ 1871 โรงเรียนสร้าง
นักธุรกิจอันดับหนึ่งของสหรัฐ อีกด้วย

– อนาสเตเซีย โพลยาโควา วิศวกรด้านความปลอดภัยของ Venafi และผู้ฝึกสอนที่ Linux Security อนาสเตเซียมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เธอเริ่มอาชีพด้วยการเป็นผู้จัดการระบบ จากนั้นเบนความสนใจมาด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเธอทำงานเป็นวิศวกรความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชั่น อนาสเตเซียสอนวิชาการรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลสำหรับนักพัฒนากลไกและอินเตอร์เน็ตออฟทิงส์ (การเชื่อมโยงอุปกรณ์หรือสิ่งต่างๆเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต) ปัจจุบันเธอทำงานเป็นผู้ฝึกสอนเรื่องความปลอดภัยของ Linux ที่ Luxoft  (ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นระบบปฎิบัติการสำหรับบริษัทที่ปลอดภัยที่สุด ดียิ่งกว่าวินโดวส์หรือแมคโอเอส) และวิศวกรความปลอดภัยที่ Swordfish Security

– พาเวล เคลเมนคอฟ หัวหน้านักวิเคราะห์ข้อมูลแห่ง NVIDIA  โดยพาเวลเริ่มอาชีพด้วยการเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่บริษัท Beeline ซึ่งเป็นหนึ่งบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย จากนั้นเขาย้ายไปทำที่ Rambler & Co  ซึ่งเป็นบริษัทสื่ออินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย เขาได้พัฒนาอัลกอริทึ่มส์ที่รับข้อมูลจากเครื่องกลสำหรับแรมเบลอร์นิวส์ (ผู้ให้บริการข่าวสารที่ใหญ่เป็นลำดับสองของรัสเซีย) จากนั้นเขาไปทำงานเป็นผู้นำด้านเทคนิคให้กับ Rambler/News และ Rambler/Portal  ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพาเวลทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการศึกษาเครื่องกลที่ Ramble & Co คอยแนะนำวิธีแก้ปัญหาให้กับการศึกษาเครื่องกลสำหรับธุรกิจทุกชนิด (ภาพทางคอมพิวเตอร์ โฆษณา คำแนะนำ การใส่เครดิต) ปัจจุบันเขาทำงานเป็นหัวหน้านักวิเคราะห์ข้อมูลที่ NVIDIA ควบคุมดูแลการตั้งเป้าหมายในการศึกษาเครื่องกล ซึ่งใช้ข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีการตรวจวัดระยะไกลอัตโนมัติ รวบรวมจาก GPU ทั่วโลก

สำหรับหลักสูตร HARBOUR.SPACE @UTCC พร้อมแล้วที่จะเปิดรับสมัครนักศึกษาและผู้สนใจพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อก้าวสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด โดยค่าใช้จ่ายการเรียนในระดับปริญญาตรี 7 แสนบาทต่อปี และระดับปริญญาโท 8 แสนบาทต่อปี  สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://harbour.space/campuses/bangkok หรือโทร. 02-697-6197

 


วีซ่าเปิดตัว “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ เข้าทีมวีซ่าเตรียมพร้อมมุ่งสู่โอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 [PR]

$
0
0

วีซ่า ผู้นำด้านระบบการชำระเงินในรูปแบบดิจิตอลระดับโลก และผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกเกมส์ เปิดตัว “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ นักกีฬาชาวไทยคนแรกเข้าสู่ทีมวีซ่าใน โอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่จะถึงนี้

น้องเมย์ รัชนก เป็นหนึ่งในนักกีฬาแบดมินตันชาวไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโลกใน พ.ศ. 2559 ตลอดระยะเวลาการแข่งขันในระดับอาชีพได้รับชัยชนะในการแข่งขันกว่า 400 แมตช์ คว้าตำแหน่งแชมป์ได้ทั้งหมด 23 รายการ ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก

คุณสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วีซ่า ภูมิใจที่ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ต้อนรับ ‘น้องเมย์’ รัชนก อินทนนท์ เข้าร่วมทีมวีซ่าในครั้งนี้ เราเชื่อว่าน้องเมย์ รัชนก เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบและลงตัวเข้ากับแบรนด์ของวีซ่าอย่างแท้จริง ด้วยบุคลิกและความทะเยอทะยาน ประกอบกับความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง เราจะเป็นแรงใจและอยู่เคียงข้างในทุกช่วงของการแข่งขันเพื่อเป็นกำลังใจให้น้องเมย์ได้เหรียญทอง ในโอลิมปิกเกมส์ ณ กรุงโตเกียว ที่จะจัดขึ้นในปีหน้า”

“เมย์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมวีซ่า ซึ่งการสนับสนุนจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง วีซ่า จะช่วยเสริมสร้างความพร้อม และทำให้สามารถมุ่งมั่นกับการฝึกซ้อม และเตรียมตัวเพื่อคว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020” น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ กล่าว

วีซ่าเป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก มานานกว่า 30 ปี และพาราลิมปิกเกมส์ ตั้งแต่พ.ศ. 2546 โดยโปรแกรม “ทีมวีซ่า” ได้ถือกำเนิดขึ้นในพ.ศ. 2543 เพื่อสนับสนุนและมอบความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้แก่เหล่านักกีฬาที่ต้องการสานฝันให้เป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ในสนามหรือนอกสนามก็ตาม ปัจจุบันวีซ่าได้ให้การสนับสนุนนักกีฬามาแล้วกว่า 400 คนทั่วโลก

คิดส์ซาเนียสานฝัน 6 เยาวชนผู้ชนะโครงการ B-Quik Racing Junior 2019 ให้เป็นจริง [PR]

$
0
0

คิดส์ซาเนียและบริษัท บีควิก จำกัด นำ 6 เยาวชนผู้ชนะโครงการ B-Quik Racing Junior 2019 ต่อยอดจากการเข้าแคมป์อบรมฝึกทักษะและ Role Play ณ คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ ไปสัมผัสประสบการณ์จริง ร่วมงาน BANGSAEN GRAND PRIX 2019 ณ สนามบางแสน สตรีท เซอร์กิต ชลบุรี จังหวัดชลบุรี อย่างเอ็กซ์คลูซีฟ สร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้กับเยาวชนผู้ชนะเป็นอย่างมาก

สืบเนื่องจากโครงการ B-Quik Racing Junior 2019 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเยาวชนผู้มีใจรักความเร็วและการแข่งรถกว่า 200 ชีวิต ส่งวีดีโอเข้ามาจนได้รับคัดเลือกมาเหลือเพียงเยาวชน 18 คน ที่มีโอกาสได้ร่วมเข้าแคมป์อบรมฝึกทักษะการเป็นนักแข่งรถอย่างเข้มข้นที่คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ เพื่อคัดเลือกผู้ชนะรอบสุดท้าย 6 คนไปร่วมงาน BANGSAEN GRAND PRIX 2019 ณ สนามบางแสน สตรีท เซอร์กิต ชลบุรี โดยได้รับความร่วมมือจาก สถาบัน TSS Racing Academy และ GP eRacing บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ณ คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ให้ความรู้เกี่ยวกับการแข่งรถและความปลอดภัยในการขับรถแก่เยาวชนที่ได้รับคัดเลือกอย่างใกล้ชิดทั้ง 18 คน

เฮงค์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บี-ควิก จำกัด ให้เกียรติขึ้นกล่าวถึงความสำคัญของโครงการ B-Quik Racing Junior 2019 และหัวใจสำคัญของการเป็นนักแข่งที่ดีไว้ว่า “การแข่งขันรถนั้น คนทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับนักขับแต่การแข่งขันจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยหลายปัจจัยทั้งทีมเวิร์ค ที่คอยซัพพอร์ตและการวางแผนที่ดี สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือเครื่องยนต์นักขับมีหน้าที่จะออกไปขับรถให้ดีที่สุดจะทำให้เกิดชัยชนะได้ การขับรถอาจจะต้องขับแข่งกับคู่แข่งแต่หัวใจสำคัญคือเป็นการแข่งกับตัวเอง นี่เป็นเหตุผลของการจัดกิจกรรมในวันนี้
เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้จากผู้เชี่ยวชาญ นักแข่งตัวจริงที่จะมาร่วมสอนและแบ่งปันประสบการณ์จริงเพื่อต่อยอดไปในอนาคต”

เดนิส จู ประธานกรรมการบริหาร คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ กล่าวว่า “โครงการ B-Quik Racing Juniorนับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้ให้โอกาสกับเยาวชนในการตามความฝันที่อยากเป็นนักแข่งรถ กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการ Roleplay ในรูปแบบที่พิเศษให้เยาวชนได้เรียนรู้ฝึกประสบการณ์จริงเป็นโอกาสดีที่ให้เยาวชน ได้รับแรงบันดาลใจและได้คิดถึงสิ่งที่อยากจะเป็นในอนาคตเยาวชนที่มาร่วมโครงการนี้คือคนที่มีความฝันอยากจะเป็นนักแข่งรถซึ่งกิจกรรมที่จัดขึ้นจะช่วยให้ได้เรียนรู้ สัมผัสประสบการณ์จริง ทั้งจากการเทรนนิ่ง การเข้าฐานกิจกรรม การฝึกฝน ความพยายามการเรียนรู้เพื่อที่จะได้เป็นนักแข่งรถในอนาคต ซึ่งอาชีพอื่นๆก็เช่นกันที่จะต้องอาศัยความพยายาม ความฝึกฝนอย่างหนักและแรงผลักดันเพื่อบรรลุเป้าหมาย”

โดยกิจกรรมมีตั้งแต่การอบรมให้ความรู้เรื่องการขับแข่งรถด้วยความปลอดภัยโดย คุณปัชลิต วัฒนฉัตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ผู้เชี่ยวชาญจาก TSS Racing Academy สถาบันสอนทักษะการขับขี่รถยนต์แบบเซอร์กิต ผู้ให้ความรู้กับเยาวชนทั้ง 18 คนเกี่ยวกับกีฬา Motorsports, กฎระเบียบของการใช้รถ และถนนอย่างถูกต้อง

ช่วงบ่ายจัดเป็นกิจกรรมเก็บคะแนนเพื่อวัดผลทักษะเพื่อตัดสินเยาวชนที่ จะเข้ารอบสุดท้าย 6 คน มีการร่วม Role Play ณ สถานประกอบการจำลองศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ B-Quikให้เยาวชนได้เรียนรู้สัมผัสประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ กิจกรรมถัดมาคือเยาวชนทั้ง 18 คน ได้ขับ Racing Simulator เพื่อวัดทักษะการขับขี่และความเร็ว โดยพิจารณาจากการทดลองขับรถแข่งผ่านเครื่องขับรถจำลองฐานสุดท้ายเป็น การสัมภาษณ์วัดไหวพริบ และความกล้าแสดงออกจากการตอบคำถามกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิถึง 4 คน ทั้งคุณปัชลิต วัฒนฉัตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด คุณแซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค นักแข่งรถทีมบีควิก คุณทิพย์ธิดา
สันหพาณิชย์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดบริษัท บี-ควิก จำกัด และ คุณจิตติมา คนตรง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ รวบรวมคะแนนจาก 3 ฐานกิจกรรมตัดสินเยาวชน 6 คนสุดท้ายที่เข้ารอบไปร่วมชมการแข่งขันแบบเอ็กซ์คลูซีฟติดสนามแข่งรถระดับโลก เหมือนฝันที่เป็นจริง เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2562 มาถึงเยาวชนทั้ง 6 คนได้ไปเหยียบสนามแข่งรถระดับโลก ทั้งหมดได้เข้าร่วมงาน BANGSAEN GRAND PRIX 2019 ณ สนามบางแสน สตรีท เซอร์กิต ชลบุรี จังหวัดชลบุรี

โดย เริ่มต้นด้วยเซอร์ไพรซ์สุดพิเศษจากโครงการ B-Quik Racing Junior คือชุด Racing สั่งตัดเฉพาะสำหรับเยาวชนทั้ง 6 คน ทั้งนี้ยังให้เยาวชน 6 คนได้สัมผัสประสบการณ์ การขับ Racing Simulator และรถโกคาร์ทไฟฟ้าในสนามจำลองวัดทักษะการขับอย่างปลอดภัยเอาใจเยาวชนหัวใจรักความเร็วเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนการร่วมชมการแข่งขันในสนามจริง และเยาวชนทั้ง 6 คนยังได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในประเทศไทยด้วยการ
ร่วมขบวนพาเหรดรถในการเข้าสนามแข่งร่วมกับนักแข่งทั้ง เฮงก์ เจ คิกส์ และ นักแข่งชื่อดังจากทีม B-Quik ในสนามแข่งจริงอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเปิดงาน BANGSAEN GRAND PRIX 2019 พร้อมรับชมพาเหรดขบวนรถหรูสุดยิ่งใหญ่อลังการก่อนการแข่งจะเริ่มขึ้นทั้ง 6 คนได้มีโอกาสในการร่วมลงไป Grid Walk ทักทายนักแข่งทั้ง เฮงก์ เจ คิกส์ และ นักแข่งชื่อดังจากทีม B-Quik ในสนามแข่งจริง และรับชมการแข่งรถที่แสนจะตื่นเต้นเร้าใจ สร้างความประทับใจให้กับเยาวชนทั้ง 6 คนเป็นอย่างมาก

นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับทั้ง 6 คนที่ได้ใกล้ชิดสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งจริง ร่วมกับทีมนักแข่งตัวจริงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทางคิดส์ซาเนียได้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีประสบการณ์จริงนอกเหนือจากการ Role Play รวมไปถึงได้รับแรงสนับสนุนจากบริษัท บีควิก จำกัด บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด และ GP eRacing บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสานฝันของเยาวชนผู้มีหัวใจรักความเร็วและเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ในการเดินตามความฝันของเยาวชนในอนาคต ทั้งนี้สามารถติดตามชมภาพบรรยากาศเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com /KidZaniaBangkok/

ทุกภาคส่วนหนุนจัดการขยะครบวงจร เชื่อม 5 ซัพพลายเชน สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนได้จริง [PR]

$
0
0

วิกฤตขยะล้นเมืองที่เกิดควบคู่กับปัญหาขาดแคลนทรัพยากร เป็นผลจากการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจเส้นตรง (Linear Economy) ที่ขาดการบริหารจัดการ และการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย ด้วยจำนวนประชากรโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มเป็น 9.7 พันล้านคน ในปี ค.ศ.2050 ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ขณะที่สถานการณ์ประเทศไทยในปี 2561 มีขยะเพิ่มขึ้นถึง 28 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากขาดการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะมีทรัพยากรไม่เพียงพอส่งต่อให้กับลูกหลานรุ่นต่อไป

หลายภาคส่วนจึงร่วมกันผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนและแก้ปัญหาดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ เอสซีจี ที่ได้จัดงาน “SD Symposium 10 Years : Circular Economy – Collaboration for Action” เวทีรับฟังความคิดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และผู้บริโภค เพื่อร่วมแสดงพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่การปฏิบัติ ผ่าน 3 กลยุทธ์ คือ การลดการใช้ทรัพยากรและยืดอายุการใช้งาน (Reduce & Durability) การพัฒนานวัตกรรมทดแทน (Upgrade & Replace) และการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (Reuse & Recycle)

ต้นแบบการจัดการในโยโกฮาม่า ส่งบทเรียนการจัดการขยะถึงไทย

ภายในงานดังกล่าวประกอบด้วยหนึ่งในเวทีเสวนา นั่นคือ “Thailand waste Management Way Forward” ซึ่งเชิญตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมาแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับการจัดการขยะในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง 5 ขั้นตอน คือ 1) การคัดแยกขยะต้นทาง (Waste Generation & Sort) ตั้งแต่ระดับครัวเรือน 2) การจัดเก็บขยะ (Waste Management) 3) การคัดแยกขยะเพื่อนำไปสร้างมูลค่าหรือรีไซเคิล (Waste Separation) 4) การบำบัดและรีไซเคิล (Treat & Recycle) และ 5) การจัดการดูแลขยะอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้ไหลไปสู่สิ่งแวดล้อม แม่น้ำ และทะเล (Environment / Ocean Clean-up)

โดย Gen Takahashi General Manager, Oversea Administration Department, JFE Engineering Corporation องค์กรที่ช่วยภาครัฐบริหารจัดการขยะที่เคยล้นเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น ได้นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการขยะอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 – 2014 ที่สามารถลดปริมาณขยะได้ถึงร้อยละ 43.2 จนกลายเป็นเมืองต้นแบบที่น่าจะสามารถช่วยขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในไทยให้เป็นรูปธรรมได้ โดยสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อสร้างมูลค่าให้วัสดุเหลือทิ้ง

3 กลยุทธ์ปลุกสำนึกผู้บริโภค ควบคู่ระบบคัดแยกขยะต้นทาง

วรุณ วารัญญานนท์ ที่ปรึกษาเพื่อภาคีอุตสาหกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ (PETROMAT) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้จัดการโครงการ Chula Zero Waste Project ตัวแทนผู้บริโภคต้นทางที่ทำให้เกิดขยะ มองปัญหาขยะในปัจจุบันว่า เกิดจากการบริโภคโดยผู้ผลิตที่สร้างขยะในชีวิตประจำวันขาดความเข้าใจในการคัดแยกขยะ รวมถึงขาดระบบการคัดแยกขยะที่ดี การแก้ไขปัญหาจึงต้องปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนคัดแยกขยะก่อนทิ้ง และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่วางระบบการคัดแยกขยะ รวมไปถึงบังคับใช้บทลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งหากทำได้จริงจะสร้างคุณค่ามหาศาลให้กับเศรษฐกิจและสังคม

“ปัญหาขยะเกิดจากระบบและความเข้าใจของผู้บริโภค ภาคการศึกษาไม่เคยสอนเรื่องการคัดแยกขยะ ทุกอย่างทิ้งรวมกัน ทุกคนจึงมีส่วนเพิ่มขยะในชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ว่าขยะนำไปใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าได้” เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าพฤติกรรมของคนจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องมาจากหลายปัจจัย แต่สิ่งที่บังคับให้คนเปลี่ยนได้มากที่สุด คือ บรรทัดฐานของสังคมที่คนส่วนใหญ่ทำ (Social Norm) แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องใช้การบังคับทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทุกแนวทางต้องทำไปพร้อมกันจึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างครบวงจร

สร้างแรงจูงใจธุรกิจจัดเก็บขยะสู่ห่วงโซ่คุณค่า

กมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนฝ่ายจัดเก็บขยะ ซึ่งมี 2 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ ภาคเอกชนที่พัฒนาโครงการ และกลุ่มที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นอาชีพ อาทิ กทม. และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบท.) ให้ความเห็นเช่นเดียวกันว่า ต้นเหตุของขยะล้นเมืองเกิดจากผู้ใช้ที่ขาดความรู้และระบบการจัดเก็บขยะที่มีความยุ่งยากซับซ้อน หากผู้บริโภคเข้าใจกระบวนการนำไปแปรรูปปลายทางน่าจะทำให้มีการคัดแยกและสามารถจัดเก็บวัสดุนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันควรเพิ่มแรงจูงใจในการคัดแยกขยะ อาทิ การลุ้นรางวัล และส่งเสริมธุรกิจจัดเก็บขยะ รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดการนำขยะไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปั้นแอปฯ วอร์รูม ศูนย์บริหารซัพพลายเชน มาตรฐานจัดซื้อ-จัดแยกขยะเป็นธรรม

วรกิจ เมืองไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์มดี จำกัด ตัวแทนฝ่ายคัดแยกขยะ มองว่าปัญหาการคัดแยกขยะเกิดจากการตั้งราคาขยะที่ไม่เป็นธรรม และสินค้าบางกลุ่มที่มีกระบวนการคัดแยกที่ยุ่งยาก ค่าขนส่งสูง แต่ราคาต่ำ ไม่คุ้มค่า ทำให้เกิดการเพิ่มขยะ อีกทั้งผู้ที่ทำธุรกิจแยกขยะบางส่วนยังขาดจิตสำนึก มุ่งหวังเพียงรายได้ ขาดความรู้และมาตรฐานการจัดเก็บ ขาดเครื่องมือจัดการขยะ รวมถึงมีบุคลากรไม่เพียงพอ

“ทุกคนผลักภาระให้ภาครัฐ ไม่หาทางออกร่วมกันทั้งระบบ ทั้งที่ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่การสร้างต้นทางการคัดแยกขยะ จนถึงการจัดเก็บ การคัดแยกประเภทและการรีไซเคิล รวมถึงการตั้งราคารับซื้อที่เป็นธรรม และมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ”

กลุ่มธุรกิจของเขาจึงพัฒนาแอปพลิเคชันนำเสนอข้อมูลการจัดการขยะแบบองค์รวม ที่มีทั้งราคารับซื้อวัสดุเป็นราคากลางทั่วประเทศ พร้อมช่วยกลุ่ม อบท. บริหารจัดการขยะในชุมชน ผ่านศูนย์กลาง (วอร์รูม) จัดการปริมาณขยะในพื้นที่ และยังจับคู่ภาคเอกชนที่ต้องการทำโครงการรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) กับชุมชน

เติมองค์ความรู้ปั้นธุรกิจรีไซเคิล

บุรินทร์ ตั้งศิลปโอฬาร ผู้จัดการงานพัฒนาโครงการ Suez (South East Asia) Limited ตัวแทนฝ่ายบำบัดและรีไซเคิล มีความเห็นว่า ปัญหาขยะเกิดจากการไม่สมดุลของความต้องการ (Demand) และการผลิต (Supply) ซึ่งหากมีปริมาณขยะมากแต่ไม่มีผู้รับซื้อนำไปผลิตสินค้า และภาครัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นสร้างการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งซัพพลายเชนเพื่อส่งเสริมการนำขยะมารีไซเคิล การจัดการขยะก็จะไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม ตลาดการผลิตวัสดุรีไซเคิลก็ไม่เติบโต นักลงทุนยังไม่มั่นใจในการลงทุนและคุณภาพ เพราะการคัดแยกขยะยังไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการปนเปื้อนไปสู่วัสดุ จึงต้องมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

การที่ปัจจุบันเราไม่สามารถนำวัสดุมารีไซเคิลได้ทั้งร้อยละ 100 เพราะมีการสูญเสียร้อยละ 10-20 เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาเศษขยะพลาสติกในทะเล เพราะผู้ประกอบการรีไซเคิลไม่ต้องการเพิ่มต้นทุนจัดการขยะปนเปื้อนที่ยุ่งยากก่อนปล่อยสู่ทะเล อีกทั้งภาครัฐยังขาดความเข้าใจธุรกิจรีไซเคิล ทำให้การลงทุนได้รับใบอนุญาตและการส่งเสริมการลงทุนล่าช้า จึงควรมีการปรับเปลี่ยนกฎหมาย และการวางมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการการเรียนรู้และถ่ายทอดการรีไซเคิลในประเทศไทย

สร้างแรงจูงใจตามบริบทสังคม

ด้าน ดร.จิตราภรณ์ ฟักโสภา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัวแทนฝ่ายการจัดการดูแลขยะอย่างถูกต้อง มองปัญหาขยะในทะเลว่ากำลังเป็นวิกฤตที่ใกล้ตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการเสียชีวิตของพะยูน “มาเรียม” เพราะทุกคนต่างมองว่าทะเลกว้างใหญ่ จึงทิ้งขยะจำนวนมากจนส่งผลกระทบต่อชีวิตสัตว์น้ำในท้องทะเล ทำให้เกิดเป็นปัญหาที่ยากต่อการจัดการ ดังนั้น จึงควรเริ่มต้นจากการปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่ระบบการศึกษา ให้ลดการสร้างขยะและแยกขยะเป็นพื้นฐาน ส่งเสริมให้คนตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางสุดท้ายที่รับขยะคือแม่น้ำและทะเล โดยการสร้างแรงจูงใจต้องปรับให้สอดคล้องกับบริบททางสังคม เพราะบางสังคมสามารถจูงใจด้วยผลตอบแทนแต่บางสังคมอาจจะใช้ไม่ได้ผล

เวทีเสวนาดังกล่าว ยังได้ระดมความเห็นของผู้เข้าร่วมฟังกว่า 700 คน เพื่อนำเสนอต่อภาครัฐ เป็นแนวทางการบริหารจัดการขยะ 5 ด้าน ประกอบด้วย การเกิดขยะต้นทางของผู้บริโภค ควรบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการทิ้งขยะอย่างเคร่งครัด การจัดเก็บขยะ ควรมีการจัดเก็บอย่างครบวงจร เช่น กำหนดสัญลักษณ์สี วัน เวลา และจัดเก็บตามประเภท การคัดแยกขยะ ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการจัดการอย่างบูรณาการ การบำบัดและรีไซเคิล ควรผลักดันภาคธุรกิจให้ผลิตสินค้าที่เอื้อต่อการรีไซเคิล และมีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการซากสินค้า และสุดท้าย การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและแหล่งน้ำ ควรบังคับใช้กฎหมายห้ามทิ้งขยะลงแหล่งน้ำอย่างเคร่งครัดและมีบทลงโทษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะชุมชนใกล้แหล่งน้ำและแหล่งท่องเที่ยว

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดและเนื้อหาเพิ่มเติมของงาน SD Symposium ได้ที่ http://bit.ly/31X1QGd หรือติดตามข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel

โฮมโปร รับรางวัล THE BEST OF DRIVE AWARD 2019 องค์กรโดดเด่นด้าน Services [PR]

$
0
0

นายสรรเสริญ เรืองสอน ผู้จัดการทั่วไป สายทรัพยากรบุคคล บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เป็นตัวแทนรับรางวัล “Drive Award 2019 Environment and Sustainability” ในฐานะองค์กรโดดเด่นด้านการบริหารจัดการบุคลากรในองค์กร โดยมุ่งปลูกฝังให้พนักงานมองลูกค้าทั้งภายนอกและภายในเป็นศูนย์กลางในการทำงาน เข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งมอบคุณภาพและประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าภายใต้หลักธรรมาภิบาล รวมถึงทำประโยชน์ต่อชุมชน สังคม การดูแลใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยมี ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย นายกสมาคมนิสิตเก่าเอ็มบีเอ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้มอบรางวัลมอบรางวัล ณ หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆนี้

เอไอเอส ร่วมแสดงพลังต่อต้านการคอร์รัปชัน ตอกย้ำแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และมีความรับผิดชอบต่อสังคม [PR]

$
0
0

เอไอเอส โดย นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมแสดงพลังต่อต้านการคอร์รัปชัน ตอกย้ำแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และมีความรับผิดชอบต่อสังคม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2562 จัดโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

Influencer รับทรัพย์เหนาะ ๆ Estée Lauder ทุ่มงบการตลาด 75% ใส่ เหตุผลลัพธ์ดีกว่า

$
0
0

 

ไปดูกันว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ทุกวันนี้ใช้งบการตลาดอย่างไร เพราะล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทอย่าง Estée Lauder จริงจังกับการใช้ Influencer ทำตลาดอย่างมาก เห็นได้จากการเทงบประมาณ 75% ผ่านพวกเขาเหล่านั้นกันเลยทีเดียว

ผู้ที่มาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ใคร แต่เป็น Fabrizio Freda ซีอีโอ Estée Lauder ที่กล่าวหลังจากประกาศผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ว่างบการตลาดส่วนใหญ่ของบริษัทจ่ายไปกับสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “Influencer”

“ที่ผ่านมา พวกเราลงทุนไปกับโฆษณาเยอะกว่านี้ โดยทุกแบรนด์ของเราลงทุนไปโฆษณาตาม position ของแบรนด์นั้นๆ แต่ตอนนี้ ผมพูดได้เต็มปากว่า 75% ของงบการตลาดไปอยู่กับ Influencer ตามโซเชียลมีเดีย และพบว่าผลลัพธ์ดีกว่ามาก”

โดย Influencer ของแบรนด์มีตั้งแต่ระดับเซเลบอย่าง Kendall Jenner หรือ Karlie Kloss ไปจนถึงนักรีวิวหรือบล็อกเกอร์รายย่อยตาม YouTube และ Instagram

“Influencer มีความกระตือรือร้นมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเราทำการบ้านมาดี จึงสามารถเลือก Influencer เหมาะกับผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย พวกเราเรียนรู้จากประสบการณ์ในการลงทุนครั้งนี้ก็คือ เมื่อคุณต้องลงทุนสร้างการเติบโตของแบรนด์ Influencer ให้ผลที่ดีมาก และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนนี้ พวกเราต้องจัดการมันทุกวัน” กล่าวเสริมโดย Freda

Estée Lauder ถือเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเกือบ 30 ชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และเครื่องสำอาง รวมถึงแบรนด์ดังอย่าง Clinique, La Mer และ Smashbox ซึ่งต่างลงทุนไปกับ Influencer เยอะมาก นี่ถือเป็นสัญญาณใหม่ของอุตสาหกรรมที่เริ่มให้การยอมรับกับการใช้ Influencer มากขึ้น

ส่วนข้อมูลจาก Mediakix เผยว่า ถึงตอนนี้ นักการตลาดของทั้งอุตสาหกรรมมีการทุ่มเงินลงทุนใน Influencer ไปแล้วกว่า 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และข้อมูลจาก Statista เผยให้เห็นว่าในปี 2017 ปีเดียว Estée Lauder ลงทุนไปกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับตลาดสหรัฐที่เดียวเท่านั้น และดูเหมือนว่างบการตลาดสำหรับ influencer จะเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย

ส่วนใครที่ไม่แน่ใจ ผลประกอบการของ Estée Lauder น่าจะบอกได้ดีกว่า เพราะไตรมาสที่ผ่านมา Estée Lauder ทำยอดขายไปได้ทั้งสิ้น 14,860 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิที่ 1,790 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้แค่ 1,110 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย

Source

บทวิเคราะห์ทำไม MK ต้องทุ่ม 2 พันล้าน ซื้อหุ้น 65% แหลมเจริญ ซีฟู้ด

$
0
0

ตามที่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองค์ กรู๊ป จำกัด(มหาชน) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 6 กันยายน ว่าได้ใช้งบประมาณ 2,060 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้น 65% ของบริษัท คาตาพัลท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการร้านอาหารแหลมเจริญซีฟู้ดโดยนักวิเคราะห์มองว่าเหตุผลที่ทางแหลมเจริญขายหุ้นในครั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายสาขาด้วยตัวเอง

โดยปัจจุบันนี้ “แหลมเจริญฯ” มีสาขาทั้งสิ้น 25 สาขา แต่หากต้องการขยายสาขาเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่ดำเนินการไม่ได้ง่ายนัก ขณะที่การขายหุ้นให้กับทางเอ็มเค ทางผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 4 ท่านก็ยังมีหุ้นเหลืออยู่ 35%

ทางฝั่งของเอ็มเค สิ่งที่ได้ก็คือ การได้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว เข้ามาอยู่ในเครือ ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของร้านอาหารที่จับกลุ่มเป้าหมายครอบครัวก็จะชัดเจนขึ้น อีกทั้งบทวิเคราะห์ด้านการเงินคาดการณ์ว่าสัดส่วนรายได้ของ แหลมเจริญจะมีราว 10% ของรายได้รวมเอ็มเค ดังนั้นการเข้าถือหุ้น 65% ในแหลมเจิรญน่าจะทำให้ MK มีการอัพไซด์เพิ่มขึ้น 5%

 


ชาวชิคาโกเฮ Starbucks Reserve Roastery ใหญ่ที่สุดในโลกเตรียมเปิดตัว 15 พย.นี้

$
0
0

 

เตรียมเปิด Starbucks Reserve Roastery แห่งใหม่ใจกลางเมืองชิคาโก พร้อมยึดตำแหน่งสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปครองแซงหน้าสาขาในย่านนากาเมกุโระ ณ กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเรียบร้อย

โดยกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Roastery แห่งใหม่นี้คือ 15 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมาพร้อมพื้นที่ 4 ชั้นที่กว้างขวางถึง 43,000 ตารางฟุต และในแต่ละชั้นจะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องคั่วกาแฟขนาดใหญ่ พื้นที่สำหรับขายชา – ค็อกเทลโดยเฉพาะ รวมถึงเมนูอาหารที่แปลกตามากกว่าจะเป็นเมนูทั่วไปที่มีใน Starbucks

สำหรับพื้นที่ของ Starbucks Reserve Roastery Chicago คาดว่าจะมีการจ้างพนักงานมากถึง 200 คน เพื่อให้บริการ รวมถึงประจำการในจุดต่าง ๆ ที่เป็นไอคอนของร้าน เช่น เครื่องคั่วกาแฟ หรือการสร้าง Interactive Tours รวมถึงการพัฒนาเมนูเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะสำหรับสาขาชิคาโก

ปัจจุบัน Starbucks มีร้าน Rostery แล้วใน 6 เมืองใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก, มิลาน, เซี่ยงไฮ้, โตเกียว ขณะที่ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ก็พบว่าเติบโตขึ้น 6% คิดเป็น 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง Kevin Johnson ซีอีโอของ Starbucks เผยว่า บริษัทต้องการสร้างการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะในประเทศเป้าหมายอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนแผ่นดินใหญ่

จะเห็นได้ว่าเป้าหมายนี้นำไปสู่การพัฒนาในหลาย ๆ ด้านเพื่อสร้าง Customer Experience ที่ดีที่สุด รวมถึงการสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรม และสามารถเชื่อมโยงเข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคบนโลกดิจิทัลได้ด้วย

Source

Source

 

ความฝันวัยเด็กเป็นจริง Booking เปิดตัว SAND-sion รับวันปราสาททรายแห่งชาติ

$
0
0

หลายคนคงเคยมีความฝันในวัยเด็ก ตอนไปเที่ยวทะเลแล้วสร้างปราสาททรายริมหาดว่า “อยากนอนในปราสาททรายนี้จัง” ถ้าคุณเคยคิดอย่างนั้น Booking.com เปิดตัวโรงแรมปราสาททรายในวันปราสาททรายแห่งชาติ (National Sandcastle Day) เพื่อให้คุณสามารถได้เข้าพักในโรงแรมที่สร้างโดยทรายล้วนๆ สูง 2.5 เมตร กว้างและยาว 5.5 เมตรกันแล้ว 

โดยโปรเจคนี้อยู่ที่ Luna Park บน Coney Island ซึ่งไม่เพียงทำให้เราได้นอนอยู่ในโรงแรมที่ใกล้ชิดหาดทราย (จริงๆ ก็อยู่บนหาดเลยน่ะนะ) แต่ยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้ทรายที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์กเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญ Booking.com ยังตั้งชื่อมันว่า “SAND-sion” (Sand + Mansion) ให้เก๋ไก๋เข้าไปอีก

การก่อสร้างปราสาททรายครั้งนี้ได้ Matt Long ผู้เชี่ยวชาญด้านการปั้นรูปจากทรายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในโลกมาเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งผลงานรูปปั้นทรายที่ผ่านมาของเขาปรากฏอยู่ตามหาดในประเทศต่าง ๆ ย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Long ยังเป็นส่วนหนึ่งของรายการ “Sand Master” ที่ออกอากาศทางช่อง Travel Channel ด้วย  

ตัวแทนของ Booking เผยว่า SAND-sion สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 29 ปีของการแข่งขันปั้นทรายของ Coney Island ผู้ที่สนใจสามารถนอนพักในปราสาททรายนี้ได้ในราคาคืนละ 29 เหรียญสหรัฐ แถมด้วยดินเนอร์สำหรับ 2 คนที่ Coney Island Broadway, โยคะบนชายหาดยามเช้า และบัตร VIP สำหรับสวนสนุก Luna Park

อย่างไรก็ดี ทางบริษัทเปิดให้เข้าพักที่ปราสาททรายนี้ได้แค่ 23-24 สิงหาคมที่ผ่านมาเท่านั้น และเชื่อว่า SAND”-sion นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างทริปที่ลูกค้าจะไม่มีวันลืม และทาง Booking คิดว่า การได้นอนในปราสาททรายในวันปราสาททรายแห่งชาติถือว่าเป็นประสบการท่องเที่ยวหน้าร้อนที่เพอร์เฟคที่สุดแล้ว

ทั้งนี้ การสำรวจประจำปี 2019 ของ Booking พบว่ากว่า 43% ของนักท่องเที่ยว ต้องการที่จะเข้าพักในสถานที่แปลกใหม่ที่พวกเขาไม่เคยใช้บริการมาก่อน  

Source

Source

 

“Benja Chicken” ไก่พรีเมี่ยมเล่นใหญ่ ดึงเชฟมิชลินสตาร์ ผุดเมนูใหม่ “สเต๊กอกไก่โมชิโอะ” เข้า 7-11

$
0
0

หลังจาก “ยู ฟาร์ม”(U Farm) แบรนด์น้องใหม่แกะกล่อง 1 ปีกว่าๆ ถูกปั้นมาขึ้นมาเพื่อบุกตลาดผลิตภัณฑ์ไก่ระดับพรีเมี่ยม กับสินค้าตัวแรก “ไก่เบญจา” (Benja Chicken) ซึ่งถือเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สดของไทยไปอีกขึ้น และมีวางจำหน่ายแล้วในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ

ล่าสุด Benja Chicken ได้ส่งสินค้าใหม่ “สเต๊กอกไก่โมชิโอะ” เสริมเซ็กเมนต์พรีเมี่ยม และคราวนี้ยังขยายช่องทางจำหน่ายสู่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ด้วย

จุดเด่นของ Benja Chicken นั้นไม่ธรรมดา เพราะกระบวนการเลี้ยงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำนั้นล้วนเป็น Story ที่มีความน่าสนใจ นอกจากช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แบรนด์แล้ว ต้องบอกว่าตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่มองหาสินค้าคุณภาพได้เป็นอย่างดี

เริ่มต้นที่กระบวรการเลี้ยงไก่เบญจา ต้องบอกว่า ยูฟาร์ม ใช้ “ข้าวกล้อง” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการนำข้าวกล้องมาเลี้ยงไก่ และกลายเป็นนวัตกรรมการเลี้ยงไก่อีกด้วย ผลจากการใช้ข้าวกล้องเลี้ยงไก่ ทำให้เนื้อไก่มีความหอม นุ่ม ฉ่ำมากกว่าไก่ทั่วไปถึง 55% ที่สำคัญข้าวกล้องยังมีสารกาบา(GABA) สารต้านอนุมูลอิสระฯ วิตามินต่างๆช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ไก่เบญจาด้วย

ส่วนฟาร์มที่ใช้เลี้ยงไก่เบญจานั้นก็ได้รับมาตรฐานระดับโลกเลี้ยงตามหลัก Animal Welfare หรืออธิบายง่ายๆคือไก่อยู่อย่างมีความสุข สบาย และปลอดภัยนั่นเอง นอกจากนี้ยังได้รับมาตรฐานอื่นๆอีกมากมาย เช่น การรับรองจาก NSF สถาบันระดับโลกว่า ปลอดยาปฏิชีวินะ ปลอดฮอร์โมน ตลอดการเลี้ยงดู เพิ่มความมั่นใจในการบริโภคไปอีกขั้นว่าผลิตภัณฑ์นี้มาจากธรรมชาติ 100%

และล่าสุดกับสินค้าที่เรียกได้ว่า สร้างความว้าว! ให้ผู้บริโภค อย่าง “สเต๊กอกไก่โมชิโอะ เมนูที่รังสรรค์โดยเชฟระดับโลกอย่าง “เชฟหนุ่ม ธนินธร จันทรวรรณ” เชฟจากร้านอาหารชื่อดังที่ได้รับ “มิชลินสตาร์ 1 ดาว”

นอกจากวัตถุดิบไก่ที่ว่าพรีเมี่ยมแล้ว ยังใช้ ingredient พรีเมี่ยมอีกด้วย อย่างเกลือโมชิโอะจากประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกลือชั้นดี มีรสชาติกล่มกล่อม ทำให้ดึงรสชาติ “สเต๊กอกไก่โมชิโอะ” ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น  เรียกได้ว่าพรีเมี่ยมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำกันเลยทีเดียว

การเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ในร้านสะดวกซื้อครั้งนี้ Benja Chicken จัดเต็มด้านคุณภาพสินค้าอย่างมากเพื่อเสิร์ฟกลุ่มเป้าหมาย “พรีเมี่ยม”  ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความอร่อยเป็นสำคัญ ส่วนใครที่อยากลิ้มลองรสชาติ สามารถกำเงินไป 7-11 ได้ ณ บัดนาว!!

 

4 วิธี สร้าง Beyond Experience ในยุคที่ “โซเชียลมีเดีย”คือ ศูนย์กลางของผู้บริโภค

$
0
0

การบริหารความพึงพอใจลูกค้ายังคงเป็น​หนึ่งโจทย์สำคัญและเป็นความท้าทายของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ทุกคนมีสื่อโซเชียลมีเดียอยู่ในมือ และนิยมแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งศักยภาพในการแพร่กระจายของ Word of Mouth ที่เกิดผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น ทรงประสิทธิภาพมากกว่าการแพร่กระจายบนโลกออฟไลน์แบบเดิมๆ อย่างมหาศาล

ตามคำกล่าวของ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon พ่อมดแห่งวงการอีคอมเมิร์ซของโลก ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณทำให้ลูกค้าไม่พอใจบนโลกแห่งความเป็นจริง ลูกค้าแต่ละคนอาจจะบอกต่อเพื่อนไปอีก 6 คน แต่ถ้าหากคุณทำให้ลูกค้าไม่พอใจบนโลกอินเตอร์เน็ต ลูกค้าแต่ละคนจะสามารถบอกต่อเพื่อนไปได้อีกถึง 6,000 คนเลยทีเดียว“​

ด้วยเหตุนี้การทำงานของ Amazon จึงให้ความสำคัญกับการโฟกัสที่ Consumers Experience และยึดประสบการณ์ที่ดีของผู้บริโภคเป็นจุดตั้งต้นสำคัญ เพื่อนำมาสูการวางแผนการทำงานต่างๆ โดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ต้องการสร้างความพึงพอใจในลักษณะใดให้แก่ผู้บริโภค หรือมีเป้าหมายที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องใดให้ผู้บริโภค ก่อนจะย้อนกลับมาวางแนวทางหรือกลยุทธ์เริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการพิชิตได้ตามที่ตั้งต้นไว้ในตอนแรก

สอดคล้องกับข้อมูลจากผลวิจัยของ SALESFORCE ที่ระบุว่า 2 ใน 3 หรือ 67% ของผู้บริโภค ยอมที่จะจ่ายแพงกว่าปกติ เพื่อแลกกับการได้ “Great Experience” หรือประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น การได้รับบริการที่ดีกว่า สะดวกและรวดเร็วมากกว่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันคำนึงถึง โดยเฉพาะในเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่ความสามารถในการอดทนต่อการรอคอยสิ่งต่างๆ ลดน้อยลง

เมื่อโซเชียลมีเดียคือศูนย์กลาง

ฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีความสำคัญอย่างมาก การเข้าใจข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้สามารถเข้าใจทุกคนได้ดีเพิ่มขึ้น ทั้งข้อมูลด้านดีที่สามารถนำไปขยายผลต่อ หรือข้อมูลที่ไม่ดี ก็สามารถนำไปเรียนรู้ เพื่อแก้ไขและปรับปรุง ให้สามารถออกแบบ กำหนด และสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ ยังพบว่า แม้​ลูกค้าบางส่วนอาจจะรู้จักแบรนด์ต่างๆ ​​แต่บางครั้งก็อาจไม่ได้จดจำอะไรเกี่ยวกับแบรนด์นั้นๆ ได้มากนัก แต่สิ่งที่จะทำให้สามารถจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เมื่อได้รับประสบการณ์ต่างๆ ที่แบรนด์ได้ส่งมอบให้ สะท้อนถึงความสำคัญของ “ประสบการณ์” ที่เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของแบรนด์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบนช่องทางสำคัญที่ผู้บริโภคในปัจจุบันจะใช้ในการถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ต่างๆ ก็คือ โซเชียลมีเดียที่ทุกคนมีอยู่นั่นเอง ดังนั้น โซเชียลมีเดีย จึงกลายเป็นพื้นที่ในการ Redefine หรือสร้างภาพลักษณ์ สร้างคำจำกัดความใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน

คุณกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันโซเชียลมีเดีย กลายมาเป็นหนึ่งในช่องทางที่แบรนด์ต่างๆ ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด เพราะผู้บริโภคเลือกที่จะแชร์ทุกประสบการณ์ที่พบเจอทั้งดีและไม่ดีผ่านโซเชียลมี​เดีย ประกอบกับจำนวนการใช้งานโซเชียลมีเดียของผู้บริโภคคนไทยที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนครอบคลุมกว่า 3 ใน 4 ของประชากรโดยรวมแล้ว

“พลังของโซเชียลมีเดีย นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากปริมาณการใช้งานโซเชียลมีเดียของคนไทยที่มีถึง 74% หรือกว่า 53 ล้านคน ขณะที่เวลาในแต่ละวันที่อยู่บนโลกโซเชียลก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 3 ชั่วโมง 11 นาที ​โดยที่จำนวนข้อความต่างๆ ที่คนแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียนั้นมีสูงถึง 6,300 ล้านข้อความ เติบโตขึ้นถึง 19% และมีถึง 5 หมื่นกว่าข้อความในแต่ละเดือน ที่เป็นข้อความจากฝั่งแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารถึงผู้บริโภค” 

รวมไปถึงความสำคัญของโซเชียลมีเดียต่อแบรนด์​​ เพราะเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคใช้สื่อสารและถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ทั้งด้านดีและไม่ดี และผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อข้อมูลต่างๆ ที่ถ่ายทอดอยู่บนโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้เกิดหนึ่งอาชีพใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Influencers หรือนักรีวิว และการขยายตัวของวงการรีวิวที่ปัจจุบันรีวิวแทบจะทุกสินค้าผ่านโลกโซเชียล

“ในรอบ 5 ปีนี้ มีการค้นหาหรือรีวิวต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตสูงขึ้นกว่า 2.5 เท่าตัว และรีวิวขยายวงกว้างไปทุกกลุ่มจนทำให้ Influencers ได้รับความนิยมอย่างมาก​ รวมทั้งจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มไม่เชื่อถือแบรนด์ และไม่ฟังในสิ่งที่แบรนด์พูดเพิ่มมากขึ้น​ โดยตามสถิติพบว่า มีวัยรุ่นมากว่า 70% เลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ Online Influencers นำเสนอ รวมไปถึงกลุ่มคนทั่วๆ ไป ที่มีถึง 74% ของคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย เลือกที่เชื่อคำแนะนำที่อยู่บนโลกโซเชียลก่อนการคัดสินใจซื้อสินค้าต่างๆ”  

4 วิธี ออกแบบประสบการณ์ให้ได้ใจผู้บริโภค

ขณะที่การแชร์ข้อมูลต่างๆ ของผู้บริโภคถึงแบรนด์ จะออกมาเป็นบวกหรือลบนั้น นอกจากความสามารถในการออกแบบประสบการณ์ของแบรนด์ต่างๆ เองแล้ว ส่วนหนึ่งยังขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรมด้วย โดยค่าเฉลี่ยตามที่ Wisesight ได้เก็บข้อมูลมา พบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนใหญ่จะพูดถึงแบรนด์เป็นบวกกว่า 73% ส่วนกลุ่ม Beauty ส่วนใหญ่ถึง 96% มักแสดงคอมเม้นต์เป็นบวก ต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมเทเลคอมที่คอมเม้นต์กว่า 87% จะเป็นด้านลบ เช่นเดียวกับธุรกิจประกันที่เกือบทั้งหมดถึง 98% ที่คอมเม้นต์ถึงแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดียในมุมด้านลบ

ข้อเท็จจริงนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญและมองมากกว่าแค่คอมเม้นต์ที่มีต่อแบรนด์ตัวเอง แต่ต้องมองภาพใหญ่ทั้งอุตสาหกรรมว่า ผู้บริโภคมีปัญหาหรือภาพจำต่อธุรกิจอย่างไร เพื่อนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการออกแบบประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

โดยแบรนด์ต้องคำนึงถึง Journey of Purchasing ตลอดเส้นทาง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์กับแบรนด์มากกว่าแค่ระหว่างการซื้อสินค้า เพราะมีการเสิร์ชหาสินค้า หรือบริการที่ต้องการมาก่อนที่จะเข้ามาที่ร้านแล้ว ​รวมทั้งหลังการซื้อ​เมื่อ​เวลามีปัญหาต่างๆ ในการใช้สินค้า หรือเรื่องอื่นๆ ความต้องการได้รับบริการหลังจากนั้นก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สำคัญมากเช่นกัน

ดังนั้น การออกแบบประสบการณ์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจดจำและมีความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดียอยู่ในมือของผู้บริโภค และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน การส่งมอบประสบการณ์พิเศษ​ได้แบบ Beyond Experience ให้แก่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันนี้ จึงมีสิ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงใน​ 4 เรื่อง ประกอบด้วย

1. Authenticity การเป็นของจริง เพราะบนโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วย “นักสืบออนไลน์” หากพูดไม่ตรงกับความจริง พูดเกินจริง ในเวลาแค่เพียงไม่นาน ความจริงก็จะถูกเปิดเผยตามออกมาภายในเวลาไม่นานอย่างแน่นอน การพูดความจริง อย่างจริงใจและตรงไปตรงมาจึงมีความสำคัญที่สุด เพราะสินค้าบางประเภทไม่ได้ออกแบบมาสำหรับทุกคน บางครั้งตอบโจทย์ในเรื่องของความประหยัด ทำให้ต้องแลกกับการได้บริการแบบ Full Service มาเป็น Self Service จึงต้องทำให้ภาพที่ลูกค้าคาดหวังไว้ในตอนแรก กับสิ่งที่ต้องมาเจอเมื่อต้องใช้บริการจริง เป็นภาพเดียวกัน และแสดงถึงความจริงใจที่มอบให้กับลูกค้า

2. Listen การฟังลูกค้า​ ซึ่งโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ มีช่องทางให้รับฟังเสียงของลูกค้าได้มากมาย สามารถรู้ได้ถึงสิ่งที่ลูกค้าคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือไม่ดี รวมทั้งยังมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้แบรนด์ รับรู้ได้ถึงคำพุูดต่างๆ ถึงแบรนด์บนโลกโซเชียลมีเดียได้ ทำให้ทราบถึงสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการ หรือสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมทั้งทราบถึงผลตอบรับต่างๆ ที่แบรนด์ส่งมอบออกไป การติดตามฟังเสียงของลูกค้า จะทำให้แบรนด์สามารถรับมือหรือแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นส่ิงที่จำเป็นอย่างมากสำหรับแบรนด์

3. Personalized การแก้ปัญหาแบบรายบุคคล หลายๆ ครั้งที่แบรนด์มีปัญหาลุกลามใหญ่โต จากปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนคนเดียว ซึ่งกับดักจากการมองข้ามจุดเล็กๆ จนกระทบไปยังลูกค้านับพันนับหมื่นรายที่อยู่ข้างหลังจากการบอกต่อของคนหนึ่งคนที่ไม่พอใจ หรือได้รับประสบการณ์ที่แย่ๆ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นมีผู้ติดตามบนโลกออนไลน์จำนวนมาก หรือมีเครือข่ายอยู่ในกลุ่มที่ทำให้เสียงที่พูดไปนั้นค่อนข้างดังไปได้ไกล ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าแบบรายบุคคลนั้น เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าคนนั้นต่อแบรนด์ดีขึ้นทันที และยังช่วยให้แบรนด์สามารถมองเห็นข้อบกพร่องหรือปัญหาต่างๆ ที่ยังมีอยู่ เพื่อไปต่อยอดการพัฒนาบริการในอนาคต โดยเฉพาะการสวมหมวกเป็นผู้บริโภค เพื่อความเข้าใจสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจากแบรนด์เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน โดยเฉพาะการดูแลแบบ Personalized เป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค

4.Measurable การมีมาตรวัดที่ดี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อเราทำครบแล้วทั้งให้ความจริงใจ รับฟัง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในรายบุคล แต่ถ้าไม่มีความสามารถในการวัดผลต่อส่ิงที่ทำไป ก็ไม่สามารถไปถึงปลายทางที่ต้องการได้​ เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่างบประมาณที่ใช้​ แรงงานบุคลากรต่างๆ ที่ทุ่มลงไปนั้น คุ้มค่าหรือเหมาะสม และได้ผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ ดังนั้น ทุกครั้งต้องมีการวัดผลว่า ลูกค้ามีความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ กลับมาหาแบรนด์หรือไม่​ หรือมีเสียงบ่น เสียงคอมเม้นต์บนโลกโซเชียลอย่างไร รวมทั้ง อีกหนึ่งสิ่งสำคัญเพื่อชี้วัด Performance ​คือ Bottom Line หรือกำไรของธุรกิจเพิ่มมากขึ้นหรือไม่นั่นเอง

“ความจริงที่น่าตกใจคือ กว่า 57% ของคนที่ทำงานด้าน Customer Experience ไม่มั่นใจว่ากลยุทธ์ที่ใช้ในการดูแลลูกค้าน้ันช่วยทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับแบรนด์จริงหรือไม่ แม้จะมีข้อมูลมากมาย แต่ไม่สามารถหยิบข้อมูลที่เหมาะสมหรือถูกต้อง โดยเฉพาะการมองไปในอนาคตอีก 5-10 ปี และการรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดเพิ่มมากขึ้นในเกมเหล่านี้”  

 

Innisfree ทำเก๋ จับมือ GrabPay แจกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ผู้นั่งได้ทดลองใช้ฟรี

$
0
0

เป็นการพาร์ทเนอร์สุดครีเอทสำหรับแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากเกาหลีใต้อย่าง Innisfree ที่ขอกระโดดลงมาเล่นอะไรใหม่ ๆ ด้วยการจับมือกับ GrabPay แพลตฟอร์มการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของ Grab เพื่อโปรโมตแบรนด์ในสิงคโปร์ 

โดย Innisfree เลือกนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมโปรโมชั่นผ่าน GrabCar ที่ได้รับการตกแต่งเป็นพิเศษด้วยภาพดอกซากุระบนเกาะเชจูจำนวน 80 คันในสิงคโปร์ ซึ่งหากผู้ใช้บริการ Grab กดเรียกรถแล้วได้พบกับรถยนต์เหล่านั้นจะสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์ Jeju Cherry Blossom Tone-up Cream และได้รับตัวอย่างผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากซากุระเชจูในระหว่างการเดินทางโดยการสแกน QR Code ผ่านแอป Grab  

ไม่เพียงเท่านั้น จากการเปิดเผยของ Gary Wong หัวหน้า GrabPay Singapore ระบุว่า ยังมีความร่วมมือพิเศษและโปรโมชั่นอื่นๆ อีกมากมายตามมาด้วย หนึ่งในนั้นคือ โปรแกรมรอยัลตี้ GrabRewards ที่ผู้ใช้สามารถใช้ GrabPay เพื่อชำระเงินที่ร้าน Innisfree ได้แทนเงินสด

Koo Ae Ran รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Innisfree กล่าวว่า การเป็นหุ้นส่วนกับ GrabPay ทำให้ Innisfree สามารถสร้าง touchpoints ใหม่ ๆ และเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งบริษัทคาดว่าความร่วมมือนี้จะถูกใจสาวๆ นักช้อปผู้รักสวยรักงามแน่นอน 

Source

 

พริงเกิลส์ X เถ้าแก่น้อย East Meets West ผนึกกำลังลุยตลาดไทยและทั่วเอเชีย [PR]

$
0
0

ตลาดสแน็คสะเทือนสองยักษ์ใหญ่ พริงเกิลส์เถ้าแก่น้อยผนึกกำลังสร้างโรดัส์ จากรสชาติสุดฮิต สู่การปิดตัว รสชาติใหม่! ผสานความเป็นตะวันตกและเอเชียได้อย่างลงตัว พร้อมบุกตลาดทั่วเอเชีย 

เรียกเสียงฮือฮาในตลาดขนมขบเคี้ยว และการจับตาความเคลื่อนไหวของสองค่ายยักษ์ใหญ่เป็นอย่างมาก กับการจับมือร่วมกัน หรือ CoBranding ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกระหว่างอันดับ 1 แห่งมันฝรั่งกระป๋องอย่าง พริงเกิลส์” (Pringlesสแน็คสัญชาติอเมริกัน และ เถ้าแก่น้อย” เจ้าตลาด สาหร่ายปรุงรส อันดับ ของไทย ที่ผนึกกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ รสชาติ ด้วยคอนเซ็ปต์ East Meets West เพื่อนซี้ความอร่อยที่ลงตัว เตรียมลุยตลาดไทยและทั่วเอเชีย

นายอวนิช บาจาจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคลล็อกส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย พริงเกิลส์ (Pringles) กล่าวว่า พริงเกิลส์ เป็นมันฝรั่งกระป๋องที่ครองใจคนทั่วโลกมากว่า 40 ปี ด้วยรูปทรงอานม้าอันเป็นเอกลักษณ์  ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในช่วงยุคต้น 90 ด้วยการเปิดตัวในยุโรป เอเชีย และอเมริกาใต้ และขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังตะวันออกลางและแอฟริกา โดยในปัจจุบัน   มันฝรั่งพริงเกิลส์ กลายเป็นของว่างที่เป็น Top of Mind ของผู้คนทุกเพศทุกวัย วางจำหน่ายกว่า 140 ประเทศทั่วโลกและมีรสชาติที่ถูกพัฒนาไปตามความต้องการของแต่ละท้องถิ่นกว่า 140 รสชาติ โดยรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคือ พริงเกิลส์ รสซาวครีม และหัวหอม (Sour Cream & Onionสำหรับตลาดมันฝรั่งในประเทศไทย พริงเกิลส์ ได้เข้ามาแนะนำตัวให้คนไทยรู้จักได้ราว 15 ปี รวมทั้งเราเป็นแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาสินค้าและรสชาติ จึงมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีความเป็น Top of Mind ครองใจคนไทย และเข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของการ CoBranding ครั้งยิ่งใหญ่ ร่วมกันกับ เถ้าแก่น้อย’ ซึ่งเป็นสาหร่ายปรุงรสยอดขายอันดับ ในประเทศไทย

พริงเกิลส์ และเถ้าแก่น้อย จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อแชร์ประสบการณ์และสูตรของรสชาติที่ได้รับความนิยม มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดมันฝรั่งกระป๋อง และอันดับ ในตลาดสาหร่ายปรุงรส ด้วยต้องการยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคให้ได้ลองรสชาติที่แปลกใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกใจและ ถูกปากกลุ่มลูกค้า จึงทำการคิดค้นพัฒนาสุดยอดผลิตภัณฑ์ ที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและเอเชีย   ได้อย่างลงตัว ด้วย รสชาติใหม่ โดยดึงรสชาติยอดนิยมของแต่ละแบรนด์ ออกมาเป็น พริงเกิลส์ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อยคลาสสิก (Classic Seaweed)พริงเกิลส์ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อย เผ็ด (Hot & Spicy Seaweed) และ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย  รสพริงเกิลส์ ซาวครีมและหัวหอม (Sour Cream & Onion)

สำหรับภาพลักษณ์ของพริงเกิลส์ หลังจาก CoBranding ร่วมกับเถ้าแก่น้อยนั้น อวนิช กล่าวว่า ที่ผ่านมา พริงเกิลส์มีแต่รสชาติสำหรับคนตะวันตกมาตลอด การร่วมงานกันกับเถ้าแก่น้อยครั้งนี้ เราคาดหวังว่า น่าจะสามารถเจาะกลุ่มคนไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น โดยรสชาติที่เราเลือกมาเป็นรสยอดนิยมที่สุดของเถ้าแก่น้อย ซึ่งนอกจากเราจะได้มิตรภาพที่ดีจากแบรนด์ สาหร่ายปรุงรสอันดับหนึ่งของไทยแล้ว เราหวังว่าพริงเกิลส์จะส่งสัญญาณความเป็นมิตร และเป็นเพื่อนสนิทให้กับตลาดเมืองไทยมากขึ้น ด้วยการนำเสนอของว่างอย่างมันฝรั่งคุณภาพภายใต้รสชาติที่คุ้นเคยให้คนไทย

นายสมิทธิ จีรนันทน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการร่วมงานครั้งแรกกับพริงเกิลส์ ว่า เถ้าแก่น้อยรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคำชวนจากทางพริงเกิลส์ ให้มาทำงานร่วมกัน เพราะแบรนด์เถ้าแก่น้อยเองก็เป็นสาหร่ายที่มียอดขายเป็นอันดับ รสชาติถูกปากคนไทย และมีจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ชอบความแปลกใหม่ ดังนั้นทางเถ้าแก่น้อยเองก็มีการนำเสนอสิ่งใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการออกสินค้ารสชาติใหม่ เถ้าแก่น้อยรสพริงเกิลส์ ซาวครีมและหัวหอม  ภายใต้คอนเซ็ปต์ East Meets West ถือเป็นอะไรที่ตอบโจทย์เรามาก เพราะเราเองก็ต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคอยู่แล้ว การได้สูตร Sour Cream & Onion ที่เป็นรสชาติยอดนิยมของแบรนด์พริงเกิลส์ที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 40 ปี ยิ่งทำให้เราตื่นเต้น และหวังว่าความแปลกใหม่นี้น่าจะครองใจแฟนชาวไทยและเอเชียของเถ้าแก่น้อย  อีกทั้งเรายังหวังว่าการ CoBranding ครั้งนี้จะสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าต่างชาติ อาทิ แถบยุโรป อเมริกา แอฟริกา ที่มาท่องเที่ยวในเอเชีย และยังไม่เคยรู้จักหรือลองแบรนด์เถ้าแก่น้อยอีกด้วย”   

สำหรับด้านการทำการตลาดนั้น นายสมิทธิ กล่าวต่อว่า ในการทำตลาดของสินค้า 3 รสชาติใหม่นี้ ทางพริงเกิลส์และเถ้าแก่น้อยได้มีทำการตลาดร่วมกัน ทั้งในการทำหนังโฆษณาในสื่อดิจิทัล และการทำแจกชิมสินค้านอกสถานที่ และยังมีการโปรโมชั่นในห้างร้านเพื่อสนับสนุนการเปิดตัวของเราอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อโปรโมทการรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ของเราครับ เรามั่นใจมากว่าสินค้าใหม่ของเราจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวในปี  2562 คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยตลาดมันฝรั่งทอดกรอบมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 12,499 ล้านบาท เติบโต 14.3% ทั้งนี้พริงเกิลส์ถือครองตลาดมันฝรั่งกระป๋องเป็นอันดับ อยู่ที่ 90โดยรสชาติที่ขายดีที่สุดคือ รสซาวครีมและหัวหอม ในขณะที่ตลาดสาหร่ายปรุงรสมีมูลค่าตลาดที่ 3,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยถือครองส่วนแบ่งตลาดที่ 70% เติบโตจากเดิม 5% โดยมีสินค้าเด่นในปี 2562 ได้แก่ สาหร่ายย่าง เถ้าแก่น้อย BigRoll ที่เติบโตมากกว่า 40%  และเถ้าแก่น้อยเทมปุระไข่เค็ม ที่เพิ่งฉลองยอดขาย ล้านซองทั่วโลกไปเมื่อเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา

สำหรับ พริงเกิลส์ และ เถ้าแก่น้อย รสชาติใหม่ พริงเกิลส์ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อยคลาสสิก (Classic Seaweed)พริงเกิลส์ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อย เผ็ด (Hot & Spicy Seaweed) และ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย รสพริงเกิลส์ ซาวครีมและหัวหอม (Sour Cream & Onion) สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา #PringlesxTaokaenoi #TaokaenoixPringles #เพื่อนซี้ความอร่อยที่ลงตัว 

เมืองไทย โบรกเกอร์ เปิดตัว gettgo เว็บไซต์ประกันออนไลน์สำหรับคนยุคดิจิทัล [PR]

$
0
0

เมืองไทย โบรกเกอร์ เปิดตัว เว็บไซต์ www.gettgo.com หรือ “gettgo”  อย่างเป็นทางการ ประกาศเดินหน้าบุกตลาดประกันออนไลน์เต็มรูปแบบ พร้อมเปิดโฉมภาพลักษณ์สุดสดใสและฟีเจอร์ชี้จุดเด่นเห็นจุดต่าง ซื้อง่าย เลือกง่ายกว่าเดิม ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุคดิจิทัล ชูจุดยืนในการเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ที่เข้าใจทุกความต้องการของคนรุ่นใหม่  

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า โลกในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยังได้เข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้นธุรกิจจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากมองในอีกมุมหนึ่ง การถูก Disrupt ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ท้าทายในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคนี้ได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อคิดค้น นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ พร้อมช่วยขจัดปัญหาที่ลูกค้าต้องเผชิญ (Pain Point)ได้อย่างตรงจุด โดยแบ่งการให้บริการออกเป็น 3  ด้าน ได้แก่  ด้านออนไลน์   ซึ่งให้บริการผ่านเว็บไซต์ www.gettgo.com บริการลูกค้าที่ซื้อผ่านออนไลน์  ด้านบริการแบบ Face 2 Face ผ่าน gett More  และบริการด้านเทคโนโลยีผ่าน gett Tech 

ด้านนายธนัท จักรวัฒนา กรรมการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด กล่าวว่า  เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวเว็บไซต์ www.gettgo.com หรือ “gettgo อย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงจุดยืนในการเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบ

และซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็น ประกันเดินทาง ประกันรถยนต์ บนแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สามารถเปรียบเทียบให้เห็น “จุดเด่น” และ “จุดต่าง” ของผลิตภัณฑ์แต่ละแผนได้อย่างชัดเจน และซื้อได้ครบ จบในเว็บเดียว 

ทั้งนี้ gettgo ยังได้เปิดโฉมภาพลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนได้อย่างแตกต่างผ่านสีสันสดใสและรูปแบบของเว็บไซต์ที่ดูทันสมัยเข้าถึงได้ง่าย ปลอดภัย  โดยสามารถเลือกซื้อได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงเข้าเว็บไซต์ www.gettgo.com  เมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ลูกค้าจะพบกับขั้นตอนการดำเนินงานแบบง่าย ๆ ที่สามารถดำเนินการทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบได้ด้วยตัวเอง เริ่มตั้งแต่การเช็คเบี้ยประกันภัยจากบริษัทประกันภัยคู่ค้า เปรียบเทียบความคุ้มครอง จนถึงขั้นชำระเงิน และรับกรมธรรม์ผ่านทางอีเมล ซึ่งตอบโจทย์และเหมาะกับคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวฟีเจอร์ “gettgo recommendation” สำหรับการเปรียบเทียบความคุ้มครอง ที่จะทำให้คุณ gett แล้ว ก็go เลยได้ทันที ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึง จุดเด่นของแต่ละแผนความคุ้มครอง   อย่างชัดเจน เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อแผนประกันภัยตามความต้องการได้อย่างตรงจุดอีกด้วย

นายธนัท กล่าวว่า gettgo ได้วางกลยุทธ์ในการบุกตลาดประกันออนไลน์อย่างเต็มที่ พร้อมเตรียมเปิดตัวหนังโฆษณาจำนวน 2 ชุด เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดยหนังจะสื่อให้เห็นถึงการมีดวงตาที่มองเห็นความแตกต่างของแบบประกันต่างๆ สอดคล้องกับจุดยืน “รู้จุดเด่นเห็นจุดต่าง เรื่องประกันออนไลน์” นั่นเอง

โดยโฆษณาชุดแรก  จะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มผู้ที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ โดยหนังจะถ่ายทอดให้เห็นถึงความเหมือนที่แตกต่างของประกันรถยนต์ ซึ่ง gettgo จะเป็นคนบอกให้เห็นถึงความแตกต่างที่ใครก็มองไม่เห็นนั้นเอง   ส่วนโฆษณาชุดที่สอง จะเน้นเจาะกลุ่มประกันการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือ เพื่อไปศึกษาต่อ ที่กำลังมองหาแบบประกันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่อาจแยกไม่ออกว่าแบบไหนคือแบบที่ใช่ gettgo จะช่วยคุณหาคำตอบนั้นเอง โดยหนังโฆษณาดังกล่าวจะเผยแพร่ผ่านช่องทาง ออนไลน์และ Out of Home ตั้งแต่ในวันที่ 15 กันยายน 2562 นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในโอกาสฉลองเปิดตัว gettgo อย่างเป็นทางการ จึงขอมอบส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้าซื้อประกันภัยรถยนต์และประกันภัยการเดินทาง ไม่ว่าจะรถยนต์ยี่ห้อไหนรุ่นไหน เดินทางไปประเทศไหน เพียงซื้อผ่าน เว็บไซต์ www.gettgo.com รับทันทีส่วนลด 10% โดยไม่ต้องใช้ Promotion Code เริ่มแคมเปญตั้งแต่ วันที่ 9 กันยายน ถึง 31ธันวาคม 2562 นี้ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

“เราตั้งเป้าหมายให้ gettgo เป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ เข้าใจคนรุ่นใหม่ ที่หลายคนอาจรู้สึกว่าประกันเป็นเรื่องซับซ้อน เข้าใจยาก เข้าถึงยาก แต่เราจะเปลี่ยนให้เรื่องประกันไม่ยากอีกต่อไป พร้อมสร้างความแตกต่างด้วยฟีเจอร์ที่เราสร้างขึ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าโดยเฉพาะ โดยปัจจุบันเรามีบริการด้านประกันการเดินทาง ประกันรถยนต์ พ.ร.บ. รถยนต์ และประกันคอนโด ซึ่งเรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้าหมายในปีนี้จะมีผู้เข้าใช้บริการเว็บไซต์มากกว่าล้านราย และในอนาคตเรายังเตรียมที่จะขยายบริการไปยังประกันชีวิตและสุขภาพเพิ่มอีกด้วย” นายธนัท กล่าว


“คาราบาว”รับรางวัล Drive Award 2019 จากคณะบัญชี จุฬาฯ [PR]

$
0
0

กมลดิษฐ สมุทรโคจร (ขวาสุด) รองกรรมการผู้จัดการ และ Chief Operations Officer (CPO) บริษัท
คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัล Drive Award 2019 Excellence” สาขา Agro & Food Industry จาก ผศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร (กลาง) คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ชาติชาย พยุหนาวีชัย (ซ้ายสุด) นายกสมาคมนิสิตเก่าเอ็มบีเอ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ซึ่งมอบให้แก่องค์กรที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม พร้อมขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจของประเทศในประเภทต่าง ๆ จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าเอ็มบีเอ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อไม่นานมานี้

“แฟมิลี่มาร์ท” คัดสรรขนมไหว้พระจันทร์ต้นตำรับแท้ครองใจคนไทย  พร้อมเคียงคู่คุณตลอด 24 ชั่วโมง [PR]         

$
0
0

กลับมาอีกครั้งกับเทศกาลสำคัญ บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด จับมือ เอสแอนด์ พี ผู้ผลิตขนมไหว้พระจันทร์ที่สามารถครองใจคนไทยมานานกว่า 31 ปี ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับการคัดสรร 3 เมนูขนมไหว้พระจันทร์ยอดนิยม พร้อมชูเซตพรีเมี่ยมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 1,000 กล่อง เฉพาะแฟมิลี่มาร์ท ตอบสนองไลฟ์สไตล์การบริการของกลุ่มลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง คาดเติบโต  20%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่หรือกลุ่ม Gen Y ที่มีอายุ 20-36 ปี โดยส่วนใหญ่ซื้อไปรับประทานและเป็นของฝาก ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดขนมไหว้พระจันทร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง จึงเป็นโอกาสและความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการขนมไหว้พระจันทร์หลายราย ที่จะต้องสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ในด้านรสชาติ ประเภทของไส้ ผสานเข้ากับรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ที่มีความพิเศษ โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อให้สามารถมัดใจกลุ่มลูกค้าได้ ในช่วงเวลาจำหน่ายสั้นๆ

นางสาวฤดี เอื้อจงประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด กล่าวว่า แฟมิลี่มาร์ทและเอสแอนด์พี ได้ผนึกจุดแข็งของคู่ค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่สร้างความโดดเด่น ทั้งด้านรสชาติ ประเภทของไส้ ได้แก่ ไส้บัวคาราเมล ไส้หมอนทองไข่ และพิเศษสุดกับไส้แครนเบอร์รี่ & เอิร์ลเกรย์ ที่มีขายเฉพาะแฟมิลี่มาร์ทที่เดียว ในส่วนของรูปแบบการนำเสนอผ่านรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ ทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกยุคใหม่ที่สามารถเลือกซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้คอนเซปต์ Fresh Fun & Friendly

นางสาวฤดี กล่าวเสริม สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ในปัจจุบันนิยมซื้อไปรับประทานเป็นของว่างและเป็นของขวัญ ของฝาก แฟมิลี่มาร์ท จึงได้ให้ความสำคัญและออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยลูกค้าสามารถเลือกความหมายส่งแทน ความรู้สึก ให้กับคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือ คนรู้ใจ ได้แก่ กล่องสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของ ความมงคล ความโชคดีและความสุข ปลาทอง ถือเป็นสัตว์มงคลที่ช่วยเสริมดวงชะตาตามความเชื่อชาวจีน เป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย กล่องสีเหลือง ตามความเชื่อของคติจีนกล่าวว่า กระต่ายเป็นสัตว์ที่ให้คุณในเรื่องของการบำบัดรักษาโรค กล่องสีเขียว นกยูงจึงเป็น

สัญลักษณ์ของความรักและความเมตตา และไฮไลท์สำหรับปีนี้คือ เซตพรีเมี่ยมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 1,000 กล่อง มีขายเฉพาะแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งเป็นกล่องลวดลายนกกระเรียน โดยชาวจีนมีความเชื่อว่าถ้าตั้งสัญลักษณ์นกกระเรียนเอาไว้ในบ้านหรือมอบให้กับคนที่เรารักจะช่วยส่งผลให้คนสูงอายุในบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรงและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย

พิเศษ สำหรับลูกค้า The 1 รับส่วนลดเมื่อซื้อขนมไหว้พระจันทร์ ไส้บัวคาราเมลราคา 109 บาท จากปกติราคา 128 บาท /ไส้หมอนทองไข่ราคา 109 บาท จากปกติราคา 125 บาท /ไส้แครนเบอร์รี่ & เอิร์ลเกรย์ราคา 99 บาท จากปกติราคา 112 บาท ระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันนี้24 กันยายน 2562 และเมื่อซื้อครบ 4 ชิ้น รับฟรีกล่องเหล็กหรือกล่องกระดาษ สามารถสั่งจองสินค้า ได้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 พร้อมรับสินค้าแล้ววันนี้ – 13 กันยายน 2562 ที่แฟมิลี่มาร์ททุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : FamilyMart Thailand Line Official: FamilyMart Thailand และ www.familymart.co.th

FINE รับสมัครรุ่นที่ 9 คอร์สเรียนธุรกิจล้ำกว่าคอร์สไหนๆ ยกระดับจ่ายค่าเรียนด้วย Crypto Currency

$
0
0

“การเรียนรู้” ยุคใหม่ต้องครบทั้งองค์ความรู้ด้านธุรกิจ (Business Skills) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ทักษะด้านเทคโนโลยี (Technology) และ การต่อยอด (Connection) รวมเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่พร้อมจะก้าวสู่สนามธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แนวคิดของหลักสูตรการเรียนยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่ ‘ความรู้’ แต่ต้องบอกให้ได้ถึง Trend ในอนาคต การประเมินโอกาสเตรียมพร้อม  และรวมไปถึง ‘การปรับตัว’ ในฐานะผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่

Future Innovative Entrepreneurs (FINE) หลักสูตรเรียนนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เดินทางมาถึงรุ่นที่ 9 จากจุดเริ่มต้นของ 3 เพื่อนซี้ บูม – ปณิธิ อินทราวุธ, จา – วศิน วินิชบุตร และ แทน – ธนดลจันทรลาวัณย์ ในวัย 30 ต้นๆ ที่ผ่านประสบการณ์การเป็นผู้บริหารอายุน้อยในองค์กรการเงินมาก่อนจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การก้าวไปสู่ความสำเร็จของผู้บริหารรุ่นใหม่นั้นต้องครบองค์ประกอบในเรื่องใดบ้างจนนำไปสู่การสร้างสรรค์หลักสูตร FINE ขึ้นในไทย

จุดเด่นสำคัญหลักสูตรนี้อยู่ที่การออกแบบคอร์สซึ่งมาจากแนวคิดว่า การทำธุรกิจให้สำเร็จในยุคนี้ต้อง  Mix Business with Pleasure and Passion จึงจะทำให้สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน FINE จึงมีการเรียนแบบ Active Learning ผ่านการ Workshop และพัฒนาโปรเจกต์ขึ้นจริง โดยเนื้อหาเจาะลึกความรู้ใหม่ๆที่จำเป็นในโลกธุรกิจยุคนี้ ทั้ง Disruptive Technology พฤติกรรมผู้บริโภค กฏหมาย การเงิน การบริหารคน รวมถึงแนวคิดการสร้าง Business Model ให้เกิดขึ้นจริง

และที่สำคัญยัง สอนติดอาวุธทางเทคนิคอื่นๆ อาทิ การสร้างแบรนด์ การบริหารคอนเทนต์ของแบรนด์การตลาดยุคใหม่ การสร้างนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ความรู้ด้านกฏหมายตลอดจนการนำเสนอแผนธุรกิจให้กับนักลงทุนหรือ Pitching เป็นต้น

อีกหนึ่งความพิเศษของหลักสูตรมาจาก ‘วิทยากร’ และ ‘โค้ช’ ที่ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จจากหลากหลายวงการทั้ง Startup, SME, High Technology และ Traditional  มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์  เช่น  หมู-ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้ง Ookbee และ 500 TukTuks, จูน-จุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้นำ Grab เข้ามาในเมืองไทย , วุ้นเส้น วิริฒิภา ภักดีประสงค์ เจ้าของแบรนด์ Sewa ,มิค บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ เจ้าของธุรกิจ่ไข่เยิ้ม by Mick , อั๋น ภูวนาท คุนผลิน ทายาท The Chaophraya Cruise ,ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล เจ้าของ ESC Studio ธุรกิจกว่า 600 ล้าน , แป๋ม  ปิยะดา ปุณณกิติเกษม Food Blogger ชื่อดัง เจ้าของเพจ PP Gallery  และอีกหลายท่านที่หมุนเวียนกันมาให้ความรู้กันในคลาสเรียน

ทั้งนี้บรรยากาศและความสัมพันธ์ของผู้เรียน เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการเรียนยุคใหม่ที่นำไปสู่การพัฒนา ‘คอนเนคชั่น’ใหม่ๆ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ FINE ยังเป็นคลาสเรียนที่เปิดรับนักเรียนเพียง 50 คนต่อรุ่น สร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง และเพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการดูแลและคำแนะนำจากโค้ชทุกคนได้อย่างทั่วถึง โดยในทุกๆ รุ่น FINE จะจับมือกับบริษัทชั้นนำต่างประเทศ เพื่อพานักเรียนทุกคนไปศึกษาดูวิธีการทำงานในสถานที่จริง

ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการเรียนในหลักสูตร FINE นับเป็นเรียนรวม 12 ครั้ง โดยใช้เวลาเฉพาะวันเสาร์ แต่ละสัปดาห์ก็จะสอนไปทีละจุดโดยมุ่งเน้นในด้านการผลิตไอเดียธุรกิจใหม่ๆ และวิธีการคิดที่แตกต่าง ในช่วงท้ายของการเรียนได้จัดให้มีกิจกรรม Pitchday ขึ้นมา

โดยที่ผู้เรียนจะได้มีโอกาสนำเสนอแผนธุรกิจ Startup ต่อหน้านักลงตัวจริงที่จะมารับฟัง และให้คำแนะนำถึง ‘โอกาส’ และความเป็นไปได้จริงของแผนธุรกิจที่นำเสนอ ซึ่งในรุ่นที่ผ่านมาก็มีนักเรียน FINE ที่สร้างธุรกิจใหม่โดยการจับมือกันกับเพื่อนๆ ในคลาสและระดมทุนได้จริงจนเกิดเป็น Startup product/service แล้วเป็นผลสำเร็จก็คือ VitaBoost , Avagard และ Snootpet

ประสบการณ์การเรียนในรูปแบบใหม่นี้กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งใน FINE รุ่นที่ 9 ในวันที่ 21 กันยายน -30 พฤศจิกายน 2562 โดยเรียนทุกวันเสาร์ ที่ Grande Center Point (Sukhumvit 55) ตั้งแต่เวลา 13.00 – 17.30 น. พร้อมกับทริปดูงานต่างประเทศ Osaka , Japan ในช่วง 17-20 ตุลาคม 2562

การทำธุรกิจในยุคที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง นักธุรกิจต้อง Think Different ก้าวให้ทัน Technology และมี Connection ที่ดีเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ได้ เพื่อสร้าง ‘โอกาส’ และ ‘ความสำเร็จ’ ในแนวทางใหม่

พิเศษ..ครั้งนี้สามารถชำระเงินค่าเรียนได้ด้วย Crypto currency

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/futureisfine/

สมัครที่นี่ https://futureisfine.com/apply-now/

พิเศษ ! หากแจ้งว่า ดูบทความมาจาก Brand  Buffet ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10 % จากราคาปกติ 

 

ทีวีดิจิทัล หลัง ‘จอดำ’ครบ 7 ช่อง คนได้ไปต่อเร่งปรับโฉม-ผังรายการ รับ Landscape เปลี่ยน

$
0
0

ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2562 นี้ ทั้ง 7 ช่องทีวีดิจิทัล ที่ตัดสินใจคืนใบอนุญาตให้กับทาง กสทช. จะจอดำครบทุกช่องแล้ว หลังจากมีประกาศคำสั่งจากทาง คสช. ฉบับที่ 4/2562 ที่เปิดทางให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล สามารถคืนช่องได้ พร้อมทั้งยังสามารถได้รับเงินชดเชย ที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา

จนกระทั่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 มีผู้ประกอบการจาก 7 ช่องทีวิดิจิทัล ยื่นความจำนงที่จะขอคืนใบอนุญาต ประกอบด้วย

– ในกลุ่มช่องเด็กและเยาวชน จำนวน 2 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 Family และช่อง MCOT Family

– กลุ่มช่องข่าว จำนวน 3 ช่อง ได้แก่ ช่องสปริงส์นิวส์ ช่อง Bright TV และช่อง VOICE TV

– ช่อง SD จำนวน 2 ช่อง SPRING 26 และช่อง 3SD 

โดยมี 3 ช่อง คือ Spring 26, Spring News และ Bright TV เป็น 3 ช่องแรกที่นำร่องยุติการออกอากาศไปก่อนหน้าตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2562 และประเดิมต้นเดือนใหม่ 1 กันยายน 2562 ด้วย VOICE TV ช่อง 21 ที่จะยุติการออกอากาศบนดิจิทัลทีวี แต่ย้ายไปอยู่ในแพลตฟอร์มใหม่อย่างเคเบิลทีวีและออนไลน์ โดยยังมีอีก 2 ล็อตที่เหลือ คือ ในช่วงกลางเดือนนี้วันที่ 16 กันยายน ช่อง MCOT Family จะยุติการออกอากาศ และในสิ้นเดือน 31 กันยายน อีก 2 ช่อง คือช่อง 3SD และ 3Family จะออกอากาศเป็นวันสุดท้าย และจะยุติการออกอากาศครบทั้ง 7 ช่องที่ขอคืนใบอนุญาตจากทาง กสทช. ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่จะะถึงนี้

ทำให้หลังจากเดือนนี้ไปจะมีช่องทีวีดิจิทัล เหลืออยู่จำนวน 15 ช่อง เนื่องจากช่อง Thai TV และ LOCA ได้ยุติการออกอากาศไปก่อนหน้านี้แล้ว ​โดยทั้ง 15 ช่องที่ยังเลือกจะไปต่อในสนามทีวีดิจิทัลนี้ เป็นช่องข่าว​ 3 ช่อง ได้แก่ TNN , NEW 18 และ Nation TV ​ช่อง SD​ จำนวน 5 ช่อง ได้แก่ ช่องเวิร์คพอยท์, True4U, GMM25 ช่อง 8 และ Mono 29 ส่วนช่อง HD ยังอยู่ครบทั้ง 7 ช่องเหมือนเดิม คือ ช่อง 9 MCOT HD, ช่อง One, ไทยรัฐทีวี, 3HD, AMARIN TV,ช่อง 7HD ขณะที่ช่องเด็กและเยาวชนนั้น หายไปยกทั้งแผง

เมื่อแลนด์สเคปเปลี่ยนใหม่อีกครั้งหลายๆ ช่อง จึงประกาศกลยุทธ์รับมือ เพื่อเตรียมทัพในศึกครั้งใหม่ ที่ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังคงต้องดูสถานการณ์ยาวๆ ว่าหลังจากทีวีดิจิทัลไทย เหลือเพียง 15 ช่องธุรกิจ และอีก 4 ช่องสาธารณะ จะเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บและบาดแผลต่างๆ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แลนด์สเคปใหม่นี้ในทิศทางอย่างไรต่อไป  ​​

NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

EIC คาดส่งผลเป็นบวก

ความเห็นจาก EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ มีมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า ในระยะสั้น การคืนใบอนุญาตของทั้ง 7 ช่องจะส่งผลบวกต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก รายได้จากการโฆษณาของทีวีดิจิทัลทั้ง 7 ช่องในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนเฉลี่ยต่ำกว่า 5% ของมูลค่าโฆษณาทางทีวีทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นภาวะเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศที่ผันผวนในช่วงของปี 2019 รวมถึงการปรับราคาโฆษณาทีวีสูงขึ้นกว่า 4% ส่งผลให้บริษัทห้างร้านและเจ้าของผลิตภัณฑ์ชะลอการลงเม็ดเงินโฆษณาออกไป โดย Nielsen ประเมินว่าเม็ดเงินในการโฆษณาทางทีวีในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 มีการปรับลดลงราว 1% YOY มาอยู่ที่ราว 3.3 หมื่นล้านบาท

ส่วนระยะกลาง คาดว่า ผู้ประกอบการที่เหลืออยู่จะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีขึ้นจากเม็ดเงินโฆษณาจากกลุ่มทีวีโฮมช๊อปปิ้งที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการปรับกลยุทธ์ ในปี 2018 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจทีวีโฮมช๊อปปิ้ง เช่น TV Direct, Sanook Shopping, O Shopping มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงโฆษณาจากแบบช่วงเวลาเป็นการโฆษณาขายสินค้าตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาของธุรกิจทีวีโฮมช๊อปปิ้งเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2.5 พันล้านบาทต่อปี เม็ดเงินเหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของช่องทีวีดิจิทัล และผู้ประกอบการทีวีโฮมช๊อปปิ้งหน้าใหม่จำนวนมากที่แข่งขันกันทำตลาดส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลส่วนใหญ่ต่างมีแผนปรับกลยุทธ์ซื้อคอนเทนท์ใหม่ ๆ จากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศเพื่อชิงเรทติ้งผู้ชมและเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นราว 30% คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 8 พันล้านบาทในปี 2019 แทนการผลิตคอนเทนท์เองที่มีต้นทุนสูงกว่า ทำให้มีรายจ่ายที่ลดลงและมีผลกำไรที่ดีขึ้น รวมทั้งมีการปรับสัดส่วนโครงสร้างธุรกิจโดยขยายช่องทางการรับชมผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้นสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางในการสร้างรายได้และต่อยอดในการทำธุรกิจในอนาคต

MI ประเมินไม่มีผลต่อเรตติ้งหรือ Eyeball ​

ด้านความเห็นจากมีเดียเอเจนซี่ โดย คุณภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI  ให้ข้อมูลว่า การลดจำนวนช่องลง 7 ช่อง ไม่ได้มีนัยยะสำคัญให้เรตติ้งหรือจำนวนคนดูทีวีเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ช่องที่ปิดตัวไม่ใช่ช่องหลักของคนดูทีวีอยู่แล้ว มีเพียงช่อง 3SD ที่อาจจะส่งผลให้คนตามไปดูคอนเทนต์ที่ย้ายไปช่อง 33 บางส่วน ขณะที่การดูทีวีในปัจจุบันส่วนหนึ่งเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการดูไปดูผ่านออนไลน์ ขณะที่บางส่วนก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ดูทีวีเป็นประจำอยู่แล้วซึ่งก็คงไม่หันกลับมาดูทีวีเช่นเดิม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการยุติการออกอากาศของ 7 ช่อง อาจจะส่งผลต่อการจัดอันดับเรตติ้งของช่องในกลุ่ม Top 10 ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะหลังจากกลุ่ม Top 5 ลงมา ที่จะมีการขยับอันดับกันมารายละ 1-2 ตำแหน่ง  โดย Top 5 ยังคงเป็นรายเดิม คือ ช่อง7 , ช่อง 3, โมโน, เวิร์คพ้อยท์ ,ช่องวัน ตามลำดับ ส่วนอันดับ 6 -10 เรียง จะเรียมลำดับตามนี้ ไทยรัฐทีวี, อมรินทร์ทีวี, ช่อง 8, ช่องเนชั่น และช่อง 9 MCOT

ส่วนอานิสสงส์จากการได้ Eyeball หรือฐานคนดูที่เพิ่มขึ้น จะมีการย้ายไปยังช่องที่มีกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียงกัน เช่น ในกลุ่มช่องเด็ก อย่างช่อง 13  หรือช่อง 3 แฟมิลี่ จะย้ายไปยังช่อง 3 HD (ช่อง 33), ช่อง 9 MCOT แฟมิลี่ จะย้ายไปยัง MCOT HD (ช่อง 30)

ส่วนในกลุ่มช่องข่าวอย่าง สปริงนิวส์ จะย้ายไปช่องเนชั่น ส่วนไบร้ท์ทีวี และว้อยซ์ทีวี ซึ่งจะยุติการออกอากาศเฉพาะดิจิทัลทีวี แต่จะมีการเปลี่ยนไปเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งช่องข่าวที่จะได้รับฐานคนดูของสองช่องนี้น่าจะเป็นไทยรัฐ ส่วนช่องวาไรตี้ อย่างสปริง 26 จะคาบเกี่ยวฐานเดียวกับช่อง MCOT HD, เนชั่นทีวี และอมรินทร์ ส่วนช่อง 3SD (ช่อง 28) ผู้ชมน่าจะย้ายไปดูช่อง 3 HD หรือ ช่อง 33

“เมื่อช่องน้อยลง โดยเฉพาะช่องที่ยุติการออกอากาศไปซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าโฮมช้อปปิ้ง เพราะมีช่วงเวลาเหลือมากพอให้สินค้ากลุ่มนี้ทำรายการได้ ประกอบกับเมื่อช่องเหล่านี้หายไป ช่องหลักๆ ที่เหลือก็อยู่ระหว่างการจัดสรรเวลาของช่องให้ลงตัว โดยเฉพาะการจัดสรรคอนเทนต์ที่ยังมีศักยภาพในช่องที่ปิด ไปสู่ช่องอื่นๆ ทั้งในเครือหรือนอกเครือ โดยเฉพาะ ช่อง 33 ที่ต้องรองรับคอนเทนต์จากทั้ง  2 ช่อง ทำให้ไม่น่ามีแอร์ไทม์เหลือมากนัก​ ทำให้คอนเทนต์โฮมช้อปปิ้งที่ออกอากาศบนดิจิทัลทีวีอาจจะลดจำนวนลงไปกว่าครึ่ง โดยเนื้อหาที่ยังมีให้เห็นส่วนใหญ่จะเป็นรายการของกลุ่มที่เป็นพันธมิตรหรือเป็นเจ้าของช่องทำเอง เช่น ช่อง 8 หรือไทยรัฐทีวีที่มีทีชาแนล โอช้อปปิ้งของแกรมมี่​ เป็นต้น” 

ช่อง 3 ปรับโฉม ทวงคืนพื้นที่ข่าว  

ในส่วนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ก็เริ่มปรับกลยุทธ์รับแลนด์สเคปใหม่ เพื่อหวังอานิสสงส์ได้ฐานคนดูเพิ่ม ด้วยการปรับผัง ปรับโฉม​ เสิร์ฟโปรแกรมเพื่อชิวงชิงฐานคนดู เริ่มด้วยช่อง 3 ที่ประกาศทวงคืนพื้นที่ข่าว ปรับโฉมรายการข่าวใหม่ เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ตั้งแต่วันจันร์ที่ 2 กันยายน เป็นต้นไป ด้วยการเริ่มรายการข่าวตั้งแต่เช้ามืด 04:00 ด้วยรายการ “โลกยามเช้า”  ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 04.00 – 04.30 น.  และ “ครอบครัวข่าว 3” ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 04.30-05.30น.

ทั้งนี้ รายการโลกยามเช้าจะเสริฟข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ทั่วโลกให้ความสนใจในแต่ละวัน เกาะติดสถานการณ์รอบโลกเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจและเข้าถึงครบทุกประเด็นทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโนโลยี รวมถึงแง่มุมวัฒนธรรม ความบันเทิง ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพื่อให้ผู้ชมไม่พลาดข่าวสารต่างประเทศกันตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว ดำเนินรายการโดย “ศมจรรย์ จรุงวัฒน์”  

โดยจะเปิดช่วงแรกกับการติดตามความคืบหน้าของข่าวต่างประเทศประจำวัน การคาดการณ์และการวิเคราะห์ ข่าวที่มีผลกระทบต่อสังคมโลกโดยเลือกเฉพาะทีมีความเชื่อมโยงต่อสถานการณ์ในไทย และช่วงต่างๆ ที่น่าติดตาม อาทิ Morning Teach  ข่าวเทคโนโลยีกับเทรนด์ความรู้ยอดนิยมจากทั่วโลก อัพเดทข่าวสารในแวดวงเทคโลโลยี นวัตกรรมและแอปพลิเคชั่น ที่จะย่อยมามาให้เข้าใจง่าย “โลกเราเช้านี้” นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลก ทั้งในแง่มุมวิชาการ วิถีชีวิต บันเทิง เทคโลโลยี วัฒนธรรมโดยการสัมภาษณ์บุคคลพิเศษทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้ง “โลกบันเทิงยามเช้า” ที่รวบรวมข่าวของเหล่าคนดังในวงการบันเทิง Hollywood และ Asia ผลงานเพลง ภาพยนตร์ใหม่ๆ ของดารานักแสดงที่กำลังเป็นกระแส รวมถึงนำเสนอ 5 อันดับTop 5 ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดประจำสัปดาห์ ตลอดจนการให้คะแนนของนักวิจารณ์  พร้อมมีกิจกรรมร่วมสนุกเพื่อรับของที่ระลึก​

ต่อด้วยรายการ “ครอบครัวข่าว 3”  กับ 1 ชั่วโมงที่อัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสาร โดย 4 พิธีกรมืออาชีพ  นำทีมโดย เอ ดนยกฤตย์ แดงหวานปีสีห์ – นิธินาฏ ราชนิยาม – ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ และ คำรณ หว่างหวังศรี ที่ผู้ชมจะพบกับการสรุปข่าวใหม่และข่าวใหญ่ให้ผู้ชมไม่ตกข่าว รวมถึงประเด็นเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผู้ชมไม่ควรพลาดในรอบวัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรพลาดกับช่วง “เตะผ่าหมาก” โดยทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ และ “คำรณค้นความจริง” กับคำรณ หว่างหวังศรี

พร้อมกันนั้น ช่อง 3 ยังเตรียมรายการข่าวที่พร้อมเสิร์ฟให้กับผู้ชมตลอดทั้งวัน ในทุกช่วงเวลา  เริ่มตั้งแต่ เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง – เรื่องเล่าเช้านี้  – แฟลชนิวส์ – เที่ยงวันทันเหตุการณ์ – เรื่องเด่นเย็นนี้ – ข่าว 3 มิติ – โลกยามเช้าสุดสัปดาห์ และ เรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์

ช่อง 5 อัดผังแน่นทั้งข่าว -วาไรตี้

ขณะที่ช่อง 5 เตรียมนำเสนอรายการใหม่ลงผังเดือน ก.ย. 62 ประเดิมครึ่งปีหลัง ทั้งรายการข่าวและวาไรตี้ ที่มีสาระและบันเทิงควบคู่กัน โดยในส่วนของรายการข่าว อัดแน่นตลอดทั้งวัน ทั้งรายการข่าวภาคเช้า ข่าวภาคเที่ยง ทันข่าวต้นชั่วโมง ฮาร์ดคอร์ข่าว ข่าวภาคค่ำ และ จับประเด็นข่าวร้อน ล่าสุดเอาใจแฟนๆ คอกีฬากับรายการ “กีฬานอกสนาม” ที่จะนำเสนอข่าวแวดวงกีฬาทั้งในและต่างประเทศ ด้วยรูปแบบสาระที่เพิ่มเติมความสนุกสนาน พร้อมกับการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู กีฬาพื้นบ้านของไทย เชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้กีฬาเป็นสื่อกลาง ดำเนินรายการโดย ณฐมน ใบบัว พิธีกรภาคสนาม ติดตามชมได้ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงข่าวกีฬาภาคค่ำ เริ่ม 1 ก.ย. 62

ส่วนผู้ที่ติดตามการลงทุน ทั้งหุ้น เงิน ทอง ไม่ควรพลาดกับรายการ HALFTIME REPORT” ที่จะนำเสนอสถานการณ์การลงทุนและการซื้อขายหุ้นในตลาดโลก พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบรวมถึงข่าวสารที่เกี่ยวกับตลาดการลงทุนของไทย ติดตามชมได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.30-12.00 น. เริ่ม 2 ก.ย. 62

อีกทั้งยังมีวาไรตี้สร้างสรรค์กับ ซิทคอมสั้น “ชุมชนปรองดอง” นำเสนอเรื่องราว ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อนำประเทศไทยก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เมื่อชาวชุมชนปรองดองต้องพบกับสารพัดปัญหา และยุทธศาสตร์ชาติจะช่วยนำพาไปสู่ทางออกอย่างไร โดยจะออกอากาศตลอดเดือน ก.ย. ​ทุกวันจันทร์ ช่วงเวลา ช่อง 5 ข่าวเที่ยง และ ข่าวภาคค่ำ ทุกวันพุธและศุกร์ ช่วงเวลา เช้านี้มีแต่เรื่องดี๊ดี และ ช่อง 5 ข่าวเที่ยง ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเวลา ข่าวภาคค่ำ เริ่ม 2 ก.ย. 62

นอกจากนี้ ยังมีละครสร้างสรรค์เพื่อเด็กและเยาวชน “ไอดินกลิ่นทุ่ง” โดยร่วมผลิตกับ บ.ฟินนาเร่คิดส์ ครีเอทีฟ แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ นำเสนอเนื้อหาที่ส่งเสริมแนวทางการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมสอดแทรกเรื่องราวการละเล่นของเด็กไทยในอดีต ติดตามชมได้ทุกวันจันทร์ เวลา 16.30-17.00 น. เริ่ม 2 ก.ย. 62 

นอกจากนี้ยังมี “อิทธิฤทธิ์เทพนาคา” สำหรับแฟนซีรีส์อินเดีย เรื่องราวเชื่อมโยงระหว่างโลกปัจจุบัน กับมหาภารตะดินแดนแห่งนาคราช อรชุน หนึ่งในนักธนูผู้เก่งกาจ โดยโลกแห่งนาค คือ ความตื่นเต้นที่จะหยุดทุกลมหายใจ เมื่อใดที่ความลับเปิดเผยโลกและคนในครอบครัวต้องเผชิญกับหายนะและอันตราย ศึกระหว่างสองโลกจะมาบรรจบด้วยความเชื่อแห่งนาค และจะก่อให้เกิดพลังมหาศาล ติดตามชมได้ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20-21.20 น.

รวมทั้งซีรีส์ชุดบ้านของเรา ในละคร “ลูกผู้ชายหัวใจทองคำ” ที่กำลังออกอากาศใกล้จะจบ​แล้ว วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.20-21.10 น.

เฮียฮ้อ ​เสริมทีมวางแผนเชิงรุกช่อง 8

สำหรับช่อง 8 ที่มี เฮียฮ้อ- สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เป็นแม่ทัพใหญ่ วางกลยุทธ์บริหารช่องมาตลอด 5 ปี ได้ประกาศแผนธุรกิจเชิงรุก ตั้งเป้าขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปตามเป้าหมายโดยเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทีมช่อง 8 แข็งแกร่ง มุ่งเน้นการบริหารงานเชิงรุก และให้ความสำคัญกับการบริหารองค์กรและบริหารคอนเทนต์ โดยยังเน้นการใช้ทีมผู้บริหารเดิมเข้ามารับตำแหน่งสำคัญ

โดยล่าสุด ช่อง 8 ประกาศแต่งตั้ง นางสาวนงลักษณ์ งามโรจน์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส เทเลวิชั่น จำกัด รับผิดชอบดูแลภาพรวมและบริหารงานของสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 และ ดร.องอาจ สิงห์ลำพอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 รับผิดชอบดูแลภาพรวมและบริหารงานละคร รายการวาไรตี้ และกีฬา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการบริหารช่อง 8​ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะเทน้ำหนักรุกคอนเทนต์ละครเต็มรูปแบบ โดยมุ่งคัดสรรบุคลากรมืออาชีพมากประสบการณ์เข้ามาเสริมทัพขยายทีมอีกเป็นจำนวนมาก

โดยในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปรับแผนกลยุทธ์ ทิศทางการบริหาร “กลุ่มธุรกิจสื่อ” แบบบูรณาการ เชื่อมโยงโครงสร้างคอนเทนต์และการตลาด รวมถึงการสร้างพันธมิตรเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การประกาศแต่งตั้งและมอบหมายงานผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 ท่านในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะทำให้การบริหาร มีความแข็งแกร่งมากขึ้น และสามารถพัฒนาความบันเทิงหน้าจอให้เป็นที่พึงพอใจ ตรงใจผู้บริโภคเป้าหมายของสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ภายใต้สโลแกน “ใครๆ ก็ดูช่อง 8”

VOICE TV ลาจอ 

ในส่วนของ VOICE TV ซึ่งเป็นช่องล่าสุดที่ยุติการออกอากาศต้อนรับเดือนกันยายนนี้ ได้ถ่ายทอดรายการพิเศษ “ร่วมนับถอยหลัง อำลา ‘ทีวีดิจิทัล ช่อง 21’  มุ่งสู่ ‘ออนไลน์’ และ ‘ทีวีดาวเทียม’” ผ่านทางหน้าแฟนเพจ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ช่องทางใหม่ในการออกอากาศทั้งผ่านเว็บไซต์  www.voicetv.co.th Facebook Voice TV และ Youtube Voice TV รวมทั้งจากทีวีดาวเทียมผ่านกล่อง​ PSI / DTV / Ideasat / Infosat / Thaisat และ Leotech ช่อง 51 รวมทั้งกล่อง GMM Z ช่อง 49

ทั้งนี้​ VOICE TV นั้น ได้จ่ายค่าใบอนุญาตไปแล้ว 886 ล้านบาท และจะได้รับเงินชดเชยคืนรวมเป็นเงิน 378 ล้านบาท ซึ่งตามข้อมูลในหนังสือ “5 ปี บนเส้นทางทีวีดิจิทัล” โดยสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์  สำนักงาน กสทช. ระบุข้อมูลว่า เป็นช่องทีวีดิจิทัลในหมวดหมู่ข่าวสารและสาระของครอบครัว “ชินวัตร” ซึ่งเคยออกอากาศ ในเครือข่ายทีวีดาวเทียมและออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2552 ก่อนที่จะมาประมูลใบอนุญาตและเปิดช่อง ทีวีดิจิตอลในปี 2557 และเป็นช่องที่มีความชัดเจนในการออกอากาศตั้งแต่เริ่มต้น โดยเน้นข่าวการเมือง และ รายการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ของบ้านเมือง

อย่างไรก็ตามผังรายการของช่อง VOICE TV ยังมีรายการวาไรตี้ สารคดีท่องเที่ยว และซีรีส์ต่างประเทศ เช่น ซีรีส์จีนเข้าเสริมผังด้วย เนื่องจากมีเนื้อหารายการข่าวเป็นส่วนใหญ่ สัดส่วนรายการจึงเป็นรูปแบบรายการที่ช่อง ผลิตเองสูงสุดในทุกปี โดยมีสัดส่วนรายการประเภทให้เช่าเวลาออกอากาศ เป็นลำดับรองลงมา ข้อมูลรายได้ของช่อง VOICE TV ที่แจ้งไว้กับสำานักงาน กสทช. นั้น พบว่าปีแรกมีรายได้เพียง 72 ล้านบาท เพิ่มเป็น 108 ล้านบาทในปี 2558 ค่อยๆ ลดลงมาเป็น 106 ล้านบาท ในปี 2559, 62 ล้านบาทในปี 2560 และ 36 ล้านบาทในปี 2561

ปี 2557 ช่อง VOICE TV เปิดตัวในระบบทีวีดิจิตอลเป็นปีแรก ทำเรตติ้งอยู่ในอันดับที่ 28 จากทีวีดิจิตอลในระบบ 28 ช่อง และยังอยู่ในอันดับเดียวกันในปีถัดมา

ข้อมูลจากหนังสือ 5 ปี บนเส้นทางทีวีดิจิทัล

แต่ในปี 2561 ช่วงที่สถานการณ์ การเมืองกำาลังเริ่มเข้มข้น เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศในเดือนมีนาคม 2562 เรตติ้งของ ช่อง VOICE TV ก็เริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยเรตติ้งรายเดือนในเดือนธันวาคม 2561 ของช่อง VOICE TV ได้ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 18 แต่เรตติ้งเฉลี่ยทั้งปี 2561 อยู่ในอันดับ 21 ฐานผู้ชมช่อง VOICE TV เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน พื้นที่ที่เป็นฐานผู้ชมหลักของ ช่อง VOICE TV อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคเหนือ โดยมีภาคใต้เป็นพื้นที่ที่รับชมช่อง VOICE TV น้อยที่สุด

 

ผ่าแผน “อนันดาฯ” กับวิถีบริหารธุรกิจคอนโด ที่จับใจ “คนเมือง”

$
0
0

การขยายตัวของโครงการรถไฟฟ้า ทำให้เห็นการพัฒนาของอสังหาริมทรัพย์ที่เกาะติดไปกับเส้นทางรถไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมาย ทว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูง อย่างคอนโดมิเนียม แค่มีทำเลดีเยี่ยมไม่พอ แต่ทุกมิติของที่อยู่อาศัยนี้ต้องสามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของวิถีคนเมืองที่มีความหลากหลายได้อย่างครบมิติ จึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

มาวันนี้ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่มีอยู่กว่า 30 โครงการ ทำธุรกิจอสังหาฯ มานานถึง 20 ปีเต็ม ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ด้วยการบริหารงานภายใต้คอนเซ็ปท์ Urban Living Solutions ที่มีจุดยืน คือ คิด และทำทุกอย่างเพื่อคนเมือง พัฒนาคุณภาพชีวิต และผลักดันศักยภาพของผู้คนให้ไปถึงขีดสุด พัฒนาสร้างคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองทั้งด้านไลฟ์สไตล์ ผนวกความทันสมัย และคุณภาพที่โดดเด่น ในราคาที่เหมาะสม เหล่านี้ทำให้ อนันดาฯ กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคไทยมาอย่างต่อเนื่อง และก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามาโดยตลอด

อนันดาฯ  ขยับธุรกิจสู่การเป็นผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน ภายใต้แบรนด์ Ideo (ไอดิโอ)  ก่อนสยายปีกธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าทั่วเมือง เพื่อคนเมืองในทุกเซ็กเมนท์ ผ่านแบรนด์คอนโดมิเนียมในเครือ อย่าง Ashton (แอชตัน) , Ideo Q (ไอดีโอ คิว), Ideo MOBI (ไอดีโอ โมบิ), Ideo (ไอดีโอ), เวนิโอ (Venio), เอลลิโอ(Elio)  ,ยูนิโอ (UNio), Artale (อาร์เทล), Airi (แอริ), Atoll (เอโทล), Urbanio (เออร์บานิโอ), Arden (อาร์เด้น) และ Unio Town (ยูนิโอ ทาวน์) ซึ่งทุกโครงการ ทุกแบรนด์ มีเป้าหมายใหญ่คือ ไม่เพียงแค่ส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ และ คอนโดมิเนียมคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูงที่ติดเส้นทางรถไฟฟ้าแก่ลูกบ้านเท่านั้น แต่มุ่งเน้นนำเทคโนโลยี นวัตกรรม ผสมผสานกับวิถีธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น

“คิดต่าง ตั้งแต่ต้น” จึงครองใจคนเมือง    

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในไทย ไปจนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ อนันดาฯ ยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนสำคัญมาจากการกำหนดวิสัยทัศน์นในการทำธุรกิจที่ชัดเจนของ  ชานนท์ เรืองกฤตยา CEO ผู้คุมบังเหียนธุรกิจใหญ่อนันดาฯ  ที่วางเป้าหมายที่จะมุ่งมั่นพัฒนาภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกับการนำเสนอคำตอบของวิถีชีวิตคนเมืองรูปแบบใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง

แนวคิดทำธุรกิจแบบ อนันดาฯ ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง Urban Living Solutions ที่สร้างความสำเร็จให้องค์กร วันนี้ถูกต่อยอดนำมาพัฒนาเพื่อสร้างสิ่งที่ดีขึ้นไปอีก ด้วยการเพิ่มดีเทลลงไปในเชิงลึกในทุกกระบวนการ  “คิด…เพื่อชีวิตคนเมือง” อย่างแท้จริงยิ่งขึ้น ซึ่งแคมเปญใหม่นี้ เป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาฯ ของอนันดาฯ ที่หวังทำ…เพื่อให้คนเมืองได้ไปใช้ชีวิตให้สุด

โดยเริ่มต้นไอเดียจากการมองเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัวแล้วค่อยๆขยายไปสู่การพัฒนาสังคมวงกว้าง  ผ่าน การคิดดี (GREAT IDEA) เกิดขึ้นจากความเข้าใจ และความตั้งใจที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับทุกที่ การแก้ปัญหาที่ดี (GREAT SOLUTION) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็จากการมีความคิดที่ดี และใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา และไปสู่ การเป็นเมืองที่ดี (GREAT CITY) การอยู่อาศัยร่วมกันอย่างเข้าใจ ร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อให้เมืองแห่งอนาคตของเราทุกคนน่าอยู่

4 เคล็ดลับ…ยกระดับชีวิตคนเมือง

เบื้องหลังของการ “คิด…เพื่อชีวิตคนเมือง” เพื่อให้ อนันดาฯ เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างประสบการณ์ในการใช้ชีวิตตามวิถีของคนเมืองที่ดีขึ้น ประกอบด้วย 4 แกนหลักสำคัญคือ Location + Product + Design + Innovation 

Location เพราะเชื่อว่าการลดเวลา คือ การสร้างโอกาสใหม่  ดังนั้นที่ผ่านมา อนันดาฯ จึงเน้นให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการคอนโดมิเนียมที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า จึงช่วยลดปัญหาในการเดินทาง ทำให้ทุกคนได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และมีพลังในการผลักดันศักยภาพของตัวเองให้ก้าวสู่ความสำเร็จ และมีความสุขมากขึ้น

Product  เพราะเข้าใจว่าแต่ละบุคคลมีเอกลักษณ์ มีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน ที่ผ่านมา อนันดาฯ จึงพัฒนาคอนโดมิเนียมในหลายเซ็กเมนท์ เพื่อตอบโจทย์คนเมืองในแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการที่ต่างกัน แต่ทว่าทุกแบรนด์ภายใต้ อนันดาฯ ล้วนให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อผู้คนเข้ากับเมือง พร้อมผสมผสานความเป็นธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว ให้เข้ากับความทันสมัยอย่างลงตัว เพราะเชื่อว่าแรงบันดาลใจของผู้คนจะเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าได้อยู่ท่ามกลางสมดุลของโลกสมัยใหม่กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์

Design เพราะเชื่อว่าพลังแห่งความสร้างสรรค์เกิดจากแรงบันดาลใจ  ภายใต้เส้นขอบฟ้าของเมือง “Bangkok  Skyline” เสมือนเป็นภาพขนาดใหญ่ที่เล่าเรื่องราว เป็นหน้าตา วิธีคิด บุคลิกของเมือง บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ และจิตวิญญาณของเมือง อนันดา ซึ่งมีโครงการคอนโดมเนียมติดรถไฟฟ้า จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคาร ซึ่งแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนตัวตน รสนิยมของลูกบ้านได้เป็นอย่างดี  และพร้อมที่จะส่งต่อเอกลักษณ์นั้นไปสู่คนเมืองในรุ่นต่อไป

Innovation พัฒนาและต่อยอดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะอนัดดาฯ เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ คน GEN C ล้วนแต่ต้องการทำหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมกัน ดังนั้นในทุกโครงการของอนัดดา จึงมีการนำเทคโนโลยี, แอพพลิเคชัน และนวัตกรรม มาให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวก และตอบโจทย์นิสัยการใช้ชีวิตแบบ Multi-tasking ของคนเมือง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการโฟกัสทำตลาดกลุ่มคนเมือง ที่มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่หลากหลาย และซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเมืองที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ และมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ไม่เพียงแค่ต้องการความสะดวกสบาย ความทันสมัยที่ช่วยสะท้อนตัวตน แต่ในขณะเดียวกันก็โหยหาความเป็นส่วนตัว และต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติไปในขณะเดียวกัน ดังนั้นแบรนด์ที่จะดึงดูดความสนใจ จากผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ ต้องเข้าใจ Consumer Insight อย่างลึกซึ้งจริงๆ

การทำแคมเปญ “คิด…เพื่อชีวิตคนเมือง” โดยเลือกดึง 4 ส่วนสำคัญที่คนเมืองให้ความสำคัญมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  Location + Product + Design + Innovation มาผสมผสานในครั้งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโมเดลของการตลาดที่น่าสนใจ เพราะใช้กลยุทธ์ทั้งทางด้าน  Functional และ Emotional Marketing มาร่วมกันสร้างเป็นกิมมิคใหญ่ที่ลงตัว ในการสื่อสารแบรนด์ ย้ำให้เห็นความต่างของสินค้าอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ อนันดาฯ ในสายตาของผู้บริโภคชัดเจนยิ่งขึ้น ในฐานะของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนเมืองในยุคดิจิทัล

การให้ความสำคัญกับทุกความรู้สึก ทุกมุมมอง ของผู้คน และพยายามพัฒนารูปแบบคอนโดมิเนียมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ซ่อนอยู่ภายในใจของคนเมือง ที่ถวิลหาความสุขที่เกิดจากการได้ใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทำให้  แบรนด์ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ วันนี้จึงไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ แต่เป็น Brand Purpose ตัวจริงในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ทำธุรกิจด้วยความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยสร้างให้คนเมืองได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆวัน

ลงทะเบียนเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://anan.ly/2U3QxJw

 

Viewing all 21951 articles
Browse latest View live


<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>